top of page

สถูปเจ้าฟ้าอุทุมพรและลูกหลานชาวโยดะยาในพม่า คุณหมอ ทิน มอง จี

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ธ.ค. 2555


เรื่องราวของสถูปชานเมืองอมรปุระซึ่งตั้งอยู่ในสุสานลินซิน-กอง ใกล้กับปลายด้านหนึ่งของสะพานอูเบงอันโด่งดัง ที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสถูปบรรจุอัฐิของพระมหากษัตริย์จากกรุงศรีอยุธยาก่อนที่จะเสียแก่พม่าเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ อดีตกษัตริย์ผู้ถูกกวาดครัวอพยพไปพร้อมกับคนจากฝั่งสยามอีกไม่น้อย ข้ามเทือกเขารอนแรมไปยังพม่า พระองค์ท่านอยู่ในเพศบรรพชิตจนมรณภาพที่พม่าเมื่อราว พ.ศ. ๒๓๓๙ (จากเอกสารทางฝ่ายพม่าและฝ่ายไทย) แต่หลายคนยังสงสัยว่าสถูปนี้คือที่บรรจุอัฐิของเจ้าฟ้าอุทุมพร ขุนหลวงหาวัด พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาก่อนพระองค์สุดท้าย เจ้าฟ้าเอกทัศน์จริงหรือไม่


เรื่องสถูปเจ้าฟ้าอุทุมพรเป็นข่าวขึ้นมาอีกครั้งราวเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากนโยบายจากเขตปกครองมัณฑะเลย์ดำริให้ปรับปรุงพื้นที่ซึ่งเป็นป่าช้าเก่าชื่อลินซิน-กอง ซึ่งเป็นสถานที่เสื่อมโทรมขั้นสุดยอด มีร่องรอยของที่เก็บศพทั้งเก่าและใหม่ ทั้งแบบจีนและคนท้องถิ่น ตลอดจนศาสนสถานแบบเจดีย์เก่าทรุดโทรมขนาดใหญ่กว่าสถูปองค์นี้ที่น่าจะมีอายุเก่าแก่อยู่ใกล้เคียงอีกแห่งหนึ่งด้วย


จิตรกรรมฝาผนังที่วัดเจาตอจี อีกฝั่งหนึ่งของสะพานอูเบง เป็นรูปวิถีชีวิตและแผนที่ดาวซึ่งน่าสนใจมาก

ภาพที่ฝาผนังนี้บางส่วนเป็นภาพเด็กๆ ไว้ผมจุก ผมแกละ ล้อมวงเล่นสนุกกันบริเวณลานบ้านแบบพม่า

บางท่านสันนิษฐานว่าได้สะท้อนชีวิตวัฒนธรรมแบบสยามอยู่ด้วย


จิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์วัดมหาเตงดอจี ทั้งรูปแบบขนบการเขียนภาพ

และฝีมือช่างคล้ายคลึงกับภาพจิตรกรรมในโบสถ์และวิหารแบบอยุธยา 


บริเวณโดยรอบของที่ตั้งสถูปนี้ ด้านหนึ่งอยู่ติดกับวัดชื่อชเวมอตันเจดีย์ซึ่งเป็นย่านชุมชนของเมืองอมรปุระ ด้านหนึ่งติดกับชายขอบทะเลสาบต่าวตะหมั่น [Taung-tha-man lake] และบริเวณที่ต่อเนื่องกับสะพานอูเบงฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นสะพานไม้ทอดยาว อีกด้านหนึ่งมีวัดเจาตอจีซึ่งเป็นวัดที่มีภาพจิตรกรรมบนผนังและเพดานเป็นรูปวิถีชีวิตและแผนที่ดาวที่น่าสนใจมาก ภาพที่ฝาผนังนี้บางส่วนเป็นภาพเด็กๆ ไว้ผมจุก ผมแกละ ล้อมวงเล่นสนุกกันบริเวณลานบ้านแบบพม่า มีผู้สันนิษฐานหลายท่านว่ารูปแบบการดำเนินชีวิตและการแต่งกายบางอย่างผสมผสานกับแบบพม่า และเสนอกันว่า “น่าจะเป็นการสะท้อนรูปแบบชีวิตบางประการแบบคนโยดะยาที่หลงเหลืออยู่” (คนพม่าเรียกคนไทยทั่วๆ ไปต่อเนื่องจากในอดีตว่าคน โย-ดะ-ยา)


สถูปที่สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าฟ้าอุทุมพร หลังจากถูกนำไปอยู่ที่พม่า

และมรณภาพในเพศบรรพชิต ที่สุสานลินซิน-กอง ชานเมืองอมรปุระ 


เมื่อเปรียบเทียบกับธาตุฝุ่นที่บรรจุอัฐิธาตุของพระครูหลวงโพนสะเม็ก ยาคูขี้หอม ที่จำปาสัก ลาวตอนใต้ จะพบว่าเป็นการทำสถูปรูปบัวที่มักใช้บรรจุอัฐิของพระผู้ใหญ่หรือผู้มีสถานภาพในวัฒนธรรมไต-ลาว

 

คนเฝ้าสุสานแห่งนี้เป็นครอบครัวที่เรียกได้ว่าไร้บ้าน อยู่อาศัยในเรือนไม้เก่าผุพังคร่ำคร่าท่ามกลางกองขยะและดัดแปลงพื้นที่บางส่วนเป็นโรงเลี้ยงหมู หากไม่ใช่ถูกกล่าวขานว่าเป็นสถูปบรรจุอัฐิเจ้าฟ้าอุทุมพรก็คงไม่มีใคร (โดยเฉพาะคนไทย) เข้าไปดูหรือสนใจแต่อย่างใด แต่เธอก็ให้ข้อมูลสำคัญว่า บริเวณนี้จะถูกปรับให้เป็นสวนสาธารณะ โดยการนำเอาที่บรรจุศพทั้งหลายทั้งปวงออกให้หมด ปรับภูมิทัศน์ใหม่ และหลงเหลือไว้แต่เพียงสถูปบรรจุอัฐิและเจดีย์เก่าใกล้เคียงเท่านั้น


แต่ทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังคงเป็นเพียงเรื่องเล่า เพราะหลังจากนั้นได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ในมัณฑะเลย์ท่านหนึ่งที่กล่าวว่า รัฐบาลท้องถิ่นไม่น่าจะมีงบประมาณเพียงพอที่จะบูรณะปรับปรุงพื้นที่แบบนั้นได้ ทางข้าราชการฝ่ายไทยบางคนยังไปปล่อยข่าวว่าจะมีนักการเมืองหนีคดีบางคนเสนอตัวสนับสนุนทางการเงินไปเสียอีก ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าลือไปต่างๆ นานา และไม่เห็นบทสรุปที่ควรจะเชื่อถือว่าจะมีการปรับปรุงภูมิทัศน์หรืออนุรักษ์บริเวณนี้อย่างชัดเจนในขณะนี้แต่อย่างใด


เรื่องเล่าเกี่ยวกับกษัตริย์อยุธยาที่ถูกจับไปเป็นเชลยยังบ้านเมืองพม่าในลุ่มอิระวดี ถือเป็นเรื่องเล่าให้ความรู้สึกเศร้าสะเทือนใจสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ที่ได้ฟังเรื่องราวเช่นนี้ เพราะการเล่าเรื่องในช่วงเสียกรุงฯ ถือเป็นความสะเทือนใจร่วมในการบรรยายภาพประวัติศาสตร์ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ หรือกรณีการพลัดบ้านพลัดเมืองไปอยู่ต่างแดนในฐานะเชลยศึกสงครามหรือผู้อพยพ ไม่ว่ายุคสมัยใดก็สร้างความเห็นอกเห็นใจให้เกิดขึ้นแก่บุคคลที่ได้รับรู้ทั้งฝ่ายที่เป็นผู้พลัดพรากและผู้อยู่ข้างหลัง 


หากตั้งข้อสังเกตโดยเฉพาะในสังคมไทย เรื่องสะเทือนใจในการพลัดพรากเช่นนี้มักถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชาดกนอกพระสูตรทางพุทธศาสนาที่เน้นเรื่องของกรรมในการพลัดพรากจากผู้ที่เป็นที่รัก และต้องจากบ้านจากเมืองดังกล่าว ดังนั้นเรื่องราวของสถูปเจ้าฟ้าอุทุมพรและเรื่องราวของชาวโยดะยาในพม่าจึงสร้างความสนใจแก่คนไทยในปัจจุบันได้อย่างมากมาย


คนไทยสะเทือนใจกันง่ายๆ เมื่อรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ผ่านการสื่อสารที่อาจจะสร้างเน้นการบอกเล่าแบบนี้ หรือเติมแต่งให้กลายเป็นข่าวเชิงประวัติศาสตร์แบบตำนานที่ใช้ “ความเชื่อ” มากกว่าจะพิสูจน์หาหลักฐานหรือข้อเท็จจริง


สถูปเจ้าฟ้าอุทุมพร การสำรวจและสันนิษฐานจากนายแพทย์ทิน มอง จี

เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นจากการสำรวจของนายแพทย์ผู้สมัครจะเป็นนักวิชาการทางสังคมศาสตร์หลังเกษียณอายุชื่อ “นายแพทย์ทิน มอง จี” [Dr.Tin Maung Kyi] ที่อ้างอิงว่าค้นพบสถูปองค์นี้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๐ ความที่เป็นคนสายเลือดสืบมาจากกลุ่มชาวโขนละครจากราชสำนักอยุธยาที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ไม่ไกลจากกำแพงพระราชวังมัณฑะเลย์ โดยคุณปู่มักบอกเล่าเรื่องราวภายในครอบครัวที่ถูกบอกเล่าสืบต่อมาให้ท่านฟัง และกล่าวว่า “อย่าลืมว่าเธอเป็นคนไทย” ในขณะที่คุณพ่อของคุณหมอไม่สนใจเลย  


การเป็นคนไทยของบริบทของคุณปู่คุณหมอนั้นไม่ใช่เรื่องของชาตินิยมแบบที่คนไทยทุกวันนี้ชอบสรุปกัน เพราะท่านเพียงจะบอกว่า “อย่าหลงลืมรากเหง้าของพวกเรา” คงเหมือนกับเรื่องเล่าในครอบครัวอีกหลาย ๆ ครอบครัว


แม้จะเป็นหมอมากว่า ๒๗ ปี และเกษียณอายุเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ จึงเปลี่ยนมาทำงานเป็นนักวิชาการศึกษาด้านพม่าและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาเต็มตัว ได้รับเชิญไปเสนองานวิจัยในต่างประเทศหลายแห่ง และได้รับเชิญจาก SPAFA  มาทำงานที่กรุงเทพฯ ระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๐๓-๒๐๐๗ ปัจจุบันคุณหมออายุ ๗๔ ปีแล้ว


คุณหมอเขียนบทความสั้นๆ เรื่องการสำรวจสถูปที่สุสานลินซิน-กอง เรื่อง “A Thai King’s Tomb” และนำไปรวมพิมพ์ไว้ในหนังสือ “The various facets of Myanmar” ซึ่งปัจจุบันพิมพ์ครั้งที่ ๒ แล้ว จากนั้นราว พ.ศ. ๒๕๓๘ มัคคุเทศก์ชาวพม่าก็นำมาเล่าและนำคนไทยบางกลุ่มไปชมตามรอยและสู่การรับรู้ของไกด์ชาวไทย และคนไทยตื่นเต้นมากในช่วงเวลานั้น โดยใช้คำบอกเล่าจากชาวบ้านและพระสงฆ์ในบริเวณใกล้เคียงที่บอกแต่เพียงว่า “นี่คือสถูปบรรจุอัฐิของกษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่ง” โดยไม่มีจารึกอื่นใดระบุการยืนยันไปมากกว่านี้ 


ส่วนเอกสารสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่ระบุว่าเป็นภาพเจ้าฟ้าอุทุมพร (ที่เขียนว่าเจ้าฟ้าเอกทัศน์) ทรงเครื่องกษัตริย์ ที่พบจากเอกสารชเว-นัน-เล-ทง [Shwe-nan-let-thone] แต่เป็นฉบับที่ถูกคัดลอกต่อมาเมื่อราว พ.ศ.๒๔๓๗ จากต้นฉบับจริง ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ห้องสมุดอาณานิคมในกรุงลอนดอน มีการเขียนข้อความใต้รูปบุคคล คุณหมอแปลจากภาษาพม่าเก่าแบบบรรทัดต่อบรรทัดความว่า


“ผู้ก่อตั้งที่สามแห่งรัตนปุระ (อังวะ) และพระเจ้าช้างเผือก

ต่อสู้และชนะอโยธยา,

กับกษัตริย์


กษัตริย์ถูกนำตัวมาที่นี่ ในช่วงการครองราชย์ของพระเชษฐาของพระองค์ (กษัตริย์บาดุง)


กษัตริย์ (ไทย) ขณะอยู่ในสมณเพศ, มรณภาพที่อมรปุระ ที่ลินซิน-กอง


สุสาน, พระองค์ถูกบรรจุ/เผาพระศพด้วยสมพระเกียรติในความเป็นเชื้อพระวงศ์ 


นี่คือภาพของเจ้าฟ้าเอกทัศน์”


คุณหมอทิน มอง จี ผู้อุทิศตัวให้กับการศึกษาสำรวจทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ท่านมีเชื้อสายชาวโขนละครจากราชสำนักอยุธยา และได้รับการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ สืบต่อมาจากปู่และศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง


ภาพวาดในเอกสารเก่าที่เขียนบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าฟ้าอุทุมพรที่มีข้อผิดพลาดบางประการ แต่เนื้อความกล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของเจ้าฟ้าอุทุมพรในพม่าและการปลงพระศพที่สุสานลินซิน-กอง


ตรงนี้คุณหมอสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นความเข้าใจผิดเรื่องชื่อที่ปรากฏ เพราะควรเป็นชื่อของเจ้าฟ้าอุทุมพร เนื่องจากในประวัติศาสตร์พม่าและประวัติศาสตร์ไทย กษัตริย์จากกรุงศรีอยุธยาองค์สุดท้ายสวรรคตที่กรุงศรีอยุธยานั่นเอง


และเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ที่เพิ่งผ่านมา คุณหมอพบหญิงชราอายุ ๑๐๑ ปีที่เล่าให้ฟัง ยืนยันในสมมติฐานของคุณหมอว่า เธอทราบเรื่องราวของสถูปที่สุสานลินซิน-กอง ถูกบอกเล่าต่อกันมาว่าบรรจุอัฐิของกษัตริย์ไทยมาตั้งแต่เธอเรียนหนังสือในโรงเรียน บ้านของเธออยู่ที่ซิน-ชเว-พุท ที่อยู่ห่างจากบริเวณนี้เพียงราว ๖๐๐ เมตร


สำหรับฝ่ายไทย เรื่องเล่าของเจ้าฟ้าอุทุมพรเสด็จสวรรคตที่พม่านี้ เมื่อคราวสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จพม่า ทรงปรารภเรื่องข่าวการพบสถานที่เก็บอัฐิพระเจ้าแผ่นดินสยามที่แพร่เข้ามาในสยามราวรัชกาลที่ ๕ ซึ่งท่านนึกไปถึงเจ้าฟ้าอุทุมพร แม้จะทรงสอบถามตลอดการเดินทางจากย่างกุ้งไปอมรปุระและมัณฑะเลย์ที่ปรากฏในหนังสือ “เที่ยวเมืองพม่า” ก็ไม่มีใครทราบเรื่องดังกล่าว 


ส่วนบทความของอาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ที่อ่านงานเขียนของคุณหมอทิน มอง จี ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรมเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๔๕ และคงได้เคยไปเห็นสถูปองค์นี้ที่เมืองอมรปุระแล้วสรุปว่า ไม่เชื่อว่าเป็นสถูปบรรจุอัฐิของเจ้าฟ้าอุทุมพรตามสมมติฐานของคุณหมอทิน มอง จี 


อาจารย์พิเศษไม่เห็นว่าสถูปนี้ควรตั้งอยู่ที่อมรปุระ เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ ระบุว่ามีการย้ายเชลยมาอยู่ที่อมรปุระซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งขึ้นภายหลังเสียกรุงฯ ราว ๑๐ กว่าปี อีกทั้งสภาพของสถูปทั้งรูปทรงและลวดลายไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับศิลปะอยุธยาแต่อย่างใด 


อาจารย์พิเศษเห็นว่าข้อมูลที่ทำให้เชื่อกันว่าสถูปดังกล่าวเป็นสถูปบรรจุอัฐิเจ้าฟ้าอุทุมพร เป็นเพียงข้อมูลจาก “คำบอกเล่า” ของชาวบ้านในท้องถิ่นที่พูดกันปากต่อปากว่าเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่งเท่านั้น ส่วนเรื่องราวที่ปรากฏในข้อเขียนของคุณหมอทิน มอง จี อาจารย์พิเศษเห็นว่าเป็นการปะติดปะต่อเรื่องราวให้เติมแต่งกันทั้งเอกสารฝ่ายพม่าและฝ่ายไทยเท่าที่มีการแปลออกเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น  


สำหรับสถูปทรงดังกล่าวนี้ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม แนะนำให้ไปเปรียบเทียบกับสถูปรูปยอดบัวที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก อันเป็นที่บรรจุอัฐิธาตุของพระครูหลวงโพนสะเม็กหรือ “ยาคูขี้หอม” ที่วัดธาตุฝุ่น เมืองจำปาสักทางเขตลาวตอนใต้ ลักษณะสถูปที่บรรจุอัฐิธาตุของพระสงฆ์ผู้ใหญ่ของคนสองฝั่งโขงมีรูปแบบแทบจะเหมือนทั้งหมด หรือคล้ายคลึงจนกล่าวได้ว่าน่าจะมีวิธีคิดและความตกผลึกในทางวัฒนธรรมจากแหล่งที่มาที่ใกล้เคียงหรือในกลุ่มเดียวกัน


การใช้สถูปที่บรรจุอัฐิธาตุของบรรพบุรุษเป็นรูปยอดบัวและตัวเรือนเป็นเสารูปกลมหรือสี่เหลี่ยม ไม่ใช่เป็นเรื่องประหลาดแต่อย่างใดในสังคมการปลงศพและบูชาบรรพบุรุษหรือผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้วในสังคมไต-ลาวที่นับถือพุทธศาสนา ดังที่พบสถูปบรรจุอัฐิของพระสงฆ์ผู้ใหญ่ของชุมชนในวัดทางอีสานหลายแห่ง เช่นที่วัดเก่าแก่แบบคนลาวบ้านลุมพุก อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งอยู่ในกลุ่มคนเชื้อสายเขมรเป็นส่วนใหญ่ ก็มีการสร้างสถูปบรรจุอัฐิธาตุของพระผู้ใหญ่ของชุมชนแบบดั้งเดิม และรูปแบบสถูปเป็นแบบคู่สองแห่ง รูปแบบเช่นนี้พบคล้ายคลึงกับการทำสถูปคู่ทำจากหินทรายที่เชิงเขาทางฝั่งไทย ก่อนทางขึ้นปราสาทพระวิหารเช่นกัน


“การเข้าบัว” เป็นประเพณีบูชาบรรพบุรุษที่สำคัญอย่างหนึ่งทางภาคใต้ “บัว” คือสถูปที่บรรจุกระดูกของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วในตระกูลต่างๆ การใช้สัญลักษณ์เป็นรูปดอกบัวในการบรรจุอัฐิธาตุไว้สำหรับบูชานั้น จึงเป็นพื้นฐานของสังคมทางพุทธศาสนาแบบไต-ลาว ที่รวมไปถึงวัฒนธรรมการบูชาบรรพบุรุษของผู้นับถือพุทธศาสนาทางคาบสมุทร รูปแบบสถูปบรรจุอัฐิเช่นนี้คงไม่พบในสังคมการปลงศพแบบพม่าหรือทางมอญ จึงถูกกล่าวว่า รูปแบบของสถูปที่ค้นพบไม่เหมือนกับสถูปหรือเจดีย์อื่นใดในกลุ่มเมืองเก่า เช่น สะกาย อังวะ อมรปุระ หรือมัณฑะเลย์  


คุณหมอทิน มอง จี ก็ไปสันนิษฐานว่า รูปแบบของเจดีย์นี้เป็นเสมือนแท่งเขาพระสุเมรุที่มีสัตว์หิมพานต์เฝ้าที่เชิงฐาน ซึ่งท่านเคยเห็นเพียงครุฑกับนาคเท่านั้น แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบสัญลักษณ์ของการเป็นสถูปรูปดอกบัวที่ยอดแต่อย่างใด


แต่ถ้าเราพิจารณาไปถึงรูปแบบของสถูปที่คล้ายคลึงกับธาตุฝุ่นที่บรรจุอัฐิธาตุของพระครูหลวงโพนสะเม็กในจำปาสักแล้ว เราก็อาจเห็นภาพของสังคมของพม่าในราชวงศ์อลองพญาหรือคองบองที่ประกอบไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์จากผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมาพร้อมกับการสงครามไม่แตกต่างไปจากสังคมสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือกรุงเทพฯ ที่ประชากรส่วนหนึ่งประกอบจากกลุ่มผู้คนหลากชาติพันธุ์และความเชื่อเช่นเดียวกัน และในกลุ่มหลากหลายชาติพันธุ์นั้นก็ยังคงการสร้างสรรค์หรือถูกกลืนกลายตามสถานการณ์แวดล้อมต่างๆ ของบ้านเมืองแต่ละแห่ง 


โอกาสที่สถูปบรรจุอัฐิขนาดใหญ่รูปบัวที่พบในสุสานลินซิน-กอง ชานเมืองอมรปุระ ริมชายฝั่งของทะเลสาบ จะเป็นของพระผู้ใหญ่หรือผู้มีสถานภาพในกลุ่มชาวไต-ลาว ที่อาจจะเป็นชาวล้านช้างที่คนพม่าเรียกว่า เลิง-ซิง หรือคนจากอยุธยาก็ถือว่าเป็นไปได้สูง 


เพราะเช่นที่เมืองสะกายใกล้กับวัดมหาเตงดอจี ซึ่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งรูปแบบขนบการเขียนภาพและฝีมือช่างคล้ายคลึงกับภาพจิตรกรรมในโบสถ์และวิหารแบบสยาม แม้ชุมชนชาวอโยธยาไม่เหลืออยู่แล้ว แต่ก็มีชาวบ้านที่ถูกเรียกว่าเลิง-ซิง หรือชาวล้านช้างที่อาศัยไปทำบุญที่วัดของคนมอญที่อยู่ใกล้เคียง 


เอกสารทางฝ่ายไทยรับรู้กันว่า “เมืองสะกาย” หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อเมืองจักกายบ้าง เมืองสแคงบ้าง เป็นบริเวณที่คนไทยสมัยกรุงแตกถูกกวาดต้อนไปอยู่อาศัยที่นี่ แต่ทุกวันนี้ร่องรอยของชุมชนคนอโยธยาที่สะกายแทบไม่พบเห็นและไม่มีรายงานยืนยันว่าคนไทยอยู่ที่สะกายดังที่เราเข้าใจกัน


เมืองอมรปุระสร้างหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาราว ๑๕ ปี และจดหมายเหตุบันทึกไว้ว่า เจ้าฟ้าอุทุมพรสวรรคตในสมณเพศเมื่อราว พ.ศ. ๒๓๓๙ มีการปลงพระศพที่สุสานลินซิน-กอง ก็อาจจะเป็นสุสานหลวงที่เผาศพของพระผู้ใหญ่หรือผู้มีสถานภาพทางสังคมที่คนพม่าให้ความนับถือ อาจจะมากพอๆ กับชาวบ้านผู้ถูกกวาดต้อนอพยพมาในช่วงนั้น ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ทั้งชาวล้านช้างหรือชาวอโยธยา โดยการบรรจุอัฐิธาตุภายในสถูปองค์ที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้


ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพระสถูปของเจ้าฟ้าอุทุมพรหรือไม่ คงไม่สามารถพิสูจน์อย่างแน่ชัดไปได้มากกว่านี้้ เพียงสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นสถูปบรรจุอัฐิธาตุของบุคคลผู้มีความสำคัญในช่วงเวลานั้น ที่อาจจะเป็นชาวล้านช้างหรือชาวโยดะยาที่ถูกกวาดต้อนมากับการสงครามในสมัยราชวงศ์อลองพญาอย่างชัดเจน ซึ่งไม่สมควรถูกทุบรื้อทิ้งหรือทำลายไป และต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมสุดขีดนี้เสียใหม่ จะเป็นความร่วมมือกันระหว่างรัฐฐานของสองประเทศก็สมควรจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในขณะนี้


ร่องรอยของคนพม่าเชื้อสายโยดะยา

สิ่งที่น่าสนใจศึกษาไม่เพียงจบลงที่การพิสูจน์ว่าสถูปนี้บรรจุอัฐิธาตุของเจ้าฟ้าอุทุมพรในขณะเป็นสมณเพศจริงหรือไม่เท่านั้น  คุณหมอทิน มอง จี ยังเสนองานค้นคว้าสำรวจเรื่องราวทางวัฒนธรรมของคนเชื้อสายโยดะยาในท้องถิ่นแถบลุ่มอิระวดีนี้ต่อไป และเตรียมจัดพิมพ์เป็นหนังสือถ้าคนไทยสนใจและมีผู้จัดพิมพ์หนังสือเผยแพร่ในประเทศไทยให้


โดยกล่าวว่าพระเจ้ามังระ [King Hsin-byu-shin] ผู้เข้าตีกรุงศรีอยุธยากวาดต้อนผู้คนตามรายทางทั้งเมืองระแหง สุโขทัย พิษณุโลก รวมทั้งชาวโยนทางเชียงใหม่ไปยังอังวะ และแยกกลุ่มออกเป็นหลายกลุ่ม โดยพระราชทานที่ดินสร้างบ้านเรือนหลายแห่ง พวกที่เป็นศิลปินและนาฏศิลป์มักจะตั้งถิ่นฐานไม่ไกลจากเมืองอังวะเท่าใดนัก ซึ่งสามารถเดินทางติดต่อค้าขายถึงกันทางเรือในลำน้ำชเว-ตะ-จอง [Shwe-ta-chaung] คลองขุดที่ขนานไปกับแม่น้ำอิระวดี และคุณหมอพบร่องรอยที่น่าจะเป็นชุมชนชาวโยดะยาในอดีตหลายแห่งตั้งอยู่ริมลำน้ำนี้ น่าเสียดายที่เส้นทางน้ำสายนี้กลายเป็นคลองน้ำเสียและแคบจนหมดสภาพไปแล้ว


สิ่งที่เป็นร่องรอยให้น่าขบคิดก็คือ ชุมชนที่น่าจะเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวโยดะยามักมีการสร้างพระเจดีย์ทรายขนาดย่อมๆ และมีประเพณีฉลอง ปัจจุบันยังคงพบเห็นได้เพราะถูกรักษาด้วยการสร้างเจดีย์แบบแข็งแรงคลุมอีกชั้นหนึ่ง และถือเอาช่วงวันวิสาขบูชาเป็นช่วงเวลาทำพิธีกรรม 


อีกร่องรอยที่เหลืออยู่คือการบูชาศาลพระราม [Rama shrine] หรือที่คนพม่าเรียกว่า “ยามะ” (หมายถึงรามายณะหรือรามเกียรติ์) คุณหมอทิน มอง จี เห็นว่าศาลพระรามคือส่วนสำคัญในการสืบค้นว่า ผู้คนในบริเวณที่อยู่อาศัยใกล้เคียงนั้นเคยเป็นชาวโยดะยาหรือไม่ ท่านพบศาลยามะเป็นศาลาไม้โถงขนาดย่อมๆ ที่ “ทาดา-โอ” [Tada-Oo] ในบริเวณเมืองอังวะตรงข้ามฝั่งเมืองสะกาย อีกแห่งหนึ่งเป็นศาลพระรามที่เมืองอมรปุระทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบต่าว-ตะ-หมั่น ใกล้กับที่ตั้งของเจดีย์ [Pa-hoo-daw-gyi] แม้จะเป็นศาลเล็กๆ ในทุกวันนี้ แต่ก็มีการสืบทอดรักษาแบบดั้งเดิม โดยไม่มีเรื่องของไสยศาสตร์ให้แก่ผู้ที่มาเคารพกราบไหว้เลย 


แถบนอกกำแพงพระราชวังมัณฑะเลย์เป็นถิ่นที่อยู่ของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์มาแต่ดั้งเดิม พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์อลองพญาพระราชทานพื้นที่ว่างริมคลองขุดชเว-ตะ-จอง [Shwe-ta-chaung] ให้เป็นที่อยู่อาศัยแก่ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมาเพราะการสงครามตั้งแต่ยังไม่สร้างเมืองมัณฑะเลย์ และเมื่อสร้างเมืองในปี พ.ศ. ๒๔๐๐ โดยกษัตริย์มินดง บริเวณนี้จึงกลายเป็นย่านเมืองไป หนึ่งในกลุ่มนั้นคือชุมชนชาวโขนละครจากอยุธยาที่มาอยู่อาศัยบริเวณระหว่างบล็อกของถนน ๘๓ ถนน ๒๙ และถนน ๓๐ ในปัจจุบัน 


แต่ชาวบ้านปัจจุบันที่บริเวณตลาดโยดะยาเก่าซึ่งยังคงมีศาลยามะตั้งอยู่ ส่วนวัดของชุมชนซึ่งมีพระเจดีย์เรียงกันสามองค์ และยังพอเห็นร่องรอยของการทำให้เป็นพระเจดีย์องค์ระฆังขนาดใหญ่ที่ดูแปลกไปบ้างจากเจดีย์ขนบธรรมเนียมนิยมแบบพระธาตุมุเตาหรือแบบมอญที่มักพบเห็นทั่วไป ตรงนี้ไม่แน่ใจนักว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างพระเจดีย์สามองค์ตามแบบวัฒนธรรมสยามอย่างไร


ในศาลยามะมีการวางเศียรพระฤาษีอยู่ด้านขวามือสุด ลำดับต่อมาคือพระราม พระลักษมณ์ นางสีดา และหนุมาน ทั้งหมดเห็นว่าเป็นของที่สร้างขึ้นใหม่และพยายามเลียนแบบของดั้งเดิมที่เป็นหัวโขนในวัฒนธรรมการบูชาครูโขนละครแบบสยามนั่นเอง ศาลที่นี่ยังคงอยู่ แต่ชาวบ้านซึ่งเป็นคนเชื้อสายจากโยดะยาไม่มีอยู่แล้ว สอบถามได้ว่าเป็นคนจากที่ต่างๆ ที่เข้ามาอยู่ใหม่เมื่อราวก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เล็กน้อย  ปลูกบ้านเรือนล้อมรอบอย่างหนาแน่น ผู้คนที่นี่ยังบำรุงรักษาศาลยามะและเปลี่ยนจากศาลาไม้มาเป็นศาลาก่ออิฐถือปูน และวางลำดับรูปแบบเศียรที่น่าจะเกี่ยวเนื่องกับหัวโขนเหมือนกับศาลพระรามซึ่งพบที่อื่น ๆ 


ศาลยามะหรือศาลพระรามที่คุณหมอทิน มอง จี กล่าวถึงมีรูปแบบคล้ายคลึงกัน คือบูชาหัวโขนทั้งห้าแบบ ซึ่งเป็นตัวละครจากเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งทางฝ่ายไทยมักจะเห็นการบูชาหัวโขนจากตัวละครที่สำคัญๆ นี้จากพิธีไหว้ครูและการครอบครูโขนละคร ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่มีแบบแผนเฉพาะและมักถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด การครอบครูโขนละครของฝ่ายนาฏศิลป์ไม่นิยมให้ตัวละครเช่น ลิง ยักษ์ นาง เป็นผู้ทำพิธีครอบ โดยส่วนใหญ่จะใช้เศียรของครูหรือที่เรียกกันว่า “พ่อแก่” หรือพระพรตมุนี (มหาฤาษีผู้แต่งตำรารำฟ้อน) หรือเทริดพระพิราพมาครอบให้ลูกศิษย์เพื่อเป็นสิริมงคล ทางฝ่ายไทยเชื่อว่าผู้ที่ผ่านพิธีครอบครูจะได้รับความคุ้มครองดูแลจากครู และครูจะอยู่ช่วยเหลือให้ศิษย์มีความจำในกระบวนการรำ จังหวะดนตรี หากมีสิ่งใดที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นกับศิษย์ ครูจะช่วยปัดเป่าให้ผ่านพ้นไป


การแสดงรามายณะในพม่านั้นมีการศึกษาและพบว่าได้รับอิทธิพลจากราชสำนักอยุธยาอย่างชัดเจน วรรณคดีที่รู้จักกันดีในพม่าเรื่อง “รามา สะ-กาน” [Rama sa-khyan] น่าจะประพันธ์ขึ้นในราว พ.ศ. ๒๓๑๘ โดย อู ออง เพียว [U aung Phyo] และยังมีวรรณคดีและระบำละครจากรามายณะอีกหลายเรื่องที่พัฒนาขึ้นในยุคสมัยนี้ ในสมัยราชวงศ์อลองพญาหรือคองบอง หลังจากมีการกวาดต้อนชาวโขนละครจากราชสำนักอยุธยามาที่พม่านี้ และดังเราได้เห็นร่องรอยของศาลยามะที่เหลืออยู่หลายแห่งดังกล่าว 


เรื่องของศาลยามะนี้แตกต่างไปจากศาลนัตที่ชาวพม่านับถือกันอยู่ เพราะนัตที่ชาวบ้านนับถือนั้นเคยมีชีวิตอยู่จริง แต่ประสบเคราะห์ร้ายตายอย่างผิดปกติ และต่อมาชาวบ้านตลอดจนชาวเมืองจึงนับถือยกขึ้นเป็นนัตของท้องถิ่นต่าง ๆ ส่วนศาลยามะบางแห่งก็ยังคงแบบดั้งเดิม คือไม่มีการไปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ


นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงกันที่เรียกว่าเขตเมงทา สุ [Mintha-Su Quarter] ที่หมายถึง “ย่านเจ้าฟ้า” ซึ่งคุณหมอทิน มอง จี สันนิษฐานว่าเป็นกลุ่มชุมชนที่อยู่อาศัยสำหรับเชื้อพระวงศ์จากโยดะยาได้รับพระราชทานที่ดินในพื้นที่กว้างขวางพอควร เพราะมีสถานที่หนึ่งซึ่งคุณหมอวิเคราะห์ว่าเป็นคำที่มีความหมายว่า “พระองค์ท่าน” ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในระหว่างกษัตริย์ด้วยกัน  [Ah-kyi-daw-min Win] ปัจจุบันบริเวณนี้อยู่ทางด้านหนึ่งของถนนสาย ๘๔ และผู้ครอบครองที่ดินหลังจากนั้นบริจาคให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนประถมศึกษาหมายเลข ๒๑ และเมื่อ ๒๐ ปีก่อน เล่ากันว่าเคยขุดพบเศษภาชนะที่มีการเขียนอักษรไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีสะพานระแหงที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นสะพานชเวดอง [Shwe-don bridge] ตลาดระแหงก็เปลี่ยนชื่อเป็น แมง เมียว เซ [Man-myo-Zay]

 

ภาพวาดแผนที่แสดงตำแหน่งที่สันนิษฐานจากการก่อเจดีย์ทรายในชุมชนที่คาดว่าน่าจะเคยมีชาวโยดะยาอยู่อาศัยตลอดลำคลองชเว-ตะ-จอง [Shwe-ta-chaung] ภาพจากการวาดของคุณหมอทิน มอง จี


ศาลยามะหรือศาลพระรามที่มีการทำหัวโขนจำลองที่เป็นรูปพระมหาฤาษี พระราม พระลักษมณ์ นางสีดา

และหนุมาน พร้อมเครื่องบูชา ที่ย่านชาวโยดะยาเก่าในเมืองมัณฑะเลย์


คนเชื้อสายของชาวโยดะยาในสถานที่เหล่านี้ส่วนใหญ่ย้ายออกและผสมปนเปไปกับชาวพม่าในมัณฑะเลย์ กระนั้นก็ตาม อย่างน้อยก็ยังมีผู้ที่ยังจดจำเรื่องราวในวงศ์ตระกูลและเล่าสืบต่อกันมา เช่น ครอบครัวของคุณหมอที่คุณปู่เป็นผู้เล่าเรื่องผ่านจากรุ่นปู่สู่รุ่นหลาน และยังมีการจารึกข้อความลงบนแผ่นหินเก็บไว้ที่เจดีย์ทรายมหาวาลุกะ [Maha Valuka Sand Pagoda] ในเขตเมงทาสุเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๔ ข้อความในจารึกกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนชาวโยดะยาอย่างย่อ ๆ ว่า


“ราว พ.ศ. ๒๓๑๐ พระเจ้าช้างเผือกตั้งพระนครอยู่ที่เมืองอังวะ เมื่อชาวเชลยจากอยุธยา สุโขทัย และเชียงใหม่ถูกจับกุมมาที่นี่ รวมทั้งพระราชวงศ์ ขุนนางต่างๆ ก็ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ห่างจากนครอังวะ ที่ระแหงและเมงทา ซู ใกล้กับคลองที่เรียกว่าชเว ตะจอง  รวมทั้ง “เจ้าฟ้าดอก” กษัตริย์ผู้ต้องนิราศจากราชบัลลังค์ พระองค์อุปสมบทเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ที่วัดพังเลไต [Paung Le Tike] และสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๙


คลองชเวตะจองเป็นคลองขุดโดยขุนนางรักษาวังหน้าในรัชกาลพระเจ้าปดุง ลำน้ำไหลจากเมืองมัณฑะเลย์ลงสู่ทะเลสาบเต๊ด เต [Tet Thay] ที่เมืองอมรปุระ และเคยถูกเรียกว่า Ne Kotho (ซึ่งคุณหมอสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นภาษาไทย)


พระเจ้าปดุงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้คนเชื้อสายไทยสร้างพระเจดีย์ทรายตลอดริมคลองชเวตะจองตามคำขอของพระภิกษุเจ้าฟ้าดอก เป็นผู้นำในการก่อสร้างทุกปีไม่เคยขาดที่มหาวาลูกะ [Maha Valuka] พระเจดีย์ทราย และเริ่มกลายเป็นประเพณีปฏิบัติในการบูชาสืบมา


เมื่อพระเจ้ามินดงผู้สร้างเมืองมัณฑะเลย์ขึ้นครองราชย์ ก็มีพระบรมราชานุญาตให้มีการจัดฉลองที่ตลาดระแหงและจัดงานรื่นเริง สืบเนื่องจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน ผู้เฒ่าผู้แก่ในเขตนี้ก็เป็นผู้นำในการจัดงานฉลองและงานบูชาพระเจดีย์ทรายนี้ เช่น พ่อเฒ่า Poh tun Kyaw ซึ่งเป็นผู้นำในการทำพิธีกรรมจนอายุถึง ๑๐๐ ปี และตายในปี พ.ศ. ๒๕๑๓


เจดีย์ทรายสูงจากพื้นราว ๒๕ ฟุต ทำจากทรายและสร้างเสร็จภายในหนึ่งวัน เริ่มทำประเพณีนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๗ จนถึงวันที่จารึก พ.ศ. ๒๕๒๗ จึงครบ ๒๐๐ ปี การจารึกนี้เพื่อเฉลิมฉลองครบ ๒๐๐ ปี ทุกผู้ทุกคนโมทนาสาธุมา ณ ที่นี้”


เรื่องของสถูปองค์หนึ่งซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่ามีความสำคัญต่อคนไทย ตั้งอยู่กลางสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมเช่นนี้ และอยู่ในเขตพื้นที่การท่องเที่ยวชานเมืองอมรปุระที่มีคนไทยเข้าไปเยี่ยมชมอยู่เสมอ การบูรณะหรือปรับสภาพพื้นที่เพื่อดูแลรักษา ไม่ว่าจะเป็นสถูปบรรจุอัฐิของอดีตพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งแห่งอยุธยาหรือไม่ก็ตาม ก็สมควรทำอย่างยิ่ง ทางรัฐบาลไทยควรช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของมัณฑะเลย์ปรับปรุงบูรณะพื้นที่ดังกล่าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือประชาชนต่อประชาชน ที่ดูจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเสียมากกว่ารัฐเสียอีก


เพราะสถูปบรรจุพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ไทยที่พระนครศรีอยุธยาทุกวันนี้ คนไทยยังไม่ทราบว่าเป็นองค์ใดหรืออยู่ที่ใด หรือถูกทำลายไปแล้ว ทั้งที่เป็นผืนแผ่นดินของตนเองด้วยซ้ำ ดังนั้นการบูรณะสถูปองค์หนึ่งในประเทศพม่าที่ไม่ว่าจะจริงเท็จประการใดก็ควรทำเพื่อความรู้สึกที่ดี และความสัมพันธ์ในฐานะบ้านเมืองที่มีความสัมพันธ์ร่วมกัน


แต่สิ่งที่น่าทำอย่างต่อเนื่องเพิ่มเติมไปอีกคือ รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักผู้คนที่มีความหลากหลายความเป็นมา และส่วนหนึ่งยังคงมีเยื่อใยต่อรากเหง้าแห่งอดีตของตน เหมือนที่คุณหมอทิน มอง จี แห่งมัณฑะเลย์ที่ใช้ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปกับการค้นคว้าศึกษาสิ่งเหล่านี้ท่ามกลางความเข้มงวดกวดขันของรัฐบาล


พวกเราชาวสยามที่มีโอกาสในการศึกษาค้นคว้าอย่างเต็มที่ และแทบจะสำลักอิสรภาพในการพูด อ่าน เขียน ก็น่าจะใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่ คุณค่าของการพบประเด็นสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเราจึงจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่เรื่อง “ใช่”  หรือ “ไม่ใช่” เพียงเท่านั้น


 

วลัยลักษณ์  ทรงศิริ


(เนื่องจากผู้เขียนไม่สามารถอ่านภาษาพม่าอย่างถูกต้องได้ ดังนั้นชื่อบุคคลและชื่อสถานที่ในภาษาพม่าจึงถอดเสียงอย่างไม่เป็นระบบและเท่าที่พอจะรับรู้ได้เท่านั้น จึงไม่ควรอ้างอิงชื่อในภาษาพม่าตามที่ปรากฏในบทความนี้ - ผู้เขียน)


อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page