เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2552
การเล่นหนังเงาของไทยเช่นหนังใหญ่ถือเป็นการละเล่นที่เก่าแก่ ปรากฏหลักฐานในกฎมนเทียรบาลเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๐๑ กล่าวถึงการเล่นหนังใหญ่ไว้ว่าเป็นมหรสพที่เป็นที่นิยมของชาวกรุงศรีอยุธยา
แต่ก่อนหน้านั้น หนังเงามีการเชิดไหวมาเนิ่นนานเป็นที่แพร่หลายทั่วไป จากหลักฐานเบื้องต้นที่พบเป็นไปได้ว่าหนังเงามีต้นกำเนิดในแถบเอเชีย เพราะมีการค้นพบศิลปวัตถุเก่าแก่ที่คาดว่าน่าจะเป็นหุ่นเงาในประเทศต่าง เช่น จีน อินเดีย มลายู เป็นต้น การเล่นหุ่นเงาหนังไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มประเทศแถบเอเชียเท่านั้น หากยังพบไปทั่วโลก
ปฐมบทหนังเงา
หลักฐานที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของการชักหุ่นเงาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ในรัชสมัยราชวงศ์ซุ่ง มีภาพเขียนและบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการแสดงหนังเงา ส่วนใหญ่มักแสดงในวรรณกรรม เช่น สามก๊ก พ่อค้าวานิช เป็นต้น
หนังเงาของชาวจีนได้แบ่งความนิยมของการแสดงออกเป็นภาคต่าง ๆ เช่น ทางตอนเหนือของจีนนิยมแสดงเกี่ยวกับวีรบุรุษและบุคคลสำคัญ ส่วนทางตอนใต้มักแสดงเกี่ยวกับการกำเนิดของพุทธศาสนา
ในอดีตหุ่นเงาของจีนทำมาจากผ้าไหมหรือผ้าแพร วาดแล้วตัดเป็นรูปร่างต่อมาในภายหลังได้เปลี่ยนมาใช้หนังสัตว์ นิยมทำมาจากหนังแพะ เพราะทนทานมากกว่าหนังชนิดอื่น ๆ ในส่วนขั้นตอนการทำหุ่นเงาของจีนนั้น เริ่มจากนำหนังไปตากแห้งก่อนแล้วขูดลอกขนออกจนแผ่นหนังโปร่งแสง จากนั้นตัดหนังให้เป็นรูปร่างแล้วฉลุหนังเป็นลวดลายตามที่ต้องการ ลงสีตกแต่งถือเป็นอันเสร็จสิ้น
นอกจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีวัฒนธรรมการเชิดหนังเงาแล้ว ในดินแดนชมพูทวีปอย่างแถบประเทศอินเดีย ก็มีหลักฐานของหนังเงาเก่าแก่ไม่แพ้กัน สันนิษฐานว่าน่าจะมีการแสดงหนังใหญ่ก่อนพุทธกาล ทั้งนี้เพราะพระไตรปิฏกหมวดที่ว่าด้วยเรื่องมหาศีล พระพุทธองค์ได้ห้ามพระภิกษุดูการละเล่นหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ การเชิดชักเล่นหนังเงา การเชิดหนังเงามีที่มาจากการขับโศลกบูชาเทพเจ้าในอินเดียโบราณ หรือเป็นการบรวงทรวงพระศิวะในศาสนาฮินดู โดยตัดรูปหนังเป็นรูปองค์เทพนั้นๆ แทน แล้วปักไว้ที่แท่นบูชา หรือที่เรียกว่า ฉายานาฎกะ เกิดขึ้นประมาณช่วงต้นของคริสตศักราช แต่การละเล่นหุ่นเงาในอินเดียมีหลายแบบ เก่าแก่และยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันมีชื่อว่า “ โฮลุลอมมาลาตะ ” หุ่นเงาอินเดียยังมีเล่นกันในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นอันธระประเทศ ตัวหุ่นทำมาจากหนังแกะ เรื่องที่นิยมเล่น คือ มหาภารตะ และ รามเกียรติ์
ในอีกแนวคิดหนึ่งเชื่อว่าการเชิดหนังแต่แรกเริ่มมาจากชนเผ่าเร่ร่อนในเอเชียกลาง อาจมีความเกี่ยวข้องกับหนังในวัฒนธรรมตุรกี โดยมีหลักฐานที่น่าสนใจ คือ พวกชนเผ่าเร่ร่อนนั้น ใช้ชีวิตอยู่กับการล่าและเลี้ยงสัตว์ จึงรู้จักการใช้ประโยชน์จากหนังสัตว์เป็นอย่างดี ชนเผ่าเร่ร่อนดำรงชีวิตอยู่ในกระโจมและก่อกองไฟ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นที่มาของจอหนังของชาวซิเถียน เมื่อ ๓-๔ ศตวรรษก่อนคริสตกาล จึงรู้วิธีการทำภาพเงาให้สวยงามจากแผ่นหนังสัตว์ ดังหลักฐานที่ปรากฏในบริเวณสุสานแถบเทือกเขาอัลไต ใกล้กับมองโกเลีย บริเวณเส้นทางการค้าโบราณระหว่างจีน รัสเซีย ได้พบแผ่นหนังสัตว์แผ่นหนึ่งที่มีร่องรอยถูกตัดเป็นรูปกวาง อาจเป็นการตัดออกเพื่อทำเป็นตัวหนัง
การทำรูปบุคคลลงบนวัสดุที่มีลักษณะแบน เช่น แผ่นหนัง กระดาษ ผ้า เปลือกไม้ อาจเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมการนับถือผีของชนเผ่าเร่ร่อนในเอเชียกลาง จากหลักฐานของจีนสมัยราชวงศ์ถังได้กล่าวถึง ชาวเติร์กในเอเชียกลาง บูชารูปเทพเจ้าที่วาดขึ้นบนแผ่นผ้าและเก็บไว้ในถุงหนัง
หนังเงาอุษาคเนย์...ที่มาที่ไปก่อนเป็นหนังใหญ่บ้านเรา
จากหลักฐานด้านเอกสารและความคิดเห็นของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมีความเห็นเกี่ยวกับที่มาของหนังใหญ่หลากหลาย ทั้งในส่วนที่เชื่อว่ารูปแบบการเล่นหนังใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากชวา หรือแม้แต่การเล่นหนังใหญ่ของไทยได้รับอิทธิพลมาจากเขมรหรือกัมพูชา
เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับหนังเงาของอุษาคเนย์มากยิ่งขึ้น จึงจะขอกล่าวถึงหนังเงาทั้งของชวา มลายูและเขมร

หนังเงาในแบบของจีน
หนังเงาชวาหรือวายัง “วายัง” [Wayang] หรือเรียกเต็มชื่อว่า “วายัง ปูร์วา” [Wayang Purwa] “วายัง” แปลว่า “เงา” ส่วน “ปูร์วา” แปลว่า”ความเก่าแก่”รวมกันจึงหมายถึง ความเก่าแก่แห่งศิลปะการเชิดตัวหุ่นที่ทำจากหนังให้เกิดเป็นภาพเงาบนจอผ้า แต่ในปัจจุบันคำว่าวายังมีความหมายทั่วไปว่า “การแสดง”
ในอดีตการแสดง วายัง นอกจากหมายถึงเงาแล้ว ยังหมายรวมถึงวิญญาณของบรรพบุรุษหรือเทวดา เพราะก่อนการเข้ามาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู วายัง เป็นการแสดงที่มีความสำคัญในการอัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษ เพราะ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของคนชวา หัวหน้าครอบครัวจะต้องอัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษเข้าร่วมในพิธีกรรมของครอบครัว เช่น พิธีแต่งงาน วิญญาณจะปรากฏตัวให้เห็นเป็นเงา และในบางครั้งก็มีความเชื่อว่าการแสดง วายัง จะช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บและขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปได้
หลังจากศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูได้เข้ามายังเกาะชวาได้นำมหากาพย์อย่าง มหาภารตยุทธและรามายณะ (รามเกียรติ์) มาเผยแพร่ผ่านศิลปะการแสดงหนังเงา ภาษาที่ใช้ในการแสดง คือ ภาษาพื้นเมือง คือ ภาษาชวา องค์ประกอบการแสดงส่วนใหญ่ได้นำมาจากพื้นเมือง แม้แต่รูปตัวหนังก็เป็นรูปลักษณ์ที่คิดค้นออกแบบโดยศิลปินชวาเอง ไม่ว่าจะเล่นเรื่องมหาภารตยุทธ รามายณะ หรือเรื่องพื้นเมืองก็ตาม
บนเกาะชวาปรากฏมีการแสดง วายัง หลายประเภทซึ่งแตกต่างกันทั้งในแง่เนื้อเรื่อง สาระที่นำเสนอ แบบตัวหนัง ดนตรีประกอบ จุดประสงค์การแสดง รวมทั้งภาษาที่ใช้ก็อาจแตกต่างกัน วายังที่นิยมเล่นกันมากในชวาคือ วายังปูรวา [Wayang Purwa] เล่นทั้งเรื่องมหาภารตะและรามายณะ (รามเกียรติ์)
หุ่นเงามีความสำคัญกับสังคมชาวชวา เพราะเป็นการบ่มเพาะศีลธรรมและหลักคำสอนศาสนา เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นการต่อสู่กันระหว่างความดีกับความชั่วร้าย อสูรจะถูกปราบลงได้ในตอนจบ แต่หลังจากที่ชวาได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม มีความพยายามที่จะนำเรื่องราวและคำสอนในศาสนาอิสลามไปปรับให้เข้ากับบทแสดงแต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าไรนัก
โฉมหน้าของหุ่นเงาชวามีลักษณะ แขนเล็กยาว ตัวผอม เก้งก้าง คอยาว จมูกยาวงุ้ม รูปลักษณ์ไม่คล้ายคน เหตุที่หนังชวาทำรูปร่างหน้าตาแปลกไปมาก อาจเป็นไปได้ที่ชาวชวานับถือศาสนาอิสลาม ในคำสอนของศาสนาอิสลามมีบทบัญญัติห้ามมิให้สร้างรูปเคารพหรือรูปคน
ส่วนหนังมลายูคล้ายกับหนังชวา เพราะได้รับอิทธิพลแบบอย่างมาจากชวา แต่หนังเงาที่น่าสนใจ ถือเป็นการเล่นหนังอีกชนิดหนึ่ง ชาวมลายูเรียกว่า “วายังเสียม” หรือหนังสยาม นิยมเล่นกันในรัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ตลอดถึงนราธิวาส ยะลา ปัตตานี
เนื่องจากการย้ายถิ่นฐานของชาวชวามาสู่แหลมมลายู ได้นำศิลปะการแสดงมาเผยแพร่ ต่อมาได้พัฒนาการแสดงให้ต่างจากหนังตะลุงไทยปักษ์ใต้ หนังตะลุงปักษ์ใต้ใช้รูปหนังขนาดพอเหมาะ ผู้ชมมองเห็นได้ถนัดและสะดวกต่อการเชิดหรือเคลื่อนไหว
การเจรจาของหนังมลายูเดิมใช้ภาษาชวาและมลายูโบราณ แต่ในภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นภาษามลายูท้องถิ่นเพื่อง่ายต่อการสื่อกับชาวบ้าน แต่เดิมวายังเซียมนิยมเล่นในเนื้อเรื่องเดียวกับวายัง คือ เรื่องมหาภารตยุทธ รามเกียรติ์ และอิเหนา แต่เมื่อได้รับอิทธิพลจากหนังตะลุงปักษ์ใต้ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่อง จักร ๆ วงศ์ ๆ หรืออาจเป็นเรื่องที่ผูกขึ้นเองให้เป็นที่น่าสนใจแก่ผู้ชม
ส่วนหนังเงาในประเทศกัมพูชา แบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ หนังใหญ่ เป็นการจำหลักภาพโดยการเจาะให้ทะลุบนแผ่นหนังวัวที่มีขนาดใหญ่ จัดแสดงในยามกลางคืน ใช้แสงสว่างจากแสงไฟขี้ไต้หรือแสงไฟจากไฟฟ้าเพื่อส่องให้เห็นเป็นเงา ศิลปะการแสดงหนังใหญ่สำหรับชาวกัมพูชาถือว่านี้เป็นการแสดงเพื่อสักการบูชา เพราะถือเป็นศิลปะที่แสดงเฉพาะพิธีทางศาสนาทั้งหมด อาทิ เช่น พิธีพระราชทานเพลิงศพ พิธีเผาศพบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ในบางโอกาสจะแสดงเพื่อบวงสรวงขอฝน เป็นต้น
หนังเงาเขมรแบ่งได้เป็น ๒ แบบ คือ หนังขนาดกลาง หรือ หนังทาสี เป็นการสลักภาพนิ่ง โดยเจาะให้ทะลุบนหนังวัว ที่มีขนาดปานกลาง โดยใช้สำหรับการแสดงตอนกลางวัน และ หนังเล็ก หรือ อายอง เป็นการจำหลักบนหนังวัวเช่นเดียวกัน แต่มีขนาดเล็ก เป็นหนังเงาจำหลักที่มีการเคลื่อนไหวแขน ขา ได้ เป็นที่แพร่หลายอยู่ในประเทศกัมพูชา
กล่าวได้ว่าหนังเงามีความเป็นมายาวนาน สำหรับไทยแล้วได้รับมรดกทางวัฒนธรรมมาจากที่ใดยังคงไม่แน่ชัด แต่หนังใหญ่ที่รับเข้ามานั้น ส่วนหนึ่งได้มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสังคมไทยและได้ตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง หนังใหญ่จึงไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสมบัติของคนไทยทั้งชาติที่ต้องช่วยกันสืบสานงานศิลป์แขนงนี้ต่อไป
มิใช่ด้วยการอนุรักษ์ที่เก็บไว้ในตู้สี่เหลี่ยมแต่หนังใหญ่ต้องได้เชิดไหวอย่างมีชีวิต
ปกรณ์ คงสวัสดิ์
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments