top of page

สะพานหัน กับวิกลิเกหลวงสันท์

สุดารา สุจฉายา

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ธ.ค. 2556



เมื่อไม่นานมานี้ได้สำเนาเอกสารเก่าจากหอสมุดแห่งชาติ กล่าวถึงเรื่องลิเกหลวงสันท์ที่สะพานหัน ทำให้ต้องรื้อเทปบันทึกเรื่องราวของสะพานหันและลิเกคณะนี้มาปัดฝุ่น เพราะแหล่ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าเป็นลิเกดัง ขนาดสาวแก่แม่หม้ายติดกันงอมแงมเลยทีเดียว

      “...ทั้งสาวแก่แลแม่หม้าย เฝ้ามุ่งหมายใฝ่ฝันหา  

ลูกผัวไม่นำพา ถึงเวลาดูลิเก

    เฝ้าผัดหน้าทาขมิ้น ไปหาชิ้นไม่ห่างเห 

    พอได้ชมสมคะเน ชอบลิเกคุณหลวงสรรค์”


เรื่องราวของลิเกคณะนี้ที่เคยสืบค้นได้ข้อมูลมาอย่างกะปริดกะปรอย จึงถึงคราวต้องนำมาปะติดปะต่อกับเรื่องราวของสะพานหันที่ตั้งวิก ให้ปรากฏในข้อเขียนชิ้นนี้แล้ว 


สะพานหันในย่านสำเพ็ง

ในหนังสือ เปิดกรุภาพเก่า ของคุณเอนก นาวิกมูล ที่มีภาพปกรูปประตูเมืองบนถนนพาหุรัดนั้น คือประตูสะพานหัน ซึ่งชาวจีนเรียกว่า “ซำเพ้งเซียมึ้ง” เพราะเป็นประตูเมืองที่จะออกไปสู่ย่านสำเพ็ง--ตลาดการค้าและถิ่นฐานอาศัยสำคัญของคนจีนนอกกรุงรัตนโกสินทร์ ประตูดังกล่าวสร้างขึ้นมาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ โดยแรกเริ่มนั้นเป็นประตูช่องกุด พอถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ.  ๒๔๒๐ โปรดให้เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ปรับเปลี่ยนเป็นประตูทรงตัดเรียบ มีดาดฟ้าด้านบน แล้วมีงานสมโภชประตู แต่พอถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ ก็แปลงประตูสะพานหันเป็นประตูยอดดั่งภาพในหน้าปกหนังสือ กระทั่งวันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ในรัชกาลที่ ๖ ประตูยอดนี้ก็พังทลายลงมา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นมีบันทึกไว้เป็น "แหล่เครื่องเล่นกัณฑ์มหาพน" ในหนังสือ ประชุมแหล่เครื่องเล่นมหาชาติ ว่า  

“ที่ ๒๖ กันยายน เกิดโกลาหลอัศจรรย์

ที่ประตูยอดสะพานหัน พังทลายลั่นเสียงครืนคราน

.................................... ......................................

สองทุ่มหย่อน ๒๐ มินิต เวลาเมื่ออิฐพังลงมา

เลื่องลือลั่นพารา ต่างคนต่างพากันไปดู

ทั้งไทยทั้งเจ๊กเด็กผู้ใหญ่ บ้างชวนกันไปเป็นหมู่ๆ

เสียงโจษกันลั่นสนั่นหู ว่าจะไปดูประตูพัง.....”


ประตูพังครั้งนั้นก็เพราะความเก่าชรา เป็นเหตุให้ต่อมาประตูเมืองต่าง ๆ ก็ถูกรื้อออกหมดในที่สุด คงเหลือประตูเมืองตรงถนนพระสุเมรุประตูเดียวที่รักษาไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้  


อย่างไรก็ดีแม้ประตูนี้จะเป็นทางเข้าสู่สำเพ็ง แต่ไม่มีคนไทยเรียกว่า “ประตูสำเพ็ง” กลับเรียกประตูสะพานหัน เนื่องจากพอลอดผ่านประตูออกไปนอกพระนคร ก็เจอสะพานข้ามคลองโอ่งอ่างหรือคลองรอบกรุง เป็นสะพานไม้แผ่นเดียวทอดข้ามคลอง ปลายข้างหนึ่งตรึงแน่นกับที่ อีกปลายวางพาดกับฝั่งตรงข้ามโดยไม่ตอกตรึง สามารถจับหันเพื่อเปิดทางให้เรือผ่านและหันปิดสำหรับคนสัญจรข้ามไปได้ สะพานแบบนี้จึงถูกเรียกว่า สะพานหัน และกลายมาเป็นชื่อเรียกประตูเมืองไปด้วย 


ตรงจุดบริเวณสะพานนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นเข้าสู่ย่านการค้าสำเพ็ง ผู้คนจึงหนาแน่น มีแผงขายของระเรื่อยไป โดยเฉพาะยามเมื่อเปลี่ยนจากสะพานหันมาเป็นสะพานเหล็กในรัชกาลที่ ๔ และเมื่อถึงรัชกาลที่ ๕ ก็ปรับเปลี่ยนเป็นสะพานโค้งค่อนข้างสูง ซึ่งขุนวิจิตรมาตราหรือกาญจนาคพันธุ์ได้เห็นเมื่อตอนเป็นเด็ก และได้เขียนบันทึกไว้ใน กรุงเทพฯ เมื่อ ๗๐ ปีก่อน และบทความเรื่อง สามเพ็ง ว่า ...พื้นสะพานตรงกลางเป็นไม้เรียบ สองข้างสะพานเป็นห้องแถวไม้ติดต่อกันตลอด ฟากหนึ่งราว ๗ หรือ ๘ ห้อง โดยสร้างยกพื้นขึ้นไปเป็นชั้นๆ หรือเป็นห้องๆ มาบรรจบตรงกลางสะพานที่โค้งสูงสุด หลังคาห้องทั้งหมดก็ลำดับเป็นชั้น ๆ ด้วย ห้องแต่ละห้องเป็นห้องเล็ก ๆ เป็นที่คนอยู่และขายของได้ ด้านหลังของห้องเป็นหน้าต่าง ระหว่างห้องทั้งสองข้างเป็นทางเดินสำหรับคนเดินข้าม กว้างราวสัก ๓ ศอก ห้องทั้งหมดมีคนเช่าอยู่และขายของเต็ม


บริเวณที่ออกจากประตูสะพานหันไปนอกพระนครนี้ ในอดีตเรียกว่า ตำบลสามเพ็ง เป็นต้นไป และเมื่อลงจากสะพานหันเข้าไปสู่ย่านอาศัยและการค้าของชาวจีน มีถนนหรือสมัยก่อนต้องเรียกว่า ตรอกสามเพ็งหรือสำเพ็ง ตัดผ่าชุมชนยาวออกไปจนจรดวัดกาลหว่าร์ที่ตลาดน้อย ซึ่งปัจจุบันก็คือ แนวถนนวานิช ๑ และถนนวานิช ๒ โดยถนนวานิช ๑ ตั้งต้นจากถนนจักรเพชรไปบรรจบถนนทรงวาดและถนนทรงสวัสดิ์ ที่ข้างวัดสัมพันธวงศ์หรือวัดเกาะ ส่วนถนนวานิช ๒ แยกจากถนนทรงวาดบริเวณวัดปทุมคงคาไปจนถึงวัดกาลหว่าร์ที่ถนนโยธานั่นเอง และระหว่างช่วงประตูสะพานหันถึงถนนจักรวรรดิ์ ที่เรียกกันว่า ย่านหัวเม็ด คนจีนเรียก “ติ๊ดเกย” นั้น เป็นชุมชนสะพานหัน แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของย่านสำเพ็ง แต่สะพานหันในอดีตก็เป็นแหล่งค้าขายที่มีเอกลักษณ์ต่างจากในปัจจุบัน และเป็นถิ่นอาศัยของขุนน้ำขุนนางมากกว่าคนจีนดั่งเช่นปัจจุบัน



ผลไม้ ดอกไม้ เครื่องหอม ไปจนถึงเครื่องเพชรเครื่องทอง

คุณหญิงศรีศิริ กฤษณจันทร หรือนามสกุลเดิม คุ้มเกษ วัย ๘๐ กว่าปี ผู้เกิดในย่านสะพานหันและใช้ชีวิตวิ่งเล่นอยู่ในย่านนี้ ถ่ายทอดสภาพค้าขายที่ตนเห็นมาแต่ครั้งเยาว์ว่า แถบพื้นที่สะพานหันในเวลานั้นบ้านเรือนอาศัยถ้าไม่เป็นของบรรดาพระยา คุณพระ คุณหลวง ก็เป็นของพวกคหบดีคนไทยและเจ้าสัว ที่จดจำได้ก็มีพระยาภิรมย์ภักดี บ้านอยู่ต้นคลองโอ่งอ่าง บ้านพระยาพิชัยสงคราม บ้านพระยาสโมสรวิเศษฐการ บ้านพระกรณีศรีสำรวจ บ้านนายย้อย วิเศษกุล ที่น้องสาวไปดองกับพระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี บ้านหลวงสันทนาการกิจ ที่ตั้งวิกลิเกดังในย่านนี้ คนทั่วไปเรียกสั้นๆว่า วิกหลวงสันท์ นอกจากนั้นก็มีเจ้าสัวชาวจีน แขกขายผ้า และคนจีนที่มาขายยาฉุนในตรอกยาฉุนบ้าง อย่างไรก็ดีคุณหญิงศรีศิริเน้นว่า “สะพานหันเป็นย่านคนไทย” พร้อมกับฉายภาพการขายและจับจ่ายซื้อสินค้าในเวลานั้น


“ก่อนขึ้นสะพานหัน สองข้างเป็นร้านขายผลไม้ต่างประเทศ แอปเปิ้ล สาลี่ องุ่น เครื่องกระป๋อง เครื่องแห้งของจีน วางเต็มสองฟาก พวกผลไม้ไทยตามฤดูกาลและทวาย อย่างลำไย ทุเรียน ผลไม้พื้นเมืองต่าง ๆ มีหมด คัดมาสวย ๆ ดี ๆ เหมือนอย่างในตลาด อตก. ปัจจุบัน แม่ค้าจะใส่กระจาดมาตั้งเหมือนบางลำพูสมัยก่อน อย่างลำไยลูกโต ๆ ก็ใส่กระเช้า...เปิดชิมได้ พวกแม่ค้านั้นพูดจาอ่อนหวานกับลูกค้า เรียกท่านเจ้าคะ เจ้าขา บ่าวเก็บเอาไว้ให้นะคะ ของบ่าวอร่อยทั้งนั้น ซื้อเสร็จก็เอาของมาส่งให้ถึงรถสามล้อ รถเจ๊ก เพราะเจ้านายให้บ่าวมาซื้อกันทั้งนั้น”


สอดคล้องกับที่ ศรี เกษมณี เขียนเล่าไว้ในหนังสือ เมื่อวานนี้ ว่า “แม่ไปซื้อผลไม้ เช่น องุ่น แอปเปิ้ล ที่สะพานหันซึ่งเป็นแหล่งรวมผลไม้ดี ๆ จากต่างประเทศ ของที่สะพานหันจัดว่าแพงชนิดจดไม่ลง คนซื้อต่อรองราคาแทบไม่ได้ ถ้าไม่ซื้อ คนขายก็จะเมินหน้าไม่ง้อให้เสียเวลา ลูกค้าที่มีเงินยังเดินเข้าออกสะพานหันให้พลุกพล่าน”


พอขึ้นตัวสะพานหัน คุณหญิงอธิบายว่าพื้นทำด้วยไม้ มีลูกระนาดคั่นเป็นขั้นๆ ลงไป เพื่อกันไม่ให้ลื่น สองฟากตัวสะพานเป็นร้านขายของ


“ทำเป็นห้อง ๆ ที่จำได้มีร้านแขกขายผ้า เป็นพวกผ้ามุ้ง ผ้าม่าน ผ้าลูกไม้ ผ้าสำลี ผ้าต่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้ขายผ้าอย่างดี เพราะของสวย ๆ นั้นจะขายกันที่พาหุรัด ส่วนร้านขายผ้าของผู้หญิง เป็นพวกผ้าลาย พวกนางงามจะมาซื้อ มานั่งเลือกผ้า เขาจะวางขายบนอัฒจันทร์เตี้ย ๆ ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ใด ๆ คนซื้อก็ขึ้นไปนั่งพับเพียบบนแท่น ดูของนั่นของนี่ ต่อรองราคากันบนนั้นเลย ไม่มีใครยืนซื้อ ลงจากสะพานมีร้านขายน้ำอบไทย ชื่องร้านเก็งนา แล้วก็ร้านแม่อ้น ขายดอกไม้ธูปเทียนเกี่ยวกับไหว้พระ พวกพุ่มเทียน กระแจะ หมากหอม แล้วก็พวกดอกไม้แห้ง ดอกไม้จัน สะพานหันมีอยู่หลายร้าน บ้างรอยมาลัยแห้ง พวกดอกมะลิที่ทำจากกระดาษ ดอกไม้เข้าพรรษา กระดาษย่นสี ๆ เครื่องบวช บ้างร้านก็ขายพระพุทธรูปอย่างเดียว ขายดอกไม้สดก็มี เลยออกไปทางหัวเม็ดมีร้านทอง ขายเครื่องเพชร อย่างแม่กิมลั้ง แม่กิมตี่ พวกนี้เป็นลูกครึ่งไทย-จีน ถ้าร้านทองที่เยาวราชคนจีนขาย สมัยก่อนใครจะแต่งงานต้องมาซื้อเพชรที่สะพานหัน ไว้ใจได้ไม่มีหลอกลวง นอกจากนี้ก็มีร้านขายยาของคนจีน เดี๋ยวนี้ก็เหมือนจะยังอยู่ แล้วก็มีซ่อง มีโรงยาฝิ่น สมัยก่อนสะพานหันคนไม่แออัดแน่นอย่างปัจจุบัน เดินซื้อของกันสบาย”


ภาพบรรยากาศการค้าแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ เนื่องมาจนถึงหลังสงคราม (มหาเอเชียบูรพา) เช่นนี้ คงดำเนินต่อมากระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๕ จึงได้มีการรื้อสะพาน แล้วสร้างใหม่เป็นคอนกรีตดังที่เห็นอยู่ทุกวันนี้  นานาสินค้าในย่านสะพานหันก็มีการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นของอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร ขนม เสื้อผ้า เครื่องเย็บปักถักร้อย ไปจนถึงร้านขายกิฟท์ช้อป ที่ขยายตัวมาจากสำเพ็ง ร้านค้าดั้งเดิมแทบหายไปเกือบหมด มีการเปลี่ยนมือให้คนเช่า เหลือไว้แต่ป้ายชื่อร้านเก่าพอให้จับเค้ารางได้เท่านั้น


วิกยี่เกหลวงสันท์ ริมคลองสะพานหัน

นอกจากภาพจำเกี่ยวกับตลาดสะพานหันแล้ว ความประทับใจอีกสิ่งหนึ่งที่คลุกคลีอยู่ในย่านสะพานหันของคุณหญิงศรีศิริก็คือ ชีวิตในวิกยี่เกหลวงสันท์ โรงมหรสพของครอบครัวเครือญาติที่เกาะเกี่ยวดำเนินกิจการอยู่ในย่านสะพานหัน เป็นวิกลิเกดังโรงหนึ่งในยุคที่ลิเกทรงเครื่องกำลังเฟื่องในพระนคร


ลิเกหรือยี่เกเป็นมหรสพที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า “มาจากเพลงสวดของแขก ส่วนการแสดงน่ะยี่เกน่ะไทยแท้...” โดย อ. สุรพล วิรุฬรักษ์ ผู้ค้นคว้าเรื่องลิเก อ้างถึงหนังสือ สาส์นสมเด็จ ระบุว่า กำเนิดมาจากการสวดอย่างอิสลามในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓ แล้วการสวดนี้ก็พัฒนาแตกแขนงเป็น “ลิเก” และ “ลำตัด” ต่อมา


การแสดงลิเกในระยะแรกมี ๒ ชนิด คือ ลิเกบันตนและลิเกลูกบท แต่งตัวธรรมดา แต่สีสันสดใส มาถึงยุคพระยาเพชรปาณี (ตรี) เจ้าของวิกหน้าวัดราชนัดดา ได้คิดเครื่องแต่งกายใหม่อย่างหรูหรา สวมปันจุเหร็ดยอด ใส่เสื้อเยียรบับ นุ่งโจงผ้ายก สวมถุงเท้าขาว ประดับสังวาลนพรัตน์กำมะลอ เลียนแบบเครื่องแต่งกายขุนนาง ท้าวพญามหากษัตริย์ อันเรียกได้ว่าเป็นการแต่งองค์ทรงเครื่อง ชาวบ้านทั้งหลายจึงเรียกว่า “ลิเกทรงเครื่อง” ที่นอกจากจะปฏิวัติการแต่งกายแล้ว ยังเล่นแสดงเป็นเรื่องแบบละคร อีกทั้งมีการรำนิด ๆ หน่อย ๆ ดำเนินเรื่องเร็ว แทรกการเล่นตลกขบขัน เป็นที่ถูกอกถูกใจชาวบ้านร้านตลาด จนเกิดวิกยี่เกหลายแห่งในช่วงสมัยนั้น 


หนึ่งในนั้นก็คือ วิกของหลวงสันทนาการกิจ (โหมด ภูมะธน) ข้าราชการในกระทรวงทหารเรือ ที่บ้านและวิกของท่านตั้งอยู่ริมคลองสะพานหัน ใกล้สะพานภาณุพันธุ์ โดยมีภรรยาของท่าน คือ อำแดงทับทิม เป็นโต้โผใหญ่ประจำโรงยี่เก ซึ่งคุณหญิงศรีศิริเรียก ย่าทับทิม ด้วยท่านเป็นธิดาของหลวงสุนทรโกษา (จาด คุ้มเกษ) ผู้เป็นทวดของคุณหญิง


“บ้านหลวงสันท์อยู่ด้านในตลาด ติดกับพวกสิงหเสนี เป็นบ้านไม้ใหญ่แบบโบราณ ส่วนตัววิกอยู่ข้างหน้าบ้าน คุณย่าเป็นคนดูแล ตกเย็นญาติพี่น้องต้องมาทำโรงลิเกกันหมด มาทำฉาก ซ่อมประตู กวาดโรง เก็บเงินหน้าโรงวิก ทำกับข้าวกับปลาเลี้ยงคนแสดง แม่ดิฉันถูกมอบหมายให้เป็นคนเก็บเงินค่าเข้าชม ตัวดิฉันก็เลยวิ่งเล่นอยู่แถวนี้ พอตอนหลังวิกเลิก มีคนมาเช่าแล้วจึงรื้อทำโรงหนัง ปัจจุบันเป็นศูนย์การค้าสะพานหันไง  เท่าที่ทราบเดิมวิกเคยอยู่ที่ประตูสามยอด” 


คุณหญิงศรีศิริรื้อฟื้นความทรงจำในวัยเด็ก ซึ่งหลายสิ่งเป็นสิ่งที่ฟังผู้ใหญ่เล่ามา โดยเฉพาะเรื่องวิกที่เคยอยู่ประตูสามยอดนั้น จากการสัมภาษณ์คุณถิน และคุณพงษ์สิทธิ์ ภูมะธน ซึ่งเป็นหลานของย่าทับทิมได้คำชี้แจงว่า วิกยี่เกหลวงสันท์อยู่สะพานหันมาแต่แรก วิกประตูสามยอดเป็นของหม่อมสุภาพ กฤดากร หม่อมในกรมพระนเรศวรวรฤทธิ์ (ต้นสกุลกฤดากร) ซึ่งเป็นยี่เกโรงใหญ่ มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสมัยรัชกาลที่ ๖ ด้วยมีการปรับปรุงการเล่นใกล้ละครรำมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบแผนในการรำ การที่คุณหญิงเข้าใจผิดว่าเคยอยู่ประตูสามยอดก็เนื่องจากย่าทับทิมรับกิจการยี่เกของหม่อมสุภาพมาดำเนินการต่อนั่นเอง และนี่อาจเป็นที่มาที่ห้ามไม่ให้ลิเกโรงนี้ร้องเพลงรานิเกลิงของนายดอกดิน เสือสง่า ด้วยเห็นว่าเป็นลิเกบ้านนอก ลิเกเร่ร่อน


คุณถินยังบอกอีกว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ มีการสวนสนามทหารหน้าวิก บนถนนเยาวราช พวกลิเกจึงพากันออกมารำ เอาดอกไม้ไปยื่นให้เจ้าพระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา-ผู้เขียน) และที่จำได้ วิกหลวงสันท์กลางวันเป็นบ่อนปลากัด กลางคืนจึงเป็นวิกยี่เก


ขณะที่คุณพงษ์สิทธิ์ว่า ก่อนเปิดวิกทุกครั้งต้องมีโหมโรง เล่นดนตรีตีระนาดเรียกคน เริ่มเล่นราวทุ่มสองทุ่ม จุดตะเกียงเจ้าพายุเล่น เล่นกันถึงเที่ยงคืนก็เลิก  สมัยนั้นคนสะพานหันจะมีคำพูดที่รู้จักกันทั่วย่านว่า “หน้าพ่อพัก” คือ หน้าสวยขึ้นเครื่องลิเก เพราะพ่อพัก เป็นพระเอกประจำวิกหลวงสันท์ คู่กับนางเอกชื่อนายเจือ เป็นชายแต่เล่นเป็นหญิง เนื่องจากสมัยนั้นการเล่นยังไม่ได้ใช้ชายจริงหญิงแท้ คนดูส่วนใหญ่จึงเป็นหญิง เป็นแม่ยกเยอะ และตัวแสดงที่สำคัญอีกตัว เป็นตัวโกงชื่อ ตารวน เวลาเดินเข้าตลาดสะพานหัน พวกแม่ค้าเห็นต้องถ่มน้ำลายรดพื้น เพราะไม่ชอบใจ ด้วยอินกับบทโกงของแก ถึงกับเล่าต่อ ๆ กันว่า เวลาแสดงตามท้องเรื่อง คนดูถึงกับขว้างกระป๋องน้ำหมากใส่แกขึ้นไปบนเวที แกก็มีปฏิภาณไว เอามือป้องปากบอกคนดูว่า “คุณน้าให้รางวัลผมอีกแล้ว”


พ่อพักและนายเจือนี้ ถือเป็นศิลปินลิเกมีชื่อดังมากในยุคลิเกทรงเครื่อง ในหนังสือ ลิเก ของสุรพล วิรุฬรักษ์ ระบุว่าทั้งคู่เป็นผู้คิดทำหลอดไฟฟ้าดวงเล็กๆ มาประดับแซมเครื่องเพชรให้คนดูตื่นเต้นกับความวูบวาบของแสงสี และมาตอนหลังทั้งคู่ไปเล่นที่วิกเมรุปูน วัดสระเกษ  ลิเกหอมหวนเมื่อเข้ามาเล่นในกรุงเทพฯ ที่วิกตลาดทุเรียน บางลำพู ยังต้องแข่งขันกับนายพัก นายเจือ ทำให้หอมหวลหาทางเล่นใหม่ โดยมีการปรับเครื่องแต่งกาย ลดการรำลง และด้นกลอนเข้าสู้ จนกล่าวว่า ใครอยากดูลิเกรำก็ไปดูนายพักนายเจือ ใครอยากฟังกลอนเด็ด ๆ ก็มาดูลิเกหอมหวล 


ความดังของตัวเอกวิกหลวงสันท์นี้แหละ เป็นเหตุให้วิกหลวงสันท์ต้องเลิกไป เพราะ “เจ๊ง” ด้วยค่าตัวพระเอกสูงถึงวันละ ๘ บาท และต้องง้อให้เล่นตลอดเวลา อีกทั้งโต้โผก็ชรามากแล้ว ตัวแสดงในโรงก็มีถึง ๓๐ กว่าชีวิต ดูแลไม่ไหว จึงขายคณะยี่เกให้กับแม่ของคุณพงษ์สิทธิ์ ชื่อ แม่ทองอยู่ ซึ่งท่านได้นำเครื่องละครและดนตรีปี่พาทย์ลงไปเล่นที่นครศรีธรรมราช โดยไม่มีวิกแน่นอน รับเล่นไปเรื่อยใช้ชื่อ วิกแม่ทองอยู่ แสดงอยู่ ๔-๕ ปีก็เลิกในที่สุด เรื่องราวของวิกหลวงสันท์จึงลาโรงอย่างสมบูรณ์  


 

สุดารา  สุจฉายา


เอกสารค้นคว้า

กาญจนาคพันธุ์ (นามแฝง). “สามเพ็ง”, เมืองโบราณ ปีที่ ๕  ฉบับที่  ๖ (ส.ค.-ก.ย. ๒๕๒๒).     

สุรพล วิรุฬลักษณ์, ลิเก. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ห้องภาพสุวรรณ, ๒๕๒๒.

สัมภาษณ์คุณหญิงศรีศิริ กฤษณจันทร วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๘.

สัมภาษณ์คุณพงษ์สิทธิ์ ภูมะธน วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๙.

บทสัมภาษณ์คุณถิน ภูมะธน โดย อ. ภูธร ภูมะธน.


ขอขอบคุณ: คุณหญิงศรีศิริ กฤษณจันทร, คุณพงษ์สิทธิ์ ภูมะธน และ อ. ภูธร ภูมะธน ที่ติดต่อประสานงานเรื่องการสัมภาษณ์


อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


コメント


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page