top of page

ฟื้นพลังความสัมพันธ์เครือญาติสายผู้ดูแลพระเพลา นางเลือดขาวฉบับวัดเขียนบางแก้ว จากการสร้างประวัติศาสตร์แห่งชาติสู่กระบวนการสร้างประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2556


บ้านของนายคลุ้มและนางพุ่ม ชูสุวรรณ

ครอบครัวผู้ดูแลพระเพลาและตกเป็นสมบัติ ของลูกสาวหนึ่งในแปดของตระกูล ซึ่งอยู่อาศัย

สืบต่อจนถึงเจ้าของในปัจจุบันผู้เป็นหลานตาและยายทวด


“เพลานางเลือดขาว” ฉบับวัดเขียนบางแก้ว ต้นฉบับเป็นกระดาษเพลาจารหรือเขียนด้วยเส้นดินสอดำ อักษรไทยย่อ ภาษาไทยจำนวน ๓๐ หน้า ๑๗๑ บรรทัด พรรณนาแบบร้อยแก้ว


สันนิษฐานว่าน่าจะเริ่มบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรราวแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๑ และคงมีการคัดลอกต่อกันมาอีกหลายฉบับ ต่อมา พระครูอินทเมาลีฯ เจ้าคณะป่าแก้ว หัวเมืองพัทลุงบูรณะ วัดเขียนบางแก้ว วัดสทัง และวัดสทิงพระ และสันนิษฐานว่าจารเป็นฉบับสุดท้ายเมื่อราว พ.ศ. ๒๒๗๒ ในรัชกาลพระเพทราชา ซึ่งเป็นฉบับที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน


เนื้อหาแบ่งออกเป็นสองตอนคือ เล่าเรื่องนางเลือดขาวเรื่องหนึ่ง และตำนานพระราชูทิศของพระมหากษัตริย์ การกัลปนาอุทิศที่ดิน ไร่นา ถวายข้าพระโยมสงฆ์ให้เป็นประโยชน์ของวัดอย่างเด็ดขาดเรื่องหนึ่ง


เนื้อหาหลักของการบอกเล่าในตำนานนางเลือดขาวกล่าวถึงศรัทธาในพระพุทธศาสนาของนางเลือดขาวและกุมารผู้สามีที่ได้สร้างกุฏิ วิหาร อุโบสถ พระธรรมศาสนา พระพุทธรูป และพระมหาธาตุไว้ตามท้องถิ่นต่าง ๆ มากมาย จนเกิดคำร่ำลือถึงความดีงามในศรัทธาต่อพระศาสนาของเธอ เมื่อเดินทางไปที่ใดก็มีเรื่องเล่าติดพื้นที่ในทุกแห่งที่นางเลือดขาวเดินทางไปถึงและอุปถัมภ์พระศาสนาและสาธารณูปโภคท้องถิ่นในรูปแบบต่าง ๆ


ส่วนเนื้อหาเป็นตำนานพระราชูทิศซึ่งปรากฏว่ามีหลายฉบับและหลายสำนวนตามวัดต่าง ๆ โดยที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพชี้แจงว่า ท่านพบตั้งแต่เมืองนครศรีธรรมราชจนถึงเมืองพัทลุง และสันนิษฐานว่าน่าจะมีต้นแบบที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยามาเพียงไม่กี่ฉบับ แต่มาเขียนคัดลอกเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก โดยมีเนื้อความเช่นเดียวกันคือเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ขอพระราชทานการซ่อมแซมดูแลวัดและข้าพระโยมสงฆ์ไว้แก่ท้องถิ่นนั้น ๆ ห้ามไม่ให้เจ้าเมืองหรือเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ มาข่มเหง หากไม่เชื่อฟังก็มีการแช่งให้ตกนรกอเวจี


เมื่อรวบรวมมาไว้ที่หอพระสมุดวชิรญาณในกรุงเทพมหานครต่อมาจึงนำเอาตำราพระกัลปนาฉบับต่างๆ รวม ๓ ฉบับในจำนวนทั้งสิ้นจากการเก็บรวบรวมไว้ ๑๖ ฉบับมารวมพิมพ์อยู่ใน “ประชุมพระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนา” จัดพิมพ์โดยสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๑๐ ตำราพระกัลปนาเหล่านี้ถือเป็นเอกสารที่มีการลงตราประทับเพื่อยืนยันเอกสิทธิ์ที่ท้องถิ่นต่างๆ ได้รับจากการเป็น “ข้าพระโยมสงฆ์” หรือ “ข้าโปรดคนทานพระกัลปนา” โดยพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาพระราชทานกลุ่มคนเหล่านี้เพื่อดูแลรับใช้วัดในท้องถิ่นนั้น ๆ โดยไม่ควรมีผู้ใดแม้จะเป็นขุนนางหรือเจ้าเมืองล่วงละเมิดถือสิทธิ์เพื่อประโยชน์ในชาวข้าพระเป็นส่วนตนมิได้ ในเอกสารกล่าวว่า ข้าพระกัลปนา หรือ พวกข้าโปรดคนทาน เหล่านี้ มีระเบียบแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ห้ามสมรสและห้าม (เป็น) มหาดอาษา ซึ่งน่าจะเป็นการสร้างกฎเกณฑ์เพื่อให้เป็นข้อกำหนดช่วงเวลาเพียงหนึ่งชั่วคนเพื่อมิให้กลายเป็นชุมชนอิสระ ไม่ขึ้นแก่ผู้ใดหรือเจ้าเมืองใด ๆ จนถึงขั้นลูกหลานจนกลายเป็นปัญหาแก่การปกครองในท้องถิ่นนั้น ๆ ได้


นักวิชาการทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีหลายท่าน (เช่น ศรีศักร วัลลิโภดม, ชุลีพร วิรุฬหะ) สันนิษฐานว่าพระตำราเหล่านี้คือพระราชสารตราที่กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาให้ไว้แก่ชุมชนหนึ่ง ๆ ที่มีความสำคัญมาก จนสามารถติดต่อโดยตรงกับราชสำนักที่กรุงศรีอยุธยาโดยผ่านอำนาจของเจ้าเมืองที่หัวเมืองพัทลุง และสันนิษฐานว่าเป็นการสร้างชุมชนหน้าด่านที่อยู่ในเขตติดต่อกับหัวเมืองมลายูซึ่งมีพระสงฆ์เป็นผู้นำอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อดูแลปกป้องตนเองจากการรุกรานของกลุ่มโจรสลัดมลายู หรือการลุกขึ้นสู้กับอำนาจของผู้นำท้องถิ่นที่อาจไม่มีความชอบธรรมในยุคสมัยนั้น จนกลายเป็นสิ่งเทียบกับของศักดิ์สิทธิ์แสดงถึงการไม่ต้องส่งส่วยหรือเสียภาษีให้หลวง จึงต้องมีการเก็บรักษาและสืบต่อมอบตกทอดกันเป็นอย่างดี


ดังนั้นทำให้คนทั่วไปห้ามนำหนังสือเพลาหรือตราพระราชสารกัลปนานี้มาอ่านโดยพลการ ผู้ที่อ่านได้คือผู้รักษาเพลาเท่านั้น โดยมีธรรมเนียมแต่ดั้งเดิมเล่าสืบต่อกันมาว่าวิธีการอ่านเพลา ผู้อ่านต้องนุ่งขาวห่มขาว เป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ในศีลธรรม ก่อนอ่านจะต้องจำลองรูปช้างเผือกขึ้นมาแล้วให้ผู้ถือเพลานั่งอ่านเพลาบนหลังช้าง การเก็บรักษาหนังสือเพลา นิยมเก็บรักษาไว้ในกระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่ซึ่งสามารถป้องกันแมลง ดูแลรักษาง่าย และสามารถสะพายติดตัวได้สะดวก และไม่ได้กล่าวว่ามีการเก็บรักษาไว้ที่วัดแต่ประการใด


ความสำคัญของพระเพลาที่มีต่อชาวบ้านเมืองพัทลุงนอกเหนือไปจากเรื่องเล่าในเวลาต่อมาแล้วก็มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานเอกสารการบันทึกเหตุการณ์เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงพระนิพนธ์ในจดหมายระยะทางไปตรวจราชการแหลมมลายู ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๖) (อ้างถึงในหนังสือศิลปากร ๑๗ (๒) : ๒๓-๔๕ กรกฎาคม ๒๕๑๖) กล่าวว่าชาวบ้านนับถือหนังสือเพลาว่าเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ สตรีจับต้องไม่ได้ “เพลานาวัดคูหา เป็นของเก่าไม่มีใครกล้าอ่าน เป็นแต่บูชาไว้...ได้ยืมยายแก่เจ้าของไปดู ยายแก่เป็นเมียตาแก่ ผัวมา

ไม่รอด ให้ลูกชายถือมา ผู้หญิงถูกไม่ได้”


การที่ผู้หญิงจับต้องไม่ได้น่าจะมีการถือกันเป็นปกติว่าผู้หญิงมีรอบเดือนอันเป็นสิ่งที่ถือว่ามีมลทิน ไม่สามารถจับต้องสิ่งของหรือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ได้


เพลานางเลือดขาวจากวัดเขียนบางแก้วถือว่าเป็นสำนวนสำคัญ เพราะนำมาจากวัดพระบรมธาตุสำคัญในเขตทะเลสาบสงขลาและเป็นชุมชนดั้งเดิมที่สำคัญมาแต่โบราณ เมื่อมีการเขียนพงศาวดาร หัวเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศหลังจากการปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเต็มที่แล้ว สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้แนะนำให้หลวงศรีวรวัตร (พิณ จันทโรจวงศ์) ลูกหลานเจ้าเมืองพัทลุงใช้เพลานางเลือดขาวอ้างอิงและเขียนขึ้นใหม่เป็นพงศาวดารเมืองพัทลุงฉบับ พ.ศ. ๒๔๖๐ โดยใช้ต้นฉบับจากวัดเขียนบางแก้วเขียนเป็นภาคเมืองพัทลุงยุคดึกดำบรรพ์


เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เสด็จไปราชการหัวเมืองฝ่ายใต้ เมื่อไปถึงวัดเขียนบางแก้ว อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุงในปัจจุบัน พระรัตนธัชมุนี พระสงฆ์ผู้ใหญ่แห่งเมืองนครศรีธรรมราชบันทึกไว้ว่า มีเอกสารโบราณที่เขียนไว้ในพระเพลาทั้งอักษรไทยโบราณและอักษรเขมรจำนวนมาก และสอบถามเพื่อขอยืมเพื่อให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตรวจ แต่ผู้ดูแลก็ไม่อยากให้มา (เรื่องรายงานการจัดการศึกษาและการพระศาสนากับกวีนิพนธ์ของท่านเจ้าคุณพระรัตนธัชมุนี หนังสือในงานพระราชทานเพลิงศพพระครูรัตนธาตุมุนี, ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙)


แต่ต่อมาอีกระยะหนึ่งผู้ดูแลพระเพลาคงเปลี่ยนใจ เพราะพบว่าหลังจากนั้นในราวสิบปีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ ต้นฉบับพระเพลาฉบับวัดเขียนบางแก้วได้มาอยู่ที่หอพระสมุดวชิรญาณแล้ว ในฐานะเป็นของประทานจากสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ


เมื่อไปตรวจสอบในท้องถิ่นใกล้เคียงกับวัดเขียนบางแก้วที่อำเภอเขาไชยสนจังหวัดพัทลุงในปัจจุบัน ก็พบว่ามีการบอกเล่าเรื่อง “ตำราพระเพลา” หรือ“พระเพลา” ซึ่งเชื่อมโยงกับข้อมูลเหตุการณ์ที่มีการบันทึกไว้ในคราวที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเล่าว่าเสด็จโดยเรือแจวจากวัดเขียนมายังบ้านของผู้ดูแลพระเพลาที่ “บ้านพรุ” ริมคลองบางแก้ว ห่างจากวัดเขียนราว ๑-๒ กิโลเมตร


ชาวบ้านจำนวนมากยังจำคำบอกเล่าของบรรพบุรุษที่เล่าถึงครั้งที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรง-ราชานุภาพเสด็จขึ้นที่ท่าน้ำริมคลองบางแก้ว แล้วเดินข้ามทุ่งในระยะไม่ไกลนักไปที่บ้านของ “นายคลุ้มและนางพุ่ม” ที่มีนามสกุลต่อมาคือ “ชูสุวรรณ” ผู้ดูแลพระเพลาวัดเขียนบางแก้วและขอต้นฉบับพระเพลาฉบับนี้ไปเก็บรักษาไว้ ณ หอพระสมุดวชิรญาณในกรุงเทพมหานคร


แม้หลักฐานข้อมูลต่าง ๆ จากส่วนกลางจะไม่มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงนี้แต่อย่างใด แต่ลูกหลานผู้ดูแลรักษาพระเพลายังเก็บภาพสำคัญ ซึ่งคาดว่าเป็นภาพถ่ายในช่วงเวลาที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จ ณ บ้านของนายคลุ้มและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกซึ่งน่าจะอัดล้างภาพและส่งมาให้ภายหลังเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๔๒ หรือประมาณ ๑๑๔ ปีมาแล้ว ต้นฉบับภาพถ่ายนั้น ยังคงเก็บรักษาอยู่ที่ลูกหลานในตระกูลจนถึงปัจจุบัน


เมื่อเราอ่านจากเอกสารต่าง ๆ คงมองเอกสารฉบับนี้ในฐานะหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองพัทลุงที่ถูกนำมาใช้เป็นเอกสารชั้นต้นเพื่ออ้างอิงในการเขียน “พงศาวดารเมือง” หรือการเขียนประวัติศาสตร์สมัยใหม่ในช่วงหลังการปฏิรูปการปกครอง

เป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ซึ่งเป็นช่วงที่เมืองไทยก้าวเข้าสู่การเป็นรัฐชาติแบบสมัยใหม่อย่างเต็มตัว [Modern State] และการเขียนประวัติศาสตร์ก็ถือเป็นความจำเป็นในการสร้างชาติหรือสร้างความเป็นประเทศในยุคนั้น


และเราคงไม่เข้าใจในมิติหน้าที่ของพระเพลาหรือพระตำราในฐานะของการเป็น “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ในครอบครองของผู้คนในตระกูลหนึ่งที่เคยมีหน้าที่ดูแลพระเพลาแทนวัดเขียนบางแก้วและชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นทั้งหมด ชาวบ้านผู้ดูแลเรียกพระเพลานี้ว่า“ตาหลวงตาเพลา”


ริมคลองบางแก้วซึ่งแต่ก่อนเป็นท่าน้ํา ชาวบ้านบ้านพรุเคยใช้เป็นท่าเรือสัญจรไปมา

และสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพเสด็จจากวัดเขียนบางแก้วขึ้นที่ท่าน้ํา เพื่อเดินลัดทุ่ง

ไปยังบ้านของนายคลุ้มและนางพุ่มครอบครัวผู้ดูแลพระเพลา


นายคลุ้มและนางพุ่ม ซึ่งมีภาพปรากฏเป็นหลักฐาน และน่าจะถ่ายในช่วงที่มีการขอพระเพลานำไปไว้ที่หอพระสมุดวชิรญาณ โดย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จล่องเรือจากวัดเขียนมาถึงท่าน้ำหน้าบ้าน มีบุตรชายหญิง ๘ คน เป็นชาย ๕ คน หญิง ๓ คนตระกูล “ชูสุวรรณ” บ้านอยู่ริมคลองบางแก้ว เรียกว่าบ้านพรุ จะทำพิธีสมโภชเพลาหรือ “สมโภชทวดเพลา” ในวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๖ ของทุกปี


กลุ่มเครือญาติที่เป็นลูกหลานผู้ดูแลพระเพลาในสายของนายแคล้ว ชูสุวรรณ ผู้เป็นแพทย์

ตําบลจองถนนซึ่งย้ายบ้านมาอยู่กับภรรยาที่บ้านทุ่งแซะ ไม่ไกลจากบ้านพรุ บ้านเดิมของพอเท่าใดนัก

และสืบประเพณีสมโภชพระเพลาต่อมาจนสิ้นชีวิต แต่ไม่มีทายาทผู้ใดสืบประเพณีนี้ต่อ

เนื่องจากส่วนใหญ่ทําอาชีพรับราชการ


ลูกชายคนโตคือนายแคล้ว ชูสุวรรณ เป็นแพทย์ตำบลจองถนนเป็นหมอแผนโบราณได้วิชาและตำรายามาจากนายคลุ้มผู้พ่อ และมีตำรายาที่เรียกว่าหนังสือบุดอยู่เป็นจำนวนมากทั้งภาษาไทยและภาษาขอม แต่ช่วงหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดสืบทอดเพราะร่ำเรียนวิชาแบบสมัยใหม่กันหมด บางคนมีความเชื่อว่าเอาหนังสือบุดไปฝนแล้วเอามาพ่นเป็นยาแก้หูน้ำหนวก


หลังจากสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพนำหนังสือเพลาจากไป เล่ากันว่าน้องชายคนสุดท้องของนายแคล้วเจ็บหนัก


เมื่อเราอ่านจากเอกสารต่างๆ คงมองเอกสารฉบับนี้ในฐานะหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองพัทลุงที่ถูกนำมาใช้เป็นเอกสารชั้นต้นเพื่ออ้างอิงในการเขียน “พงศาวดารเมือง”หรือการเขียนประวัติศาสตร์สมัยใหม่ในช่วงหลังการปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ซึ่งเป็นช่วงที่เมืองไทยก้าวเข้าสู่การเป็นรัฐชาติแบบสมัยใหม่อย่างเต็มตัว [Modern State] และการเขียนประวัติศาสตร์ ก็ถือเป็นความจำเป็นในการสร้างชาติหรือสร้างความเป็นประเทศในยุคนั้น


และเราคงไม่เข้าใจในมิติหน้าที่ของพระเพลาหรือพระตำราในฐานะของการเป็น “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ในครอบครองของผู้คนในตระกูลหนึ่งที่เคยมีหน้าที่ดูแลพระเพลาแทนวัดเขียนบางแก้วและชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นทั้งหมด ชาวบ้านผู้ดูแลเรียกพระเพลานี้ว่า

“ตาหลวงตาเพลา”


คนทรงบอกว่า ตาหลวงตาเพลาไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วและทางบ้านไม่ได้ทำพิธีต่อเนื่อง การเจ็บป่วยจึงเป็นการเตือนให้ทำพิธีกรรมต่อไป


หลังจากนั้นนายแคล้วและต่อมาจนถึงนายคลุ้มยังคงทำพิธีกรรมไหว้ตาหลวงตาเพลามาโดยตลอด แม้ตัวจริงจะไม่อยู่เสียแล้ว ใช้พระสงฆ์จากวัดขียนบางแก้วอย่างน้อย ๑ รูป ในจำนวนนิมนต์ ๕ รูป ซึ่งจะนิมนต์วัดอื่น ๆ มาสมทบก็ได้ และเชื่อว่าหาก คนในครอบครัวเจ็บป่วยมีทุกข์หรือลำบากใจในสิ่งใดก็จะนึกถึงและบนตาหลวงตาเพลากันเป็นประจำ


เมื่อนายคลุ้มแต่งงานจึงแยกออกมาทำพิธีที่ “บ้านทุ่งแซะ” ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชื่อนางชุมที่อยู่ห่างจากบ้านเดิมไม่ไกลราว ๒-๓ กิโลเมตร พี่น้องของนายคลุ้มที่เป็นหญิงยังอยู่ที่บ้านพรุชื่อ “นางลอย คชปักษี” เป็นแม่ของ “นางเรือง คชปักษี” ซึ่งปัจจุบันอายุราว ๘๐ ปีแล้ว ก็ยังทำพิธีต่อเนื่องที่บ้านเดิมของนายแคล้ว และเพิ่งหยุดทำพิธีไปหลังจากนางลอยเสียชีวิต เมื่อนายคลุ้มนิมนต์พระมาสวดมนต์และทำบุญ ทางบ้านพรุก็จะทำเพียงตั้งของไหว้เท่านั้นจะเห็นรูปแบบสิ่งของที่เคยใช้ดูเป็นของดั้งเดิมและเก่ากว่าทางบ้านพรุอย่างเห็นได้ชัด


นายคลุ้มและนางชุมมีบุตรชายหญิง ๘ คน เป็นชาย ๔ คนหญิง ๔ คน คือ นางคล่อง แต่งงานกับคนบ้านทุ่งแซะแล้วย้ายไปอยู่ที่พังงา อายุราว ๘๗ ปี มางานบุญแทบทุกครั้ง, นายประจบ อายุ ๘๒ ปี เคยรับราชการเป็นตำรวจย้ายไปมาหลายแห่งจนเกษียณอายุราชการจึงมาอยู่กับลูกสาวที่อำเภอเมือง แต่ก็มางานบุญโดยตลอด, นายจรัญ อายุราว ๘๐ ปี ได้ภรรยาอยู่บ้านท่ามะเดื่อ, นางคลี่ เมืองสง (ชูสุวรรณ) อายุ ๗๗ ปี อยู่ที่บ้านป่าโยง เขาชัยสน, นางคล้ายเสียชีวิตไปแล้ว เป็นแม่ของพิกุล ไชยชนะ ผู้รื้อฟื้นประเพณี, นายวัน อายุ ๗๑ ปี อยู่บ้านโคกแค, นายอุทัย อายุ ๖๙ ปี ออกไปทำงานข้างนอกแล้วย้ายไปอยู่ที่ระโนด, นางจิต ลูกสาวคนสุดท้าย ไม่ค่อยสบายจึงอาศัยอยู่ที่บ้านเดิม พอมาถึงรุ่นหลานมีจำนวนทั้งหมดขณะนี้ ๓๓ คน ออกไปทำงานต่างถิ่นทั้งในเขตใกล้เคียง เช่น พังงา สงขลา และพื้นที่ห่างไกล เช่น กรุงเทพฯ เพชรบูรณ์ และอินเดีย


หลังจากลูกนายคลุ้มแยกย้ายออกไปทำงานหรือแต่งงานยังต่างถิ่น การทำบุญสมโภชตาหลวงตาเพลาของตระกูลก็ดูเหมือนจะขาดช่วงห่างไป และเมื่อบรรดาน้องสาวของนายคลุ้มที่บ้านท่าแซะเสียชีวิตไปจนหมดก็ไม่มีผู้ใดทำพิธีหรือสืบทอดประเพณีต่อไปอีก และหยุดทำพิธีกรรมนี้มานานนับสิบปี


จนเมื่อ “พิกุล ไชยชนะ” ลูกสาวของนางคล้าย หลานตาของนายแคล้วในภาพถ่ายครั้งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพอพยพครอบครัวกลับบ้านหลังจากไปทำงานที่โรงงานในจังหวัดสมุทรปราการ และได้รับการบอกเล่าถึงการทำพิธีกรรมในครอบครัวจากน้าสาวที่อยู่บ้านมาตลอดชีวิต เริ่มมีทุนทรัพย์มากพอที่จะจัดงานสมโภช ตาหลวงตาเพลา โดยการทำบุญใหญ่เชื้อเชิญญาติมิตรจากทุกสายมาพร้อมกับการหาหนังตะลุงวงดังมาเล่นตลอดคืน ซึ่งสามารถทำได้เพราะมีทุนช่วยเหลือจากกลุ่มเพื่อนที่ทำงานการเมืองในท้องถิ่นสนับสนุนด้วย 



วันนี้แม้จะเป็นการเริ่มต้นรื้อฟื้นพิธีกรรมขึ้นมาใหม่ในสายตระกูล แต่ก็ถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญอย่างมากสำหรับเครือญาติในสายตระกูลของผู้นับถือพระเพลาเป็น “ตาหลวงตาเพลา” และเป็นการแสดงถึงการฟื้นพลังของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ธรรมดา ๆ ชิ้นหนึ่งในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ให้กลับมามีความหมายต่อผู้คนในชุมชนหนึ่งในฐานะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลเช่นเดิม แม้จะไม่ได้ย้อยรอยเก่าไปถึงความหมายดั้งเดิมที่มีฐานะเป็นสิ่งแสดงความเป็นอิสระ ไม่ต้องเสียภาษี และส่งส่วยแก่เจ้านายผู้ปกครองก็ตาม


การสมโภชตาหลวงตาเพลาอย่างเต็มที่ทั้งการทำบุญนิมนต์พระสงฆ์จากวัดเขียนบางแก้วมาในงาน การไหว้ตาหลวงตาเพลาและเพิ่มจัดมหรสพสมโภชตามแบบนิยม ที่สำคัญคือสามารถเตรียมการบอกข่าวแก่สายเครือญาติให้มาทำบุญร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรก


จึงเป็นการทำพิธีสมโภชพระเพลาที่รื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางเครือญาติและสืบเรื่องราวของเหล่าญาติที่ห่างหายกันไปนานให้แน่นแฟ้นขึ้นอีกครั้งในท่ามกลางสังคมที่ผู้คนต่างเคลื่อนไหวไปคนละทิศละทาง


การนำเอาพระเพลาฉบับนางเลือดขาวไปเก็บรักษาไว้ที่หอพระสมุดวชิรญาณ และนำไปใช้เป็นหลักฐานชั้นต้นเพื่ออ้างอิงในการเขียนประวัติศาสตร์เมืองพัทลุงขึ้นใหม่ เอกสารนี้ถือเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ของชาติในยุคนั้น และถูกมองในฐานะเป็นบันทึกในอดีตที่มีคุณค่าต่อการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ก่อตัวและรวบรวมเอาบ้านเมืองต่างๆ อยู่ภายใต้ประเทศสยามหรือประเทศไทย เอกสารนี้จึงไม่ต่างไปจากวัตถุทางประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่งในเอกสารทางประวัติศาสตร์อีกมากมายที่มีอยู่ในหอพระสมุดหรือหอจดหมายเหตุแห่งชาติในทุกวันนี้


และนับจากวันที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพนำเอาพระตำราหรือพระเพลาออกไปจาก “บ้านพรุ” ที่ริมคลองบางแก้วเมื่อกว่า ๑๑๔ ปีก่อนนั้น ความหมายของพระเพลาในฐานะ “ตาหลวง ตาเพลา” สำหรับชาวบ้านตระกูลหนึ่งที่วัดเขียนบางแก้วก็หมดลง กลับมีบทบาทเฉพาะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ถูกใช้สำหรับการผูกขาดการเป็นเจ้าของอดีตหรือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประวัติศาสตร์แห่งชาติไว้แต่ที่ส่วนกลางในระยะหนึ่ง ก่อนจะมีการพิจารณาหลักฐานชิ้นนี้ในแง่มุมอื่น ๆ ในเวลาต่อมา


แต่วันนี้เมื่อลูกหลานในสายตระกูลผู้ดูแลพระเพลาคิดฟื้นพิธีกรรมมาสู่การขยายความเข้าใจ การตีความใหม่ให้แก่เอกสารของท้องถิ่นในฐานะสิ่งของศักดิ์สิทธิ์มีค่าที่หายสาบสูญไป และถือเป็นการได้รับรู้ว่ามีเอกสารตัวจริงอยู่ที่ไหน บริเวณใดในกรุงเทพมหานคร เนื้อหาในเอกสารเหล่านั้นกล่าวถึงสิ่งใด และลูกหลานไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็สามารถจับต้องเอกสารที่เป็นสำเนาเหล่านั้นอย่างตื้นตันใจ เสมือนข้าวของที่บรรพบุรุษเคยรักษาไว้ได้กลับมาสู่มืออีกครั้ง


นอกจากจะฟื้นความสัมพันธ์ในหมู่เครือญาติที่แตกฉานซ่านเซ็นออกไปตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง จากชุมชนในสังคมชาวนาเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ครอบครัวของผู้ดูแลพระเพลาต่างแยกย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในท้องถิ่นต่าง ๆ และหากไม่มีพิธีกรรมบางอย่าง เส้นใยในสายสัมพันธ์ที่มีมาแต่เดิมคงจะมีอยู่เฉพาะวันทำบุญสารทเดือนสิบและวันสงกรานต์ เท่าที่จะพอมีเวลามาทำบุญที่บ้านเก่าและพบปะญาติมิตรกันเท่านั้น ระบบเครือญาติอันเปราะบางที่มีอยู่ในปัจจุบันก็คงทำให้ลูกหลานในรุ่นต่อไปไม่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้แต่อย่างใด


ความหมายของ “ตาหลวงตาเพลา” ที่กลายมาเป็นสิ่งของสัมพันธ์นับถือเป็นหนึ่งเครือญาติหรือยกให้เป็นบรรพบุรุษและเป็นสัญลักษณ์ของตระกูล ซึ่งน่าจะเป็นรูปแบบเดียวกับระบบความเชื่อแบบ Totemism ได้ ก็จะหายสาบสูญไปอย่างถาวร


วันนี้แม้จะเป็นการเริ่มต้นรื้อฟื้นพิธีกรรมขึ้นมาใหม่ในสายตระกูล แต่ก็ถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญอย่างมากสำหรับเครือญาติในสายตระกูลของผู้นับถือพระเพลาเป็น ตาหลวงตาเพลา และเป็นการแสดงถึงการฟื้นพลังของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ธรรมดา ๆ ชิ้นหนึ่งในหอจดหมายเหตุแห่งชาติให้กลับมามีความหมายต่อผู้คนในชุมชนหนึ่งในฐานะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลเช่นเดิม แม้จะไม่ได้ย้อยรอยเก่าไปถึงความหมายดั้งเดิมที่มีฐานะเป็นสิ่งแสดงความเป็นอิสระ ไม่ต้องเสียภาษีและส่งส่วยแก่เจ้านายผู้ปกครองก็ตาม


 

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ



อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


コメント


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page