เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2561

พระอัฏฐารสปางประทานอภัยประทับยืนในวิหาร
โบราณสถานต่าง ๆ บริเวณเมืองเก่าสุโขทัยคือภาพสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทางสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในช่วง พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ อย่างไรก็ตาม พื้นฐานของเมืองสุโขทัยและในบริเวณลุ่มน้ำยมมิได้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เท่านั้น หากแต่มีร่องรอยของการตั้งถิ่นฐานของผู้คนมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สืบเนื่องมาจนถึงสมัยสุโขทัย ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พื้นที่แห่งนี้มีการอยู่สืบ เนื่องกันมาอย่างยาวนานคือเรื่องของทรัพยากรและสภาพภูมิศาสตร์ที่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของบ้านเมืองพร้อมกับการปรับตัวให้เข้ากับสภาพ แวดล้อมในพื้นที่ โบราณสถานบริเวณเมืองสุโขทัยมิได้มีสถานะเพียง แค่ภาพแทนความรุ่งเรืองทางศาสนาเท่านั้น หากแต่ยังมีความหมาย ถึงการควบคุมหรือการสร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่ทรัพยากรที่สำคัญของบ้านเมือง ณ บริเวณแหล่งต้นน้ำที่อยู่ใกล้เคียงหล่อเลี้ยงบ้านเมือง บริเวณเชิงเขาหลวงแห่งนี้มาอย่างยาวนาน
และจากการสำรวจพื้นที่เพื่อถ่ายทำรายการ “อดีต ใน อนาคต” ตอน “นครรัฐสุโขทัยในสยามประเทศ” พบข้อมูลตามการ สันนิษฐานของนักวิชาการหลายท่านว่าโบราณสถานบางแห่ง เช่น “วัดสะพานหิน” น่าจะเป็นพื้นที่ต้นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย
สำหรับร่องรอยชุมชนโบราณก่อนการเกิดขึ้นของเมือง สุโขทัย พบว่าอาณาบริเวณโดยรอบของเมืองสุโขทัยมีร่องรอยของ การตั้งถิ่นฐานผู้คนก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ อย่างชัดเจน นับตั้งแต่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในบริเวณพื้นที่ต้นลำน้ำแม่ลำพัน มีแหล่ง โบราณคดีที่สำคัญคือ แหล่งโบราณคดีบ้านวังหาด ตำบลตลิ่งชัน อำเภอบ้านด่านลานหอย เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต่อเนื่องจนถึงสมัยทวารวดี ทั้งเป็นแหล่งถลุงเหล็กและพบโบราณวัตถุ พวกเครื่องมือเหล็กและภาชนะดินเผาตลอดจนลูกปัดแก้ว จี้ห้อยคอ ดุนลายรูปลิงหรือสิงห์ทำด้วยทองคำและเงิน เหรียญศรีวัตสะ และ เหรียญรูปพระอาทิตย์ในสมัยทวารวดี ขณะที่บริเวณเมืองสุโขทัยได้ พบโบราณวัตถุพระพุทธรูปยืนสมัยทวารวดีและที่เมืองศรีสัชนาลัย พบร่องรอยโบราณสถานสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยทวารวดี จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดชมชื่นด้วยเช่นกัน การแพร่กระจาย โบราณวัตถุในสมัยทวารวดีในลุ่มน้ำยมดังกล่าวสัมพันธ์กับเส้นทาง ลำน้ำของแต่ละชุมชน โดยเส้นทางหลักคือน้ำแม่ลำพันและแม่น้ำยม
ดังนั้นการค้นพบร่องรอยชุมชนสมัยทวารวดีในบริเวณลุ่ม น้ำยมสะท้อนให้เห็นถึงการแพร่กระจายของวัฒนธรรมทวารวดีจาก บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาขึ้นมายังบริเวณลุ่มน้ำยมเช่นเดียวกับลุ่มน้ำอื่น ๆ เช่น ลุ่มน้ำน่านในเขตจังหวัดพิษณุโลก ปัจจุบันพบใบเสมาหิน สลักภาพพระพุทธรูปประทับนั่งแบบทวารวดีที่วัดหน้าพระธาตุ เมืองนครไทย (อำเภอนครไทย) และชิ้นส่วนพระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่ เขาสมอแคลง (อำเภอวังทอง) ฯลฯ และต่อมาร่องรอยชุมชนความ เป็นเมืองปรากฏอย่างชัดเจนมากขึ้นในช่วงที่กลุ่มวัฒนธรรมขอมเข้า มามีบทบาทในพื้นที่ดังปรากฏร่องรอยโบราณสถาน เช่น ปรางค์เขา ปู่จา ปราสาทศาลตาผาแดง และปราสาทที่วัดพระพายหลวง ก่อนที่ จะเกิดการสร้างเมืองสุโขทัยในเวลาต่อมา
บริเวณเทือกเขาหลวงและเขตภูเขาด้านทิศใต้และตะวันตก เฉียงใต้ถือแหล่งต้นน้ำลำธารซึ่งมีระบบการจัดการชลประทานในรูป แบบของทำนบทดน้ำและอ่างเก็บน้ำที่เรียกว่า ตระพังถือเป็นระบบ ชลประทานแบบเมืองสุโขทัยที่เป็นอัตลักษณ์
ทรัพยากรน้ำเป็นทรัพยากรที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อพัฒนาการ ของบ้านเมืองสมัยโบราณสำหรับเมืองสุโขทัยในตรีบูรซึ่งเป็นเมืองที่ เกิดขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙ มีลักษณะเมืองในผังสี่เหลี่ยมมีคัน ดินซ้อนกันสามชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบลาดเอียงและมีลำน้ำสำคัญคือลำน้ำแม่ลำพันที่มีต้นน้ำในเขตอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง และลำน้ำคลองเสาหอจากเขาหลวงทางทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัย จากสภาพภูมิศาสตร์ดังกล่าวเมืองสุโขทัยมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม โดยมีระบบการจัดการน้ำและควบคุมน้ำเพื่อให้บ้านเมืองดำรงอยู่ได้ ทั้งในช่วงฤดูน้ำและฤดูแล้ง
ประการแรก จากการเป็นพื้นที่ลาดเอียงโดยมีแหล่งต้นน้ำจากทางเทือกเขาหลวงทางทิศตะวันตกบริเวณแนวด้านหน้าเขาทาง ทิศตะวันออกพบร่องรอยของการทำคันดินหรือทำนบสำหรับชะลอน้ำเช่น บริเวณระหว่างช่องเขาพระบาทใหญ่และเขาพระบาทน้อยทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองสุโขทัย มีคันดินชะลอน้ำที่ไหลมาจาก “โซก พระร่วง ลองพระขรรค์” จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นคันดินในแนวทิศเหนือ-ใต้มีความยาว ๔๙๐ เมตร สูง ๘ เมตร และกว้าง ๓๐ เมตร ทำนบบริเวณนี้ต่อมาเรียกกันทั่วไปว่า “สรีดภงส์”
จากการสำรวจของคุณพิทยา ดำเด่นงาม นักโบราณคดีของ กรมศิลปากรพบว่า ถัดไปทางทิศใต้ห่างจากตัวเมืองสุโขทัยประมาณ ๗ กิโลเมตรพบคันดินชะลอน้ำที่ไหลมาจาก “โซกพระแม่ย่า” มายัง พื้นที่ช่องเขาระหว่างเขาสะพานเรือและเขากุดยายชีในแนวทิศเหนือ-ใต้ขนาดความยาว ๑,๑๗๕ เมตรกว้าง ๒๕ เมตร ถือเป็นทำนบที่ เป็นสรีดภงส์อีกแห่งหนึ่ง
การทำคันดินเหล่านี้มีประโยชน์ในการช่วยชะลอความแรง ของกระแสน้ำและกักเก็บน้ำที่หลากมายังพื้นที่นาและชุมชนทางทิศ ตะวันออกของเขาหลวงทั้งเมืองสุโขทัยและทางทิศใต้ยังมีชุมชนอื่น ๆ ตั้งถิ่นฐานอยู่ด้วยเช่นกัน เห็นได้จากโบราณสถานบนเขาปู่จา เป็นต้น
อย่างไรก็ตามนอกจากทำนบที่ชะลอน้ำระหว่างช่องเขาแล้ว ถัดออกมาบนพื้นที่ลาดยังคงพบแนวทำนบในแกนทิศเหนือ-ใต้ ทั้ง ทางทิศเหนือและใต้ของเมืองสุโขทัย รวมทั้งแนวคันดินบางแห่ง เช่น บริเวณทางทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัยยังทำหน้าที่ในการเบนน้ำให้ลงคูเมืองสุโขทัยทางประตูอ้อ (ทางทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัย)
ประการที่สอง ระบบการจัดเก็บน้ำอีกรูปแบบหนึ่งของเมือง สุโขทัยคือการกักเก็บน้ำไว้ในตระพังหรือสระน้ำซึ่งรูปแบบดังกล่าว เกิดขึ้นก่อนการเกิดเมืองสุโขทัย เช่น ที่วัดพระพายหลวง ฯลฯ และ ต่อมาเมื่อเกิดเมืองสุโขทัยขึ้นแล้วพบว่ามีโบราณสถานหลายแห่งที่ ตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางตระพัง เช่น วัดตระพัง-ทอง วัดตระพังเงิน วัด สระศรี ฯลฯ น้ำที่ล้อมรอบโบราณสถานเหล่านี้อาจมีความหมายเป็น น้ำศักดิ์สิทธิ์และเป็นอุทกสีมาไปพร้อม ๆ กับการเป็นน้ำกินน้ำใช้ของ ชาวเมืองสุโขทัยดังปรากฏในจารึกหลักสำคัญ

แผนภาพทิศทางการไหลของน้ำจากเทือกเขาหลวงไปทางทิศตะวันออก
การจัดการดูแลรักษาต้นน้ำที่เห็นได้ชัดของเมืองสุโขทัย คือ การสร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บริ เวณที่ทางน้ำไหลผ่านจากเทือกเขาลงสู่เขต ที่ราบ เพื่อดูแลสภาพแวดล้อมและควบคุมการใช้ทรัพยากรมิให้บุคคลใดมาผูกขาดการใช้ทรัพยากร โดยทำให้เป็นพื้นที่สาธารณะและยก ให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อการแบ่งปันดูแลทรัพยากร ใช้ความเชื่อ เกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติมากำกับ อีกนัยหนึ่งอาจหมายถึงการทำให้น้ำมีความศักดิ์สิทธิ์หรือบริสุทธิ์โดยการไหลผ่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใน พื้นที่บริเวณเมืองสุโขทัยมีเทือกเขาหลวงทางทิศตะวันตกของเมือง มี หลักฐานในสมัยสุโขทัยสะท้อนให้เห็นว่าชาวเมืองเชื่อว่าเป็นที่สถิตของ “พระขพุงผี” ซึ่งเป็นผีใหญ่ที่สุดหรือผีปกปักรักษาเมืองในโลกทัศน์ ของชาวสุโขทัยขณะที่ตามแนวเทือกเขามีร่องรอยโบราณสถานบน เทือกเขาขนาดย่อมด้านหน้าสุด ตั้งเรียงรายซึ่งแต่ละแห่งตั้งอยู่ใกล้ กับทางน้ำที่ไหลผ่านซอกเขามาสู่ตัวเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันออก ถัด มาอีกเวิ้งเขาอีกแห่งของเทือกเขาหลวงมีร่องรอยศาสนสถานในระบบ ความเชื่อท้องถิ่นคือ “ถ้ำพระแม่ย่า” ประดิษฐานพระแม่ย่าที่ดูจะเป็น รูปเคารพสตรีที่เพิงผาเหนือโซกพระแม่ย่าที่เป็นลำน้ำสำคัญของท้องถิ่นบริเวณนอกเมืองสุโขทัยด้านทิศใต้ การสร้างศาสนสถานและรูปเคารพดังกล่าวนี้สัมพันธ์กับเส้นทางลำน้ำหรือโซกน้ำไปทางทิศตะวันออก อันเป็นนัยของการใช้อำนาจเหนือธรรมชาติหรือระบบความเชื่อทางศาสนามาควบคุมแหล่งทรัพยากรน้ำสำคัญของท้องถิ่นและของเมืองสุโขทัย
“วัดสะพานหิน” นั้นเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลำน้ำสำคัญที่ไหลหล่อเลี้ยงชุมชนก่อนเมืองสุโขทัยบริเวณพื้นที่ต้นน้ำทาง ทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัยปรากฏศาสนสถานต่าง ๆ เรียงราย อยู่บนเชิงเขาในกลุ่มเทือกเขาหลวง อาทิ วัดสะพานหิน วัดเขา พระบาทน้อย วัดอรัญญิก วัดเจดีย์งาม วัดเขาพระบาทใหญ่
กลุ่มวัดอรัญญิกตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของ เมืองสุโขทัยบนภูเขาขนาดย่อมไม่สูงมากนัก มีทางเดิน ขึ้นเขาปูด้วยหินชนวน ในเขตโบราณสถานของวัดมีพระ อัฏฐารส หรือ พระพุทธรูปประทับยืนปางประทาน-อภัย ซึ่งได้รับการบูรณะแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ประดิษฐานอยู่ในวิหารในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า พระ-อัฏฐารสองค์นี้น่าจะเป็นพระอัฏฐารสองค์เดียวกับที่ปรากฏใน ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ความว่า “...ในกลางอรัญญิก มี พิหารอันณื่ง... ใหญ่สูงงาม...มีพระอัฎฐารศอันณื่งลุก ยืน...” ในจารึกหลักที่ ๑ นี้ยังระบุว่าในวันเดือนดับและ วันเพ็ญพ่อขุนรามคำแหงทรงช้างเผือกชื่อ “รูจาครี “ มาไหว้พระในอรัญญิกซึ่งน่าจะรวมถึงวัดแห่งนี้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าโบราณสถานวัดสะพาน หินจะสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย แต่พบพระพุทธรูปศิลปะ สมัยทวารวดีประทับยืน รวมทั้งพบฐานหินชนวนสี่เหลี่ยม มีหลุมอยู่กึ่งกลางซึ่งอาจเป็นฐานเดิมของพระพุทธรูปที่ ประดิษฐานอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่แห่งนี้ เคยเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่สมัยทวารวดี สอดคล้องกับบริเวณพื้นที่ ทางทิศตะวันออกของวัดสะพานหินเป็นที่ตั้งของศาสนสถานและชุมชน เก่าก่อนเมืองสุโขทัยคือบริเวณ “วัดพระพายหลวง” ที่มีคูน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบศาสนสถาน โดยรับธารน้ำจากบริเวณเขาพระบาทน้อย และบริเวณนี้มีคันดินชะลอน้ำบริเวณวัดศรีชุม คันดินดังกล่าวน่าจะทำหน้าที่เบนน้ำลงตระพังวัดพระพายหลวง ซึ่งเป็นกลุ่มศาสนสถานก่อนสมัยสุโขทัย จนเมื่อมีการสร้างเมืองในผังสี่เหลี่ยมมีตรีบูรแล้วจึงมีการ ใช้ลำน้ำจากโซกพระร่วงฯ ลงสู่คลองเสาหอเบนน้ำลงคูเมืองสุโขทัย ทางประตูอ้อในเวลาต่อมา การนำน้ำจากแถบเขาแถบวัดสะพานหิน จึงมีการใช้สำหรับเมืองสุโขทัยลดน้อยลง
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ได้ตั้งข้อสังเกตว่า แต่เดิมพื้นที่แห่ง นี้น่าจะเป็นที่สิงสถิตของผีต้นน้ำที่สำคัญมาตั้งแต่ก่อนสมัยทวารวดี เพราะเมื่อถึงสมัยทวารวดีระบบความเชื่อทางศาสนาพุทธได้เข้ามาบูรณา-การกับความเชื่อท้องถิ่นเกิดเป็นการสร้างพุทธศาสนสถานขึ้น ในพื้นที่แห่งนี้ โดยบริเวณโบราณสถานวัดสะพานหินพบหลักฐานชิ้น สำคัญคือพระพุทธรูปประทับยืนทำวิตรรกะมุทราบนฐานบัว มีความ สูงเกือบ ๓ เมตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนแบบทวารวดีใหญ่ที่สุดเท่าที่ เคยค้นพบมา (ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร แต่บันทึกไม่ตรงกันว่านำมาจากวัดมหาธาตุ สุโขทัย) และนอกจากนี้ ยังพบพระพุทธรูปประทับยืนแบบทวารวดีขนาดย่อมกว่าซึ่งจัดแสดงอยู่ ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง เป็นหลักฐานที่สะท้อนให้เห็น ถึงการให้ความสำคัญกับพื้นที่ต้นน้ำแห่งนี้ จนกระทั่งถึงในสมัยสุโขทัย ยังคงให้ความสำคัญกับพื้นที่ดังกล่าวด้วยการสร้างโบราณสถาน วัดสะพานหินในรูปแบบของศิลปะสุโขทัยด้วยเช่นกัน

พระพุทธรูปประทับยืนศิลปะทวารวดีขนาดใหญ่ ขนาดสูงกว่า ๓ เมตรพบที่วัดสะพานหิน
จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ดังนั้นวัดสะพานหินจึงเป็นภาพสะท้อนของพื้นที่ ศักดิ์สิทธิ์ต้นน้ำแห่งหนี่งที่เกิดขึ้นก่อนการสร้างเมืองสุโขทัย กล่าวคือ เป็นแหล่งน้ำที่มีการใช้งานปรากฏ หลักฐานชัดเจนมาตั้งแต่สมัยทวารวดี ซึ่งอาจมีบ้าน เมืองเป็นชุมชนขนาดเล็กตั้งถิ่นฐานอยู่และสัมพันธ์กับ ตระพังน้ำที่ล้อมรอบวัดพระพายหลวงก่อนการเกิดขึ้น ของเมืองสุโขทัย จนกระทั่งมาถึงสมัยสุโขทัยภายหลัง จากสร้างบ้านแปงเมืองเป็นนครรัฐแล้วยังคงให้ความ สำคัญกับพื้นที่แห่งนี้อยู่ด้วยการสร้างวัดสะพานหินอันมี พระอัฏฐารสเป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญ เป็นการสืบเนื่อง ของแนวคิดในการสร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จากการจัดการน้ำในอดีตจนมาเป็นศาสนสถานสำคัญของเมืองสุโขทัยในเวลาต่อมา
พนมกร นวเสลา
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments