เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2558
เหตุการณ์สำคัญของโลกในยุควิกฤตทางศีลธรรมและจริยธรรมที่อุบัติขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็คือการที่คนมุสลิมหัวรุนแรง ที่โลกเสรีประณามว่าเป็นพวกก่อการร้ายฆาตกรทำลายล้างชีวิตมนุษย์จำนวนหนึ่งได้บุกเข้ายิงบรรณาธิการและคนทำงานในสำนักพิมพ์การ์ตูนเสียดสีสังคมและศาสนาชาร์ลี เอบโด [Charlie Hebdo] กลางกรุงปารีสของฝรั่งเศส ก่อให้เกิดความโกรธแค้นจากทางรัฐและประชาชนที่ตามล่าจนเอาชีวิตได้ในที่สุด กระนั้นยังไม่พอ ยังมีการรวมตัวกันอย่างมโหฬารของผู้คนหลายล้านคนที่มีผู้นำของรัฐบาลในยุโรปเกือบทุกประเทศเข้าร่วมการเคลื่อนไหวและประณามการกระทำอันหฤโหดของผู้ก่อการร้ายมุสลิมอย่างถ้วนหน้ากัน

ธุดงค์ธรรมชัย ภาพจากเพจ http://picturesofday.blogspot.com/2014/01/14-2557.html
แต่ในประเทศไทย คนในสังคมส่วนใหญ่ดูไม่บ้าจี้ไปตามสังคมส่วนใหญ่ในโลกยุโรป เพราะคนทั่วไปที่ไม่ใช่ปัญญาชนไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นนอกประเทศ ซึ่งก็เป็นปกติวิสัยเช่นนี้มาช้านาน ยกเว้นแต่บรรดาผู้ที่เป็นปัญญาชนที่พูดได้อย่างฟันธงในที่นี้ว่า มีสองประเภท คือคนมีศาสนาประเภทหนึ่ง กับคนไม่มีศาสนาอีกประเภทหนึ่ง
คนมีศาสนาไม่ค่อยสะเทือนใจแบบบ้าจี้กับการกระทำของผู้ก่อการร้ายมุสลิมเท่าใด แต่ก็ไม่สนับสนุนการรุนแรงที่ฆ่าฟันผู้คนอย่างโหดร้าย เพราะเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของสำนักพิมพ์การ์ตูนเสียดสีของฝรั่งเศสนั่นเอง

ธุดงค์ธรรมชัย ภาพจากเพจ http://picturesofday.blogspot.com/2014/01/14-2557.html
การเสียดสีผู้นำทางการเมืองนั้นดูธรรมดา ไม่มีใครเดือดร้อน แต่การเสียดสีและดูหมิ่นศาสนาและผู้นำศาสนานั้น เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในจิตสำนึกของคนมีศาสนาในสังคมไทยที่มีศาสนาหลายศาสนา และผู้คนที่ต่างศาสนาอยู่ร่วมกันมาหลายศตวรรษอย่างมีสันติสุข
เพราะผู้นำของประเทศในอดีตคือ ‘พระมหากษัตริย์’ เป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกที่ทรงให้ความเป็นธรรม ยกย่องทุกศาสนาโดยเสมอกัน ถึงแม้ว่าจะทรงเป็นพุทธศาสนิกก็ตาม หาเคยทรงลำเอียงในการทะนุบำรุงศาสนาอื่นและไพร่ฟ้าประชาชนที่นับถือศาสนานั้น ๆ ไม่ ทรงให้ที่ดินสร้างวัด สร้างชุมชนอยู่สืบทอดกันมาเป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วคน จนคนเหล่านั้นกลายเป็นคนสยามหรือคนไทยโดยทั่วหน้ากัน จนทำให้การไม่รังเกียจเดียดฉันท์ศาสนาอื่นและผู้นับถือที่เป็นประชาชนของประเทศที่เป็นที่รับรู้กันของบรรดานานาชาติในโลกมาช้านาน แม้กระทั่งสมัยเมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแล้วก็ตาม
จนกระทั่งเมื่อราวสิบปีที่ผ่านมานี้ จึงได้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความเชื่อทางศาสนาของบรรดาคนไทยหรือคนสยามในยุคใหม่พวกหนึ่งที่มองอเมริกันและยุโรปเป็นเสมือนบิดาบังเกิดเกล้าที่แลไม่เห็นความหมายความสำคัญของศาสนาในฐานะสถาบันสากลของมนุษยชาติ
อาจแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกยังนับถือศาสนาอยู่แต่ต้องเป็นศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่สำคัญเลยพาลไปไม่ชอบคนไทยอื่นที่ไม่นับถือศาสนาพุทธไปด้วย โดยเฉพาะคนมุสลิมมลายูในสามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นการเดียดฉันท์ทางศาสนาและชาติพันธุ์ และเคยมีการเคลื่อนไหวให้มีการประกาศพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแต่เพียงศาสนาเดียวในกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่เคราะห์ดีที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แถมยังตำหนิว่าไม่ควรที่จะเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาอยู่ในร่มเงาของอำนาจรัฐธรรมนูญ
ซึ่งในสำนึกของข้าพเจ้าเห็นว่า พระบวรศาสนาทุกศาสนาเป็นของบริสุทธิ์ หาใช่ของสาธารณ์ เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญแบบลัทธิประชาธิปไตยของอเมริกันและยุโรป

การประท้วงในกรุงปารีส ฝรั่งเศส ภาพจาก http://blog.fitzcarraldoeditions.com/?p=406

การประท้วงของนักศึกษามหาวิทยาลัยในโซมาเลีย กรณีชาร์ลี เอบโด ภาพจากสำนักข่าว (Feisal Omar/Reuters)
เมื่อความมาถึงตรงนี้ ก็อดนึกและทอดอาลัยกับคนไทยยุคใหม่อีกกลุ่มหนึ่งที่ยังอ้างตัวว่าเป็นพุทธศาสนิก แต่ยึดมั่นในลัทธิหนึ่งที่ใช้การสะกดจิตเป็นเครื่องมือในการอบรมสอนสั่งแก่คนที่เป็นสาวก คนพวกนี้คิดว่าลัทธิที่ตนนับถืออยู่นี้คือพุทธศาสนาหนึ่งเดียวในโลกและจักรวาล ที่อาจแลเห็นได้ด้วยการโครงสร้างศาสนสถานวัตถุให้เหมือนกับจานบินและลานจอดจานบินของมนุษย์ต่างดาว อีกทั้งวันดีคืนดีก็ยกขบวนแห่กันไปธุดงค์ปักกลดกันกลางพระมหานครให้การสัญจรไปมาของผู้คนเป็นอัมพาตอยู่บ่อย ๆ
ถึงอย่างไรก็ตาม กลุ่มคนไทยรุ่นใหม่ที่ว่านี้ก็ยังมีลัทธิศาสนานับถืออยู่แม้ว่าจะเพี้ยนไปมากแล้วก็ตาม แต่มีคนไทยรุ่นใหม่อีกกลุ่มหนึ่งที่นับได้ว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นกำลังจะกลายเป็นผู้ไม่นับถือศาสนาและไม่มีศาสนา คนเหล่านี้มักเป็นผู้มีการศึกษาดี เป็นคนชั้นกลางที่ได้รับการศึกษาจบมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เช่นจากอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย ได้รับการอบรมด้วยแนวคิดและตรรกทางวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อความเชื่อทางจิตวิญญาณและศาสนาเห็นว่าเป็นสิ่งงมงาย แต่ได้รับการอบรมจากตะวันตก เช่น อเมริกาและยุโรปให้เห็นและเชื่อว่าประชาธิปไตยในระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยมเป็นเสมือนลัทธิที่จะทำให้สังคมมนุษย์สมบูรณ์พูนสุขและราบรื่น เป็นสังคมที่ไร้พรมแดนและไม่จำเป็นต้องมีศาสนาและพรมแดน
คนเหล่านี้แหละที่ออกมาปฏิเสธการมีชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างออกหน้าออกตา รวมทั้งคลั่งไคล้ในวัฒนธรรมและแสงเสียงของอเมริกันและยุโรปตลอดเวลา และไม่ว่าอเมริกันหรือฝรั่งเศส อังกฤษจะทำอะไรก็เป็นเรื่องถูกต้องมีเหตุมีผล เพราะมนุษย์ในโลกที่ของประเทศใดหรือสังคมใดที่ไม่เห็นสอดคล้องหรือคล้อยตาม อเมริกัน ฝรั่งเศส และอังกฤษแล้วกลายเป็นคนผิด คนล้าหลังไม่ทันโลกไปหมด
อีกทั้งพร้อมที่จะปิดหูปิดตาไม่ฟังไม่เห็นความระยำตำบอนที่อเมริกา ฝรั่งเศส และอังกฤษได้ทำกับสังคมมนุษย์อื่น ๆ ในโลกเหล่านั้น ดังเช่นที่แล้วมาได้ทำแก่สังคมประชาธิปไตย สังคมนิยมเวียดนาม และในทุกวันนี้กับสังคมมุสลิมที่ประชาชนมีศรัทธามั่นคงในพระศาสนา
ที่เวียดนามอเมริกันรุกรานด้วยการทิ้งระเบิดปูพรมคนตายไปหลายล้าน ผู้คนหนีรอดด้วยการขุดรู ขุดอุโมงค์หลับอาศัย ที่เมืองสาละวันประเทศลาวที่เป็นพันธมิตรกับเวียดนามในหลาย ๆ ท้องถิ่น อเมริกันได้ระเบิดชีวภาพทำลายพืชพันธุ์ที่เป็นอาหารและยารักษาโรคของชาวบ้าน จนทำให้พื้นที่ปลูกอะไรเต็มไปด้วยสารพิษก่อมะเร็งจนกระทั่งบัดนี้ แต่ความโหดร้ายสุด ๆ ผิดมนุษยชาติก็คือ กรณีทหารอเมริกันสังหารหมู่คนเวียดนามทั้งคนแก่ เด็กและผู้หญิงอย่างโหดเหี้ยม แต่คนไทยที่เป็นสาวกลัทธิประชาธิปไตยทุนนิยมของอเมริกันไม่เห็นว่าอะไรและไม่รู้สึกอะไร เช่นเดียวกันกับกรณีเขมรแดงฆ่าล้างโคตรคนกัมพูชาเป็นจำนวนล้าน คนไทยและคนทั่วโลกรุมด่าเขมรแดง แต่ไม่เคยด่าอเมริกัน ทิ้งระเบิดคนเวียดนามตายมากกว่าการด่าหมู่ในเขมร
เหนื่อยและพ่ายแพ้จากเวียดนาม อเมริกันและพันธมิตรคู่ใจ เช่น อังกฤษและฝรั่งเศสที่กำลังจนด้วยทรัพยากร โดยเฉพาะน้ำมัน หันมาเล่นงานโลกมุสลิมในตะวันออกกลาง รุกรานประเทศที่ไม่เข้าเป็นพวกพ้องด้วยข้อหามีอาวุธนิวเคลียร์ที่เป็นภัยแก่มนุษยชาติ เช่น อิรัก และอิหร่าน
อิหร่านยังหักหาญไม่ได้จึงเล่นงานอิรักก่อน ทิ้งระเบิดยึดครองประเทศ ผู้คนล้มตายและแบ่งแยกจนบัดนี้ก็ยังอยู่ในสภาพเป็นนรก แต่ประเทศไหนที่ยังทำอะไรไม่ถนัดก็ยุแหย่ให้เกิดการแตกแยกล้มล้างกันเอง เช่น อียิปต์ ซีเรีย ลิเบีย เป็นต้น ก่อให้เกิดความโกรธแค้นของคนมุสลิมหัวรุนแรง จนทำให้เกิดขบวนการต่อสู้ด้วยลัทธิและวิธีการจีฮัจญ์อย่างโหดเหี้ยมที่อเมริกันและพันธมิตรเรียกว่า ‘การก่อการร้าย’ ที่ดูเหมือนการตอบโต้ที่รุนแรงและดังสะท้านไปทั่วโลกก็คือ กรณีจีฮัจญ์ของคนมุสลิมจี้และบังคับเครื่องบินโดยสารชนระเบิดตึกเวิลด์เทรดที่เมืองนิวยอร์ก ทำให้คนตายไปเกือบหมื่นคนในพริบตาเดียว ทำให้อเมริกันอัปยศอดสูและเจ็บแค้นไปจนปรภพก็ว่าได้

สงครามที่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สุดครั้งหนึ่ง “สงครามเวียดนาม”
เหตุการณ์ระเบิดเวิลด์เทรดครั้งนั้นในทัศนะของข้าพเจ้าก็คือการเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ สองครั้งที่แล้วเป็นสงครามของความโลภทางวัตถุและอำนาจทางการเมือง เช่น ลัทธิการเมืองและการปกครองและระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แต่ครั้งนี้โลกกำลังแบ่งออกเป็น ๒ ขั้ว คือ ทางวัตถุขั้วหนึ่ง กับจิตวิญญาณอีกขั้วหนึ่ง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ขั้วของมนุษย์ที่ไม่มีศาสนา กับมนุษย์ที่มีศาสนาขั้วหนึ่ง เป็นสงครามที่ยากจะยุติและน่าสะพรึงกลัว เพราะเป็นเรื่องไม่มีเวลาและสถานที่ (กาลเทศะ) หากกำลังแผ่ซ่านไปแทบทุกอณูของพื้นพิภพ เพราะทั้งสองฝ่ายต่อเติมยั่วยุและตอบโต้อยู่ตลอดเวลา
ดังเห็นได้จากกรณีสำนักพิมพ์ชาลีย์ แอ๊ปโด ที่แสดงความยิ่งใหญ่และอำนาจของเสรีภาพในลัทธิประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ฝรั่งเศสและอังกฤษที่คนไทยผู้ไร้ศาสนานิยมชมชอบ
ข้าพเจ้าจึงอยากให้คนไทย คนสยามทั้งที่มีชาติ ศาสนา และไม่มี ควรได้เรียนรู้และทบทวนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่แล้วมานั้น ไม่มีอะไรในโลกที่ทำให้มนุษย์ต้องฆ่าพันกันได้มากเท่ากับการรบและต่อสู้เพื่อปกป้องพระศาสนาและแผ่นดินเกิดซึ่งหมายถึงชาติ (ภูมิ)
แต่สำหรับคนไม่มีศาสนาและมองเห็นว่าความเชื่อเป็นสิ่งไม่เป็นวิทยาศาสตร์และเรื่องงมงายนั้น ก็หาได้หลุดพ้นเป็นอิสระจากความเชื่อไปได้ เพราะเป็นมิติหนึ่งในความเป็นมนุษย์ เพราะการปกครองระบอบเสรีทุนนิยมประชาธิปไตยที่ตนยึดมั่นถือมั่นนั้นก็เป็นลัทธิความเชื่อชนิดหนึ่ง แม้จะไม่ใช้ความเชื่อในสิ่งที่เป็นศาสนาก็ตาม
ศาสนาคือสถาบันสากล [Universal institution] ของมนุษยชาติ เป็นสถาบันความเชื่อที่ดีที่จรรโลงมนุษยธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม แม้ผู้ใดที่คิดว่าตนเป็นคนไม่มีศาสนาแล้ว ก็อย่านึกว่าหลุดพ้นจากเรื่องความเชื่อไปได้ เพราะจะมีความเชื่อในเรื่องลัทธิทางการเมือง เศรษฐกิจ แลไสยศาสตร์เข้ามาแทนที่และครอบงำจนกลายเป็นเดรัจฉาน คือ ‘ไม่ใช่มนุษย์ไปได้’
สังคมไทยขณะนี้กำลังเป็นบ้านเมืองว่างพระศาสนาแต่เต็มไปด้วยคนที่นับถือลัทธิการเมือง เศรษฐกิจ และไสยศาสตร์ที่แลเห็นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments