top of page

ศาลเจ้าการศรัทธาและเกื้อกูลชุมชน

อภิญญา นนท์นาท

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2556


ศาลเจ้าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของชุมชนชาวจีนเพราะเมื่อชาวจีนเข้าไปตั้งถิ่นฐานที่ใด มักมีการสร้างศาลเจ้าขึ้นในกลุ่มของตนตามแต่จะนับถือแบบใด ซึ่งนอกจากเป็นศูนย์รวมจิตใจและเพื่อให้เกิดสิริมงคลในถิ่นฐานที่อยู่แห่งใหม่แล้ว ศาลเจ้ายังเป็นที่พบปะสังสรรค์และช่วยเหลือเกื้อกูลกันของคนในชุมชน ยิ่งไปกว่านั้นองค์กรที่เกิดขึ้นจากความศรัทธาในศาลเจ้าหลายแห่งได้พัฒนาไปสู่การทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์และสังคมภายนอกด้วย


 ดังเช่นศาลเจ้าสำคัญ ๓ แห่งในย่านพลับพลาไชย ใกล้สี่แยกแปลงนามซึ่งเป็นศาลของชาวจีน ๓ กลุ่มที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพฯ แม้มีแนวทางความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ล้วนมีบทบาทเกื้อหนุนชุมชนและสังคมเช่นเดียวกัน


ศาลขงจื๊อของชาวจีนกวางตุ้ง


กลุ่มชาวจีนกวางตุ้งที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพฯ เริ่มเข้ามาเป็นจำนวนมากในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งชาวกวางตุ้งที่เข้ามาส่วนหนึ่งได้เปิดกิจการช่างยนต์และโรงกลึงในแถบบางรัก อีกจำนวนหนึ่งได้ประกอบกิจการค้าในย่านสำเพ็งและถนนเจริญกรุง ต่อมาได้มีการรวมกลุ่มของชาวกวางตุ้งโดยก่อตั้ง “บ้านพักกว๋องสิว” ขึ้น ซึ่งในเวลาต่อมาคือ “สมาคมกว๋องสิว” เพื่อช่วยเหลือและเป็นสวัสดิการให้กลุ่มชาวจีนกวางตุ้งด้วยกัน สถานที่ตั้งของสมาคมกว๋องสิวอยู่ที่ถนนเจริญกรุงใกล้สี่แยกแปลงนาม ซึ่งมีศูนย์รวมจิตใจเป็นศาลเจ้ากวางตุ้ง และมีโรงพยาบาลกว๋องสิวมูลนิธิตั้งอยู่ใกล้เคียง


ศาลเจ้ากวางตุ้งเป็นศาลเก่าแก่ของชาวจีนกวางตุ้งในกรุงเทพฯ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ พร้อมกับการเกิดขึ้นของสมาคมกว๋องสิว


คุณสมชัย กวางทองพาณิชย์ ผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นย่านเยาวราชกล่าวว่า ศาลเจ้ากวางตุ้งเป็นศาลที่ตั้งขึ้นตามลัทธิขงจื๊อหรือลัทธิหยู ซึ่งเป็นลัทธิบัณฑิต คนจีนให้ความสำคัญกับขงจื๊อในฐานะบรมครู ผู้มุ่งเน้นในการสั่งสอนเกี่ยวกับหลักจริยธรรมและข้อปฏิบัติที่ดีงามในการดำรงชีวิต สมัยก่อนบทบาทสำคัญของสถานที่นี้อีกอย่างหนึ่งคือการเป็นสถานศึกษาด้วย ศาล-เจ้าขงจื๊อในย่านสำเพ็งเท่าที่สำรวจข้อมูลมาพบว่ามีแค่ ๒ ศาล อีกที่หนึ่งได้เสียสภาพความเป็นศาลเจ้าไปหมดแล้ว อีกแห่งคือศาลเจ้ากวางตุ้ง แต่ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนการนับถือเทพเจ้าที่หลากหลายมากขึ้น


ปัจจุบันภายในศาลยังมีรูปเคารพของปรมาจารย์ขงจื๊อตั้งเคียงคู่อยู่กับเทพเจ้าอื่น ๆ เช่น เทพเจ้ากวนอู เทพเจ้าหลู่ปาน (เทพเกี่ยวกับการก่อสร้าง) และเจ้าแม่กวนอิมที่ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานเป็นประธานของศาลเจ้า


นอกจากความสำคัญในฐานะศูนย์กลางความศรัทธาของชาวจีนกวางตุ้งแล้ว บทบาทที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการดูแลผู้คนในชุมชน ด้านหน้าของศาลเจ้าเป็นที่ตั้งของ โรงพยาบาลกว๋องสิวมูลนิธิ สถานพยาบาลเก่าแก่ของสมาคมชาวจีนกวางตุ้ง เมื่อเริ่มแรกเป็นเพียงหน่วยแพทย์ภายในบ้านพักกว๋องสิวที่ให้บริการรักษาโรคโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งเป็นหนึ่งในสวัสดิการสำคัญที่มีในระยะแรกคือ การรักษาโรค งานสุสานกวางตุ้งที่ถนนสีลม และงานพิทักษ์หญิงดี เพื่อช่วยเหลือหญิงสาวกวางตุ้งที่ถูกล่อลวงมาค้าประเวณีในสมัยนั้น


 ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ยกสถานะขึ้นเป็นโรงพยาบาลกว๋องสิว รับรักษาผู้ป่วยทั่วไปโดยไม่แบ่งเชื้อชาติ ถึงแม้ว่าโรงพยาบาลกว๋องสิวจะไม่ใช่สถานพยาบาลขนาดใหญ่มากนัก แต่ยังคงเป็นพึ่งพาของคนในชุมชนรอบ ๆ มาถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุชาวจีนที่เข้ามาพักรักษาตัวอยู่เสมอ


“เซียมซียา” ศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยว


จากศาลเจ้ากวางตุ้งเดินขึ้นมายังแยกแปลงนามก่อนไปตามถนนพลับพลาไชยไม่ไกลนัก จะพบกับ ศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยว ซึ่งเป็นศาลเจ้าของสมาคมฮากกาแห่งประเทศไทย หรือกลุ่มชาวจีนแคะศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งขึ้นตามความศรัทธาในลัทธิเต๋า นับถือเทพเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ ผู้เป็นประมุขของเทพเจ้าบนสวรรค์ นอกจากนี้แล้วยังมีการผสมผสานความเชื่อแบบพุทธศาสนามหายานด้วย


ศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยวมีประวัติว่าสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ได้เกิดเพลิงไหม้ศาล แต่เปลวเพลิงมิได้ลุกลามไปยังชุมชนที่อยู่โดยรอบ ชาวบ้านจึงเชื่อว่าเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ทางสมาคมฮากกาจึงดำเนินการก่อสร้างขึ้นใหม่จนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕


รูปเคารพไต้ฮงกง ตั้งเป็นประธานของศาลเจ้าปอเต็กตึ๊ง


ห้องจัดยาสมุนไพรจีนของศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยวสำหรับให้บริการผู้ที่มาเสี่ยงเซียมซียาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย


เอกลักษณ์ที่สำคัญของศาลเจ้าแห่งนี้คือ การเสี่ยงเซียมซียา ที่ผสานความเชื่อเข้ากับการบำบัดโรคตามแพทย์แผนจีน ลักษณะของใบเซียมซีที่ศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยวนั้น นอกจากเป็นการเสี่ยงทายเพื่อขอโชคลาภแล้ว ยังมีใบเซียมซีสำหรับบำบัดโรคต่าง ๆ ได้แก่ ยาจักษุ รักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับตา ยาภายนอก รักษาอาการผิดปกติทางภายนอกหรือผิวหนัง ยารักษากุมาร หรือยาสำหรับเด็ก ยาสำหรับบุรุษ และ ยาสำหรับสตรี ส่วนใหญ่เป็นยาบำรุงเลือดลม


ขั้นตอนการเสี่ยงเซียมซียา ทางศาลเจ้าจะจัดเตรียมกระบอกเซียมซีไว้ โดยจำแนกตามประเภทไว้ ได้แก่ ยาจักษุ รักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับตา ยาภายนอก รักษาอาการผิดปกติทางภายนอกหรือผิวหนัง ยารักษากุมาร หรือยาสำหรับเด็ก ยาสำหรับบุรุษ และยาสำหรับสตรี


ผู้ที่จะเสี่ยงเซียมซีต้องเลือกให้ตรงกับลักษณะอาการของตนเช่น หากผู้ป่วยเป็นเด็กให้เลือกยากุมาร แต่ถ้าป่วยเป็นโรคทางตาผิวหนัง ต้องเลือกยารักษาจักษุและยาภายนอกเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพศหรือวัยใดก็ตาม และในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นเด็กหรือมีอาการเจ็บป่วยมาก ญาติสามารถมาเป็นตัวแทนเสี่ยงเซียมซียาได้


เมื่อเลือกกระบอกเซียมซีแล้วจะต้องไปจุดธูปบอกอาการต่อเทพเจ้าและขอพรให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ จากนั้นลงมือเขย่าเซียมซีจนได้ไม้เซียมซีที่ระบุหมายเลขไว้ แล้วจึงหยิบใบเซียมซีที่มีหมายเลขตรงกัน ซึ่งในเซียมซีแต่ละใบจะระบุตำรับยาขนานต่าง ๆ ทั้งชนิดสมุนไพรและกรรมวิธีการปรุงยา ต่อจากนั้นจึงนำใบเซียมซีไปจัดยายังห้องจ่ายยาทางด้านล่างซึ่งจะมีซินแสคอยจัดยาและแนะนำวิธีการใช้ยาแต่ละขนาน ยาทั้งหมดเป็นสมุนไพรจีน ส่วนใหญ่ มีสรรพคุณบำรุงร่างกายและปรับธาตุต่าง ๆ ในร่างกายให้สมดุลเมื่อผู้ป่วยรับยาไปแล้วและมีอาการดีขึ้น มักจะกลับมาเซ่นไหว้ขอบคุณเทพเจ้า หากยังไม่หายดี จะกลับมาเสี่ยงทายอีกครั้งว่าจะใช้ยาชุดเดิมต่อไป หรือต้องเปลี่ยนยาชุดใหม่


ถึงแม้ว่าสมุนไพรบางตัวมีราคาสูง แต่การมาเสี่ยงเซียมซียาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เว้นแต่จะบริจาคตามกำลังทรัพย์เพื่อสนับสนุนกิจการของศาลเจ้าต่อไป


จากการสอบถามผู้ดูแลศาลเจ้าพบว่า แม้ปัจจุบันการเข้าถึงบริการทางการแพทย์แผนปัจจุบันจะแพร่หลายมากขึ้น แต่เซียมซียาที่ศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยวยังคงมีคนมาใช้บริการอยู่ไม่ขาด ส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นคนจีนแคะกวางตุ้ง ไหหลำ ฮกเกี้ยน หรือแต้จิ๋ว ส่วนใหญ่ผู้มาใช้บริการเป็นกลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัวที่เคยใช้บริการเซียมซียามาหลายรุ่นสะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ของคนในชุมชนกับศาลเจ้าที่ยังไม่ลบเลือน


นอกจากศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยวที่มีเซียมซียาแล้ว ยังมีที่วัดมังกรกมลาวาสหรือวัดเล่งเน่ยยี่อีกแห่งหนึ่งด้วย


“ปอเต็กตึ๊ง” จากศาลเจ้าสู่งานสาธารณประโยชน์


 ศาลเจ้าสำคัญอีกแห่งหนึ่งบนถนนพลับพลาไชย คือศาลเจ้าปอเต็กตึ๊ง ตั้งอยู่ถัดจากวัดคณิกาผล ศาลแห่งนี้เป็นศาลของชาวจีนแต้จิ๋ว สร้างขึ้นตามความเคารพศรัทธาในไต้ฮงกง พระภิกษุชาวจีนผู้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้คน ตามประวัติของท่านกล่าวว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตได้เดินทางไปยังเมืองแต้จิ๋ว ประเทศจีน ซึ่งเกิดภัยพิบัติบ่อยครั้งและมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ท่านได้ช่วยเก็บศพไปฝังอย่างไม่รังเกียจ ทั้งยังช่วยรักษาโรคและจัดหาอาหาร สิ่งของจำเป็นให้ผู้ยากไร้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในหมู่คนจีนแต้จิ๋วอย่างมาก


 การสร้างศาลเจ้าแห่งนี้เริ่มจากชาวจีนนามว่า เบ๊จุ่นเซียง ได้อัญเชิญรูปจำลองไต้ฮงกงมาจากเมืองแต้จิ๋ว มลฑล

กวางตุ้ง ประเทศจีน เพื่อสักการบูชา โดยในขั้นแรกได้นำไปประดิษฐานไว้ที่บ้านในย่านวัดเลียบ (วัดราชบูรณะ) ต่อมาได้มีผู้เลื่อมใสศรัทธาพากันไปสักการบูชามากขึ้นทุกวัน จึงย้ายไปประดิษฐานไว้ข้างสมาคมกว๋องสิว ถนนเจริญกรุง


เวลาต่อมากลุ่มพ่อค้าคหบดีนำโดยพระอนุวัตรราชนิยม (ฮง เตชะวาณิช หรือ ยี่กอฮง) ได้ดำเนินการจัดซื้อที่ดินเพื่อสร้างศาลประดิษฐานรูปจำลองขององค์ไต้ฮงกง ณ ถนนพลับพลาไชย ข้างวัดคณิกาผล แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ซึ่งนอกจากเป็นศาลเจ้ายังเป็นสถานที่ดำเนินงานสาธารณกุศลต่าง ๆ มาตั้งแต่สมัยเริ่มแรก เช่น เก็บศพไม่มีญาติ แจกยารักษาโรค และช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ ดังมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ในช่วงที่ชาวจีนโพ้นทะเลเดินทางเข้ามายังประเทศไทย “ปอเต็กตึ๊ง” ถือเป็นกลุ่มองค์กรแรก ๆ ที่เข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งสอดคล้องกับหลักปฏิบัติของท่านไต้ฮงกงที่มุ่งช่วยเหลือผู้ยากไร้

ด้วยเหตุที่ยึดมั่นในงานสาธารณกุศลมาโดยตลอด ในปี พ.ศ.๒๔๘๐ ได้ก่อตั้งมูลนิธิชื่อว่า “มูลนิธิฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง” โดยมีสำนักงานอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ นอกจากการช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ แล้ว ยังได้ก่อตั้งโรงพยาบาลและสถานศึกษาคือโรงพยาบาลหัวเฉียวและมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ คำว่า “หัวเฉียว” (華僑) เป็นภาษาจีน หมายถึง ชาวจีนโพ้นทะเลซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการไม่แบ่งแยกว่าเป็นชาวจีนกลุ่มใด หากเป็นการสร้างสำนึกร่วมของชาวจีนทั้งหมด


นอกเหนือจากบทบาทของศาลเจ้าในด้านการสาธารณ-ประโยชน์แล้ว การเกิดขึ้นของศาลเจ้าหลายแห่งในย่านนี้ได้ส่งผลต่อวิถีอาชีพของชุมชนโดยรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ชุมชนเจริญไชย ที่ถูกห้อมล้อมด้วยศาลเจ้าหลายแห่ง รวมถึงวัดมังกรกมลาวาส ทำให้ในชุมชนมีอาชีพสำคัญคือการผลิตและจำหน่ายเครื่องกระดาษสำหรับไหว้เจ้าและใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวจีน


ถึงแม้ว่าปัจจุบันความเปลี่ยนแปลงในย่านนี้กำลังเกิดขึ้น อันมีสาเหตุมาจากการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินที่พาดผ่านถนนเจริญกรุง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในชุมชนและศาลเจ้าเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันยังได้สร้างสำนึกร่วมของชุมชนให้เข้มแข็งมากขึ้นด้วย


อ้างอิง

อู๋จี้เยียะ, ปนัดดา เลิศล้ำอำไพ (บรรณาธิการแปล). ๖๐ ปีโพ้นทะเล.

กรุงเทพฯ : โพสต์บุ๊กส์, ๒๕๕๓.


 

อภิญญา นนท์นาท


อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


コメント


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page