top of page

ภาวะ “ล้มละลายความเป็นมนุษย์” ในสังคมไทย

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 21 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2559


ข้าพเจ้าเป็นนักมานุษยวิทยารุ่นเก่า การมองโลกแนวคิดทฤษฎีและวิธีการก็เป็นแบบรุ่นเก่า ต่างไปจากรุ่นใหม่ที่เรียกว่ารุ่นหลังสมัยใหม่ [Post modern]


เขตเทือกเขาและที่สูงในจังหวัดน่าน ที่ใช้ปลูกพืชแบบเกษตรอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด


ความมุ่งหมายของนักมานุษยวิทยาคือ การศึกษาให้เข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ในฐานะที่เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่งที่มีวิวัฒนาการ [Evolution] แตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่นที่เป็นเดรัจฉานอย่างไร


โดยอาศัยวิชาที่เป็นสาขาคือ มานุษยวิทยากายภาพ [Physical Anthropology] และวิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ [Prehistoric Archaeology] เป็นเครื่องมือศึกษาให้เห็นขั้นตอนของวิวัฒนาการ มานุษยวิทยากายภาพศึกษาให้เห็นวิวัฒนาการทางร่างกายและชีววิทยาที่ทำให้เห็นว่ามนุษย์คือสัตว์คล้ายลิงที่มีวิวัฒนาการเลยเส้นแบ่งของสัตว์เดรัจฉานมาเป็นสัตว์มนุษย์ [Homosapien Sapiens] ที่มีความสามารถในการเรียนรู้สื่อสารกันได้ด้านภาษาเชิงสัญลักษณ์ และเป็นสัตว์สังคม [Social animal] ชนิดหนึ่ง


ในขณะที่วิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ ศึกษามนุษย์ในฐานะเป็นสัตว์วัฒนธรรมที่เรียกว่า Tool maker คือสามารถคิดเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น เครื่องมือหินเพื่อการดำรงชีวิตรอด


สิ่งที่มนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมที่ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าคิดขึ้นเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน นั่นคือ วัฒนธรรม [Culture]


วิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์นับเนื่องเป็นสาขาหนึ่งของวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม [Cultural Anthropology] ที่เน้นการศึกษาด้านวัฒนธรรมเป็นหลัก แต่วิชาที่ข้าพเจ้าได้รับการอบรมมาเป็นวิชามนุษย์วิทยาสังคม [Social Anthropology] เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงวัฒนธรรมในหนทางของข้าพเจ้าจึงต้องมองทั้งวัฒนธรรมและสังคมอย่างแยกกันออกไป เปรียบเสมือนเหรียญที่มีสองด้านในเหรียญเดียวกัน


ถ้าหากวัฒนธรรมคือเนื้อหา สังคมก็คือบริบท [Social context]


ยกตัวอย่างเช่นเรื่องประชาธิปไตยในประเทศไทยในขณะนี้ คนส่วนใหญ่สับสนระหว่างประชาธิปไตยลอย ๆ แบบอุดมคติ ว่าต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้แล้วอ้างและเลียนแบบประชาธิปไตยแบบอเมริกามาเป็นสากล ในขณะที่ประชาธิปไตยในสังคมไทยที่อยู่ในบริบททางสังคมคือ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หาใช่ประธานาธิบดีแบบอเมริกันเป็นประมุขไม่ เพราะมีรูปแบบและระบบทางสังคมเศรษฐกิจแตกต่างกัน ไม่ควรที่จะคิดค้นเองแบบลอย ๆ หรือที่เรียกว่า “มโน” แล้วมาวิวาทกันอย่างในปัจจุบัน


วิชามานุษยวิทยาสังคมแบบเก่า ๆ ที่ข้าพเจ้าเล่าเรียนมานั้น เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า สังคมวิทยาเปรียบเทียบ [Comparative Sociology] คือศึกษาเปรียบเทียบสังคมหนึ่งแตกต่างจากสังคมอื่น ๆ ในลักษณะเหมือนกัน คล้ายคลึงกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร และมักเป็นการศึกษาสังคมขนาดเล็ก เช่น สังคมตามท้องถิ่นที่เป็นเผ่าพันธุ์ หรือสังคมแบบประเพณี และปล่อยให้เป็นเรื่องของนักสังคมวิทยาศึกษาสังคมเมืองหรือสังคมใหญ่ ๆ ที่มีความซับซ้อนแทน ในลักษณะที่เป็นอีกวิชาหนึ่งที่เป็นเอกเทศ


สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจมากในเชิงวิวัฒนาการก็คือ ความเป็นมนุษย์และความล่มสลายทางสังคม วัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าได้รับการอบรมให้เห็นว่า มนุษย์นอกจากเป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่รวมกันในครอบครัวและชุมชนแล้ว มนุษย์ยังเป็นสัตว์เศรษฐกิจ สัตว์การเมือง และสัตว์ศีลธรรม [Moral being] โดยเฉพาะความเป็นสัตว์ศีลธรรมนั้น ถ้าหมดไป ความล่มสลายของความเป็นมนุษย์ก็จะสิ้นสุดลง [Dehumanization] แต่การล่มสลายของความเป็นมนุษย์นั้นก็หาได้หมายถึงการล่มสลายของสังคมมนุษย์ไม่ เป็นแต่เพียงปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในเวลาและพื้นที่หนึ่ง ๆ เช่นนั้น


เช่นสังคมบุพกาลในสมัยแรก ๆ เป็นสังคมแบบเผ่าพันธุ์ [Tribal society] ที่คนมารวมกลุ่มกันด้วยความสัมพันธ์ทางเครือญาติจากสายเลือดและการแต่งงานของคนที่เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน มาเป็นสังคมชาวนา [Peasant society] ที่ผู้คนหลายชาติพันธุ์ หลายภาษา และเครือญาติเข้ามาอยู่รวมกันในพื้นที่เดียวกัน ทำให้เกิดความใกล้ชิดและความรู้สึกนึกคิดเป็นคนที่เกิดในพื้นที่หรือบ้านเกิดเดียวกัน


“สังคมชาวนา” [Peasant society] แตกต่างไปจาก “สังคมเผ่าพันธุ์” [Tribal society] ในแง่ที่เป็น “ส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่” [Part society] คือเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเมือง รัฐ และในที่สุดก็ประเทศชาติ ที่มีวัฒนธรรมสองระดับ คือ “ประเพณีหลวง” ของสังคมเมืองหรือรัฐอันเป็นส่วนรวมกับ “ประเพณีราษฎร์” ในระดับท้องถิ่น “ประเพณีหลวง” เป็นวัฒนธรรมของคนในสังคมเมื่อทำหน้าที่บูรณาการให้ “ประเพณีราษฎร์” ที่มีความแตกต่างและหลากหลายในท้องถิ่นเกิดสำนึกเป็นผู้คนในสังคมของแผ่นดินหรือชาติเดียวกัน


การเกิดขึ้นของการศึกษาวิชามานุษยวิทยาของนักมานุษยวิทยารุ่นเก่าส่วนหนึ่งนั้น ต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของความเป็นมนุษย์ที่รวมกันกลุ่มเป็นพวกเดียวกัน ว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางราบรื่นในครรลองของความเป็นมนุษย์ หรือเปลี่ยนแปลงไปในทางขัดแย้งรุนแรงจนเกิดภาวะล่มสลายในความเป็นมนุษย์หรือไม่


เพราะสังคมมนุษย์เป็นสังคมที่ไม่หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในมิติทางพื้นที่และเวลา เหตุของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมนั้นเกิดขึ้น ๒ ทาง


ทางแรกจากภายในสังคมหรือชุมชนนั้น อันเนื่องมาจากนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่คนใน [Insider] สังคมนั้นคิดขึ้นมา กับทางที่สองคือจากการติดต่อเกี่ยวข้องจากภายนอกแล้วรับเอาสิ่งใหม่ ๆ แปลก ๆ เข้ามา [Culture contact]


เขตเทือกเขาและที่สูงในจังหวัดน่าน ที่ใช้ปลูกพืชแบบเกษตรอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด


ในประวัติศาสตร์การล่มสลายของความเป็นมนุษย์ในสังคมแบบเผ่าพันธุ์และสังคมชาวนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในอีกหลายภูมิภาคของโลกนั้น เกิดขึ้นในสมัยล่าอาณานิคมของประเทศทางตะวันตก ที่ทำให้คนในสังคมคิดอะไรที่เหมาะสมไม่เป็น แล้วไปรับเอาสิ่งที่เห็นว่าดีงามจากภายนอกเข้ามา ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือการถูกบังคับจากอำนาจทางการเมืองเศรษฐกิจของผู้มีอำนาจจากภายนอก เช่น จากรัฐหรือจากต่างชาติ ทำเอากฎเกณฑ์ใหม่ ๆ สิ่งใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่ของเก่าที่มีอยู่แล้วในสังคม


ในดินแดนประเทศไทย สังคมเผ่าพันธุ์ [Tribal society] เปลี่ยนแปลงและสูญหายไปเกือบหมดแล้ว อันเนื่องของการเติบโตของสังคมชาวนาและรัฐที่ทำให้ความเป็นสังคมเผ่าพันธุ์ล่มสลายและคงเหลืออยู่ในพื้นที่ชายขอบของรัฐบางแห่งเท่านั้น ความต่างกันของสังคมเผ่าพันธุ์กับสังคมชาวนานั้นอยู่ที่ สังคมเผ่าพันธุ์ของคนแต่ละกลุ่มเป็นสังคมอิสระมีอำนาจดูแลกันเองภายใน โดยอาศัยความสัมพันธ์กันทางระบบเครือญาติ โคตรเง่า ตระกูล และครอบครัว ในขณะที่สังคมชาวนาหาเป็นอิสระไม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่ [Part society] คือต้องพึ่งพิงเมืองและรัฐทางการเมืองและเศรษฐกิจ


ความเป็นปึกแผ่นและความมั่นคงทางสังคมไม่ได้เกิดจากโครงสร้างสังคมในระบบเครือญาติ [Kinship] ของเผ่าพันธุ์ หากอยู่ที่พื้นที่ซึ่งผู้คนในชุมชนตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนบ้านและเมืองอยู่ร่วมกันในลักษณะแผ่นดินเกิด ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากความรู้สึกร่วมของคนว่า เป็นคนบ้านไหนและเมืองไหน เป็นต้น หาได้เอาความเป็นชาติพันธุ์มาเป็นศูนย์รวม


การล่มสลายของสังคมเผ่าพันธุ์และสังคมชาวนาในดินแดนประเทศไทยนั้นมีเหตุใหญ่ ๆ มาจากการเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอก คือ เมื่อมีอิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมเข้ามานั้น คนในสังคมไม่สามารถเลือกเฟ้นและจัดการให้เข้ากันจนเกิดดุลยภาพระหว่างสิ่งใหม่ ๆ และของเก่า ๆ ได้ ก็จะเกิดการขัดแย้ง [Conflict] ขึ้น โดยเฉพาะความขัดแย้งทางศีลธรรมที่ทำให้ศีลธรรมและจริยธรรมในสังคมเสื่อมสลาย [Demoralization] ซึ่งถ้าหากไม่มีการฟื้นฟูให้อยู่ในทำนองครองธรรมแล้ว จะทำให้ภาวะความเป็นมนุษย์ในสังคมนั้น ๆ เกิดความล่มสลายในความเป็นมนุษย์ [Dehumanization] จนถึงการใช้ความรุนแรงฆ่าฟันกัน หรือแย่งชิงกันอย่างชั่วร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉาน


ในกรณีการล่มสลายของเผ่าพันธุ์ [Detribalization] เท่าที่ข้าพเจ้ารับรู้มา แลไม่เห็นความเสื่อมทางศีลธรรมและจริยธรรมที่นำไปสู่การล่มสลายของความเป็นมนุษย์ จนถึงฆ่าฟันกันอย่างล้างเผ่าพันธุ์ แต่แลเห็นเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ จากการเคยอยู่รวมกันเป็นเผ่าพันธุ์ในท้องถิ่นที่ทำมาหากินแบบพึ่งพิงธรรมชาติตามฤดูกาลทั้งการล่าสัตว์ การเพาะปลูกที่ทำให้ต้องเปลี่ยนที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกิน [Semi-nomadic] มาเป็นการตั้งถิ่นฐานอยู่ติดที่และทำการเพาะปลูกแบบทดน้ำในที่ราบลุ่มแทน โดยอยู่รวมกันกับคนในชาติพันธุ์อื่น ในรูปแบบของสังคมชาวนาที่ประกอบด้วยชุมชนบ้านและเมืองในพื้นที่ซึ่งเรียกว่า “ท้องถิ่น” [Locality] ทำให้ต้องเปลี่ยนระบบความสัมพันธ์ทางสังคมจากระบบเครือญาติ [Kinship] มาเป็นระบบพี่น้องร่วมบ้านร่วมท้องถิ่นเดียวกัน โดยอาศัยความสัมพันธ์ในเรื่องการกินดองหรือการแต่งงานระหว่างกันกับการเป็นเพื่อนบ้าน เช่น ที่มีการผูกเสี่ยวของคนอีสานหรือผูกเกลอของคนใต้ รวมทั้งการเข้าสู่ระบบอุปถัมภ์กับคนที่เป็นชนชั้นในเมืองที่เป็นผู้มีคุณธรรม


การล่มสลายของเผ่าพันธุ์ [Detribalization] ดังกล่าวนี้ มีที่มาจากการเสื่อมทางศีลธรรมและจริยธรรม [Demoralization] มาก่อน ดังเห็นได้จากการเกี่ยวข้องกับภายนอก ทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมที่เคยพึ่งพิงกันในทางเศรษฐกิจเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกัน ความสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระบบความเชื่อทางศาสนาและจริยธรรม ค่านิยมโลกทัศน์ และศักดิ์ศรีของความเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มอย่างเสมอภาค มาเป็นความรู้สึกแปลกแยกเห็นแก่ตัวในลักษณะที่เป็นปัจเจก ที่รับเอาความเหลื่อมล้ำเข้ามาสร้างปมด้อยให้แก่ตนเอง


ดังเช่นคนหลายชาติพันธุ์ไม่ว่าคนชอง คนลัวะ ละว้า คนส่วย แลเห็นชาติพันธุ์ตนเองต่ำต้อยกว่าคนไทยจากภายนอก แล้วพยายามกลบเกลื่อนในความเป็นชาติพันธุ์ของตนไว้ รวมทั้งการแตกแยกไม่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นชุมชนดังเดิม โยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในที่อื่น ๆ ไปเป็นแรงงานในเมือง ไปอยู่ในชุมชนท้องถิ่นของคนที่เป็นชาวนาชาวบ้าน เป็นต้น


แต่การล่มสลายทางศีลธรรมและการล่มสลายของเผ่าพันธุ์ดังกล่าวนี้ ก็หาได้กับทำลายความเป็นมนุษย์ไม่ หากถูกเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นคนในสังคมชาวนา [Peasant society] ในชุมชนท้องถิ่น [Localization] แทน


อย่างย่อๆ ก็คือ กลายเป็นคนถิ่นแทนคนเผ่าไป


สังคมชาวนาเป็นสังคมของคนที่อยู่ในชุมชนถิ่นหรือท้องถิ่น [Local communities] ที่ประกอบด้วยบ้านและเมือง มีมาช้านานแต่สมัยกว่าพันปีที่แล้วมา เริ่มเปลี่ยนแปลงแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นเมืองไทยภายใต้อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตก [Westernization] ที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๔


การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและการปกครองสมัยรัชกาลที่ เพื่อให้เป็นรัฐรวมศูนย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชแบบทางประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการทำลายความเป็นอิสระของชุมชนท้องถิ่นและชีวิตวัฒนธรรม [Delocalization]


ดังเห็นได้จากการนำเอาพื้นที่ทางการบริหาร [Administrative space] มาแทนที่พื้นที่วัฒนธรรม [Cultural space] ในรูปแบบของหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอมาแทนที่ความเป็นชุมชนบ้านและเมืองแต่เดิม การให้กรรมสิทธิ์ที่ดินแก่ประชาชนโดยทั่วไปและการส่งเสริมการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกได้ทำให้ภูมิวัฒนธรรมของชุมชนบ้านเมืองที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง ที่มีธรรมชาติป่าเขา ผสมกับพื้นที่ทำการเพาะปลูกอย่างได้สัดส่วน มาเป็นพื้นที่ทุ่งกว้างเพื่อการทำนา มีโรงสีและตลาดเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจสังคมที่มีคนชั้นกลางซึ่งได้แก่พวกพ่อค้าคนจีน เจ้าของนา เจ้าของโรงสีและตลาดเกิดขึ้น


การขยายกิจการทางสาธารณูปโภค เช่น ทางรถยนต์ ทางรถไฟ และการชลประทาน ตลอดจนการตั้งสถานที่ทำการของทางราชการ ทำให้ผู้คนแต่เดิมที่ตั้งถิ่นฐานชุมชนอยู่ตามริมน้ำลำคลอง ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่ตามสองฝั่งถนนและทางรถไฟ ทั้งหมดนี้ทำให้ชุมชนชาวนาแต่เดิมต้องปรับตัวมาอยู่ในพื้นที่ใหม่และสภาพแวดล้อมใหม่


ซึ่งกระนั้นก็ดี รากเหง้าของความเป็นสังคมชาวนาในมิติทางวัฒนธรรมก็ยังไม่หมดสิ้นไป เพราะพื้นฐานเดิมเป็นสังคมเกษตรกรรม เป็นแต่เปลี่ยนจากเกษตรกรรมแบบชาวนามาสู่เกษตรกรรมแบบกสิกร [Farmer]


กสิกรเป็นผู้ประกอบการด้วยตนเอง มีที่ดินมีเครื่องมือเครื่องใช้ของตัวเอง ต่างจากชาวนาเดิมที่ต้องอยู่กันเป็นกลุ่มช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการดำรงอยู่และการทำมาหากินที่มีลักษณะเป็นปัจเจก ชุมชนเกษตรกรเห็นได้จากการตั้งบ้านเรือนอยู่ในลักษณะกระจายเป็นกลุ่มครอบครัว [Homestead] ติดกับที่ทำกินและที่ดินของตนเอง แต่ก็มีวัด โรงเรียน ป่าช้าและตลาดเป็นศูนย์กลางอย่างสังคมชาวนาและการรับรู้ชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมท้องถิ่น [Local communities] ร่วมกัน


โดยย่อสังคมท้องถิ่นยังคงดำรงอยู่แม้ว่าจะเปลี่ยนจากชาวนามาเป็นเกษตรกรหรือกสิกรแล้วก็ตาม


การพัฒนาประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม แต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ทำให้สังคมท้องถิ่นเริ่มสลายอันเนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คนจากที่ต่างทั้งภายในภายนอก เข้ามาอยู่และตั้งถิ่นฐาน ทำสถานที่ประกอบการธุรกิจ อุตสาหกรรม และการสร้างถนน สร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้าเกินขีดความสามารถของสังคมท้องถิ่น


แต่เดิมจะบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมให้คนที่เคลื่อนย้ายเข้ามามีสำนึกร่วมในการเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกันได้ นับแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช รัฐบาลชาติชาย ชุณหวัณ ที่เอาเศรษฐกิจการเมืองมาเป็นตัวนำในการพัฒนาประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม เช่น ระบบเงินผันและการปั่นที่ดิน รวมทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจทุนนิยม ได้ทำให้สังคมท้องถิ่นเริ่มแตกสลาย [Delocalization] ดังเช่นการขยายตัวของบรรดาบ้านจัดสรรคอนโดมิเนียม นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น ทำให้คนอยู่ในพื้นที่ใหม่อย่างไม่มีหัวนอนปลายตีน ต่างคนต่างอยู่ไม่อาทรแก่กัน และการตั้งถิ่นฐานใหม่เมืองใหม่ที่ทำลายลำน้ำลำคลอง หนองบึง และพื้นที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ทำให้เกิดภาวะล่มสลายทางศีลธรรมและจริยธรรม ความเป็นมนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมเริ่มเสื่อม และรับเอาค่านิยมและประเพณีทางโลกที่เป็นวัตถุนิยมบริโภคนิยมและความเป็นปัจเจกเยี่ยงเดรัจฉานเข้ามาแทนที่


นับแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นต้นมา เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ที่มีพรมแดนเกิดทุนเหนือรัฐและเหนือตลาด เป็นโครงสร้างไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบทุนนิยมเสรีเข้าครอบงำเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศทั้งในเมืองและชนบท


ภายใต้โครงสร้างของทุนข้ามชาติที่มีอำนาจเหนือรัฐและตลาด ได้ทำให้สังคมท้องถิ่นทั้งในเมืองและตามชนบทถูกบดขยี้ทั้งการถูกไล่ที่ หลอกลวงให้ขายที่อยู่อาศัยและทำกิน และการแย่งชิงทรัพยากรน้ำและเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่ควรแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์แทบทุกหนแห่ง


กิจกรรมการอุตสาหกรรมทั้งหนักและเบาและการเกษตรอุตสาหกรรมได้รุกล้ำเปลี่ยนที่ทางการเกษตรแต่เดิมให้หมดไป โดยคนที่เคยเป็นเกษตรกรที่อยู่ติดที่บ้านเกิดเมืองนอน ต้องโยกย้ายไปเป็นแรงงานข้ามถิ่นข้ามบ้านข้ามเมือง จนเกิดภาวะ “สังคมบ้านแตก” ขึ้นแก่บรรดาลูกหลานที่เป็นเยาวชน


ความคิดที่ชั่วร้ายของลัทธิทุนนิยมแบบไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ให้คำนิยามความเป็นมนุษย์ใหม่ว่า “ทรัพยากรมนุษย์” นั้น มีผลกระทบไปถึงการศึกษาอบรมตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชนท้องถิ่น และบรรดาโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วทั้งประเทศ


การแพร่หลายทางเทคนิคของบรรดาเครื่องมือในการศึกษา การสอน และการสื่อสารแบบทุกชนิดของคอมพิวเตอร์ที่นำเอาแนวคิดปรัชญาและความรู้ทางวัตถุ ได้ทำลายระบบทางศีลธรรม จริยธรรมและความเป็นมนุษย์ให้แก่ผู้คนในสังคมทุกระดับชั้น รวมทั้งระบบและกระบวนการทางยุติธรรมการออกกฎหมายก็กลับกลายเป็นเหยื่อและเครื่องมือของบรรดาผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในการสร้างความถูกต้องที่ปราศจากมโนธรรมให้แก่พวกตน


สังคมท้องถิ่นแทบทุกภูมิภาคกำลังถูกทำลายในกระบวนการสลายพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรม [Delocalization] โดยอำนาจรัฐและอำนาจทุนนิยมมีปรากฏการณ์ให้เห็นแทบทุกเมื่อชั่วยามในขณะนี้ ดังตัวอย่างไกลตัวในภาคเหนือในเขตจังหวัดแพร่และน่าน ที่รัฐยินยอมให้กลุ่มชาติพันธุ์ผสมนายทุนข้ามชาติ ทำการเพาะปลูก ทำไร่ข้าวโพดในพื้นที่ต้นน้ำยมและน้ำน่านที่อยู่บนภูเขาและที่สูง จนเกิดอาการเขาหัวโล้นไปทั่ว


การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิในที่อยู่อาศัยแต่เดิมของชาวชุมชนป้อมมหากาฬ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๙


การปลูกข้าวโพดอันเป็นเกษตรอุตสาหกรรมเชิงเดี่ยวได้ทำลายความหลากหลายของชีวภาพของนิเวศวัฒนธรรมบนเขาและที่สูงของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นถิ่น ที่ทำการเพาะปลูกในระบบไร่หมุนเวียนที่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ทำมาหากินในลักษณะพอเพียง และไม่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นการเกษตรที่ยั่งยืน เพราะการหมุนเวียนไปตามที่ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ ทางราชการขาดความเข้าใจ ความหมายและระบบการทำไร่หมุนเวียนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในท้องถิ่นมาแต่เดิมไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปีขึ้นไป และสร้างวาทกรรมโดยนักวิชาการโง่ว่าเป็นการทำไร่เลื่อนลอยที่ทำให้พื้นที่ป่าเขาทั้งหมดเตียนโล่ง เลยอ้างกฎหมายและใช้อำนาจยึดครองที่ดินที่อยู่อาศัยให้มาเป็นของรัฐ ขับไล่ชุมชนท้องถิ่นให้ดำรงอยู่ไม่ได้


แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดหนทางให้กับบรรดานายทุนข้ามชาติที่นำเอาผลิตผลข้าวโพดเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูปและส่งออกในการสนับสนุนกลุ่มชาติพันธุ์อื่น และคนจากพื้นราบเข้าทำไร่เลื่อนลอยด้วยการใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์แทนการเพาะปลูกตามวิธีการธรรมชาติของคนในท้องถิ่นแต่เดิม ปัจจุบันการครอบงำของการทำไร่เลื่อนลอยของกลุ่มชนบนที่สูงนั้นก้าวไกลเกินสภาพความเป็นไร่เลื่อนลอยสู่ภาวการณ์เป็นไร่ถาวรในระบบเกษตรอุตสาหกรรมที่มีนายทุนข้ามชาติผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐและตลาดอยู่เบื้องหลัง


ผลที่ตามมาของการทำไร่ข้าวโพดถาวรดังกล่าวนี้ ได้ทำให้เกิดความวิบัติอย่างใหญ่หลวงแก่ชีวิตของผู้คนทั้งอยู่ในที่สูงและที่ลุ่มต่ำในขณะนี้ คือ เมื่อฝนตกเกิดดินถล่ม [Land slide] น้ำท่วมทำให้บ้านเรือนพังและที่ทำกินเสียหายไร้ที่อยู่เป็นประจำเกือบแทบทุกปีเท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะในฤดูแล้งกลุ่มคนที่ปลูกข้าวโพดบนเขาและที่สูงเผาซางข้าวโพดเพื่อปรับที่ดินเพาะปลูกใหม่ ทำให้เกิดควันไฟและเขม่าไฟปกคลุมไปทั้งภูมิภาค เกิดมลภาวะทางอากาศที่เป็นภัยต่อระบบการหายใจของมนุษย์


ความชั่วร้ายและบาปของนายทุนก็ยังคงดำรงอยู่ ในพื้นที่เขตเมืองเช่นกรุงเทพมหานคร ทั้งทุนและรัฐเริ่มสุมหัวกันทำลายชุมชนท้องถิ่นที่มีรากเหง้ามาแต่สมัยการสร้างกรุงเทพฯ ครั้งรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๓ โดยการอ้างการปรับปรุงผังเมืองและสร้างสถานที่ทางราชการและพื้นที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ใหม่ ให้ดูสวยงามเป็นเมืองประวัติศาสตร์เพื่อการท่องเที่ยว


ผลที่ตามมาชุมชนมนุษย์ที่ยังฝังตัวอยู่ในบริเวณเมืองกรุงเทพมหานคร กำลังถูกคุกคาม รื้อถอน และขับไล่โดยไม่มีความชอบธรรมในแทบทุกย่านที่อยู่อาศัยและทำกิน


การดำเนินการชั่วร้ายของการสลายท้องถิ่นทางสังคมและวัฒนธรรมที่กำลังจะเป็นการทุบตีทำร้ายผู้คนดั้งเดิมของเมืองกรุงเทพฯ ในขณะนี้ กำลังอยู่ที่ชุมชนชานกำแพงเมืองหลังป้อมมหากาฬเพราะกรุงเทพมหานครต้องการไล่ชุมชนมนุษย์ออกไป เพื่อเอาพื้นที่ไปทำสวนสาธารณะเพื่อคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแทนที่ชุมชนซึ่งเคยอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครมาแต่เดิม


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:



Comentários


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page