เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2554
สถานการณ์ความขัดแย้งที่แผ่ซ่านทั่วสยามประเทศไม่ว่าทั้งบริเวณศูนย์กลางและชายขอบในทุกวันนี้ โดยรวมเป็นเหตุมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจการเมือง ที่ทำให้เกิดผลกระทบมายังชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมอย่างต่อเนื่อง ดังแลเห็นได้จากขบวนการของคนในสังคมกลุ่มต่าง ๆ ระดับต่าง ๆ พากันมาเดินขบวนยึดพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร เพื่อต่อต้านและเรียกร้องรัฐบาลหรือล้มล้างรัฐบาล

คณะรัฐมนตรีในเครื่องแต่งกายเต็มยศ
วิเคราะห์ได้เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้คือ กลุ่มเสื้อแดงซึ่งมีทั้งแดงแท้และและแดงเทียม และทำกันอย่างอย่างเนื่อง แม้จะถูกรัฐบาลปราบปรามไปบ้างแล้วก็ตาม กลุ่มเสื้อเหลือง ที่เปลี่ยนมาเรียกร้องในเรื่องการเสียดินแดนรอบปราสาทเขาพระวิหารและชายแดนไทย-เขมรทางตะวันออก ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่กำลังเคลื่อนเข้ามาจากหลาย ๆ ภาค คือ บรรดาราษฎรที่ได้รับการกดขี่จากรัฐและทุนในเรื่องที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยและการแย่งทรัพยากร
ในความคิดเห็นของข้าพเจ้าเชื่อว่า เหตุของความขัดแย้งที่ทำให้ผู้คนในสังคมทั้งสามกลุ่มใหญ่เหล่านี้มาเรียกร้องและต่อต้าน มีที่มาจากเหตุอันเดียวกัน คือ ความไม่เป็นธรรมที่รัฐและกลุ่มทุนทั้งในชาติและข้ามชาติใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมกดขี่ข่มเหงและแบ่งทรัพยากร ที่อยู่อาศัย และที่ทำกินของคนในชาติที่ยังมีชีวิตความเป็นอยู่และความคิดแบบสังคมชาวนา [Peasantry]
เพราะสังคมสยามในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุดหน้าจากสังคมเกษตรกรรมแต่ก่อนสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นรัฐบาล มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่เต็มตัวอย่างต่อเนื่องแต่สมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ จนมาถึงยุคโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน พื้นที่หลาย ๆ แห่งในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะภาคใต้นั้น พื้นที่ในสังคมเกษตรกรรมแทบไม่เหลือและกำลังถูกปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมหนัก เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่จอดเรือน้ำลึก โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งนอกจากทำลายสภาพแวดล้อมธรรมชาติทั้งในพื้นที่ทางทะเล ชายทะเลและป่าเขาแล้ว ยังทำให้เกิดนิคมอุตสาหกรรม อันเป็นชุมชนอุตสาหกรรมขึ้นมาแทนที่ชุมชนดั้งเดิมแบบชาวนาของคนในท้องถิ่น เช่น ชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมของคนชาวเลพวกอุรักลาโว้ยและมอแกนในท้องทะเลและชายฝั่งทะเลในเขตจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต ตรัง และสตูล ทางฝั่งอันดามัน เป็นต้น
ความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นในยุคนี้ อาจวิเคราะห์ได้เป็นส่วนลึกและส่วนพื้นผิว ส่วนลึกคือความล่มสลายของศีลธรรมและจริยธรรมที่เป็นผลของการอบรมจากสถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีมาแต่อดีต การศึกษาอบรมนับแต่อุดมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษาและประถมศึกษาแบบตะวันตก โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกันนั้น ได้ทำลายความรู้สึกนึกคิดในมิติทางจิตวิญญาณมาเป็นเรื่องของวัตถุนิยมและบริโภคนิยมของคนรุ่นใหม่คือ จากคนในรุ่นพ่อแม่กับลูกหลานนับเวลาร่วมครึ่งศตวรรษ ทำให้ความเป็นมนุษย์ในปัจจุบันถูกครอบงำอยู่กับเรื่องเศรษฐกิจการเมืองที่ว่าด้วยการปกครองแบบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีอันเน้นความเป็นปัจเจกบุคคลจนสุดโต่ง เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นที่มาของเงินและอำนาจ ทำให้คนอยากเป็นนักการเมืองและเป็นนักลงทุนเพื่อจะได้มีทั้งอำนาจและความมั่งคั่ง
จึงเป็นที่มาของการปรกครองแบบรวมศูนย์ การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรที่ทำให้เกิดการซื้อเสียงขายเสียง รัฐสภาเต็มไปด้วยนักการเมืองที่เป็นพ่อค้าและนักธุรกิจที่เข้ามามีอำนาจเหนือรัฐและข้าราชการเพื่อดำเนินกิจการอันเป็นประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง มากกว่าการจัดการบริหารและการปกครองให้เป็นประโยชน์แก่ผู้คนในสังคมและบ้านเมือง
จากการล่มสลายของศีลธรรมและจริยธรรมในส่วนลึก ได้ส่งผลขึ้นมายังพื้นผิวที่ปรากฏการณ์คือ คอร์รัปชั่นที่เป็นวิถีชีวิต [Way of Life] ของบุคคลที่เป็นนักการเมือง ขุนนาง และข้าราชการ แทบทุกกลุ่มทุกแหล่งและทุกอาชีพ แม้แต่บรรดาพวกครูอาจารย์ในสถาบันการศึกษา ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ที่ทุนข้ามชาติครอบครองโลก บรรดาอัปรีย์ชนเหล่านี้เห็นประเทศชาติเป็นสิ่ง For Sale คือมองทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าที่ดิน ที่อยู่อาศัย ที่ทำกินของราษฎร ทรัพยากรธรรมชาติและอะไรต่าง ๆ ล้วนเป็นสินค้าไปหมด เน้นการลงทุนของต่างชาติจากภายนอกให้เข้ามาลงทุนในกิจกรรมด้านอุตสาหกรรม
นับแต่เกษตรอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงระบบการเกษตรแบบเดิมโดยมีเกษตรกรรายย่อยคือ ชาวบ้านและผู้คนในท้องถิ่นซึ่งมีที่ทำกินมาสู่เกษตรกรรายใหญ่ซึ่งมีทั้งนายทุนภายใน มีอิทธิพลเหนือรัฐและนายทุนจากภายนอก และในขณะนี้หลายท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะภาคตะวันออกและภาคใต้ก็เกิดโครงการอุตสาหกรรมหนักที่เรียกว่า Eastern Sea Board และ Southern Sea Board ที่กำลังจะแย่งที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของคนท้องถิ่นให้กลายเป็นนิคมอุตสาหกรรม อันเต็มไปด้วยคนกลุ่มใหม่จากถิ่นอื่นและต่างชาติเข้ามาแทนที่
ปัจจุบันความเดือดร้อนของคนท้องถิ่นทุกภูมิภาคกำลังคืบคลานเข้าสู่ภาวะถึงที่สุด เพราะถูกแย่งที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยและทรัพยากร จึงเกิดการเคลื่อนไหวกันทั่วไป โดยคนหลายภาคส่วนที่เดือดร้อนต่างมุ่งเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อยึดพื้นที่ในการเรียกร้อง ประท้วงและต่อต้านกันอย่างมากมายและต่อเนื่อง
แต่การรวมกลุ่มประท้วงและต่อต้านซึ่งกำลังเกิดแนวร่วมและขยายตัวมากขึ้นในเวลานี้ ก็คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ที่ออกมาถล่มรัฐบาลในเรื่องมรดกโลกปราสาทพระวิหารและการไม่ยกเลิก MOU. พ.ศ. ๒๕๔๓ จนทำให้เกิดการเสียดินแดนบริเวณตะเข็บชายแดนให้กับเขมร
การเรียกร้องของคนกลุ่มนี้กำลังสะท้อนให้เห็นความขัดแย้งและความแตกแยกของคนในประเทศชาติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะนอกจากจะแตกแยกออกเป็นหลายกลุ่มหลายเหล่าแล้ว ยังลามไปถึงความแตกแยกและความแตกต่างทางความคิดระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อีกด้วย คือ เกิดมีทั้งกลุ่มคนที่รักชาติรักแผ่นดินเกิดกับกลุ่มคนที่เป็นพวกข้ามชาติ ที่มองว่าโลกในปัจจุบันไร้พรมแดนตามกระแสโลกาภิวัตน์ อันเป็นวิธีคิดที่มาจากประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก คนพวกนี้ไม่สนับสนุนและยินดีกับการเรียกร้องเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลของพวกรักชาติ รักแผ่นดิน และมักประณามพวกรักชาติรักแผ่นดินว่าเป็นพวกชาตินิยม คลั่งชาติ รวมทั้งบางคนยังมองเลยเถิดไปว่าเป็นพวกราชาชาตินิยมและเสนาอำมาตย์ชาตินิยมก็มี
โดยเฉพาะคนกลุ่มหลังนี้มักเป็นพวกนักวิชาการและอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ที่กลุ่มคนรักชาติรักพระเจ้าอยู่หัวประณามว่าเป็นพวกไม่เอาเจ้าไม่เอาพระมหากษัตริย์ หรือเป็นพวกคนรุ่นใหม่ ไม่เอาการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
คนกลุ่มหลังนี้รวมทั้งคนไทยอีกเป็นจำนวนมากที่เป็นคนรุ่นใหม่ในช่วง ๔๐ ปีมานี้ เป็นพวกไม่สนใจเรื่องปัญหาการเสียดินแดน และแสดงการเพิกเฉยต่อการต่อสู้กดดันรัฐบาลของกลุ่มคนรักชาติรักแผ่นดิน แถมยังเห็นดีเห็นงามกับทางรัฐบาลที่แสดงอาการอ่อนข้อกับเขมร คนเหล่านี้คือกลุ่มที่นับอยู่ในจำนวนของคนในประเทศซึ่งแบบสำรวจวัดความนิยมของคนไทยต่อรัฐบาลในเรื่องคอร์รัปชั่นว่ายอมรับรัฐบาลคอร์รัปชั่นได้ ถ้าหากรัฐบาลนั้นทำให้พวกตนอยู่ดีกินดีได้อย่างไม่เดือดร้อน
ข้าพเจ้าเป็นคนรุ่นเก่าที่เป็นคนรักชาติรักแผ่นดินเกิดและเป็นคนแรก ๆ หรือนักวิชาการรุ่นแรก ๆ ที่ได้ออกมาประณามความรู้สึกชาตินิยมที่มีมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นชาตินิยมที่สุดโต่งในลักษณะที่เป็น “เชื้อชาตินิยม” ซึ่งทำให้สังคมไทยเป็นสังคมแบบเอกลักษณ์ คือเป็นคนไทยจากสายเลือดที่สืบเชื้อสายกันมาแต่สุโขทัยและอยุธยา
ข้าพเจ้าเห็นว่าโดยประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์สังคม ประเทศไทยที่แต่เดิมเรียกสยามประเทศนั้นเป็นสังคมพหุลักษณ์เช่นเดียวกันกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ไม่ว่าเขมร ลาว พม่า และเวียดนาม รวมไปถึงมลายูบนคาบสมุทรและหมู่เกาะ ความเป็นพหุลักษณ์นั้นมาจากการที่แต่ละประเทศต่างก็มีคนหลายชาติพันธุ์หลายภาษาและศาสนาอยู่ด้วยกัน เกิดและตายอยู่ในประเทศเดียวกัน ทำให้มีสำนึกในชาติภูมิเดียวกัน
“ชาติ” แปลว่า “เกิด” และ “ภูมิ” คือ “แผ่นดิน” กลายเป็น “แผ่นดินเกิด” เป็นสำนึกของคนที่เป็นมนุษย์ผู้เป็นสัตว์สังคมทั่วไปที่เรียกว่า Homo Sapiens สำนึกรักแผ่นดินเกิดนี้คือสิ่งที่เรียกว่า Patriotism
ข้าพเจ้าร่วมความรู้สึกกับบรรดากลุ่มคนรักชาติรักแผ่นดินทั้งหลายที่ออกมาเรียกร้องกดดันรัฐบาลในเรื่องการจัดการกับเขมรในเรื่องดินแดนและเรื่องมรดกโลกปราสาทพระวิหารและ ข้าพเจ้าก็เป็นนักวิชาการคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนคลั่งชาติ โดยบรรดานักวิชาการข้ามชาติและโลกไร้พรมแดน ที่ชอบนำเอาคำพูดและข้อเขียนในบทสนทนาและบทความทางวิชาการไปตัดต่อบิดเบือนเพื่อเป็นประโยชน์ของตนเป็นประจำ
ในกรณีความขัดแย้งเกี่ยวกับเขตแดนและแหล่งมรดกโลกปราสาทพระวิหารเท่าที่ข้าพเจ้าได้รับรู้ ได้ศึกษาและติดตามตลอดมาตั้งแต่สมัย พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของเขมรมาจนถึงคณะกรรมการมรดกโลกขึ้นทะเบียนตัวปราสาทเป็นมรดกโลกเรื่อยมาจนถึงการจับคนไทยไปขึ้นศาลเขมรตัดสินจำคุกนั้น
เมื่อประมวลและวิเคราะห์เหตุการณ์ตามขั้นตอนต่าง ๆ แล้ว อยากจะสรุปอย่างง่าย ๆ ให้บรรดาผู้รักชาติรักแผ่นดินเกิดทั้งหลายว่า
“สยามพ่ายเพราะไทยถ่อย”
เพราะการเสียเปรียบจนนำไปสู่การเสียเขตแดนและแหล่งมรดกโลกให้กับทางกัมพูชานั้น หาได้เป็นการกระทำของเขมรอันมีฮุนเซ็นเป็นผู้นำแต่อย่างใด หากเป็นการดำเนินงานที่บกพร่องในระยะแรกและฉ้อฉลขายประเทศขายดินแดนของบุคคลถ่อย ๆ ในคณะรัฐบาลไทยทั้งสิ้น โดยจะจารนัยให้เป็นออกเป็น ๒ ช่วงตอน ดังนี้

เรสสิเดนต์ กำปงธม และเมอซิเออร์ ปามังติเอร์ นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส รับเสด็จสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยที่เชิงบันไดทางขึ้นปราสาทพระวิหารชักธงฝรั่งเศส
ช่วงแรกต้องนับแต่ ค.ศ. ๑๙๐๔ ในการตกลงระบบเขตแดนระหว่างฝรั่งเศสกับไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ตกลงกันด้วยการใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน พอถึง ค.ศ. ๑๙๐๗ ที่มีการตกลงเรื่องแผนที่ซึ่งทำโดยฝรั่งเศส ผลปรากฏออกมาก็คือ ฝรั่งเศสโกงอย่างหน้าด้าน ๆ ในพื้นที่เขาพระวิหาร เพราะปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตสันปันน้ำฝ่ายไทย น้ำที่ไหลจากพื้นที่ลาดเขารอบ ๆ บริเวณปราสาทไหลไปลงลำห้วยสองห้วย คือ ห้วยตานีและห้วยตามาเรีย ผ่านบริเวณสระบารายที่เรียกว่าสระตราว ต่อลงตามลำตราวสู่พื้นที่ราบลุ่มในเขตจังหวัดศรีสะเกษ โดยฝรั่งเศสลากเส้นเขตแดนผ่านห้วยตามาเรียโดยแผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่มองพื้นที่จากระดับสูงจนแลไม่เห็นรายละเอียด ฝรั่งเศสโกงได้สำเร็จ เพราะอาศัยการเป็นประเทศมหาอำนาจล่าอาณานิคมที่อาจจะใช้กำลังเข้ายึดครองประเทศไทยได้ทุกขณะ ไทยยอมตามแผนที่และกฎเกณฑ์ที่ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายกำหนดก็ด้วยสามัญสำนึก [Common Sense] เพียงไม่ให้ถูกยึดครองประเทศ
แต่ในมุมกลับในทางสามัญสำนึกเช่นเดียวกับคนที่เป็นมนุษย์รักความเป็นธรรม การที่ฝรั่งเศสแย่งปราสาทพระวิหารไปจากพื้นที่ในสันปันน้ำนั้นคือ การโกงดื้อ ๆ อย่างไร้ยางอายของพวกมหาอำนาจทางตะวันตก
การโกงโดยใช้แผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ที่แย่งปราสาทพระวิหารไปอย่างขัดความเป็นจริงทางสันปันน้ำนี้ กลายเป็นมรดกตกทอดมายังรัฐบาลเขมรอันเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส และเป็นเครื่องมือของเจ้าสีหนุผู้นำเขมรหลังการปลดแอกจากฝรั่งเศสสร้าง ความรู้สึกชาตินิยม ด้วยการนำเอาประวัติศาสตร์สมัยเมืองพระนครที่นักวิชาการฝรั่งเศสเขียนไว้ว่า “กัมพูชาเคยเป็นมหาอาณาจักรที่มีอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่เมืองพระนคร ยุคนั้นดินแดนที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบทั้งในลาวและเวียดนามก็เคยตกเป็นเมืองขึ้นของกัมพูชา”
การเรียกร้องสิทธิการเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหารนั้น หมายถึงการแสดงอำนาจเหนือผู้คนในดินแดนประเทศไทยนั่นเอง นับเป็นวาทกรรมกับประวัติศาสตร์สมัยหลังเมืองพระนครที่กัมพูชาถูกยึดครองและเป็นเมืองขึ้นของสยามมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ เจ้าสีหนุทำเช่นนี้เพราะประจักษ์แก่ใจว่า อาณาบริเวณเขมรต่ำของเทือกเขาพนมดงเร็กจนถึงทะเลสาบเขมรนั้น เป็นพื้นที่ซึ่งทางสยามตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ผนวกเข้าเป็นดินแดนของสยามประเทศที่ในระยะหลัง ๆ เรียกว่า เสียมราฐ หรือ เสียมรัฐ ซึ่งทางคนเขมรออกสำเนียงเป็น เสียมราบ ผู้คนในอาณาบริเวณเสียมราฐนั้นมีความใกล้ชิดสนิทกับคนในเขมรสูงคือพื้นที่ราบสูงโคราชมาแต่โบราณก่อนสมัยเมืองพระนครว่าเป็นพวก เจนละบก ร่วมกัน เขมรสีหนุนั้นคือพวกเจนละน้ำ หรือพวกเขมรต่ำ ซึ่งทำตัวเป็นปรปักษ์กับสยามมาแต่สมัยรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร เพราะฉะนั้น ทั้งพระยาละแวก สีหนุและสุดท้ายเขมรฮุนเซ็นก็คือพวกเขมรน้ำที่ไทยเรียกว่า “เขมร” นั้นเอง หาใช่พวก “ขอม” ไม่ ดังข้าพเจ้าเคยเขียนบทความอธิบายถือ ความขัดแย้งระหว่างเขมรบกและเขมรน้ำไว้ในที่อื่น ๆ แล้ว
พอมาถึงสมัยทรราชฮุนเซ็นเป็นผู้นำ จึงเอาเรื่องปราสาทพระวิหารมาปลุกระดมชาตินิยมเพื่อเอาใจเขมรเสียมเรียบหรือเขมรบกอีกทีหนึ่ง เหตุที่ไทยแพ้คดีศาลโลกเรื่องปราสาทพระวิหารครั้งพ.ศ.๒๕๐๕ นั้น เพราะทั้งเขลาและหลงตะวันตก หรืออีกนัยหนึ่งคือ “บ้าฝรั่ง” นั่นเอง เพราะผู้นำไทยทั้งนักวิชาการล้วนคิดว่าตนเองทันสมัยทันโลกมากกว่าเขมร โดยเฉพาะผู้ที่ออกไปทำหน้าที่ว่าความและการจัดการเรื่องกฎหมาย โดยไม่ระแวงว่าพวกฝรั่งเข้าข้างกัน โดยเฉพาะฝรั่งเศส แต่เมื่อแพ้คดีแล้วจึงได้สติ จัดการออกโรงในเรื่อง ยอมให้แต่ตัวปราสาทไม่ยอมให้ดินแดน เพราะยึดในเรื่องสันปันน้ำ ซึ่งเขมรสีหนุก็ไม่กล้า แต่ไทยในสมัยต่อมาก็ยังเลินเล่อและสะเพร่าอยู่เช่นเดิม เพราะความบ้าความเป็นสากลทันโลกแบบนิยมฝรั่ง จนได้ทำลายสามัญสำนึกในเรื่องการแบ่งเขตแดนด้วยสันปันน้ำ หันมายอมรับการแบ่งเขตแดนด้วยแผนที่ชุดที่ ฝรั่งเศสสร้างขึ้นมาเพื่อโกงปราสาทพระวิหารไปจากไทย
การเซ็น MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ โดยรัฐบาลที่ไม่เอาไหน เช่นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จึงเกิดขึ้น เพราะบ้าความคิดฝรั่งในเรื่องแผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ที่พวกฝรั่งเศสทำไว้ เลยเข้าทางรัฐบาล นักธุรกิจการเมืองยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฮั้วกับทรราชฮุนเซ็นและนักธุรกิจข้ามชาติที่อยู่ทั้งในและนอกประเทศ
ในการพัฒนาพื้นที่ตะเข็บชายแดนบริเวณสามเหลี่ยมมรกตในเทือกพนมดงเร็กตั้งแต่อุบลราชธานีลงไปถึงจังหวัดตราดชายทะเล พื้นที่ชายแดนเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันของคนเหล่านี้ที่อยู่เหนือรัฐทั้งไทยและกัมพูชา การทำลายพื้นที่ตะเข็บชายแดนของทั้งสองประเทศเพื่อกลุ่มนักธุรกิจการเมืองทั้งสองชาติเห็นได้จาก การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน [Infra-structure] เช่น การตัดถนนหนทาง แหล่งธุรกิจการค้า แหล่งอุตสาหกรรม ย่านตลาดและชุมชน เช่นเส้นถนนที่ตัดข้ามช่องสะงำและต่อมาที่ช่องตาเฒ่า เป็นต้น เมื่อรัฐบาลทักษิณมีอันเป็นไป โครงการธุรกิจข้ามชาติดังกล่าวนี้ก็หาได้สลายไปไม่ ยังคงสานต่อโดยกลุ่มผลประโยชน์ที่อยู่ในคณะรัฐบาลหลังๆ ต่อมา ซึ่งก็รวมถึงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในยุคนี้ด้วย ที่ยังกอด MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ อย่างเหนียวแน่น ทั้งยังไม่ยอมตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิกมรดกโลกและองค์กร UNESCO
ปัญหาในเรื่องความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหารและเขตแดนในทุกวันนี้ หาใช่พื้นที่ทับซ้อนหรือพื้นที่พิพาทอะไรไม่ หากเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างแท้จริง
เพราะด้วย MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ การรุกล้ำบริเวณตะเข็บชายแดนจนกลายเป็นการยั่วยุจนเกิดความรู้สึกชาตินิยมด้วยกันระหว่างคนไทยและคนเขมร แต่เขมรทำสำเร็จมากกว่า เพราะคนเขมรหือไม่ขึ้น เป็นประชาชนที่น่าสงสารภายใต้ทรราชฮุนเซ็นที่ประสบความสำเร็จทั้งในการครอบงำและกดขี่
แต่ทรราชฝ่ายไทยไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะความเป็นชาตินิยมแบบเชื้อชาตินิยม นั้นได้ตายไปจากคนไทยยุคใหม่หมดแล้ว
คนไทยยุคใหม่แบ่งออกเป็นพวกไร้พรมแดน อันเป็นความคิดที่มาจากเรื่องโลกาภิวัตน์ของทางตะวันตก โดยมีหัวหอกเป็นพวกดอกเตอร์ที่เรียนมาจากตะวันตกโดยเฉพาะและกลุ่มที่มีแนวคิดแบบ Post Modernism บางกลุ่ม ที่กำลังถูกตรวจสอบและกล่าวหาโดยคนไทยที่มีสำนึกในเรื่องพรมแดนว่าเป็นพวกขายชาติ
ข้าพเจ้าคือคนหนึ่งที่มีสำนึกในเรื่องพรมแดน เพราะเป็นสำนึกที่เรียกว่ารักแผ่นดินเกิด [Patriotism] เช่นมนุษย์ที่เป็น Homo sapiens ทั้งหลาย ข้าพเจ้าเรียกสำนึกนี้ว่า สำนึกชาติภูมิ หาใช่ความรู้สึกชาตินิยมแบบเชื้อชาตินิยม ที่นักวิชาการกลุ่มหนึ่งกล่าวหาและปลุกปั่นเพื่อประโยชน์ในการทำมาหากินของกลุ่มตน
แต่ก่อนการมีพรมแดนระหว่างรัฐต่อรัฐหรือปัจจุบันกลายมาเป็นรัฐชาติในระหว่างประเทศต่อประเทศนั้น ไม่มีเส้นเขตแดน แต่เมื่อพวกฝรั่งนักล่าอาณานิคมมาทำขึ้น คนไทยก็ยอมรับแต่กลับโดนโกง ซึ่งข้าพเจ้าใคร่วิเคราะห์การแบ่งเขตแดนตะเข็บชายแดนระหว่างไทยและเขมรอย่างกว้าง ๆ ตามลักษณะภูมิประเทศต้องเป็นสองเขต คือบริเวณเทือกเขาพนมดงเร็ก ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีมาถึงจังหวัดบุรีรัมย์ กับบริเวณพื้นที่ราบลุ่มจนถึงชายทะเลตั้งแต่จังหวัดสระแก้ว จันทบุรีลงไปถึงจังหวัดตราด
เขตแรกบนเทือกเขาพนมดงเร็กอันเป็นบริเวณที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นั้น คือพื้นที่ซึ่งต้องใช้สันปันน้ำกำหนดเขตก็ปรากฏว่า ส่วนที่อยู่ปลายสุดแต่จังหวัดอุบลราชธานีมาถึงช่องสะงำในเขตจังหวัดศรีสะเกษนั้น เป็นบริเวณที่เห็นสันปันน้ำชัดเจน จึงไม่จำเป็นต้องปักเขตแดน ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเขตนี้ แต่ว่าตั้งอยู่บนผาสูงที่เป็นจะงอยยื่นล้ำเข้าไปในพื้นที่เขมรต่ำ นั่นคือพื้นที่ซึ่งครอบคลุมทั้งตัวปราสาทและพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรที่อยู่รอบ ๆ ตัวปราสาท
ฝรั่งเศสโกงโดยขีดเส้นเขตแดนตัดตรงห้วยตามาเรียที่ตอนปลายสุดของพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร เพื่อให้ขนานกับแนวนอนอันเป็นเส้นตรงตามเทือกเขาด้วยการอ้างแผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ลำห้วยตามาเรียนี้คือลำห้วยที่รองรับน้ำที่ไหลลงจากผาชะง่อนที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ แต่ลำห้วยนี้ก็หาได้ไหลลงทางฟากเขมรต่ำไม่ กลับเป็นลำห้วย ๒ ห้วย คือ ห้วยตานีและห้วยตามาเรียที่ไหลผ่านสระตราวลงไปยังที่ราบลุ่มของจังหวัดศรีสะเกษ สันปันน้ำที่แลเห็นชัดนี้ทอดยาวตามแนวเขามาจนถึงช่องสะงำอันเป็นบริเวณที่แลไม่เห็นสันปันน้ำชัดเจนที่ต่อไปจนสิ้นสุดเขตจังหวัดบุรีรัมย์ เลยเป็นเขตให้ต้องมีการปักเขตแดนขึ้น และปักเรื่อยลงไปถึงพื้นที่ราบลุ่มในเขตจังหวัดสระแก้ว จันทบุรีและตราด รวมเป็นจำนวน ๗๓ หลัก

ภาพถนนกำลังก่อสร้างทางขึ้นปราสาทพระวิหารทางฝั่งกัมพูชาในปัจจุบัน นับเป็นถนนอันลาดชันและรุกล้ำเข้าสู่พื้นที่ซึ่งยังไม่มีการตกลงปักปันเขตแดนโดยคณะกรรมการทั้งสองฝ่าย
บริเวณเขตแดนที่มีหลักเขตแสดงไว้เหล่านี้ดูเป็นที่ยอมรับกันเรื่อยมาอย่างไม่มีปัญหา แม้จะมีการเคลื่อนย้ายอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่มีปัญหาเท่ากับพื้นที่บนชะง่อนผาของปราสาทพระวิหาร โดยประชาชนทั้งบนที่ราบสูงโคราชและพื้นที่เขมรต่ำทางกัมพูชารู้จักและขึ้นลงไปมาผ่านเขตแดนเป็นประจำ โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตพรมแดนไทยนั้น มีชาวบ้านตั้งที่อยู่อาศัยและทำกินใกล้กับบริเวณเขตแดนเรื่อยมา
แต่นับตั้งแต่เกิดโครงการพัฒนาตะเข็บชายแดนที่ร่วมมือกันระหว่างไทยและกัมพูชาสมัยรัฐบาลทักษิณ ก็ปรากฏว่ามีคนเขมรรุกเข้ามาตั้งที่อยู่อาศัยและที่ทำกินประชิดเส้นแบ่งเขตแดน และบางคนบางกลุ่มที่รุกพื้นที่ล้ำแดนเข้ามา โดยเฉพาะในสมัยการสู้รบระหว่างเขมรแดง เขมรเฮงสัมริน ซึ่งเมื่อสิ้นสงครามแล้วก็ไม่ได้ถอยหลังไปและทางฝ่ายไทยก็ไม่ได้ผลักดันกันอย่างจริงจัง การล้ำพื้นที่เขตแดนดังกล่าวนี้รวมทั้งบนเทือกพนมดงเร็ก โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรบนเขาพระวิหาร
ครั้นมาถึงสมัยรัฐบาลทักษิณเมื่อมีโครงการพัฒนาตะเข็บชายแดนร่วมกันระหว่างทุนไทยกับทุนเขมรและทุนข้ามชาติก็เกิดการสมคบและการยินยอมในการใช้ประโยชน์ของพื้นที่และทรัพยากรร่วมกัน โดยหาคำนึงถึงความเดือดร้อนของคนในท้องถิ่นทั้งสองฟากคือ ฟากเขมรสูงและเขมรต่ำไม่
จึงแลเห็นได้จากการเอาปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลก รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย โดยเฉพาะผิดกฎหมายว่า เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่ขยายจากพื้นที่บนเทือกเขาที่มีสันปันน้ำไปจนถึงเขตชายทะเลฝั่งอ่าวไทยที่มีทรัพยากรทั้งสิ้น ช่วงเวลานี้แหละที่เห็นกระบวนการผิดกฎหมายที่ต้องพูดอย่างรวม ๆ ว่า คอรัปชั่นพื้นที่ป่าเขาตามชายแดนมีทั้งออกเขตอุทยานทับพื้นที่ทำกินของชาวบ้านและปล่อยให้คนเขมรเข้ามาแย่งที่ทำกิน เกิดการตัดไม้ทำลายป่าโดยเฉพาะป่าไม้พยุงอันเป็นไม่ชั้นดีราคาแพง ซึ่งหน่วยราชการทั้งพลเรือนและทหารจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ พื้นที่บนเทือกเขาสันปันน้ำนั้นเป็นพื้นที่ของกองกำลังสุรนารี ที่เคยมีทหารหาญรักชาติรักแผ่นดินดูแลก็ถูกแทนโดยทหารที่มีเอี่ยวในการหาผลประโยชน์แทน ในขณะที่บริเวณชายแดนในพื้นที่ราบลุ่ม เช่น สระแก้วและจันทบุรี อันไม่มีสันปันน้ำแต่มีการปักเขตแดนไว้แต่เดิมอย่างเป็นที่ยอมรับกัน ก็ถูกรุกล้ำโดยการอพยพเข้ามาของคนเขมรและเกิดแหล่งบ่อนการพนัน คาสิโน การลักลอบขนสิ่งของนอกกฎหมาย
กองกำลังบูรพาที่เคยเข้มแข็งและห้าวหาญเป็นที่ยำเกรงของเขมรก็เปลี่ยนมาอ่อนข้ออ่อนน้อม ผลที่ตามมาก็คือคนในพื้นที่ถูกแย่งที่ทำกินให้ไปเป็นของคนเขมร การยอมรับ MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ คือการใช้แผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ เปลี่ยนเขตแดนแต่เดิมให้เป็นที่ของคนกัมพูชา จนนำไปสู่การเข้ามายึดครองแผ่นดินของเขมรฮุนเซ็น
ความชัดเจนในเรื่องการรุกเขตแดนโดยการอ้าง MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ เห็นชัดเจนในเหตุการณ์จับ ๗ คนไทยในเขตจังหวัดสระแก้ว คนพวกนี้ถูกเขมรจับในพื้นที่ใกล้กับหลักเขตแดนที่เคยปักปันไว้ในที่ทำกินของชาวบ้านที่มีเอกสารสิทธิ์ยืนยันว่าเป็นที่ทำกินในดินแดนประเทศไทย แต่ถูกเขมรอ้างว่าล้ำเข้าไปอยู่ในเขตแดนประเทศเขมร โดยที่ทหารไทยกองกำลังบูรพาปล่อยให้เขมรจับไปเข้าคุกต่อหน้าต่อตา มิหนำซ้ำรัฐมนตรีกลาโหมผู้เคยเป็นผู้บังคับบัญชากองกำลังบูรพา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ช่วยกันกล่าวหาและยืนยันว่าคนไทยทั้ง ๕ คนรุกเข้าไปในดินแดนเขมร แต่ในที่สุดได้มีผู้หาหลักฐานมายืนยันว่าเป็นพื้นที่ในเขตประเทศไทยอย่างพอเพียง ก็ไม่ได้ออกมาแก้ไขแต่อย่างใด
การรุกเข้ามาของเขมรในเขตแดนไทยนี้เดือดร้อนไปถึงพื้นที่ทำกินในที่อื่น ๆ ของชาวบ้านอีกเป็นจำนวนมากตามตะเข็บชายแดนในจังหวัดสระแก้ว จันทบุรี และเลยขึ้นไปบนเทือกพนมดงเร็ก ข้าพเจ้าเห็นว่าในขณะที่รัฐบาลและทหารตอบคำถาม และการกล่าวหาของกลุ่มคนรักชาติรักแผ่นดินเกิดไม่ได้ว่า ทำไมไม่รู้และไปยอมรับการเข้ารุกที่เขตแดนและจับคนไทยในพื้นที่ของประเทศไทย ถ้าแม้ว่าจะเป็นพื้นที่พิพาทในกรณีที่อ้าง MOU. พ.ศ. ๒๕๔๓ ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า เขมรละเมิด MOU. ในการให้กองกำลังเข้ามาในพื้นที่พิพาทและจับคนไทยไปขังคุก ซึ่งนับเป็นการรุกล้ำอธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
การเข้ามาละเมิดพื้นที่ข้อพิพาทตาม MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ นี้ไม่จำกัดอยู่แต่เพียงพื้นที่ในเขตจังหวัดสระแก้ว พื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารที่นับเนื่องเป็นพื้นที่ข้อพิพาทซึ่งไม่ควรมีกองทหารเขมรและคนเขมรเข้าไปอยู่อาศัยและสร้างวัด แต่ทางไทยโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศและทหารไม่ประท้วงและผลักดัน ที่น่าอัปยศและอดสูใจอย่างสุด ๆ ก็คือ ฝ่ายทหารไทยกลับปล่อยให้เขมรสร้างถนนขึ้นมายังพื้นที่ข้อพิพาทและเข้าไปยึดพื้นที่ในเขตภูมะเขือ อันเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ จนในที่สุดฝ่ายเขมรก็ใช้เป็นฐานกำลังยิงเข้ามาทำลายบ้านเรือนราษฎร แต่รัฐบาลไทยเพียงบอกว่าตอบโต้อย่างพอประมาณเพื่อมุ่งหวังการเจรจาแต่อย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่ประชาชนเป็นจำนวนหมื่นต้องเดือดร้อนย้ายที่อยู่หนีตาย
การละเมิด MOU. พ.ศ.๒๕๔๓ ของเขมรดังกล่าวนี้ ทางฝ่ายไทยสามารถใช้เป็นข้องอ้างยกเลิก MOU. และตอบโต้เพื่อปกป้องดินแดนและประชาชนได้สบายมาก รวมทั้งยกเลิกการเป็นสมาชิกมรดกโลกปราสาทพระวิหารอันเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งและเดือดร้อนได้อย่างสมเหตุสมผลเช่นกัน
ทั้งหมดนี้คือหลักฐานข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ชี้ให้เห็นว่า การเสียเปรียบในเรื่องดินแดนที่นำไปสู่ความเดือดร้อนของประชาชนในท้องถิ่นนั้น หาได้มาจากเขมรแต่ฝ่ายเดียวไม่ หากมีสาเหตุมาจากผลประโยชน์ทับซ้อนที่มาจากทุนข้ามชาติที่ทำให้คนในรัฐบาลและนักวิชาการบางกลุ่มเหล่าช่วยกันขายบ้านขายเมืองขายชีวิตประชาชนให้กับต่างชาติอย่างไม่ต้องสงสัย
ข้าพเจ้าจึงให้ชื่อบทความนี้ว่า “สยามพ่าย เพราะไทยถ่อย” อย่าไปโทษเขมร อย่าไปโทษต่างชาติเลย หากสยามจะอยู่ยั้งยืนยง ก็ต้องขจัดกระบวนการคอรัปชั่นของคนเหล่านี้ที่เป็นนักการเมืองข้าราชการทั้งทหาร พลเรือนและนักวิชาการขายตัวเสียก่อน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments