top of page

ม็อบมัฆวานฯกับการสู้อย่างอหิงสา

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 2 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2551


ข้าพเจ้าไม่ชอบคำว่าม็อบเช่นเรียกการเคลื่อนไหวเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่าเป็นม็อบ แต่ก็ต้องใช้ในที่นี้เพื่อการสื่อให้เข้ากับความเข้าใจของคนทั่วไปในสังคม



เหตุที่ไม่ชอบใช้คำว่า “ม็อบ” นี้ก็เพราะเป็นการมองปรากฏการณ์ในลักษณะที่เป็นรูปแบบอย่างผิวเผินจากภายนอก อีกทั้งมักได้รับการชี้แนะจากสิ่งที่เป็นแนวคิดทฤษฎีที่มาจากพวกนักวิชาการ การเคลื่อนไหวเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เรียกว่า ม็อบพันธมิตร ในขณะนี้ เป็นขบวนการสืบเนื่องมาจากม็อบมัฆวานฯ ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นั้น แท้จริงหาใช่ม็อบ [Mop] ไม่ เพราะไม่ได้เป็นเพียงการที่ผู้คนมารวมกลุ่มกันแบบเฮโลเป็นพัก ๆ แล้วหยุดไปโดยไม่รู้จักมักคุ้นกัน แต่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ยาวนานและต่อเนื่อง โดยย่อก็คือไม่มีความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างที่ยืนนานนั่นเอง


ม็อบพันธมิตรคือการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เกิดการเห็นพ้องและรวมตัวของผู้คนในสังคมต่างกลุ่มและต่างชนชั้นที่มีความเห็นทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่แตกต่างไปจากรัฐบาลและคนส่วนใหญ่ในสังคม


ในรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เรียกการบริหารการจัดการทางเศรษฐกิจ การเมืองของรัฐบาลว่าเป็นระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นเผด็จการทางรัฐสภาที่ปิดโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับรากหญ้า แต่เปิดโอกาสให้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมสามาลย์เข้าครอบงำทรัพยากรและสภาพแวดล้อมธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วยนโยบายประชานิยม จนสังคมท้องถิ่นล่มสลายตั้งแต่ครอบครัวและชุมชน


การเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นจากการแสดงความคิดเห็นต่อต้านและวิจารณ์รัฐบาลโดยผ่านสื่อมวลชน และการเรียกร้องชุมชนกันตามที่ต่าง ๆ และในที่สุดก็เกิดการรวมตัวกันขึ้นเพื่อขับไล่รัฐบาลในนามของม็อบมัฆวานฯ เพราะได้อาศัยพื้นที่ส่วนใหญ่ใน ถนนราชดำเนินนอก บริเวณสะพานมัฆวานฯรังสรรค์ซึ่งเป็นต้นทางไปสู่ศูนย์กลางแห่งอำนาจสองแห่ง คือ ทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา เป็นพื้นที่ในการต่อสู้และต่อรอง


การเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองนี้มีลักษณะที่เรียกว่า อหิงสา คือไม่ใช้ความรุนแรงด้วยกำลัง นับเป็นวิถีทางที่เป็นสันติวิธี จึงเป็นเหตุเกิดมีผู้นำหรือแกนนำของคนหลายกลุ่มที่มีความคิดเห็นเหมือนกันมารวมตัวกันในลักษณะที่เป็นแนวร่วม บุคคลที่เป็นแกนนำเหล่านี้แม้ว่าจะมีความคิดในเรื่องต้านระบอบทักษิณร่วมกันก็ตาม แต่ก็แตกต่างกันในความคิดเห็นส่วนตัว เพราะมีพื้นฐานความเป็นมาที่แตกต่างกัน บางคนก็เป็นนักหนังสือพิมพ์และเป็นนายทุน บางคนเป็นทหาร บางคนเป็น NGO เป็นต้น ทำให้การรวมตัวและการเรียกร้องของคนเหล่านี้เป็นไปแบบไม่มีใครเป็นผู้นำโดยเด็ดขาด มักมีการปรึกษาหาหรือถกเถียงกันจนมีเอกภาพจึงได้ดำเนินการ จากประสบการณ์ของแต่ละคนแต่ละกลุ่มที่เคยมีมาแต่สมัยความรุนแรงไม่ว่า ๑๔ ตุลา ๑๖ หรือ ๖ ตุลา ๑๙ หรือพฤษภาทมิฬ ได้ทำให้เกิดกระบวนการเรียกร้องและต่อสู้เป็นไปในลักษณะสันติวิธีที่เรียกว่า อหิงสา จึงเป็นเหตุให้บรรดาคนที่เป็นปัญญาชนไม่ว่านักวิชาการ พ่อค้า คหบดี ข้าราชการที่เป็นชนชั้นกลางและคนชั้นล่างที่เป็นกรรมกรและชาวบ้านเข้ามาร่วมด้วยเป็นกลุ่มพลังขนาดใหญ่ที่มีตัวแทนแของคนทุกภาคและแทบทุกจังหวัดมาร่วมด้วยในพื้นที่ของถนนราชดำเนิน จากสนามหลวงไปจนถึงรัฐสภา


ถนนราชดำเนิน คือถนนที่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการปกครองมาแทบทุกยุคทุกสมัย ที่เชื่อมต่อระหว่างพระบรมมหาราชวังถึงรัฐสภาอันเป็นสัญลักษณ์ของศูนย์อำนาจ [Seat of power] จากสมัย สมบูรณาญาสิทธิราช ถึงสมัยการปกครองระบอบประชาธิปไตย


ประกอบด้วยพื้นที่สำคัญในการรวมตัวกัน ๓ แห่ง คือบริเวณท้องสนามหลวง หน้าพระบรมมหาราชวังในถนนราชดำเนินใน อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในถนนราชดำเนินกลาง และลานพระบรมรูปทรงม้า หน้ารัฐสภาในบริเวณปลายถนนราชดำเนินนอก การชุมนุมกันของกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาลทักษิณสมัยนั้นเริ่มแต่บริเวณข้างสนามหลวงไปหยุดอยู่ที่สะพานมัฆวานฯ อันเป็นพื้นที่ต้นทางที่จะไปยังรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาลอันเป็นตำแหน่งแห่งอำนาจของรัฐแต่ละครั้ง การเคลื่อนไหวของผู้คนที่เรียกร้องและต่อต้านรัฐบาลจะมุ่งที่ทำเนียบเสมอมา อย่างเช่นการเรียกร้องของสมัชชาคนจนในกรณีเขื่อนปากมูล เป็นต้น ที่มีคนจนและชาวบ้านจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาเรียกร้อง


แต่การชุมนุมครั้งนี้แตกต่างไปจากการชุมนุมของกลุ่มสมัชชาคนจน เพราะแทนที่จะไปอยู่บริเวณรอบทำเนียบรัฐบาลอย่างเคย กลับใช้พื้นที่บนถนนราชดำเนินนอกอันมีสะพานมัฆวานรังสรรค์เป็นศูนย์กลาง ทางรัฐบาลและคนทั่วไปจึงเรียกว่า ม็อบมัฆวานฯ ม็อบมัฆวานฯ ต่างกับม็อบสมัชชาคนจนในลักษณะที่มีองค์ประกอบที่ไม่ใช่คนจนและชาวบ้านแต่เพียงอย่างเดียว หากประกอบด้วยคนเมืองคนชั้นกลาง คนที่เป็นแรงงาน นักธุรกิจ ข้าราชการบำนาญ และกลุ่มปัญญาชนกรรมกร การชุมนุมก็แตกต่างไปจากการเข้ามายึดพื้นที่ค้างแรมเรียกร้องและกีดขวางการคมนาคมของกลุ่มสมัชชาคนจนมาเป็นการใช้พื้นที่ ทั้งต่อต้านกีดขวางเรียกร้อง และเป็นพื้นที่ทางสังคมทั้งในด้านสันทนาการและเวทีการแสดงความคิดเห็น และการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจร่วมกัน


แต่ที่สำคัญคนส่วนใหญ่ไม่ปักหลักอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลา หากมีกาลเทศะ คือตอนเช้า-สายและบ่ายแดดร้อนและไม่สะดวก คนส่วนใหญ่ก็กลับบ้านหรือไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ต่อตอนเย็นและค่ำจึงมาชุมนุมกันจนกระทั่งเที่ยงคืนหรือกว่านั้นเล็กน้อย โดยเฉพาะผู้ชุมนุมที่เป็นคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ก็มักจะพาลูกหลาน พ่อแม่ และตายายมาร่วมชุมนุมด้วย เกิดกลุ่มย่อยๆ มากมาย ตั้งวงสนทนาแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันในกิจกรรมทางการเมือง โดยฟังการบรรยายและการปราศรัยของพวกแกนนำ และแขกรับเชิญบนเวที หรือในจอโทรทัศน์บ้างเป็นครั้งเป็นคราว ในขณะที่เด็ก ๆ ก็มีของกิน ฟังดนตรี หรือฝึกการเขียนรูปหน้าตานักการเมือง จนหลาย ๆ คนเขียนรูป ไอ้หน้าเหลี่ยม เป็นกันเกือบทุกคน พวกที่มีบทบาทดังกล่าวนี้ ก็คือบรรดาศิลปินที่ช่วยสร้างการบันดาลใจอะไรต่ออะไรในทางความเป็นมนุษย์ให้กับเยาวชน ในขณะเดียวกันบรรดานักศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่มีมากมายหลายคณะหลายมหาวิทยาลัย ก็เข้ามามีส่วนร่วมและได้รับการเรียนรู้การเมือง การปกครองด้วยประสบการณ์นอกห้องเรียน นอกทฤษฎีของพวกครูบาอาจารย์ที่ชอบลอกเลียนฝรั่งมา


การชุมนุมของม็อบมัฆวานฯ นี้ ย่อมไม่ใช่ม็อบ หากเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมที่มีการเติบโตและขยายตัวโดยใช้การหลีกเลี่ยงความรุนแรงที่เรียกว่า อหิงสา เป็นสำคัญ ในที่สุดก็ขยายพื้นที่ไปชุมนุมเรียกร้องหน้าทำเนียบรัฐบาล ทำให้ทางฝ่ายรัฐที่ถือว่าตนมีอำนาจชอบธรรมตามกฎหมาย มีความคิดที่จะจัดการปราบปรามด้วยมาตรการที่รุนแรงอันจะนำไปสู่การนองเลือด จึงเปิดโอกาสให้ฝ่ายทหารอ้างความชอบธรรมมายุติด้วยการปฏิวัติในลักษณะเดียวกันกับครั้งยุคพฤษภาทมิฬที่ทำให้เกิด รสช.


การปฏิวัติครั้งนี้เรียกว่า คมช. ก็อีหรอบเดียวกันกับครั้ง รสช. เพราะแรกเริ่มคนส่วนใหญ่ก็มาให้พวงมาลัยและช่อดอกไม้ แต่ตอนท้ายกลับให้พวงหรีดแทน


ความล้มเหลวทั้งสองครั้งกลับทำให้เกิดรัฐบาลที่มีนักการเมืองและนายทุนในระบอบทักษิณกลับมาครองเมืองอีกและดูเข้มแข็งขึ้นอย่างเดิม แต่ก็กำลังถูกต่อต้านจากขบวนการเคลื่อนไหวที่สืบเนื่องมาจากครั้งม็อบมัฆวานฯ ของกลุ่มชนหลายชั้นหลายกลุ่มเพิ่มขึ้น มีการขยายตัวจากพื้นสะพานมัฆวานฯ มายึดทำเนียบรัฐบาลอันเป็นที่ทำการแบ่งอำนาจของรัฐบาลสำเร็จด้วยกระบวนการที่หลีกเลี่ยงความรุนแรงหรือที่เรียกว่า อหิงสา เช่นเดิม โดยใช้คำกล่าวใหม่ว่า อารยะขัดขืน [Civil disobediences] ครั้งนี้ ม็อบมัฆวานฯ เปลี่ยนชื่อมาเป็น ม็อบพันธมิตร (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย-PAD) ที่แสดงอาการเคลื่อนไหวอย่างมีระบบและอุดมการณ์มากมายกว่าแต่เดิม


พื้นที่ภายในทำเนียบรัฐบาลและสะพานมัฆวานฯ ได้ถูกปรุงแต่งให้เป็นชุมชนชั่วคราวขนาดใหญ่ที่อาจเรียกได้ว่า เป็นค่ายของกองทัพในลักษณะที่เรียกว่า บางระจัน ก็ได้ เพราะเป็นที่รวมกำลังของคนหลายชนชั้นหลายกลุ่มอาชีพแทบทุกภูมิภาคของประเทศ ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองการปกครองเหมือนกัน แต่โครงสร้างของค่ายหรือชุมชนแห่งนี้หาใช่ชุมนุมชนเพื่อการทำสงครามด้วยการใช้กำลังที่ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทำลายล้างชีวิตไม่ หากเป็นค่ายศึกแบบอหิงสาที่มีผู้หญิงและคนแก่เป็นไพร่พลเป็นสำคัญ โครงสร้างทางกายภาพของชุมชนเฉพาะกาล ค่ายรบแบบอหิงสานี้ แบ่งพื้นที่เป็นสองส่วนชั้นนอกและชั้นใน ภายในรั้วของทำเนียบคือชั้นใน เป็นทั้งที่ตั้งเวที ที่พักของพวกแกนนำและผู้คนที่มาร่วมชุมนุม รอบ ๆ ลานเวทีเป็นเต้นที่พักแรมมากมายหลายขนาด ที่ผู้ชุมนุมจัดหามาเพื่อใช้เวลาทั้งวันได้โดยตลอด ไม่ต้องกลับกลับบ้านหรือเข้าออกไปมาบ่อย ๆ เป็นเหตุให้การแสดงความคิดเห็นและการแสดงอะไรต่าง ๆ บนเวทีเป็นไปได้ตลอดวัน เมื่อเกิดความเมื่อยล้าก็นอนพักได้ พอหายเมื่อยแล้วก็รุกขึ้นมานั่งฟังและรวมกลุ่มกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อ นับเป็นการตรึงให้คนอยู่กับที่ได้อย่างยาวนาน แต่ที่สำคัญบรรดาผู้ที่มาแสดงความคิดเห็นการบ้านการเมืองบนเวทีนั้น ไม่ใช่จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มแกนนำที่มีราวสิบกว่าคนเท่านั้น หากเปิดโอกาสให้แขกรับเชิญที่เป็นผู้รู้ที่หลากหลายทั้งประสบการณ์ ความรู้และแนวคิด ทฤษฎีพลัดกันขึ้นมา นับเป็นการระดมสมองที่กว้างไกลและลุ่มลึกกว่า ความคิดเห็นของพวกแกนนำแต่ฝ่ายเดียว อีกทั้งเป็นการให้พวกแกนนำมีเวลาพักผ่อนและดำเนินนโยบายและยุทธวิธีที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้


ผู้คนที่อยู่ในบริเวณชั้นในภายในรั้วทำเนียบนั้น คือคนแก่ทั้งชายและหญิง คนวัยกลางคนและคนหนุ่มสาวที่ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง คนแก่ที่เป็นชายมักเป็นข้าราชการบำนาญ มีทั้งทหารและพลเรือน รวมทั้งนักธุรกิจอาวุโส ส่วนพวกคนแก่ที่เป็นหญิงมักมากับลูกสาวและหลาน ๆ หลายคนมีฐานะและภูมิฐานนั่งเก้าอี้ฟังอย่างสงบ พวกที่ชอบบู๊ก็มีคาดผ้าสัญลักษณ์ที่ศีรษะและแสดงอารมณ์ ส่วนคนวัยกลางคนและคนสาวหลายคนแต่งตัวสะอาดทันสมัยแบบไปเที่ยวปิกนิค มีมากมายหลายระดับล้วนแล้วแต่มีการศึกษาและมีอาชีพฐานะทั้งสิ้น คนเหล่านี้มีอาชีพค้าขายมากกว่าเป็นข้าราชการ มีเวลาพอเพียงที่จะมาร่วมชุมนุม แถมยังนำเอาลูกเต้ามานั่งเล่นนั่งฟังในเวลาที่ว่างจากโรงเรียน แต่ที่สำคัญคนเล่านี้ไม่ได้มามือเปล่า หากยังนำเงินทองสิ่งของมาร่วมบริจาคและต่อสู้ โดยเฉพาะอาหารและเครื่องอำนวยความสะดวกในการนั่งนอนอย่างสบาย การปรุงแต่งพื้นที่ไม่ให้มีการน้ำท่วมและกันฝนนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กองทัพควบคุมอุปสรรคจากดินฟ้าอากาศ โดยเฉพาะฝนและพายุฝนได้ ภายในรั้วทำเนียบอีกเช่นกันที่มีเต๊นท์ของกลุ่มคนที่มาจากต่างจังหวัดหลายๆ จังหวัดอยู่โดยรอบ มีกลุ่มคนอาสาสมัครที่เป็นผู้รักษาความปลอดภัยดูแลตรวจตราและอำนวยความสะดวก มีแหล่งนำอาหารแจกฟรีที่รวมทั้งบรรดาอาหารที่ผู้มาชุมนุมนำมาสมทบ ทำให้มีเสบียงอาหารเลี้ยงกันอย่างพอเพียง แต่ที่สำคัญการกินอยู่มีระเบียบ มีกาลเทศะและไม่พร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะไม่เอาเข้ามานั่งกินนั่งแทะกันในระหว่างฟังการอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น


บริเวณนอกรั้วทำเนียบนับเป็นชั้นนอก มีเต๊นท์ของผู้รวมชุมนุมจากจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งคนที่เข้ามาสมทบใหม่กระจายกันอยู่สลับไปด้วย สถานที่ประกอบอาหารแจกอาหาร สถานที่พยาบาลและยารักษาโรค มีหน่วยรักษาความปลอดภัยของชายอาสาสมัครรวมอยู่ด้วยตามจุดต่าง ๆ พื้นที่บริเวณนี้มีซุ้มของร้านและโต๊ะที่ตั้งขายสิ่งของอันเป็นอุปกรณ์ทางสัญลักษณ์ของการเป็นกลุ่มพันธมิตร เรียงรายอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นเสื้อ ผ้าคาดหัว เครื่องประดับ และเครื่องใช้ต่าง ๆ แต่ที่สำคัญก็คือ มือตบ ที่นับได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ของการเป็นพันธมิตรเป็นอาวุธของการต่อสู้แบบอหิงสา มีมากมายกลายเป็นทั้งของที่ระลึกและเพื่อการท่องเที่ยว โต๊ะขายของที่ระลึกนี้เรียงรายไปสองข้างทางตั้งแต่หน้าทำเนียบไปตามถนนหน้าสำนักงาน ก.พ.ร. จนถึงลานพระบรมรูปทรงม้าและหักมุมไปตามถนนคู่ขนานริมทางของถนนราชดำเนินนอกไปจนมาสะพานมัฆวานฯ อันเป็นแหล่งชุมนุมของเหล่านักศึกษาและเยาวชนพันธมิตรที่มีเวทีอภิปรายเด่นตระหง่านอยู่กลางถนนราชดำเนิน บนสะพานมัฆวานรังสรรค์ พื้นที่ขายของที่ระลึกนี้สลับกันไปกับร้านขายอาหารการกินที่พ่อค้าแม่ขายจากที่ต่าง ๆ นำมาตั้งขายแก่ผู้คนที่อยากกินแบบเสียสตางค์ และพวกคนจากถิ่นต่างๆ ที่พากันมาเที่ยวทำให้บริเวณรอบนอกของค่ายพันธมิตรดูเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง เพราะในเวลาตอนเช้าและกลางวันผู้คนที่เข้ามาในบริเวณนี้มักเป็นพวกมาเที่ยวดูมากกว่ามาชุมนุม โดยมีคนหลายกลุ่มที่มาจากต่างจังหวัดรวมทั้งชาวต่างชาติเข้ามาในรูปของการจัดการท่องเที่ยว ที่เรียกว่า ทัวร์พันธมิตร ในความเป็นอยู่ของผู้คนในค่ายพันธมิตรที่ทำเนียบนี้ นอกจากมีการส่งเสบียง การจัดเสบียงให้คนมีกินมีอยู่อย่างสบายแล้ว การจัดการในรูปของห้องน้ำและห้องส้วมก็ดูมีระเบียบ แม้ว่าจะไม่สะดวกสบายอย่างความเป็นอยู่ในบ้านและในชุมชนก็ตาม อีกทั้งการจัดการในเรื่องการทำความสะอาด และกิจกรรมในชีวิตประจำวันก็มักเป็นการร่วมมือร่วมแรงกัน ทำในลักษณะที่เสมอภาคและช่วยเหลือกันเอง แต่ที่สำคัญไม่แลเห็นร่องรอยของความขัดแย้งที่มาจากการลักขโมยและการทะเลาะวิวาทกันเองแต่อย่างใด


ตามที่กล่าวมาแล้วนี้ คือการวิเคราะห์และพรรณนาให้เห็นถึงสถานที่และโครงสร้างทางกายภาพของชุมชนเฉพาะกาลที่เรียกว่า ค่ายพันธมิตร อันมีลักษณะที่แตกต่างไปจากสิ่งที่เรียกว่า ม็อบ เป็นสำคัญ แต่ต่อไปจะเป็นเรื่องของการอธิบายให้เห็นว่า คนพันธมิตร นั้นเป็นอย่างใด


ถ้ามองจากภายนอกอย่างที่บรรดานักวิชาการส่วนใหญ่มองแต่ครั้งเริ่มการเคลื่อนไหวมาแต่สมัยยังเป็น ม็อบมัฆวานฯ คนที่เป็น ม็อบพันธมมิตร ก็คือคนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่ จึงมักมีการตีความและอธิบายจากข้อมูลที่ผิวเผินว่า คนพวกนี้คือพวกที่มีความหน่อมแน้มและสบายแบบคนในเมืองที่ไม่รู้สึกร้อนหนาวกับความเดือดร้อนของคนชั้นล่าง โดยเฉพาะคนจนที่เคยมารวมกลุ่มกันเป็นสมัชชาคนจนต่อต้านรัฐบาล และเป็นกลุ่มคนที่ไม่ใคร่มีมันสมองถูกปลุกระดมโดยบรรดากลุ่มแกนนำให้มาต่อต้านรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่ก็ยังมีการดำเนินการแบบประชานิยมเพื่อช่วยเหลือคนจน จึงทำให้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนจนและออกมาต่อต้านเผชิญหน้ากับกลุ่มพันธมิตรที่เป็นชนชั้นกลาง


นักวิชาการเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่เอาเงินไปแจกชาวบ้านในลักษณะกองทุนหมู่บ้านก็ตาม แต่ก็ดูให้น้ำหนักไปในทางการเห็นใจและต่อสู้เพื่อคนจนและคนชั้นล่างจนเกินไป โดยไม่คำนึงว่าม็อบพันธมิตรนั้นไม่ใช่ม็อบแบบม็อบสมัชชาคนจน ที่มารวมตัวกันเป็นครั้งคราวแล้วเลิกไป อีกทั้งเป็นม็อบที่ทางรัฐบาลสามารถปลุกระดมให้มาสนับสนุนตนได้ด้วยเงินค่าจ้าง อันพอ ๆ กับเงินซื้อเสียง จากการที่ได้เข้าไปสังเกตและสัมผัสม็อบพันธมิตรที่มีทั้งโครงสร้างทางกายภาพและโครงสร้างสังคมด้วยตนเอง ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันว่า ม็อบพันธมิตรไม่ใช่ม็อบ หากเป็นการเคลื่อนไหวของผู้คนในสังคมหลายชนชั้นและกลุ่มเหล่าที่มีความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับการเมืองแบบประชาธิปไตยเหมือนกันที่มารวมตัวกันอย่างเนือง ๆ จนมีระยะเวลาเกือบสี่เดือน


กลุ่มคนเหล่านี้มาจากคนเมืองในกรุงเทพฯ และภาคกลาง ร่วมกับคนกรรมกร และชาวบ้านชาวเมืองในภาคใต้เป็นสำคัญ แม้ว่าจะมีชาวบ้านชาวเมืองจากภาคอื่น ๆ ไม่ว่าภาคเหนือและภาคอีสาน บ้างก็เป็นส่วนน้อย คนเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมืองของระบอบทักษิณที่เป็นทุนนิยมแบบปัจเจกเดรัจฉานในยุคโลกาภิวัตน์ โดยก่อนหน้ากันไม่ว่าจะเป็นคนชั้นกลาง คนเมืองและกรรมกร คนเหล่านี้คือคนที่ปรับตัวเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมที่มีความคิดเห็นนอกเห็นในได้ดี ซึ่งต่างกันกับคนในม็อบสมัชชาคนจนที่ยังอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของคนชาวนาที่มีมาแต่สมัยสังคมชาวนา รวมทั้งคนเมืองและคนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่เป็นพวกนายทุนสามานย์ ได้รับผลตอบแทนจากระบอบทักษิณ


คนชั้นกลางของฝ่ายพันธมิตรก็คือกลุ่มคนที่เป็นคนรวยเก่าที่มีสำนึกในการเป็นคนที่มีโคตรเง่าและรักการเกิดในแผ่นดินไทย แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองแบบโลกาภิวัตน์ คือแบบข้ามชาติและเป็นทุนนิยมแบบปัจเจกเดรัจฉานจนขาดความเป็นมนุษย์กับคนชั้นกลางในระดับล่างพ่อค้าแม่ขายที่พอมีพอกิน ที่ถูกเบียดเบียนโดยการครอบงำของทุนนิยมข้ามชาติ คนเหล่านี้มักเป็นคนกรุงเทพฯ และคนส่วนใหญ่ตามเมืองในภาคกลาง ในขณะที่คนจากภาคใต้นั้นเป็นกลุ่มชนที่มีพัฒนาการเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมเป็นคนที่ดูทันโลกและรักในท้องถิ่นแผ่นดินเกิดที่ไม่เอาทุนนิยมแบบโลกาภิวัตน์ข้ามชาติ


เหตุนี้คนพันธมิตรจึงอาจเรียกได้ว่าเป็น คนมีชาติ ในทางตรงข้ามทางฝ่ายรัฐบาลคือกลุ่มของนายทุนข้ามชาติ ที่เข้ามาบริหารประเทศสืบเนื่องแต่รัฐบาลที่แล้ว ซึ่งนอกจากจะยึดมั่นในระบอบทักษิณเหมือนเดิมแล้ว ยังพยายามแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลืออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรให้พ้นผิดจากการถูกศาลตัดสินลงโทษในกรณีคอร์รัปชั่นและโกงชาติ การเป็นฝ่ายรัฐบาลนั้นคือการอ้างและอาศัยความชอบธรรมทางกฎหมายจากได้รับเลือกตั้งเข้ามาตามระบอบประชาธิปไตย ทำให้มีอำนาจทางกฎหมายที่จะจัดการกับฝ่ายพันธมิตร กลุ่มคนข้ามชาติที่เป็นนักธุรกิจและนักการเมืองที่มีอำนาจอยู่ในขณะนี้


จึงมีบรรดานักวิชาการจากมหาวิทยาลัยและสถาบันทางการศึกษาอีกจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม คนเหล่านี้ได้รับการอบรมแบบตะวันตกให้มีความคิดแบบข้ามชาติเช่นเดียวกัน ผู้ที่สนับสนุนทางตรงก็คือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและทำงานกับรัฐบาลตามหน้าที่ทางราชการ ส่วนพวกที่สนับสนุนทางอ้อมก็คือ พวกที่อยากทำตัวเป็นกลางตามหลักเหตุผล แนวคิดทฤษฎีและตีความง่าย ๆ อย่างขาดข้อเท็จจริง รวมทั้งมีเป็นจำนวนมากที่มีอคติกับทางพระมหากษัตริย์ในเหตุการณ์รุนแรงสมัย ตุลา


อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตอบโต้ของทางฝ่ายรัฐบาลนั้น ก็ไม่มีแต่เฉพาะกลุ่มคนข้ามชาติเท่านั้น หากยังมีคนในชาติรวมอยู่ด้วย เพราะสามารถปลุกระดมและว่าจ้างมาเข้าเป็นพวกเป็นฝ่ายเพื่อให้เกิดความชอบธรรมทางกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ คนในชาติเหล่านี้ก็คือพวกชาวบ้านและคนจนที่ส่วนใหญ่ในจังหวัดทางภาคเหนือและภาคอีสาน คนเหล่านี้คือกลุ่มคนยังมีสำนึกเป็นคนชาวนาในสังคมชาวนา [Peasant society] แต่เดิมที่ปรับตัวไม่ทันโลกในเส้นทางการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม คนเหล่านี้ยังยึดมั่นในระบบอุปถัมภ์ที่เคยมีมากแต่เดิมระว่างชนชั้นปกครองและชนชั้นที่ถูกปกครอง แต่ระบบสังคมศักดินาจึงถูกพวกข้ามชาติสามารถมอมเมาด้วยวิธีการประชานิยมนำมาเป็นพวกพ้องและเครื่องมือในการต่อต้านและปราบปรามทางฝ่ายพันธมิตร ทำให้การจัดการกับกลุ่มพันธมิตรที่ใช้วิธีอหิงสาและสันติวิธีต้องเผชิญกับการใช้อำนาจปราบปรามด้วยอำนาจกฎหมายที่นำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งก็เห็นได้จากความแตกต่างในการชุมนุมทางฝ่ายพันธมิตรเรียกร้องด้วยการชุมนุมมีเวทีแสดงความคิดเห็น และมีมือตบเป็นอาวุธ อีกทั้งคนส่วนใหญ่เป็นหญิงคนแก่รวมทั้งเด็ก ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐสนับสนุนม็อบ นปก. ที่จัดตั้งให้มาชุมนุมตอบโต้ แต่บ่อยครั้งกลับล้ำเส้นล้ำเขตเข้ามาทุบตีก่อความรุนแรง ซึ่งแต่ละครั้งก็แลเห็นประจักษ์จากสื่อมวลชนไม่ว่าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์


การเกิดความรุนแรงขึ้นแต่ละครั้งนั้น ทางฝ่ายรัฐบาลมักออกมาแก้ตัวและกล่าวหาว่าฝ่ายพันธมิตรเป็นผู้กระทำทั้งสิ้น แต่ก็ดูเหมือนเสียเปรียบแทบทุกครั้งไป เพราะความไม่ทันสมัยและล้าหลังในการสื่อสารของฝ่ายรัฐเอง ในขณะที่ทางพันธมิตรมีความทันสมัยทั้งวิธีการและการเสนอข่าว การแสดงความคิดเห็นที่ทำให้ปัญญาชนและวิญญูชนแลเห็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ได้ รวมทั้งอาจตรวจสอบความจริงใจของทางฝ่ายพันธมิตรได้ นั่นก็คือแม้ว่าทางพันธมิตรจะด้อยกว่าทางรัฐในแง่ของการสื่อทางหนังสือพิมพ์ ที่มีหลาย ๆ ฉบับเอียงไปทางข้างรัฐบาล แต่ทางพันธมิตรก็มี ASTV เป็นสื่อไปทั้งในและนอกประเทศให้แลเห็นขั้นตอนต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้ฟังแลเห็นภาพรวมได้อย่างตลอด โดยเฉพาะภาพที่เห็นในค่ายพันธมิตรตามที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคม ที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรมของม็อบ


การต่อสู้ของพันธมิตรอย่างอหิงสาหรือสันติวิธีนั้นเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ เพื่อให้อำนาจทางสังคมได้เข้ามาจัดการควบคุมและต่อรองให้รัฐได้ดำเนินการไปในทางที่ถูกต้อง [Social sanction] หาใช่การต่อสู้ด้วยกำลังเพื่อบีบบังคับจนเกิดบาดเจ็บอะไรไม่


การเข้ายึดทำเนียบนั้นนับเป็นชัยชนะของวิธีการอหิงสา ความสำคัญก็คือเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์อีกเช่นกัน เพราะเป็นศูนย์อำนาจทางการบริหาร ซึ่งก็น่าชมทางรัฐบาลและตำรวจที่ไม่ใช้การปราบปรามด้วยกำลังรุนแรง ต่อมาการเคลื่อนคนเข้าปิดล้อมรัฐสภาก็เป็นอหิงสาเช่นกัน เพื่อขัดขวางการประชุมของสภาไม่ให้มีการแก้กฎหมายได้เร็ว นับเป็นการทำลายเชิงสัญลักษณ์ของอำนาจทางนิติบัญญัติ และรอเวลาให้ทางฝ่ายศาลยุติธรรมได้ตัดสิน ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าฝ่ายพันธมิตรหวังพึ่ง หวังเห็น ศูนย์อำนาจหลักหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยได้ทำหน้าที่อย่างชอบธรรม


โดยเหตุนี้การเข้าปิดล้อมรัฐสภา จึงไม่มีการรุกล้ำเข้าข้างในให้เกิดการกล่าวหาว่าจะมีการใช้กำลังรุนแรง แกนนำที่ทำไปก็กล่าวห้ามและเตือนผู้ชุมนุมตลอดเวลาไม่ให้เข้าไปในบริเวณรัฐสภาและเตรียมพร้อมที่จะยืนหยัดรับการจัดการทางฝ่ายตำรวจที่จะใช้แก๊สน้ำตาตามกระบวนการปราบจลาจลของรัฐบาลที่เป็นอารยะ เพราะจะไม่มีทางที่เกิดการบาดเจ็บจนเสียชีวิตได้


พฤติกรรมการเคลื่อนไหวนี้แลเห็นจากทีวีและภาพของสื่อมวลชนเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันก็ได้แลเห็นการปราบปรามที่ทั้งผิดขั้นตอนของการใช้แก๊สน้ำตาด้วยวิธีทางอายะมาเป็นวิธีการรุนแรงแบบมุ่งหมายเอาชีวิตและทำลายล้าง


การใช้การยิงแก๊สน้ำตาแบบทำลายล้างก็ดี รวมทั้งการแฝงด้วยอาวุธระเบิดก็ดี เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รัฐบาลจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ แต่ที่เลวร้ายและไร้มนุษยธรรมก็คือ ทางฝ่ายรัฐได้แถลงข่าวและทำทุกอย่างในลักษณะโกหกเพื่อปฏิเสธความรุนแรงที่ทำให้คนได้เสียชีวิตและบาดเจ็บโดยสิ้นเชิง รวมทั้งเกิดขบวน การเคลื่อนไหวที่มีการปลุกขึ้น และจัดตั้งม็อบแบบ นปก. ให้มาเพื่อก่อความรุนแรงแบบทำลายล้างในเวลาที่จะมาถึงอีก สิ่งที่แสดงถึงการโกหกแบบอัปรีย์ชนของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งก็คือ การให้สัมภาษณ์ว่า ผู้หญิงที่โดนระเบิดตายนั้นมาจากการหนีบระเบิดไว้ที่ตัวเอง


ทุกวันนี้สังคมไทยแบ่งแยกเป็น ๒ ขั้ว โดยมีสีเหลืองและสีแดงเป็นสัญลักษณ์ กลุ่มเสื้อเหลืองคือกลุ่มของคน มีชาติ มีศาสนาและมีพระมหากษัตริย์ ส่วนพวกเสื้อแดงเป็นกลุ่มของคน ข้ามชาติที่ไม่มีชาติ คือแผ่นดินเกิดเป็นพวกที่ต้องการเป็นสากลจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ เป็นพวกที่ไม่มีศาสนา เพราะนับถือแต่เงินและหลงใหลในทางวัตถุตามแบบสังคมตะวันตกอันมีอเมริกาและอังกฤษเป็นตัวอย่าง และคงจะไม่มีพระมหากษัตริย์ด้วย


คนข้ามชาติ คือคนที่ไม่มีชาติ พร้อมที่จะขายชาติและขายตัวเพื่อความเป็นสากล แต่ก็พร้อมที่จะปลุกระดมและมอมเมาคนในชาติที่เป็นชาวบ้านให้เป็นคนคลั่งชาติและรับใช้นายทุนต่างชาติ


ส่วนคนมีชาตินั้นคือคนรักชาติ ที่อาจจะต้องต่อสู้ด้วยวิธีที่ไม่ใช่อหิงสาหรือสันติวิธีอีกต่อไปก็ได้


เป็นที่น่ากลัวว่าในไม่ช้าความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภาคใต้ซึ่งรัฐที่มีกำลังตำรวจและทหารไม่มีน้ำยาในการจัดการให้สงบได้ กำลังจะมาเยือนคนไทยทั้งชาติในเร็ววันนี้


...สังคมไทยกำลังเจ็บป่วย ที่เต็มไปด้วยคนบาปข้ามชาติ


โอ้ ความวิบัติ


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:



Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page