top of page

สนามไชย-ทุ่งพระเมรุ-ท้องสนามหลวง

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

อัปเดตเมื่อ 13 ก.พ. 2567

เผยแพร่เมื่อ 1 ต.ค. 2560

การใช้พื้นที่โล่งว่างเพื่อประกอบกิจกรรมสาธารณะของชุมชนเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปนับเนื่องเรื่อยมาตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงเมืองและนครรัฐ การใช้พื้นที่สนามเพื่อประกอบพิธีกรรมของเมือง ในรัฐโบราณโดยเฉพาะในดินแดนประเทศไทยนั้นเห็นชัดเจนในสมัยอยุธยา ที่รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอาณาจักรเมืองพระนครอย่างมากต่อบ้านเมืองในดินแดนประเทศไทย โดยเฉพาะกับรัฐละโว้ที่สืบต่อมาเป็นอาณาจักรพระนครศรีอยุธยา โดยรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ เจ้าสามพระยาเสด็จยกกองทัพไปตีกัมพูชาและยึดเมืองพระนครหรือกรุงศรียโสธรปุระจนบ้านเมืองทางฝั่งกัมพูชาต้องย้ายนครหลวงไปยังที่อื่นและปล่อยเมืองพระนครทิ้งร้างไว้



หลักฐานจากเมืองพระนครที่น่าจะเป็นตัวอย่างได้ชัดเจน ๒ ประการ คือ หลักฐานทางโบราณสถานวัตถุและ จดหมายเหตุของทูตจีนที่ชื่อว่าโจวต้ากวาน ซึ่งกลางเมืองยโสธรปุระหรือนครธม พบซากพระราชวังขนาดใหญ่ที่สร้างด้วยหินและเครื่องไม้ ตรงหน้าพระราชวัง มีพระที่นั่งสำหรับกษัตริย์เสด็จออกเป็นประธานงานพระราชพิธีสนามตรงลานที่ปัจจุบันเรียกว่า “ลานช้างเผือก” พื้นที่ตรงนี้คือ “สนามไชย”


ในขณะที่บันทึกของโจวต้ากวานในจดหมายเหตุเมื่อเข้ามาเป็นทูตที่เมืองพระนครเมื่อตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นั้น ได้เล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขมรโบราณ บรรยายถึงพระราชพิธีสนามของราชสำนัก รวมถึงประเพณีราษฎร์บางอย่างด้วย


บ้านเมืองในสยามประเทศในสมัยลพบุรีคือตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ลงมานั้น ประกอบด้วยแคว้นใหญ่ ๆ ๒ กลุ่ม คือ “กลุ่มละโว้” ที่มีความสัมพันธ์กับอาณาจักรขอมเมืองพระนครเป็นพิเศษกับ “กลุ่มสยาม” ที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มชุมชนที่รับอิทธิพลจากขอมเมืองพระนคร แต่อยู่ห่างเมืองพระนคร


ทางละโว้มีการนับถือพุทธศาสนามหายาน เถรวาท และฮินดู ผสมปนเปกัน อีกทั้งมีความสัมพันธ์กับราชสำนักเมืองพระนคร ได้รับประเพณีและความคิดในเรื่องการเป็นเทวราชของกษัตริย์มากกว่าทางกลุ่มสยาม ในขณะที่ทางกลุ่มสยามกษัตริย์และผู้คนส่วนใหญ่เป็นการผสมผสานของคนหลายเผ่าพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายมาจากที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศจีนและพวกมอญในเขตพม่า เป็นแว่นแคว้นที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาทสืบต่อมาจากรัฐทวารวดี และให้ความสำคัญกับกษัตริย์ในระบบสมมติราช เมื่อกรุงศรีอยุธยาสืบต่อในฐานะรัฐศูนย์กลางในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ราชวงศ์สุพรรณภูมิมีอำนาจเหนือกลุ่มราชวงศ์อู่ทองตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนครินทราธิราชเป็นต้นมา


ความชัดเจนที่มีการปรับพื้นที่รอบพระบรมมหาราชวังในกรุงศรีอยุธยาเห็นได้ชัดเจนในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ราชสำนักได้นำแนวความคิดในเรื่องการสร้างปราสาทราชวังตามลัทธิเทวราชาที่อยู่ในศาสนาฮินดูแบบขอมเข้ามาผสมผสานกับความเป็นพระมหากษัตริย์ในพุทธเถรวาทในกรุงศรีอยุธยา นำเอาแนวคิด รูปแบบ และแผนผังมาจากพระราชวังหลวงเมืองพระนคร เช่น การสร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์ติดกับพระราชวังหลวง ซึ่งพระราชวังขอมนั้นติดกับปราสาทบาปวน


และการสร้างปราสาทตรีมุขที่อยู่บนกำแพงพระราชวังคือ “พระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์” เป็นพระที่นั่งโถงที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในพระราชพิธีสนามตามฤดูกาลต่าง ๆ ซึ่งในงานถวายพระเพลิงจะเสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรวรรดิ์ ไพชยนต์เป็นประธานให้ริ้วขบวนพระบรมศพเคลื่อนผ่านสู่พื้นที่ “ท้องสนามไชย” ซึ่งกำหนดให้เป็น “ทุ่งพระเมรุ” เป็นพื้นที่ถวายพระเพลิง ซึ่งรับมาจากรูปแบบพระราชวังเมืองพระนคร


งานพระราชพิธีสนามทั้งในเขมรโบราณและสืบเนื่องมาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา หลายพระราชพิธีเป็นเรื่องแสดงความมั่นคงของพระมหากษัตริย์และราชอาณาจักร บางพระราชพิธีเป็นงานสวนสนาม ซึ่งปรากฏอยู่ในภาพสลักบนผนังของปราสาทนครวัดในรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ และภาพสลักบนผนังปราสาทบายนในรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘


ซึ่งบ้านเมืองในยุคเดียวกันที่มีการสร้างเมืองในผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบบเมืองพระนคร คือ เมืองสุโขทัยและเมืองเชียงใหม่ กรณีของเมืองสุโขทัยไม่พบซากพระราชวังที่สร้างด้วยวัตถุคงทนถาวรแบบพระราชวังขอมเมืองพระนคร หากคงเป็นพระราชวังขนาดเล็กที่สร้างด้วยเครื่องไม้ ซึ่งสันนิษฐานว่าอยู่บริเวณที่เรียกว่า “เนินปราสาท” ตรงข้ามกับวัดมหาธาตุทางทิศตะวันออก และยังไม่มีร่องรอยของลานประกอบพระราชพิธีสนามที่เรียกว่า “สนามไชย” สันนิษฐานว่าการประกอบพระราชพิธีตามประเพณีที่สำคัญน่าจะไปอยู่ที่วัดสำคัญ ๆ มากกว่า


ส่วนเมืองเชียงใหม่พบร่องรอยที่เรียกว่า “ข่วงหลวง” ใกล้กับหอคำ “คุ้มหลวงเวียงแก้ว” ที่ถูกปรับเป็นพื้นที่สร้างเป็นเรือนจำกลางเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๕ และมีวัดหัวข่วงอยู่ใกล้เคียง ซึ่งยังยืนยันแน่ชัดเด็ดขาดไม่ได้ว่าจะสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยสร้างเมืองเชียงใหม่ในยุคแรก ๆ หรือไม่แต่ก็เห็นว่ามีรูปแบบเช่นเดียวกันในการจัดพื้นที่สนาม ให้ใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจ โดยยังมีร่องรอยของคณะผู้บริหารราชการงานเมืองร่วมกันเรียกว่า “เค้าสนามหลวง” ซึ่งอาจจะได้รับชื่อ “สนามหลวง” จากกรุงเทพฯ ในราวช่วงรัชกาลที่ ๔-๕ จากชื่อนั้นก็มีความหมายไปในทางให้เห็นความใกล้ชิดของการใช้พื้นที่ทั้งสองเช่นเดียวกัน และแม้หัวเมืองในล้านนาหลายแห่งจะไม่มีรูปแบบผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบสมมาตรดังเช่นเมืองเชียงใหม่ แต่ก็มักจะมี “สนาม” หรือ “ข่วงหลวง” อยู่ใกล้กับหอคำซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจ ของเมืองและเป็นทั้งบ้านพักอาศัยและว่าราชการเมืองพร้อมกัน


สำหรับการใช้พื้นที่ “สนามไชย” ในสมัยอยุธยา น่าจะอยู่บริเวณลานหน้าพระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์ที่สร้างรูปแบบและระเบียบสมมาตรในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและน่าจะเคยมีแนวถนนที่นำไปสู่ประตูไชยเฉกเช่นเดียวกับผังจากพระราชวังเมืองพระนคร และยังคงชื่อถนนหอรัตนไชยในปัจจุบัน มีข้อมูลกล่าวถึงพระราชพิธีสนามต่าง ๆ ซึ่งทำในเดือน ๕ ซึ่งเป็นเดือนขึ้นปีใหม่ที่พระมหากษัตริย์ ต้องเสด็จออกทอดพระเนตรคล้ายการตรวจกำลังพลสวนสนาม เพื่อเป็นสิริมงคลแก่แผ่นดินและเป็นที่ครั่นคร้ามแก่บ้านเมืองอื่น ๆ ที่อยู่รายรอบ คือ “การพระราชพิทธีเผดจ์ศกลดแจตรออกสนาม” ซึ่งเป็นพระราชพิธีออกสนามใหญ่ มีกระบวนกองทัพช้าง ม้า กองกำลังทุกหน่วยทั้งหัวเมือง พลเรือน และไพร่ และรวมถึงการใช้เป็นพื้นที่สร้างพระเมรุมาศตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองลงมา


ส่วนในสมัยรัตนโกสินทร์ให้ความสำคัญแก่พระราชพิธีสนาม เช่นกันคือ “การพระราชพิธีทอดเชือก ดามเชือก” คงเป็นพิธีสืบเนื่องในการบูชาครูเพื่อการหัดช้าง และ “การพระราชพิธีแห่สระสนานใหญ่” ซึ่งต้องใช้กำลังคนแห่เป็นขบวนใหญ่จากเช้าจนถึงบ่าย ทำกันเพียงรัชกาลละครั้ง และไม่ได้ทำอีกหลังจากรัชกาลที่ ๓ แล้ว


“พระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน” เป็นพระราชพิธีที่เพิ่งเริ่มมีในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเพิ่มเอาพิธีทางพุทธศาสนาเข้าไป ทำปีละ ๒ ครั้งเพื่อเจริญสวัสดิมงคลแก่ช้างและม้าซึ่งเป็นราชพาหนะและเป็นกำลังแผ่นดินและบำบัดเสนียดจัญไรในผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่ในการช้างทั้งปวง มีการแห่ขบวนช้างพราหมณ์และราชบัณฑิตจะเป็นผู้ประพรมขบวนช้าง มีการจัดริ้วขบวนผู้คนจำนวนมากเพื่อเป็นสวัสดิมงคลแก่พระนครและเป็นที่เกรงขามแก่ศัตรูดังปรากฏในประกาศพระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน ตอนหนึ่งว่า ..ศรีสัจปานกาล สนานคเชนทรัศว์ สมพัจฉรถึงสองคาบ ทราบโบราณ สารสืบมา อยุทธยาเป็นศุขชื่น รื่นประชาชน การชุมพล พยุหะ สระสนานนรสันนิบาต ราชกะรีดุรงค์รถ บทจรพลพิไชยยุทธ อตมาณึกในมงคล ผลภูลสวัสดี แด่วาหนะ สระไข้เข็ญ เย็นไพร่ฟ้า ข้าขอบเขตร เหตุคเชนทรัศวสนาน… ประกาศพระราชพิธีส่วน “พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์” ที่จัดผสมผสานระหว่างศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ เพื่อเป็น สวัสดิมงคลแก่พระนคร พระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ตลอดจนราษฎรทั่วไปในตรุษเดือน ๔ มีมหรสพเอิกเกริกสมโภชบ้านเมือง เป็นการนักขัตฤกษ์ จัดตั้งขบวนเป็น ๕ หมู่ ทหารแต่งกายใส่เสื้อหมวกสีต่าง ๆ ถือธงฉาน ธงชาย เชิญพระพุทธปฏิมาและอาราธนาพระมหาเถรสถิตยานราชรถ ประพรมนํ้าพระพุทธมนต์และโรยทรายรอบพระราชนิเวศน์ รอบพระนคร ตามท้องสถลมารคนั้น ๔ กระบวน


เมื่อถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าฯ ให้รวม “พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ เถลิงศกสงกรานต์


พระราชพิธีศรีสัจจปานกาลถือน้ำพิพัฒน์สัตยา” อันเป็นพระราชพิธีเนื่องในการสิ้นปีและขึ้นปีใหม่เข้าด้วยกัน เรียกว่า “พระราชพิธีตรุษสงกรานต์” โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม จนถึงวันที่ ๓ เมษายน การพระราชพิธีเกี่ยวกับความเป็นสิริมงคลของแผ่นดินเกี่ยวกับการพระราชพิธีสนามในช่วงสิ้นปีและขึ้นปีใหม่จึงหมดไป


ต่อมาวันขึ้นปีใหม่เปลี่ยนเป็นวันที่ ๑ มกราคมเพื่อตรงกับสากลในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีการเสด็จบำเพ็ญพระราชกุศลโดยจัดเป็นการส่วนพระองค์ การพระราชพิธีสนามและการสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่แผ่นดิน พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และราษฎร ในคราวตรุษสิ้นปีก็ไม่มีการปฏิบัติสืบต่อไป



พระราชพิธีสนามในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงเป็นพระราชพิธีสำคัญที่รวมเอาความเป็นสิริมงคลแก่แผ่นดินหลาย ๆ ประการเข้าด้วยกัน พื้นที่ในการพระราชพิธีสนามในกรุงเทพฯ ก็คือ “สนามไชย” ซึ่งเป็นลานกว้างติดกับตึกดิน คือบริเวณที่เป็นสวนสราญรมย์และพระราชวังสราญรมย์ที่เริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ และพื้นที่ด้านหน้ากระทรวงกลาโหมในปัจจุบันถัดจาก “สนามไชย” จึงเป็นบริเวณ “ทุ่งพระเมรุ” ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจากใช้ เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ซึ่งแต่เดิมนั้นมีขนาดเพียงครึ่งเดียวจากด้านวังหลวงมา สิ้นสุดตรงกึ่งกลางสนามเท่านั้น ส่วนนอกจากนั้นเป็นเขตของวังหน้า ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นต้นมา ได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น เป็นที่ตั้งพระเมรุมาศของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ทำพระราชพิธีทำนาที่สนามหลวง ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีพืชมงคล พิธีพิรุณศาสตร์เช่นกัน และโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อเรียกจาก “ทุ่งพระเมรุ” เป็น “ท้องสนามหลวง” ดังปรากฏในประกาศ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ ว่า


“ที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น คนอ้างการซึ่งนาน ๆ มีครั้งหนึ่ง แลเป็นการอวมงคล มาเรียกเป็นชื่อตำบลว่า “ทุ่งพระเมรุ” นั้นหาชอบไม่ ตั้งแต่นี้สืบไปที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น ให้เรียกว่า “ท้องสนามหลวง”


ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขยายสนามหลวงจากเดิมไปยังพื้นที่วังหน้าจนมีขนาดเท่าที่เห็นในปัจจุบัน รื้อพลับพลาต่าง ๆ ปลูกต้นไม้รอบสนามหลวงที่ได้แบบอย่างมาจากสนามที่เรียกว่า “Alun Alun” เหนือ-ใต้พระราชวังหรือ Kraton ของสุลต่านเมืองย็อกยาการ์ตาและเมืองโซโล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกปรับปรุงให้สวยงามในช่วงเวลายุคอาณานิคม และในสมัยโบราณใช้สำหรับสุลต่านออกพระราชพิธีสนามเช่นเดียวกัน จึงนำแบบอย่างมาปรับปรุงทุ่งพระเมรุในพระนครและได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพิธีหลวงมาโดยตลอด


ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ รวมทั้งใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ เช่น เป็นสนามแข่งม้า สนามกอล์ฟ


หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ การพระราชพิธีต่าง ๆ เกี่ยวกับการศาสนาตกไปเป็นภารกิจของรัฐบาล ซึ่งได้กระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงธรรมการเป็นฝ่ายจัดการ ส่วนการพระราชพิธีประจำเดือนซึ่งเคยถือปฏิบัติสืบต่อมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เช่น พระราชพิธีสนามต่าง ๆ พระราชพิธีตรียัมพวาย พระราชพิธีจรด พระนังคัลแรกนาขวัญ ก็ถึงกับหยุดชะงักลง บางพระราชพิธีสูญสิ้น ไปไม่นำมาปฏิบัติต่อไปอีก และบางพระราชพิธีได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ใช้ท้องสนามหลวงเป็นพื้นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ


ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ได้มีการใช้พื้นที่ท้องสนามหลวงในการก่อสร้างพระเมรุ กลางเมืองมาแล้ว ๗ ครั้ง รวมทั้งพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชครั้งที่เพิ่งผ่านมานี้ด้วย


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


Comentarios


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page