เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2558

แนวถนนมหาไชย ภาพจากแผนที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔
‘ถนนมหาไชย’ เป็นถนนเส้นหนึ่งในกรุงเทพมหานครเริ่มต้นตั้งแต่ถนนราชดำเนินกลางบริเวณสี่แยกป้อมมหากาฬข้ามคลองหลอดวัดราชนัดดา วัดเทพธิดาราม ตัดกับถนนบำรุงเมืองและถนนหลานหลวง ข้ามคลองหลอดวัดราชบพิธ ตัดกับถนนเจริญกรุง จนกระทั่งถึงถนนพีระพงษ์ ถนนเยาวราช และถนนจักรเพชร
สำหรับที่มาของชื่อถนนมหาไชย มีดังนี้ เดิม ‘มหาไชย’ เป็นชื่อของป้อมปราการ ๑ ใน ๑๔ ป้อมที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เมื่อทรงสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ป้อมปราการสำหรับการป้องกันพระนครถูกลดความสำคัญลง ป้อมมหาไชยจึงถูกรื้อถอนและมีการตัดถนนผ่านบริเวณป้อมมหากาฬที่ถูกรื้อไป จึงมีการตั้งชื่อถนนว่า ‘ถนนมหาไชย’ ขึ้นแทน
ถนนมหาไชย เป็นถนนเส้นหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับย่านเมืองเก่าภายในกำแพงพระนคร เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้คนในอดีตมาอย่างยาวนาน เกือบทั้งสายมีสถานที่สำคัญและมีความสัมพันธ์กับผู้คนในอดีตตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นป้อมมหากาฬ ตลาดสำราญราษฎร์ ย่านประตูผี หรือแม้แต่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในอดีต
นอกจากนั้นยังมีชุมชนเก่าแก่ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้อีกเช่นกัน เช่น ชุมชนป้อมมหากาฬ ชุมชนบ้านสายรัดประคด ชุมชนข้างเรือนจำ ฯลฯ ซึ่งชุมชนเหล่านี้ล้วนเป็นชุมชนที่อาศัยอยู่ร่วมกันในพื้นที่มาอย่างยาวนานและเป็นชุมชนที่มีความพิเศษกว่าชุมชนอื่น เนื่องจากเป็นชุมชนที่มีการผลิตงานฝีมือที่มีชื่อเสียง
แต่บางชุมชนที่ไม่มีการสืบทอดงานฝีมือต่อมา งานฝีมือซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าเหล่านั้นต้องสูญหายไปตามกาลเวลา ดังในชุมชนสายรัดประคดที่ปัจจุบันไม่มีผู้คนที่สืบต่อการทำสายรัดประคดแล้วเลิกทำเพราะหมดความนิยมและไม่มีผู้สืบต่อเหลือเพียงแต่ชื่อของชุมชนไว้เพื่อเล่าเรื่องว่าครั้งหนึ่งเคยมีการทำสายรัดประคดเท่านั้นแต่ก็ยังคงมีอีกหลายชุมชนเช่นกันที่ยังคงสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ป้อมมหากาฬที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการทำกรงนกหรือการขายพลุริมประตูป้อมมหากาฬ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่
และหากจะกล่าวถึงย่านที่มีร้านขายเครื่องหวายในเขตพระนครที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ในอดีต ก็คือ ‘ชุมชนข้างเรือนจำ’ ตั้งอยู่ใกล้กับสวนรมณีนาถ บนถนนมหาไชย บริเวณนี้เดิมเป็นชุมชนที่ประกอบอาชีพขายเครื่องหวาย ปัจจุบันเหลือร้านค้าหวายอยู่เพียง ๓ ร้านเท่านั้น คือ ร้านนายเหมือน ร้านสุริยาพานิช และร้านยุพดีวานิช
หากจะถามว่าร้านใดที่มีชื่อคุ้นหูและได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุด ผู้คนทั่วไปคงจะนึกถึงร้านนายเหมือน แต่ถึงกระนั้นมีเพียงน้อยคนที่จะทราบว่าจริง ๆ แล้วร้านเครื่องหวายที่เปิดขายเป็นร้านแรกและเก่าแก่ที่สุด คือ ร้านยุพดีวานิช
ร้านยุพดีวานิช ตั้งอยู่บนถนนมหาไชย บนพื้นที่ของวังเดิมของเชื้อพระวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ คือ วังของกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เป็นแนวยาวไปจนถึงร้านนายเหมือน หลังจากที่มีการรื้อถอนวังเดิมออกก็มีการสร้างเป็นตึกแถวไม้เตี้ย ๆ ชั้นเดียวให้เช่า เจ้าของพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ไป พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นทั้งของมูลนิธิจันทรทัตและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

คุณยุพดี สีลพัทธ์กุล อายุ ๘๘ ปีเจ้าของร้านยุพดีวานิช ร้านค้าเครื่องหวายเก่าแก่แห่งถนนมหาไชย

ภายในร้านค้าที่มีเครื่องหวายหลากชนิด
โดยร้านยุพดีวานิชเป็นพื้นที่ของมูลนิธิจันทรทัต ทายาทของเชื้อพระวงศ์ในวังเดิม ส่วนตรงร้านนายเหมือนเป็นพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ที่มาของชื่อร้านยุพดีวานิชมาจากชื่อของคุณยายยุพดี สีลพัทธ์กุล เจ้าของร้านยุพดีวานิชรุ่นแรก ที่มีอายุกว่า ๘๘ ปี นับเป็นคนเก่าแก่ที่ผ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในย่านนี้มามาก ท่านจึงมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับย่านถนนมหาไชย
แรกเริ่มเดิมทีคุณยายยุพดีใช้นามสกุล ‘แซ่ลิ้ม’ เป็นคนในย่านเยาวราชมาตั้งแต่เกิดและมีเชื้อสายจีนแคะ คุณยายเล่าให้ฟังถึงตอนเด็ก ๆ ว่า
“สมัยก่อนตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ แถวเยาวราชร้านขายเครื่องหนังขายดีมาก เพราะคนญี่ปุ่นชอบใช้เครื่องหนัง โดยเฉพาะกระเป๋าหนัง ร้านขายเครื่องหนังดัง ๆ สมัยก่อนก็มีร้านเซน ช่อง ที่ตั้งอยู่เยื้องกับศาลาเฉลิมกรุงมาหน่อย ร้านนั้นอายุ ๑oo กว่าปีแล้ว ที่นั่นจะขายรองเท้าหนัง อานม้า”
ภายหลังจากคุณยายอายุ ๒๐ ปี ก็แต่งงานแล้วย้ายมาอาศัยอยู่ตรงตึกแถวหน้าวังนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙
ก่อนจะมาเป็นร้านยุพดีวานิช ร้านนี้เคยมีชื่อว่า ‘เหลียนฮับ’ มีความหมายว่า ความสามัคคี มาจากการที่คุณยายมีลูกมากทั้งสามีและคุณยายจึงอยากให้ลูก ๆ มีความสามัคคีกัน ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นชื่อ “ยุพดีวานิช” ซึ่งเป็นชื่อของคุณยายที่หลวงพ่อวัดสระเกศฯ ในสมัยนั้นตั้งให้
การเกิดขึ้นของร้านยุพดีเริ่มมาจากการที่พี่ชายของคุณตาย้ายมาจากเมืองจีนพร้อมกับนำความรู้เรื่องการทำเครื่องหวาย เครื่องจักสานในการทำเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เข้ามาด้วย การทำร้านเครื่องหวายเริ่มต้นจากการทำห่วงไม้หวายที่ใช้เล่นในเกมโยนห่วงตามงานวัด ซึ่งได้รับความนิยมมากเพราะมีการสั่งทำห่วงอย่างไม่ขาดสาย
จนมาภายหลังตั้งเป็นร้านเหลียนฮับหรือร้านยุพดีวานิชขึ้น ในช่วงนั้นร้านเครื่องหวายยุพดีถือได้ว่าเป็นร้านแรกที่ทำตะกร้าหวายลวดลายละเอียดประณีตแล้วส่งต่อไปยังอยุธยา อาจจะเรียกได้ว่าเครื่องหวาย เครื่องจักสานพวกตะกร้าต่างๆ ของอยุธยามีการรับอิทธิพลมาจากร้านหวายในย่านนี้ด้วย
สมัยก่อนสินค้าที่จำหน่ายในร้านยุพดีวานิชที่เป็นงานฝีมือทางร้านจะทำเองทั้งหมด ซึ่งคนที่ทำส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกหลานในครอบครัวที่ช่วยกันสานเครื่องหวาย ในปัจจุบันการทำเครื่องหวายก็ยังมีทั้งที่ทางร้านทำเองและรับมาขายโดยการสั่งทำ เครื่องหวายที่ทำเองจะทำเป็นอะไหล่แต่ละชิ้นย่อย ๆ แล้วส่งให้แต่ละบ้านที่มีฝีมือทำแทน เพราะขาดแรงงานในการทำ คนเก่าแก่ก็เสียชีวิตไปจนหมดหรือลูกหลานที่เคยทำเครื่องหวายหลังจากเรียนจบก็หันไปทำงานด้านอื่นแทน ดังนั้นทุกวันนี้ส่วนเครื่องหวายที่สั่งทำมีการสั่งมาจากกลุ่มที่ทำงานฝีมือทางภาคเหนือและภาคอีสาน
ภายในร้านเครื่องหวายยุพดีวานิชมีการจำหน่ายสินค้าหลายประเภทด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้หวาย ตะกร้าหวาย กระเป๋าจักสานหลากหลายขนาด ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีให้เลือกมากมายสมัยก่อนเครื่องหวายจะเป็นที่นิยมมาก แม้แต่เมื่อครั้งมีงานเทศกาลสำคัญต่างๆ ก็จะมีการเชิญให้ร้านนำเครื่องหวายไปขายตามงานต่าง ๆ เช่น งานกาชาด งานเกษตร หรือแม้แต่งานประจำปีของวัดสระเกศ อีกทั้งยังมีการทำส่งไปยังต่างจังหวัด เช่น อยุธยาด้วย แต่ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อจะเป็นลูกค้าประจำ หรือลูกค้าเก่าแก่ที่ซื้อขายกันมานาน เนื่องจากความนิยมในเฟอร์นิเจอร์เครื่องหวายเริ่มลดน้อยลงไปตามกาลสมัยที่มีวัสดุอื่นเข้ามาแทนที่วัสดุที่หาได้ตามธรรมชาติและมีความคลาสสิกอย่างงานเครื่องหวาย
เมื่อย้อนกลับไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นอกจากพื้นที่บริเวณนี้จะมีชื่อเสียงในเรื่องของเครื่องหวายแล้ว ยังเป็นพื้นที่ที่ตั้งของสถานที่สำคัญด้วย ไม่ว่าจะเป็นประตูผี วังของเชื้อพระวงศ์ในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวังหลายวัง แค่เพียงบริเวณตึกแถวร้านเครื่องหวายนี้ก็มีวังเชื้อพระวงศ์ตั้งอยู่ถึง ๒ วัง คือ วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์และวังกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เชื้อพระวงศ์ในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบสาธารณูปโภคและการคมนาคมในพื้นที่บริเวณนี้มีการพัฒนาไปมาก ทั้งถนนหนทาง เส้นทางรถรางวิ่งรอบพระนคร
คุณยายเล่าว่า
“เมื่อก่อนถ้าจะข้ามไปฝั่งวรจักร รถยนต์ข้ามไปไม่ได้เลย เพราะเป็นเพียงแค่ไม้กระดานแผ่นเดียวมีแต่หญ้าและผักบุ้งขึ้นข้างทางเยอะแยะ สะพานข้ามคลองสมัยก่อนก็ไม่ได้มีเยอะถ้าจะข้ามก็ต้องไปข้ามตรงวัดสระเกศกับตรงสะพานสมมตอมรมารคเท่านั้น จนปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เพิ่งจะมาสร้างสะพานดำรงสถิตรถยนต์ถึงข้ามไปได้”
นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ ก็มีแหล่งอุตสาหกรรมขนาดเล็กตั้งอยู่อีกจำนวนมาก เช่น ฝั่งตรงข้ามร้านหวายจะมีโรงทำกระทะใบบัวเหล็ก โรงน้ำแข็ง และโรงเลื่อย ส่วนโรงทำขนมปังตั้งอยู่บริเวณวัดสระเกศและมีโรงกลึงตั้งอยู่ถัดจากกัน ปัจจุบันสถานที่เหล่านี้หายไปจนหมดกลายเป็นตึกแถว ๒-๓ ชั้นตั้งอยู่แทน
พื้นที่ในเกาะรัตนโกสินทร์ยังมีถนนอีกหลายสายที่มีความทรงจำของผู้คนที่ตกค้างหลงเหลืออยู่ให้เราค้นหา เช่น ถนนบำรุงเมือง ถนนราชดำเนิน ฯลฯ ซึ่งถนนทุกสายล้วนมีประวัติศาสตร์แตกต่างกันออกไป เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้นักท่องย่านเมืองเก่าทั่วโลกใฝ่ฝันถึง
หากแม้การเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาสถานที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์เพื่อให้มีความเป็นศิวิไลซ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ความทรงจำเหล่านี้หายไป คนรุ่นใหม่จะเข้าใจและค้นหาความหมายของความทรงจำที่คนเก่าแก่ทิ้งไว้ให้ได้อย่างไร นักท่องเที่ยวจะเข้ามาพบกับความเป็นศิวิไลซ์ที่ไม่ได้มีความแตกต่างและมีเอกลักษณ์ต่างไปจากสถานที่อื่นได้อย่างไร หากในอนาคตสิ่งเหล่านี้หายไปจนหมดสิ้น
ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูล
คุณยุพดี สีลพัทธ์กุล อายุ ๘๘ ปี เจ้าของร้านยุพดีวานิช ถนนมหาไชย
พัชรินธร เดชสมบูรณ์รัตน์
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments