top of page

มรดก (รก) โลก กับ “คน” พระวิหาร

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 22 เม.ย. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2551


ข้าพเจ้าไม่เคยมีความเชื่อมั่นในเรื่องการทำให้โบราณสถาน แหล่งโบราณคดีและแหล่งธรรมชาติเป็นมรดกโลก



ตั้งแต่แหล่งมรดกโลกแรกอุบัติขึ้นในพื้นพิภพนี้ เพราะเป็นแหล่งที่เกิดขึ้นจากการเอาของเก่า บรรยากาศเก่า ๆ มายำใหญ่ โดยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิทยาการต่าง ๆ ทางสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งมาจากที่ต่าง ๆ โดยแทบไม่มีผู้รู้ในท้องถิ่นของแหล่งเก่าแก่นั้นเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ทำให้เกิดโครงสร้างและรูปแบบจากข้างบนลงข้างล่าง [top down] ที่ดูเสมือนจริงแต่ไม่จริง และเข้ากันได้กับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่น


ผลที่ตามมานั้น ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างของคนท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาต้องเสียหายไปหมดสิ้น ไม่ว่าสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ทรัพยากร และแม้แต่วิถีชีวิตทางวัฒนธรรมของผู้คน ดังเห็นจากแหล่งมรดกโลกหลายแห่งที่มีอยู่ขณะนี้ เช่น เมืองหลวงพระบาง เมืองสุโขทัย อยุธยา และเมืองฮอยอัน เป็นอาทิ


เพราะพื้นที่อยู่อาศัยกลายเป็นพื้นที่ค้าขายของคนจากภายนอกทั้งต่างชาติ ข้ามชาติ และต่างถิ่นมากมาย กลายเป็นย่านตลาดนานาชาติ ศาสนสถานและแหล่งทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ถูกเปลี่ยนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำลายและลดความศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นแหล่งทัศนาจรที่สาธารณ์และสามานย์กลายเป็นแหล่งปลดปล่อยของอารมณ์นานาประการมากกว่าการเป็นแหล่งเรียนรู้


กระนั้นก็ดี ข้าพเจ้าก็ยังมีทัศนคติที่ดีให้กับการทำให้ปราสาทพระวิหารเป็นแหล่งมรดกโลก เพื่อการเป็นแหล่งเรียนรู้ถึงความสวยงาม ความสำคัญทางอารยธรรมของโลกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในตำแหน่งของเขตแดนที่ทับซ้อนกันอยู่ที่ยังไม่มีการตกลงกันอย่างชัดเจน อีกทั้งยังเกิดข้อพิพาทกันอยู่บ่อย ๆ สมควรที่จะให้คนที่เป็นกลางได้จัดการให้ เพื่อเป็นประโยชน์ของผู้คนท้องถิ่นของสองเขตแดนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติเหมือนกับสมัยที่ยังไม่มีการแบ่งเส้นเขตแดน


คนท้องถิ่นที่อยู่สองฟากเขาพระวิหารทั้งในที่ราบสูงโคราชของไทยและที่ราบลุ่มทะเลสาบเขมรของกัมพูชา คือผู้ที่เกี่ยวข้องกับปราสาทพระวิหาร ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีส่วนได้และส่วนเสีย [stake holder] ของท้องถิ่นอย่างแท้จริง


เป็นกลุ่มชนที่มีเผ่าพันธุ์มอญ-เขมร เหมือนกัน อีกทั้งมีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องและเครือญาติระหว่างกันและมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาก่อนสมัยการมีการแบ่งเขตแดน แม้กระทั่งปัจจุบันประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่นดังกล่าวนี้ก็ยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องในลักษณะที่เป็นประวัติศาสตร์มีชีวิต [living history]


ดังเห็นได้จากเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในพื้นที่สันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงเร็ก มีผู้คนจากฟากเขมรต่ำและผู้คนจากสุรินทร์ในเขตประเทศไทย พากันมาประกอบพิธีกรรมทำบุญร่วมกันที่ปราสาทโดยไม่คำนึงถึงเส้นแบ่งเขตแดน เมื่อพบปะกัน เจริญความสัมพันธ์ร่วมกันในงานพิธีกรรม ก็เอาสิ่งของมาขายแลกเปลี่ยนกัน โดยที่ไม่สนใจคนทางกรุงเทพฯ หรือพนมเปญแม้แต่น้อย ซึ่งก็คงเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ครั้งพระธาตุพนมล้มที่ริมฝั่งโขง ในเขตจังหวัดนครพนม ที่แม้ว่าพระบรมธาตุจะเป็นโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่อยู่ในเขตแดนประเทศไทยก็ตาม แต่ทั้งคนไทย คนลาวริมฝั่งโขงก็ไม่ยี่หระกับคนกรุงเทพฯ และคนเวียงจันทน์ ต่างพากันแต่ถ้าพายเรือ แล่นเรือข้ามฝั่งมาร้องไห้ ร้องห่มรวมกันในการสูญเสียแหล่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่พึ่งและความมั่นคงทางจิตใจ


คนท้องถิ่นมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาแต่ดั้งเดิมและยังคงอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้เวลาจะเปลี่ยนแปลง และล่วงเลยมานับหลายศตวรรษ ก่อนจะมีการแบ่งเขตแดนอันเป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์อาณานิคมของฝรั่งเศสและประวัติรัฐชาติของไทยและเขมรที่มีอายุร้อยกว่าปีมานี้เอง


ประวัติศาสตร์อาณานิคมของฝรั่งเศส ไม่เคยเอื้ออาทรกับคนท้องถิ่นสองฟากพนมดงเร็ก แต่กลับอ้าง พระราชอำนาจของกษัตริย์วรมันแห่งเมืองพระนครที่เสียมเรียบ ว่าสร้างปราสาทพระวิหารขึ้นเพื่อประกอบพระเดชานุภาพเหนือผู้คนและดินแดนทั้งสองฟากพนมดงเร็ก


แต่โดยเหตุที่ฝรั่งเศสมีอำนาจเหนือเขมรและเขมรเป็นเมืองในอาณานิคมของฝรั่งเศส จึงจำเป็นต้องมีการแบ่งเขตแดนให้ชัดเจนออกจากเขตแดนประเทศไทยที่ไม่ใช่อาณานิคมฝรั่งเศส ใช้แผนที่เป็นเทคนิคในการแบ่งเขต ซึ่งดูยุติธรรมดีเมื่อกำหนดเอาสันปันน้ำอันเป็นลักษณะธรรมชาติเป็นสิ่งกำหนด แต่เพราะทางฝ่ายไทยไม่มีความรู้และสันทัดในการทำแผนที่ ก็เลยปล่อยให้ฝรั่งเศสทำไปแต่ฝ่ายเดียว แล้วยอมเซ็นรับรองความถูกต้อง


ครั้นแล้วความชั่วช้าของประเทศมหาอำนาจก็ปรากฏขึ้นด้วยการโกงอย่างซึ่งหน้าและน่าละอายเป็นอย่างยิ่ง เพราะปราสาทพระวิหารที่อยู่ในสันปันน้ำทางฝั่งไทย กลายเป็นอยู่ในเขตเขมรของฝรั่งเศสไป ครั้นเกิดคดีความขึ้นครั้ง พ.ศ. ๒๕๐๕ แทนที่ศาลโลกจะตัดสินจากความถูกต้องทางภูมิศาสตร์ก็ยังใช้ความถูกต้องของแผนที่ครั้งฝรั่งเศสทำไว้ตัดสินให้ทางไทยแพ้คดี ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าบรรดามหาอำนาจหลายชาติที่คนไทยซึ่งล้วนแต่ไปเรียนเมืองนอกจนกลายเป็นขี้ข้าทางปัญญาเป็นแถว ๆ นั้น ร่วมลงขันให้ทางฝ่ายเขมร


ก็พวกบ้าตะวันตกที่เป็นขี้ข้าทางปัญญาของมหาอำนาจตะวันตกเหล่านี้แหละที่สร้างประวัติศาสตร์รัฐชาติขึ้นทั้งสองประเทศ ทำให้เกิดการมีประวัติศาสตร์ที่มีเขตแดนของคนกรุงเทพฯ และพนมเปญขึ้นมา


คนพนมเปญ อาศัยความใกล้ชิดกับฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม ก็เลยสานต่อความยิ่งใหญ่ของเขมร ด้วยการอ้างความชอบธรรมของกษัตริย์วรมันที่สูญหายไปช้านานแล้ว ว่าดินแดนที่ราบสูงโคราชและแม้แต่ดินแดนภาคกลางของประเทศไทยก็เคยอยู่ในแผ่นดินเขมรมาก่อน ทุกวันนี้นักวิชาการรุ่นใหม่ของเขมรและคนเขมรเป็นจำนวนมากที่มีปมด้อยในความเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจก็มักจะแสดงอาการคลั่งชาติเขมรด้วยความเชื่อเช่นนี้


ในขณะเดียวกัน นักประวัติศาสตร์โบราณคดีของฝรั่งยุคอาณานิคมก็เขียนประวัติศาสตร์ชนชาติไทยว่าเป็นพวกที่ถูกขับไล่จากดินแดนประเทศจีน เข้ามาในดินแดนขอมสมัยกษัตริย์วรมัน มาเป็นขี้ข้าคนขอมอยู่ แล้วต่อมาจึงตั้งตัวเป็นอิสระที่สุโขทัย ซึ่งนักปราชญ์และนักประวัติศาสตร์แต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมาก็เชื่อเช่นนั้น จึงเกิดการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยแบบไทย-ไทย ไทยใหญ่ ไทยโต


ต่อมาในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงหาจุดเด่นและเหตุการณ์ทางการเมืองสมัยอยุธยากับสมัยกรุงเทพฯ มาอธิบายข่มพวกขอม เขมรบ้าง ในช่วงเวลาที่เขมรต้องมาเป็นเมืองขึ้นและขี้ข้าไทยบ้าง ทำให้เกิดการขัดแย้งและตอบโต้กันบ่อย ๆ ดังเช่น กรณีปราสาทพระวิหารในขณะนี้ที่ทางเขมรไม่ทวงเฉพาะปราสาทพระวิหารเท่านั้น แต่ทวงทั้งภาคอีสานทั้งหมดเลย เพราะหลาย ๆ พื้นที่มีปราสาทขอม มีจารึกขอมแสดงหลักฐานให้เห็น


เพราะทางเขมรเห็นว่ากษัตริย์วรมันยังเรืองอำนาจอยู่ในลักษณะอมตะนิรันดร์กาล ส่วนทางไทยก็ตอบโต้ด้วยประวัติศาสตร์สมัยกรุงเทพฯ ที่เขมรเคยอยู่ในราชอาณาจักรไทยและข่มขู่จะรุกเข้าไปยึดเสียมราฐ พระตะบองคืนมา อาการคลั่งชาติจึงเกิดด้วยกันทั้ง ฝ่าย


แต่ฝ่ายไทยดูเสียเปรียบ เพราะนอกจากบรรดาประเทศใหญ่ ๆ เข้าข้างเขมรแล้ว ในเมืองไทยยังมีคนไทยข้ามชาติ ขายชาติและขายตัวอีกแยะที่มองเห็นการเป็นแหล่งมรดกโลกของปราสาทพระวิหารเป็นประโยชน์กับตนเองและพรรคพวก พวกนักธุรกิจข้ามชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะรู้กันดีว่าใครเป็นใคร แต่ก็มีคนครึ่ง ๆ กลาง ๆ ในหมู่ขายชาติและขายตัวที่เป็นดอกเตอร์ดอกตีนอีกเยอะที่มักออกมาแสดงเหตุผลทางวิชาการแบบตามก้นฝรั่ง ถึงความเป็นกลาง ๆ อย่างไร้เดียงสา อย่างเช่น การเป็นมรดกโลกนั้นจะทำให้ไทยเป็นที่รู้จักของสังคมชาวโลก อีกทั้งมีรายได้ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว หรือการแสดงความเห็นอกเห็นใจเขมรในเรื่องดินแดนว่าทั้งปราสาทพระวิหารและดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมไปถึงเสียมราฐ พระตะบอง เป็นของเขมร ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่ายังพูดไม่ออกอยู่แต่เพียงว่า ภาคกลางของประเทศไทยก็เป็นของเขมรด้วย และคนไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ไปโกงเขามา


ข้าพเจ้าก็เดาไม่ออกว่าการพูด การเขียนที่แสดงออกมาอย่างออกทะเลที่อ่าวอุดมเช่นนี้ทำเพื่ออะไร แต่ก็พอสรุปได้ว่า ล้วนมาวนอยู่ในประวัติศาสตร์ที่หมดอายุไปแล้วของสมัยกษัตริย์วรมันและสมัยรัชกาลที่ ๕ เท่านั้นเอง อันเป็นเรื่องที่คนกรุงเทพ ฯ คนพนมเปญ หรือพวกฝรั่งต่างชาติได้เล่าเรียนกันมา


แต่แทบไม่มีใครเลยที่จะพูดถึงประวัติศาสตร์ของคนที่อยู่ทั้งสองฟากของเขาพระวิหารที่มีสำนึกว่า ปราสาทพระวิหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ร่วมกันของพวกเขาแต่อดีตจนปัจจุบัน


การเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารดูเหมือนจะใช้แต่เพียงประวัติศาสตร์ยุคกษัตริย์วรมันที่ขึ้นไปกราบไหว้ศิวลึงค์เป็นสำคัญโดยจะรื้อฟื้นให้กลับคืนมาในลักษณะการแสดงเพื่อการท่องเที่ยว เพราะคงไม่มีนักท่องเที่ยวจากภายนอกคนใดที่ไปไหว้ศิวลึงค์เป็นแน่แท้ ในขณะที่คนในท้องถิ่นแม้ว่าจะยังให้ความเชื่อความเคารพกับปราสาทในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์อยู่ก็คงไม่ไปไหว้ศิวลึงค์อีกเช่นกัน ทั้งศิวลึงค์ก็ถูกขโมยไปนานแล้ว รวมทั้งเทวาลัยก็พังลงหมดแล้ว แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในความเชื่อและความคิดของชาวบ้านก็คือ ผี จึงไหว้ผีกันมากกว่าศิวลึงค์ แต่ถ้าปราสาทกลางเป็นมรดกโลกเพื่อให้นักท่องเที่ยวมาชม ผีก็ถูกไล่ออกไปอีกและคงเหลืออยู่แต่ในความทรงจำของชาวบ้านรุ่นพ่อรุ่นแม่เท่านั้น คนรุ่นใหม่ก็คงได้รู้ได้เห็นปราสาทพระวิหารเป็นแต่เพียงแหล่งท่องเที่ยวที่ผลประโยชน์ เช่น รายได้ที่เป็นเงินเป็นทองไปเป็นของคนอื่น ของนักธุรกิจ นายทุนจากกรุงเทพฯ พนมเปญและนายทุนข้ามชาติทั้งหลาย


ดังเห็นได้จากการที่นักข่าวของ ทีพีบีเอส ไปพูดคุยกับชาวบ้านที่บ้านภูมิซรอล อันเป็นชุมชนเก่าแก่ของท้องถิ่นว่าเขาเข้าใจอะไรบ้างเกี่ยวกับการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร ซึ่งชาวบ้านก็อธิบายให้ฟังถึงความผูกพันกับเขาพระวิหารและปราสาทในเรื่องของนิเวศวัฒนธรรม บ้านภูมิซรอลตั้งอยู่ริมลำห้วยกลางที่ไหลจากภูศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ตั้งปราสาท ชาวบ้านอาศัยน้ำกินน้ำใช้จากลำน้ำนี้ ซึ่งก็ไหลลงไปสู่ชุมชนบ้านอื่น ๆ เช่นกัน ชาวบ้านหาของป่าจากธรรมชาติรอบ ๆ เขา รู้จักแหล่งโบราณสถานต่าง ๆ ที่อยู่รายรอบที่ผู้คนในท้องถิ่นล้วนคุ้นเคย จนมีการเล่าขานกันเป็นตำนานสื่อสารและถ่ายทอดกันเอง บางคนก็เกิดความไม่มั่นใจและหวาดกลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับสิ่งเหล่านั้น โดยเฉพาะบริเวณปราสาทที่เคยเข้านอกออกในได้ ไปไหว้ไปเที่ยวหาของป่าตามบริเวณโดยรอบ ถ้าเปลี่ยนไปก็คงไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องและอาจต้องเสียค่าผ่านเพื่อเข้าชมอีกด้วย


นี่คือสิ่งที่คนในท้องถิ่นมีความรู้สึกและหวาดกลัวถึงความสูญเสีย ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและชีวิตวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่นจึงนับเป็นความสำคัญอีกมิติหนึ่งที่ความเป็นมรดกโลกขาดไป แม้ว่าจะมีการพูดถึงเรื่องสังคมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรมและความหมาย


บัดนี้ ความพยายามของข้าพเจ้าได้มีทัศนคติที่ดีกับคณะกรรมการมรดกโลก อันเป็นคณะกรรมการนานาชาติก็สิ้นสุดลง ภายหลังจากเมื่อเร็ว ๆ มานี้ ในที่ประชุมที่เมืองควิเบค ประเทศคานาดา ได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว แทนการให้เป็นมรดกโลกร่วมกันของทั้งไทยและกัมพูชาที่หลาย ๆ คนได้คิดไว้ว่าจะนำความสันติสุขในเกิดขึ้นแก่คนทั้งสองประเทศ


ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะทำเช่นนี้ เพราะการเอาแต่เพียงตัวปราสาทเป็นมรดกโลกแต่เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถจะทำให้เป็นแหล่งอารยะธรรมเพื่อการเรียนรู้ได้


เกณฑ์ของการเป็นมรดกโลกนั้น เท่าที่คณะกรรมการอ้างถึงต้องมี ๓ ข้อ ข้อแรกเกี่ยวกับศิลปสถาปัตยกรรมของปราสาทซึ่งหมายถึงตัวปราสาท แต่อีกสองข้อหลังคือ ความสมบูรณ์และความเป็นสากลของแหล่งมรดกโลกที่ต้องเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อม ทั้งสามกฎเกณฑ์นี้จะแยกกันเสียไม่ได้ แต่คณะกรรมการมรดกโลกก็ได้ทำไปแล้ว โดยอ้างแต่เพียงเกณฑ์ข้อแรกอันเดียวนับเป็นการผิดทั้งความหมายและวัตถุประสงค์ของการเป็นแหล่งเรียนรู้อารยธรรมของโลกโดยตรง ทำนองตรงข้ามกลับแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อมีรายได้ทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ


เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงแลเห็นว่า คณะกรรมการมรดกโลกชุดนี้ขาดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทบทวนการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชาให้เป็นมรดกโลกตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็แลเห็นความไม่ชอบมาพากลของคณะกรรมการมรดกโลกอย่างแจ้งประจักษ์ นั่นคือทางกัมพูชาได้รับการช่วยเหลือจากมรดกโลกในการเตรียมการเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารให้เป็นแหล่ง [site] มรดกโลก มาก่อนการติดต่อขอความยินยอมจากไทยนานแล้ว ถึงแม้ว่าทางไทยรับรู้มาบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็เข้าใจเพียงว่ากัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับว่าเป็นของกัมพูชาหลังการตัดสินจากศาลโลกในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยหาเฉลียวใจไม่ว่าเจตนาทางกัมพูชาที่แท้จริงแล้ว หาได้หมายเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นไม่ หากหมายถึงการเป็นแหล่ง [site] มรดกโลกที่รวมถึงพื้นที่โดยรอบ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตแดนประเทศไทย เพราะในการตัดสินของศาลโลกนั้นฝ่ายไทยยังถือว่าดินแดนเขาพระวิหารยังอยู่ในเขตประเทศไทยตามลักษณะของสันปันน้ำ โดยเหตุนี้รัฐบาลไทยสมัย พ.ศ. ๒๕๐๕ จึงได้ส่งกำลังทหารเข้าไปล้อมรั้วกันตัวปราสาทพระวิหารออกไป ทำให้ทางฝ่ายกัมพูชามีพื้นที่อยู่เฉพาะบริเวณปราสาทเท่านั้น


ซึ่งเรื่องนี้ทางกัมพูชาก็ยังไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าศาลโลกได้ตัดสินให้กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยในเขตเขาพระวิหารเหมือนกัน แต่ระยะแรกก็ไม่แสดงท่าทีอะไร เพราะในช่วงเวลานั้นปราสาทพระวิหารยังไม่ได้รับความสนใจในเรื่องการเป็นแหล่งมรดกโลก รวมทั้งกัมพูชาเองก็เกิดความไม่สงบมีสงครามภายใน ทำให้บริเวณปราสาทพระวิหารกลายเป็นแหล่งที่มั่นของกองกำลังเขมรแดง และมีผู้คนอพยพเข้ามาลี้ภัย ซึ่งก็ทำให้ล้ำเขตบริเวณที่ทางไทยกั้นไว้แต่ พ.ศ. ๒๕๐๕


พอสงครามสงบ ปราสาทพระวิหารกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งของไทยและกัมพูชาก็มีคนเขมรเข้ามาตั้งร้านค้าและบ้านเรือนอยู่ในเขตของไทย ดูเหมือนทางไทยปล่อยปละละเลยไม่ได้แย้งอันใด ทำให้ต่อมาเขมรอ้างเป็นเขตกัมพูชา และเมื่อมีการเตรียมการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก กัมพูชาก็อ้างแผนที่ซึ่งแสดงเขตแดนที่อ้างว่าเป็นคำตัดสินของศาลโลก กินแดนเข้ามาในเขตไทย ทำให้เกิดแผนที่ ๒ ชุด ชุดกัมพูชาชุดหนึ่งกับชุดของไทยชุดหนึ่งทำให้เกิดการล้ำแดนเป็นพื้นที่ทับซ้อนกันขึ้น ในการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั้น ทางกัมพูชาส่งแผนที่ชุดของตนขึ้นมา เพื่อให้ทางไทยรับรอง จึงเกิดปัญหาขึ้น เพราะทางไทยเห็นว่าการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารนั้นกินพื้นที่เข้ามาในเขตไทย จึงต้องมีการเจรจากัน ให้การเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารเป็นของทั้งกัมพูชาและไทยร่วมกัน


ผลของการเจรจานั้นประหลาดมาก เพราะเขมรดูไม่ต้องการให้ไทยมีส่วนรวมในเรื่องมรดกโลก โดยอ้างว่าจะขึ้นทะเบียนแต่เพียงตัวปราสาทแต่อย่างเดียว ส่วนพื้นที่รอบ ๆ ที่เป็นปัญหาทับซ้อนกับเขตแดนไทยนั้นไม่เกี่ยว อีกทั้งดูเหมือนจะยอมรับแผนที่ชุดของไทยที่กันพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรออกจากพื้นที่ปราสาทที่มีเพียง ๑.๔ ตารางกิโลเมตรเท่านั้น เลยเป็นเหตุให้ทางฝ่ายไทยกลับมาบอกกับประชาชนว่า ทางไทยไม่เสียดินแดนแต่อย่างใด


แต่พอมาถึงการประชุมกรรมการมรดกโลกเพื่อประกาศแหล่งมรดกโลก ณ เมืองควิเบค ที่ประเทศคานาดา ซึ่งมีทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศและคณะกรรมการมรดกโลกของไทยเข้าประชุมด้วย ทางคณะกรรมการมรดกโลกก็ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา โดยไม่มีไทยร่วมด้วย โดยไม่รับฟังการทักท้วงของฝ่ายไทยแม้แต่น้อย ทำนองเดียวกันนั้นเขาก็แนะนำให้ทางไทยร่วมมือในการจัดการพื้นที่ทับซ้อนที่อยู่ในพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร กับกรรมการอีก ๖ ชาติ เพื่อสมทบเป็นแหล่งมรดกโลกปราสาทพระวิหารในปีต่อไป เลยทำให้ผู้แทนมรดกโลกไทยหน้าบานกลับมาแล้วแสดงความจำนงที่จะร่วมมือกับชาติต่าง ๆ อีก ๖ ชาติ ในพื้นที่ซึ่งไทยอ้างสิทธิ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรต่อไป


การตัดสินของคณะกรรมการมรดกโลกได้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียวก็ดีหรือการเสนอแนะให้ไทยร่วมมือกับอีก ๖ ชาติเพื่อจัดการพื้นที่รอบปราสาทให้เป็นมรดกโลกในปีต่อไปก็ดี คือการเผยร่างพรางกายของคณะกรรมการมรดกโลกอย่างชัดแจ้ง


คณะกรรมการมรดกโลกนอกจากกระทำในสิ่งที่ไม่น่าจะทำได้แล้ว ยังขุดหลุมพรางให้คณะกรรมการมรดกโลกไทยไปร่วมมือในการจัดการกับพื้นที่ . ตารางกิโลเมตร ร่วมกับต่างชาติอีก - ชาติ ที่ล้วนเข้าด้วยกับทางกัมพูชาทั้งสิ้น


ข้าพเจ้าไม่เชื่อน้ำยาของนักวิชาการไทยของคณะกรรมการมรดกโลกไทย จะสามารถทำอะไรในการต่อรองให้เกิดผลดีกับทางไทยได้ เพราะคนเหล่านี้โดยสันดานก็ยอมฝรั่งอยู่แล้ว ถ้าหากตามทันเราก็คงไม่เสียปราสาทพระวิหาร


การแพ้คดีศาลโลกที่แล้วมาคือบทเรียน เพราะบรรดาชาติมหาอำนาจที่อยู่ในคณะกรรมการนั้นส่วนใหญ่เข้าข้างกัมพูชา ไทยต้องเสียปราสาทพระวิหารและเกิดปัญหาในเรื่องดินแดนและเขตแดนเป็นผลตามมาจนถึงปัจจุบัน ก็เพราะนักวิชาการและนักบริหารตามไม่ทัน เกิดความโง่ เพราะไปตกลงอยากจะเป็นสมาชิกขององค์การโลกนั้นเอง


บัดนี้หลุมพรางของมรดกโลกก็กำลังเข้ามาเยือน ถ้าไปตกลงเข้าเมื่อใดก็จะเป็นการโง่ซ้ำซากนั่นเอง แต่ทว่าการโง่ครั้งนี้จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงกับบ้านเมืองและผู้คนในท้องถิ่นอย่างมหาศาล อาจพูดได้เต็มปากว่า จะเสียทั้งอำนาจอธิปไตยและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมท้องถิ่นด้วย


อำนาจอธิปไตยเป็นเรื่องของทหารของกองทัพ ไม่ขอพูดในที่นี้แต่จะพูดเฉพาะชีวิตวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น ที่อยากเรียกว่า คนพระวิหาร ซึ่งเป็นผู้คนในสังคมชายแดนที่อยู่ทั้งสองฟากเขาพระวิหารทั้งในฟากไทยและฟากกัมพูชา คนเหล่านี้เขามีประวัติศาสตร์ความเป็นมาทางสังคมวัฒนธรรมในบริบทของสภาพแวดล้อมธรรมชาติร่วมกัน เป็นประวัติศาสตร์กษัตริย์วรมันของพวกอาณานิคมกับประวัติศาสตร์รัฐชาติไทย/ชาติเขมรครั้งยุครัชกาลที่ ๕


ประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่นที่แลเห็นคนในพื้นที่ทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่สร้างโดยความทรงจำของผู้คนในท้องถิ่น หาใช่เป็นประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมหรือประวัติศาสตร์รัฐชาติที่แลเห็นแต่เส้นเขตแดนในเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองที่ถูกสร้างโดยบรรดาดอกเตอร์ดอกตีนทั้งหลายที่เป็นคนข้างนอก ประวัติศาสตร์ที่แลเห็นคนเช่นนี้คือประวัติศาสตร์ที่คนในท้องถิ่นร่วมกันสร้างและต้องมีส่วนร่วมในการสร้าง


ข้าพเจ้าไม่คิดว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะเข้าใจและเห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์ของคนในดังกล่าวนี้ ดังนั้น เมื่อมีการจัดการพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรขึ้น ก็จะเกิดโครงสร้างใหม่ที่คนในท้องถิ่นไม่เข้าใจและกลายเป็นเหยื่อจนสูญเสียทุกอย่างในชีวิตทางสังคม-วัฒนธรรมอย่างที่เคยมีมา


การที่คณะกรรมการมรดกโลกไม่มีมิติของประวัติศาสตร์ของคนในอยู่ในสมองคิดเช่นนี้นั้น แลเห็นได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน เรื่องแรกก็คือ คนท้องถิ่นที่เข้าไปตั้งร้านค้าขายและที่อยู่อาศัยในบริเวณตีนปราสาทพระวิหารอันเป็นพื้นที่ซึ่งทางไทยเห็นว่าคนกัมพูชาล้ำเขตแดนเข้ามา คนเหล่านี้คือคนพระวิหารฟากเขมรที่อพยพลี้ภัยสงครามภายในมาอยู่กับกองกำลังเขมรแดง ซึ่งทางไทยก็อะลุ่มอล่วยให้อยู่ จนปัจจุบันเกิดการอ้างสิทธิว่าอยู่ในเขตแดนกัมพูชาขึ้น ถ้าหากมีการจัดการพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่มรดกโลก คนเหล่านี้ที่มีร้านค้าและที่อยู่อาศัยก็ไม่มีทางอยู่ได้ ต้องเคลื่อนย้ายออกไป เรื่องนี้ถ้าหาทางคณะกรรมการมรดกโลกไทยไปร่วมมือกับ ๖ ชาติในการจัดการพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรแล้ว ก็คงถูกกำหนดให้จัดการกับคนพระวิหารในความรับผิดชอบของทางฝ่ายไทยอย่างแน่นอน นั่นก็คือการรังแกคนพระวิหารนั่นเอง นับเป็นการโยนเผือกร้อนที่น่าทุเรศ


ส่วนเรื่องที่สองเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ในบริเวณเขาพระวิหารฟากแผ่นดินไทย เมื่อคณะธรรมยาตราของฝ่ายพันธมิตรที่คัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารในนามของกัมพูชาเดินทางมายังเขาพระวิหารเพื่อให้กำลังใจกับทหารไทยที่ขึ้นไปตรึงกำลังไม่ให้เกิดการละเมิดอธิปไตยเขตแดนไทย ชาวบ้านของหมู่บ้านภูมิซรอลอันเป็นชุมชนเก่าแก่ในลุ่มน้ำตราวของท้องถิ่นพระวิหารได้ออกมาขัดขวางไม่ให้ขึ้นไปบริเวณปราสาท เพราะเห็นว่าเป็นการสร้างความวุ่นที่จะทำให้คนท้องถิ่นซึ่งเป็นคนพระวิหารทั้งฟากไทยและฟากกัมพูชาหมดอาชีพและรายได้ที่เกิดจากการท่องเที่ยวปราสาทพระวิหาร เลยเกิดทุบตีและใช้ความรุนแรงกันขึ้น


ฝ่ายพันธมิตรนั้นมุ่งหวังที่จะไปให้กำลังใจทหารเพื่อไม่ให้ทางไทยยินยอมทำงานร่วมกับคณะกรรมการมรดกโลก ถ้าหากไม่ยอมให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันกับกัมพูชา เพราะถ้ายินยอมก็จะมีผลกระทบมาถึงการเสียดินแดนที่รวมไปถึงผู้คนที่เป็นคนพระวิหารทางฟากไทย และรวมทั้งฟากกัมพูชาด้วยที่อาจะไม่มีอาชีพและรายได้ดังที่เป็นอยู่ ฝ่ายทางชาวบ้านภูมิซรอลซึ่งเป็นคนพระวิหารเองก็เข้าใจไปว่า ถ้าหากบริเวณเขาพระวิหารเป็นพื้นที่มรดกโลกแล้ว พวกตนจะเดือดร้อนเพียงใด เพราะการจัดการพื้นที่ทั้งหมดเป็นการจัดการจากคนภายนอกซึ่งเป็นคนข้ามชาติข้ามถิ่นทั้งสิ้น


คณะกรรมการมรดกโลกทั้งหลายเหล่านั้นไม่เคยมีประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่นพระวิหารอยู่ในสมองเลย ทำนองตรงกันข้ามกลับใช้ประวัติศาสตร์สมัยอาณานิคมและสมัยรัชกาลที่ เมื่อร้อยปีมานี้อันเป็นประวัติศาสตร์ที่หมดอายุแล้วมาสร้างความมีตัวตนของปราสาทพระวิหารขึ้นใหม่ เพื่อการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ การท่องเที่ยวของมรดกโลกแทบทุกแห่งที่มีมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่เคยมีมิติของคนท้องถิ่นว่าเขาจะต้องสูญเสียและเดือดร้อนอะไรบ้าง ทำนองตรงข้ามกลับเป็นประโยชน์ของนายทุน นักธุรกิจข้ามชาติที่เป็นคนข้างนอกแทบทั้งสิ้น


ดังนั้นก็อยากสรุปไว้ในที่นี้ว่า การทำให้ปราสาทพระวิหารเป็นแหล่งมรดกโลกนั้นก็คือการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อรายได้ทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะทอปดาวน์ โดยคนจากภายนอกที่บีบบังคับให้คนในท้องถิ่นต้องยอมตาม จนเกิดการสูญเสียวิถีชีวิตความเป็นอยู่สภาพแวดล้อมธรรมชาติ ทรัพยากรและการอยู่ร่วมกันทางสังคมที่เคยมีมาหลายศตวรรษ


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page