top of page

สนทนาเรื่องศาสนาพราหมณ์ที่โบสถ์พราหมณ์เสาชิงช้า กับพราหมณ์ตรัณ บุรณศิริ

จารุวรรณ ด้วงคำจันทร์

อัปเดตเมื่อ 13 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 26 ก.ย. 2560

เทวสถานหรือโบสถ์พราหมณ์พระนครรวมทั้งเสาชิงช้า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๗ หลังจากการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ หรือ กรุงเทพฯ ได้ ๒ ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญสำหรับพระนคร สังเกตได้ว่าพื้นในโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้จะต่ำกว่าพื้นถนน เพราะพื้นของตึกทั้งหมดสร้างขึ้นด้วยท่อนซุงขัด ไม่มีการตอกเสาเข็มลงไป ฉะนั้นจึงไม่สามารถดีดพื้นขึ้นมา



หากเข้าไปอ่านในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน จะเห็นว่าโบสถ์พราหมณ์มีบทบาทในการประกอบพิธีกรรมทั้งสิบสองเดือน หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองมาจึงได้ลดบทบาทลงเหลือเพียงพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย เชิญพระอิศวรและพระนารายณ์มาสู่โลกมนุษย์ ทำในช่วงพิธีปีใหม่ของพราหมณ์ มีการทำพิธีโล้ชิงช้า ซึ่งปีนี้จะตรงกับวันที่ ๒๖ ธันวาคม นี้


ศาสนาพราหมณ์ที่แผ่อิทธิพลในไทย เริ่มต้นเมื่อ ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปี ก่อน พุทธกาลเรียกว่า “สนาตนธรรม” คือ ธรรมอันเป็นนิตย์ไม่สิ้นสุดทำอยู่ตลอดเวลา นั่นคือชื่อที่ใช้เริ่มแรก หลังจากนั้นมาประมาณ ๒,๐๐๐ ปี ได้เปลี่ยนเป็น “ไวทิกธรรม” คือ ธรรมที่นับถือพระเวทเป็นใหญ่ หลังจากนั้นอีก ๑,๐๐๐ กว่าปี เปลี่ยนมาเป็น “พราหมณธรรม” คือ ธรรมที่มีพราหมณ์เป็นผู้เผยแผ่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานิกายต่าง ๆ ก็ได้เกิดขึ้นมากมาย เพราะในอินเดียนั้นมีพราหมณ์เป็นใหญ่ จึงนำเอาความเชื่อของตนเองออกมาเผยแผ่สร้างเป็นนิกายแบบต่าง ๆ ทำให้พราหมณ์ยุคโบราณรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ผิดแบบแผนจารีตและธรรมะของพราหมณ์ นั่นคือพระเวททั้งสี่เล่มได้แก่ ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และอาถรรพเวท


จากนั้นพราหมณ์รู้สึกว่ามีนิกายต่าง ๆ มาก จึงมีการขยายออกมาทางอินเดียใต้ล่องเรือออกมาทางชวา มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมไปถึงอาณาจักรจามในเวียดนามแผ่อิทธิพลเข้ามาในขอบเขตเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่เป็นเอกเทศนั่นคือ “อาณาจักรศรีวิชัย” เมื่อเผยแผ่ศาสนาเข้ามายังภูมิภาคต่าง ๆ แล้ว เกิดการรวมวัฒนธรรมระหว่างพราหมณ์เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น จึงเกิดความเชื่อต่าง ๆ ขึ้นมา เช่น ศาลพระภูมิ ที่ไม่ใช่วัฒนธรรมพราหมณ์หรือพุทธเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการรวมกันทางวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เกิดเป็นสิ่งเฉพาะ ผ่านผู้ที่มีความรู้ความสามารถอยู่แล้วนำมาผนวกเข้ากับความรู้ท้องถิ่น พราหมณ์จึงมีบทบาทตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา


เกือบสองพันปีพราหมณ์ได้แผ่อิทธิพลเข้ามาเรื่อย ๆ ทางเหนือได้เข้ามาผ่านทางจีน ทางภาคกลางเข้ามาทางทวาย ทางด่านเจดีย์สามองค์ และเมื่อประมาณช่วงทศวรรษที่ ๒๕๑๐ ได้มีการจัดตั้งศาสนิกสัมพันธ์เนื่องจากทางรัฐมีการหวาดระแวงของภัยคอมมิวนิสต์ กรมการศาสนาจึงจัดตั้งศาสนาในประเทศเกิดขึ้น มีพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู


เรื่องราวต่าง ๆ ของศาสนาพราหมณ์ในสังคมไทยที่คนส่วน ใหญ่ยังไม่ทราบ พระครูพราหมณ์ตรัณ บุรณศิริ เล่าว่า

“ในสมัยอยุธยาหลังจากที่ราชวงศ์คองบองของพม่าเข้ามาตีอยุธยา พระเจ้ามังระได้นำศิลปะวิทยาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป์หรือแม้แต่ความรู้ต่าง ๆ เพราะต้นตระกูลคองบองเป็นพรานป่าต่างกับพระเจ้าอโนรธาเมงสอในอาณาจักรพุกามที่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากมอญมามาก ในสุวรรณภูมิถือว่าชนชาติมอญคือชนชาติที่ฉลาดรองลง มาคืออาณาจักรหงสาวดีซึ่งพระเจ้าบุเรงนองเป็นกษัตริย์ที่ได้ร่ำเรียนตำราพิชัยสงคราม ทำสงครามชนะก็เก็บไว้เป็นเมืองขึ้นไม่ทำลาย วิชาต่าง ๆ รวมถึงพราหมณ์ก็นำกลับไปด้วยกลายเป็นนักรบบ้าง สมัยที่พระเจ้าตากไปอยู่ที่นครศรีธรรมราชเห็นชุมชนพราหมณ์และเห็นว่า พราหมณ์ที่อยุธยาหายไปหมดแล้ว จึงนำกลุ่มพราหมณ์เหล่านี้กลับ มาสร้างเมืองใหม่ด้วย การเป็นพราหมณ์นั้นต้องมีการสืบเชื้อสายกัน มาทางสายเลือด องค์ความรู้ต่าง ๆ จะถูกถ่ายทอดกันภายในตระกูล”


ความเชื่อของการเคารพเทวรูป


ศาสนาพราหมณ์คือศาสนาแห่งปรัชญา การเรียนรู้เรื่องราวจากเทวรูปต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นปรัชญา เช่น เทวรูปองค์ที่อยู่ในโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้ เป็นศิลปะแบบสุโขทัย ซึ่งในสมัยนั้นเทวสถานหรือโบสถ์พราหมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้จะอยู่ในวัง หรือติดกับวัง เพื่อประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ให้กับพระมหากษัตริย์ เช่นนั้นเองบุคคลธรรมดาทั่วไป จึงไม่ค่อยได้เข้ามากราบไหว้ ทั้งพระพิฆเนศและพระนารายณ์ล้วนแล้ว แต่เป็นศิลปะแบบไทยแท้ ๆ ที่ไม่มีเขมรมาปะปน โบสถ์พราหมณ์แห่ง นี้คือ “ไศวนิกาย” สืบมาจากอินเดียตอนใต้นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ ทางตอนเหนือจะนับถือไวษณพนิกายซึ่งนับถือพระวิษณุหรือพระ นารายณ์เป็นเทพเจ้าองค์สูงสุด ตัวอย่างโบสถ์พระแม่อุมาคือ ศักตินิกาย ซึ่งหมายถึงการนับถือพระแม่เป็นใหญ่ และตันตระนิกาย ซึ่งปัจจุบันยังมีอยู่ที่อินเดียแต่ไม่มีในไทย


เทวรูปต่าง ๆ ในโบสถ์พราหมณ์นำมาจากสุโขทัยครั้งชะลอ พระศรีศากยมุนี พระประธานวัดสุทัศน์ฯ มาจากวัดมหาธาตุ สุโขทัย คราวเดียวกัน


ปัจจุบันพราหมณ์หลวงมีอยู่แค่ ๑๕-๑๖ ท่าน และพราหมณ์ไทยจะบวชได้คือที่นี่ที่เดียวซึ่งบวชได้เพียงปีละครั้งคือช่วงพิธีตรียัมพวาย

เมื่อเข้าไปเทวสถานแห่งใดก็ตามสิ่งแรกที่ควรกระทำคือ การเคารพพระพิฆเนศก่อน เพราะเชื่อว่าพระพิฆเนศคือสัญลักษณ์ ของการกำจัดอุปสรรคและการกำจัดอุปสรรคนั้นต้องเริ่มจากปัญญา สัญลักษณ์ของเศียรรูปช้างนั่นคือสิ่งสูงสุด


“หากสังเกตเห็นว่าเวลาเข้าไปกราบไหว้เทวรูปต่าง ๆ จะเห็นว่าท่านกำลังมองเรา นั่นคือสิ่งที่โบราณสร้างไว้ เพราะปัญหานั่นคือตัวเรา และไม่ว่าจะแก้ปัญหาโดยวิธีการใดก็ตาม แต่สุดท้ายก็ใช้ปัญญาในการแก้เพื่อให้หลุดพ้น”


“งา” พระพิฆเนศมีปัญญามากมายแต่งาพระพิฆเนศที่หัก นั้นเหตุใดจึงไม่ต่อให้ดีอย่างเดิม? คำตอบคือ “การไม่ยึดติด” นี่คือ ปรัชญาของการใช้ชีวิตเพื่อหลุดพ้นจากคำสอนต่าง ๆ ที่แฝงอยู่ในรูปเคารพ


“หนู” พาหนะของพระพิฆเนศ หนูกับช้างซึ่งไม่ถูกกันโดยธรรมชาติ แต่คำสอนจากรูปเคารพของพระพิฆเนศสอนว่า ไม่ว่า อย่างไรคนเราไม่สามารถหนีจากปัญหา หรือสิ่งที่ตนไม่ชอบได้ ฉะนั้นแล้วต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน



แก่นแท้ของพราหมณ์


การกำหนดวรรณะตามคติของพราหมณ์ถือเป็นสิ่งที่ไม่ผิด พราหมณ์ต้องอยู่กับพราหมณ์ เพราะพราหมณ์มีหน้าที่ต้องสอนสั่งและเผยแพร่ความรู้ แต่พราหมณ์ที่ขึ้นมาเป็นวรรณะกษัตริย์ก็มี คือ โกณธัญญะ [Kaundinya] เป็นผู้สร้างอาณาจักรฟูนันที่มีความเจริญ เป็นอาณาจักรแห่งแรกในสุวรรณภูมิ


ศาสนาพราหมณ์เชื่อว่าความหลุดพ้นคือ “ปรมาตมัน” คล้ายกับการนิพพานแต่ต่างกันตรงที่ปรมาตมันคือการกลับไปหาองค์พรหม หมายถึงจักรวาลผู้ให้กำเนิดองค์พรหมนั้นคู่กับพระแม่สรัสวดี ซึ่งเป็นพระแม่แห่งศาสตร์และความรู้ทั้งปวงโดยใช้ “ยชุรเวท” [Yachuraveda] หมายถึงการร่ายมนต์หรือการสั่งสอน การคู่กันของพระพรหมและพระแม่สรัสวดีในที่นี้หมายถึงการสร้างสมดุลเพื่อให้เกิด “ปรมาตมัน” คือการกลับไปสู่จักรวาลหรือการกลับคืนสู่ความว่างเปล่า


ศาสนาพุทธจะมีการนั่งนับลูกประคำส่วนของพราหมณ์จะนั่งนับเมล็ดรุทรักษะคือผลไม้ หากเปรียบกับชีวิตของมนุษย์เราคือ ย่อมมีการดับสูญและเน่าเปื่อยกลับไปสู่ธาตุทั้งห้า เมล็ดรุทรักษะคือ จิตวิญญาณในการหลุดพ้น


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:




Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page