เผยแพร่ครั้งแรก 27 พ.ค. 2559

ตลาดสามชุก
สามชุกเป็นเมืองที่อยู่ทางด้านเหนือของจังหวัดสุพรรณบุรีซึ่งติดต่อกับจังหวัดชัยนาทและอุทัยธานี ทางตะวันออกติดต่อกับจังหวัดสิงห์บุรี อ่างทองและพระนครศรีอยุธยา ส่วนทิศตะวันตกมีเทือกเขาตะนาวศรีที่ต่อเนื่องมาจากอุทัยธานีพาดยาวไปจนถึงจังหวัดกาญจนบุรีเป็นแนวพรมแดนขวางกั้นตามธรรมชาติระหว่างประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่าและไทย ส่วนทางทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดนครปฐม มีแม่น้ำสุพรรณบุรีหรือแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านเป็นลำน้ำสายหลักของท้องถิ่น พื้นดินมีความอุดมสมบูรณ์สูงเพราะเป็นพื้นที่บนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเก่า [Old Delta] เหมาะแก่การเพาะปลูก แวดล้อมด้วยพื้นที่ราบลุ่มแบบหนองบึงทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสุพรรณและที่ดอนสูงในแถบที่ราบชายเขาทางฝั่งตะวันตก เมื่อมีการพัฒนาระบบชลประทานเป็นโครงข่ายอย่างมากมาย จึงกลายเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าพืชผลทางการเกษตร
การพัฒนาโครงสร้างการชลประทานในลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างของประเทศสยาม ทำให้เกิดการเกษตรอุตสาหกรรมและการปฏิรูปการปกครองในระบบมณฑลเทศาภิบาลในสมัยรัชการที่ ๕ ทำให้มีการเคลื่อนย้ายประชากรเข้ามาตั้งบ้านเรือนเป็นตลาดเป็นเมืองค้าขายตลอดไปตามลำน้ำสุพรรณบุรีและบุกเบิกเข้าไปในเขตป่าเบญจพรรณที่ถนนและการชลประทานของรัฐมีส่วนทำให้เกิดการขยายตัวของชุมชนต่าง ๆ ไปจนเต็มทั่วทุกพื้นที่แม้แต่เขตชายเขาตะนาวศรี เช่น อำเภอด่านช้างในทุกวันนี้
ภูมินิเวศสามชุก

แผนที่แสดงภูมิประเทศที่ตั้งของสามชุก ซึ่งทิศตะวันตกคือเทือกเขาถนนธงชัยและมีอำเภอด่านช้างอยู่ติดกับแนวเขา มีลำน้ำกระเสียวซึ่งเคยเป็นลำน้ำสายใหญ่และสำคัญในอดีตเข้ามาสบกับแม่น้ำสุพรรณที่เหนือบริเวณ “สามชุก” ไม่ไกลนัก ทำให้บริเวณสามชุกมีความหลากหลายทางชีวภาพและถือเป็นแถบต้นน้ำจากเทือกเขาที่เคยมีความอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง
สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเก่า [Old Delta] ของลำน้ำเจ้าพระยาเดิมและลำน้ำท่าจีน ความสูงโดยเฉลี่ยจากระดับน้ำทะเลจากทิศใต้สู่ทิศเหนือราว ๓-๑๐ เมตร พื้นที่ของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาเก่านี้มีความนิยมตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นต้นมาจนถึงบ้านเมืองที่เป็นนครรัฐและเมืองท่าภายในตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา ดังนั้น เราจึงพบหลักฐานของชุมชนมนุษย์ต่างยุคสมัยในพื้นที่ตลอดสองฝั่งแม่น้ำท่าจีนตั้งแต่เมืองสุพรรณบุรี พื้นที่ชายขอบของเทือกเขาตะนาวศรีไปจนถึงบริเวณที่ปากน้ำสบกับแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อยในเขตชัยนาท ซึ่งบริเวณนี้ก็เป็นรอยต่อของพื้นที่ราบลอนลูกคลื่น [Undulating Terrace] ในลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ซึ่งมีการอยู่อาศัยของผู้คนในยุคก่อนประวัติศาสตร์อย่างชัดเจนและร่วมสมัยกับทางลุ่มท่าจีน-สุพรรณบุรีในเวลาต่อมา

แผนที่ชื่ออยุธยา-นครชัยศรี จังหวัดสุพรรณบุรี มาตราส่วน ๑ ต่อ ๕๐,๐๐๐ (๒ ซม.ต่อ ๑ กิโลเมตร) สำรวจเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๑ พิมพ์ที่กรมแผนที่ พ.ศ.๒๔๗๓ ให้ข้อมูลถึงสภาพภูมินิเวศที่มีชุมชนตั้งถิ่นฐานเบาบางและเต็มไปด้วยป่าไม้เบญจพรรณ
ทิศตะวันตกของอำเภอสามชุกเป็น ที่ราบชายเขา [Foothill plain] ของแนวเทือกเขาตะนาวศรีที่สูงชันและสลับซับซ้อน ยอดเขาที่สูงที่สุดอยู่ใกล้กับบ้านห้วยหินดำ ซึ่งมีชาวกะเหรี่ยงอยู่อาศัยเป็นพื้น ต่อเนื่องจากแนวเทือกเขาเป็นพื้นที่ลูกคลื่นลอนลาดที่ค่อย ๆ ลาดเทมาทางทิศตะวันออกจนถึงแม่น้ำสุพรรณ ที่ราบแถบนี้ในอดีตเคยมีป่าไม้เบญจพรรณผืนใหญ่ที่มีไม้พวกเต็งรัง มะค่าโมง มะค่าแต้ ชิงชัน ซาก (ที่ชาวบ้านบอกว่ามาเผาถ่านได้ไม้คุณภาพดีมาก) ตะเคียนทองฯลฯ และมีลำธารเล็ก ๆ หลายสายไหลลงสู่ลำห้วยกระเสียว ซึ่งอยู่ในที่ราบหุบเขา ต่อมาบริเวณนี้มีการสร้างเขื่อนกระเสียวก่อสร้างเป็นเขื่อนดินที่มีความยาวลำดับสองรองจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ กั้นน้ำจากลำห้วยกระเสียว ใช้ประโยชน์ในการเกษตรกรรมของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากระเสียวและเป็นพื้นที่ประมง กักเก็บน้ำได้สูงสุด ๒๔๐ ล้านลูกบาศก์เมตร และอ่างเก็บน้ำนี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ป่าไม้สมบูรณ์ในแถบนี้ถูกปล่อยให้ทำสัมปทานชักลากซุงมาแปรรูปในช่วงระหว่าง พ.ศ.๒๔๙๓-๒๔๙๙ มีโรงเลื่อยจักรที่รับเลื่อยไม้แปรรูป ป่าไม้บริเวณที่เคยเรียกกันว่า ป่าดงดิบ เช่นที่บริเวณด่านช้างและดงเชือก ซึ่งเป็นป่าไม้บริเวณที่ราบเชิงเขาหมดลงไปภายในเวลาไม่นานก็มีชาวบ้านเข้ามาบุกเบิกพื้นที่ทำพืชไร่แทน นอกจากนี้ ก่อนหน้านั้นราวทศวรรษที่ ๒๔๘๐ ยังมีกิจการการเผาถ่านในช่วงที่ผู้คนบุกเบิกลึกเข้าไปในดงในป่าทางฟากตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณ โดยที่ตลาดสามชุกเป็นพื้นที่รับซื้อถ่านไม้สำหรับใช้ในครัวเรือนและโรงงานอุตสาหกรรม
ส่วนทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นที่ราบลุ่มและเป็นดอนบางส่วนเหมาะกับการทำนาและทำไร่ ส่วนด้านทิศเหนือติดต่อกับที่ราบและหย่อมกลุ่มเขาหลายลูกซึ่งเป็นที่ดินในเขตอำเภอเดิมบางนางบวช
บริเวณแนวกึ่งกลางของพื้นที่มีแม่น้ำสุพรรณไหลผ่าน ลำน้ำนี้แม้จะแยกออกมาจากแม่น้ำสะแกกรังและแม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณวัดท่าซุงจังหวัดอุทัยธานี ไหลผ่านชัยนาทก็เรียกลำน้ำมะขามเฒ่า ถึงสุพรรณบุรีเรียกแม่น้ำสุพรรณ เข้าเขตนครชัยศรีเรียกแม่น้ำนครชัยศรี จนถึงปากน้ำสมุทรสาครจึงเรียกว่าแม่น้ำท่าจีน และชื่ออย่างเป็นทางการในภายหลังคือ “แม่น้ำท่าจีน”

แผนที่แผนผังแสดงเขตสุขาภิบาลสามชุกในยุคแรก ๆ จะเห็นตำแหน่งสถานที่สำคัญโดยรอบของสามชุกและลำน้ำสำคัญและการสร้างระบบชลประทานที่ซับซ้อนและอยู่ทางด้านเหนือขึ้นไป
เมื่อไหลผ่านในอำเภอสามชุกก็มีลำน้ำสำคัญมาสมทบจากต้นน้ำสะสมจากเทือกเขาตะนาวศรีที่รวมเอาสายน้ำเล็กใหญ่จนกลายเป็นลำห้วยกระเสียวไหลจากแนวเทือกเขาตะวันตกแถบอำเภอด่านช้างมารวมกับแม่น้ำสุพรรณที่แถว ๆ บ้านทึง ทุกวันนี้ ห้วยกระเสียวใช้เป็นเส้นแบ่งเขตการปกครองระหว่างอำเภอสามชุกและอำเภอเดิมบางนางบวช โดยมีการสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำบนที่ราบเชิงเขาเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ มีการเพาะเลี้ยงปลาแม่น้ำต่าง ๆ ที่กลายเป็นปลาเศรษฐกิจและส่งขายในร้านอาหารปลาแม่น้ำ โดยเฉพาะปลาม้าที่เป็นปลาขึ้นชื่อของจังหวัดสุพรรณบุรี
แต่ในโคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่ เมื่อครั้งสภาพแวดล้อมยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงในแม่น้ำสุพรรณมีปลาชุกชุมอุดมสมบูรณ์มาก โดยกล่าวถึงชื่อปลามากมาย เช่น ปลาสลิด ปลาสลาด ปลาช่อน ปลาดุก ปลาสีเสียด ปลากระสง ปลาเสือ ปลากริม ปลาตะกรับ ปลาแก้มช้ำ ปลาเนื้ออ่อน ปลานวลจันทร์ ปลาเค้า ปลาสวาย ปลาคางเบือน ปลากะโห้ ถึงบ้านสามเพ็งก็กล่าวชมปลาที่มีอยู่ในลำน้ำซึ่งขณะนั้นท้องน้ำยังเป็นพื้นหินทราย มีปลาประจำพื้นที่ เช่น ปลาชนางหรือปลานาง ปลาสร้อย ปลาซ่า ปลากด ปลาเพลี้ย ปลาไอ้บ้า ปลาซิว ปลาสูบ ปลาสีเสียด ปลากราย ปลาฝักดาบ ปลาตะเพียน ปลาเสือ ปลาหางไก่ เป็นต้น
คนสามชุกที่อยู่กับปลาและท้องทุ่งต่างบอกเล่าให้ลูกหลานรับรู้ว่า หากหาปลาทางฝั่งน้ำกระเสียวที่ไหลมาจากที่สูงทางเทือกเขาฝั่งตะวันตกจะได้ปลารสชาติดีกว่าปลาจากทางบึงระหาน-ลำพระยา ซึ่งเป็นกุดน้ำเก่าทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสุพรรณ แต่น้ำนิ่งไม่ไหลแรงเท่ากับคลองกระเสียว
ในนิราศสุพรรณของสุนทรภู่เมื่อเดินทางถึง บ้านทึง ซึ่งอยู่ริมลำน้ำสุพรรณและมีคลองกระเสียวแยกออกไปสู่ต้นน้ำที่ท่านต้องการเดินไป ไปค้นหาแร่ในพื้นที่ป่าเขา ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนกะเหรี่ยงและละว้า บริเวณนี้น้ำใสและท้องน้ำมีก้อนกรวดสวยสะอาดและธรรมชาติสดชื่น เป็นเส้นทางที่ช้างจากป่าในเทือกเขาตะนาวศรีจะลงโดยใช้แนวลำน้ำและสองฝั่งมีแต่เสียงสัตว์ป่าร้องระงม
สุนทรภู่นึกถึงคำโบราณที่เคยมีมาคือ “น้ำสำคัญ ป่าต้น คนสุพรรณ ” เพราะเป็นแหล่งกำเนิดลำน้ำสำคัญที่ไหลมาจากป่าต้นน้ำและกล่าวถึงคนสุพรรณที่ทั้งน้ำเสียงสำเนียงและผิวพรรณมีเอกลักษณ์ของตนเอง
๏ บูราณท่านว่าน้ำ สำคัน ป่าต้นคนสุพรรณ ผ่องแผ้ว แดนดินถิ่นที่สูพรรณ ธรรมชาด มาศเอย ผิวจึ่งเกลี้ยงเสียงแจ้ว แจ่มน้ำคำสนองฯ ๏ ถึงถิ่นสริ้นบ้านป่า โป่งแดง เรือติดคิดขยาดแสยง พยัฆร้าย สวบสวบยวบไม้แฝง ฟุ้งสาบ วาบแฮ สองฝั่งทั้งขวาซ้าย สัตร้องซ้องเสียงฯ ๏ คลองกระเสียวเปลี่ยวป่ากว้าง ทางโขลง เคยถิ่นกินโป่งโทง เที่ยวเร้น ขามช้างต่างจัดโจง กระเบนกระบิด ตี๊ดแฮ เก็บกรวดอวดกันเหล้น ตลอดน้ำลำทางฯ

คลองกระเสียวในปัจจุบัน ภายหลังสร้างเขื่อนกระเสียวและจัดระบบชลประทานทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณแล้ว
สภาพแวดล้อมที่คนสามชุกรุ่นผู้ใหญ่ยังจดจำได้ คือ ความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ มีสัตว์น้ำจำนวนมาก เช่น หอยชนิดต่าง ๆ ทั้งหอยขม หอยหวาน หอยกาบ กุ้งก้ามกรามหรือกุ้งแม่น้ำ กุ้งฝอย ปู เต่า ตะพาบน้ำ ปลาดุก ปลาช่อนตามธรรมชาติเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก โดยใช้เครื่องจับปลาสารพัดชนิด ทั้งสวิงช้อน เบ็ดปัก เบ็ดราว เบ็ดแกว่ง แห ข่าย ฯลฯ
ชาวสามชุกเล่าว่าราว ๆ พ.ศ.๒๔๗๕ มีการสร้างประตูระบายน้ำเพื่อกักน้ำแล้ว และเมื่อถึงเดือน ๑๒ น้ำลง จะมีปลาสร้อยลอยมาเป็นฝูงใหญ่เสียงซู่ซ่า ชาวบ้านใช้สวิงมาช้อนปลาตักขายได้กันเป็นมหกรรมใหญ่ได้ถึงราว ๑๐-๒๐ เกวียน บางคนใส่ท้องเรือไปขายที่แม่กลอง ขากลับเอาน้ำปลาใส่ไหมาขายต่ออีกทอดหนึ่ง ต่อมาเมื่อมีการสร้างโรงงานน้ำตาลเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๙ ก็เริ่มปล่อยน้ำเสียจากโรงงานรวมทั้งสภาพแวดล้อมทางน้ำที่แออัดขึ้น จึงทำให้ปริมาณปลาสร้อยน้อยลงและหายไปในที่สุด ปลาสร้อยเหล่านี้สามารถบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ในลำน้ำสาย ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ส่วนทางด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำในปัจจุบัน พบร่องรอยลำน้ำดั้งเดิมที่เป็นแนวต่อเนื่องมาจากลำน้ำจระเข้สามพันทางเขตที่สูงทางตะวันออกเฉียงใต้ผ่านอำเภอดอนเจดีย์แล้วกลายเป็นลำน้ำด้วนในแผนที่ทหารระวาง ๑: ๕๐,๐๐๐ พ.ศ. ๒๕๐๓ เรียกว่า “แม่น้ำด้วน” หากแต่เคยเรียกชื่อกันว่าคลองจระเข้ (ในแผนที่อยุธยา-นครชัยศรี, กรมแผนที่สำรวจเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๑) ส่วนคนในท้องถิ่นแถบอำเภอเมืองเรียกว่า “ลำน้ำท่าว้า” ชาวบ้านทางดอนเจดีย์เรียกว่า “ลำน้ำท่าคอย” และเมื่อถึงอำเภอสามชุกชาวบ้านก็เรียกว่า “คลองระกำ”
ลำน้ำด้วนนี้ถูกปรับปรุงให้กลายเป็นคลองชลประทานในโครงการ “คลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง” เป็นคลองส่งน้ำขนาดใหญ่โดยมีจุดเริ่มต้นของโครงการที่ปากคลองมะขามเฒ่า โครงการเมื่อผ่านอำเภอเดิมบางนางบวช เส้นแนวคลองหายไปเพราะเป็นพื้นที่ดอนสูง มาเริ่มที่การกักนำน้ำมาจากคลองกระเสียวผ่านตำบลกระเสียว ตำบลหนองสะเดา ตำบลหนองผักนากและตำบลบ้านสระในอำเภอสามชุกไปสู่ดอนเจดีย์ อู่ทองและสองพี่น้องตามลำดับ ซึ่งเมื่อขุดเชื่อมจากคลองธรรมชาติเป็นคลองชลประทานเสียแล้ว ปากน้ำกระเสียวก็หายไปเหลือเพียงร่อยรอยของแนวปากน้ำที่อยู่ตรงข้ามตำบลบ้านทึงในปัจจุบัน
ปัจจุบันมีความพยายามขุดคลองขนานเพื่อนำส่งน้ำไปสู่ปลายทางให้ได้มากขึ้นเพราะแนวคลองขุดขวางแนวทางการไหลของน้ำหลาก ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนทางฝั่งหนึ่ง ส่วนฤดูแล้งก็นำน้ำไปสู่ปลายทางไม่พอใช้
ส่วนทางฝั่งตะวันออกมีลำน้ำเก่าเรียกว่าลำน้ำวังลึกหรือคลองบางขวากมาบรรจบกับแม่น้ำสุพรรณนี้ที่บ้านบางขวากในเขตตำบลย่านยาว ลำน้ำห้วยลึกนี้สามารถติดต่อได้ไปถึงแถบดงคอนที่เป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดีและสมัยอยุธยาและเมืองสรรค์บุรีที่แพรกศรีราชาซึ่งต่อกับแม่น้ำสำคัญอีกสายหนึ่งคือแม่น้ำน้อยและลำน้ำศรีบัวทองซึ่งเป็นเส้นทางน้ำที่สามารถใช้ติดต่อกับย่านชุมชนโบราณตั้งแต่สมัยทวารวดีมาจนถึงลพบุรีในเขตสิงห์บุรี
นับแต่ประเทศสยามเริ่มพัฒนาระบบการชลประทาน โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสายหลักของประเทศ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาด้านการเกษตร งานชลประทานนั้นผูกพันกับการเกษตรมาโดยตลอด เริ่มแรกจึงได้ขอตัว นายเจ. ฮอร์แมน แวนเดอร์ไฮด์ [J. Hormam Van der Heide] ชาวดัชท์จากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ มาตรวจระดับพื้นที่สำหรับการชลประทานและเขียนรายงานประเมินโครงการชลประทานลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง
ต่อมาจึงเกิดกรมคลองขึ้นก็ได้เป็นเจ้ากรมคลองคนแรก โดยจัดทำโครงการหลายแบบ แต่โครงการที่จัดว่าสำคัญที่สุดในสมัยนั้นก็คือ “โครงการชัยนาท ” หรือที่เรียกกันว่าโครงการเขื่อนเจ้าพระยา โดยสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาท ทดน้ำให้มีระดับสูงแล้วส่งไปตามคลองส่งน้ำในพื้นที่เพาะปลูกต่าง ๆ ถือเป็นโครงการที่อาจไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับในอียิปต์หรืออินเดีย แต่ก็มีโครงสร้างในระดับมหึมาหากสามารถทำได้เต็มโครงการจริง ๆ จนโครงการเหล่านี้ต้องพบกับปัญหาในภายหลังผู้ที่ปฏิบัติงานต่อมาเป็นชาวอังกฤษชื่อเซอร์โทมัส วอร์ด [Sir Thomas Ward] นายอาร์. ซี. วิลสัน [R. C. Wilson] ตามลำดับ ได้วางโครงการอีกหลายโครงการ งานชลประทานต้องอาศัยชาวต่างประเทศเป็นหัวหน้าถึง ๒๐ ปี จนกระทั่ง พ.ศ.๒๔๖๕ ซึ่งเป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเปลี่ยนให้เจ้าพระยาพลเทพเป็นเจ้ากรม และต่อมาจึงเป็นพระยาชลมารคพิจารณ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๖ ตำแหน่งในขณะนั้นเรียกว่าเจ้ากรมทดน้ำและได้รับพระราชทานนามใหม่ว่ากรมชลประทานในสมัยรัชกาลที่ ๗
การริเริ่มทำขึ้นที่แม่น้ำสุพรรณก่อนเป็นลุ่มน้ำแรก เพราะในขณะนั้นยังไม่มีการทำกิจกรรมทางชลประทานใด ๆ มาก่อนจึงสามารถวางโครงการได้อย่างสมบูรณ์ โดยแบ่งโครงการย่อยออกเป็น ๓ ช่วง คือ ตอนโครงการมะขามเฒ่าหรือโครงการพลเทพ ตอนโครงการสามชุก และตอนโครงการโพธิ์พระยา โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพลเทพ คือโครงการแรก สร้างก่อน พ.ศ.๒๔๗๘ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเจ้าพระยาใหญ่เพื่อทดน้ำและส่งน้ำเพื่อการชลประทาน โดยมีเขื่อนเจ้าพระยาทำหน้าที่ทดและยกระดับในแม่น้ำเจ้าพระยาให้สูงขึ้นผ่านประตูระบายน้ำพลเทพ แล้วส่งน้ำเข้าแม่น้ำสุพรรณ ซึ่งต่อมาคือโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่าโบสถ์ สามชุกและโพธิ์พระยา แล้วยังส่งน้ำเข้าคลองสายใหญ่ของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพลเทพอีก ๖ สาย
ส่วนโครงการสามชุกเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๘ ประกอบด้วยการก่อสร้างประตูระบายน้ำชลมารคพิจารณ์และการก่อสร้างประตูเรือชื่อ “ประตูเรือสัญจรชลมารคพิจารณ์” เพื่อเป็นที่ระลึกแก่พระยาชลมาร์คพิจารณ์อดีตกรมทดน้ำ ก่อสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๐ ส่วนระบบส่งน้ำที่ประกอบด้วยคลองส่งน้ำรวมระยะทาง ๒๗๐ กิโลเมตร และอาคารประเภทต่าง ๆ ตามระยะทาง สร้างเสร็จสิ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จมายังประตูระบายน้ำชลมารคพิจารณ์ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๔๙๘ เพื่อเปิดใช้โครงการสามชุกทั้งระบบ


ประตูน้ำชลมารคพิจารณ์ ปรับเปลี่ยนแม่น้ำสุพรรณในบริเวณนี้เพื่อควบคุมการชลประทานเพื่อเพาะปลูกในเขตสุพรรณบุรี และประตูน้ำแห่งนี้เคยเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในท้องถิ่นยอดนิยมของคนสามชุก
สำหรับโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำโพธิ์พระยา อำเภอเมืองสุพรรณบุรี เริ่มก่อสร้างโครงการสร้างในปี พ.ศ.๒๔๖๔ แต่เสร็จหลังจากนั้นกว่า ๔๐ ปีในปี พ.ศ.๒๕๐๙
โครงข่ายการชลประทานที่ทั่วถึงจนสามารถปลูกข้าวในที่ลุ่มและพืชไร่ในที่ดอน จนถึงปัจจุบันสามชุกผลิตข้าวและอ้อยเป็นหลัก บริเวณหนองหญ้าไซซึ่งเคยเป็นที่ดอนเป็นดินร่วนปนทรายและแห้งแล้ง เมื่อมีระบบชลประทานก็สามารถปลูกข้าวหอมมะลิคุณภาพดีและมีราคาสูง
สินค้าหลักจากตลาดสามชุกที่อยู่ในความทรงจำกลับเป็นเรื่องของข้าวและถ่าน อันเป็นผลผลิตในท้องถิ่นที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวของพื้นที่เพาะปลูกที่มีการหักร้างถางพงเข้าไปในป่าเบญจพรรณ เพื่อปลูกข้าว ดังที่เห็นได้จากระบบการชลประทานในเขตนี้ที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะเดียวกัน กลับไม่มีการบันทึกถึงสินค้าส่งออก เช่น น้ำตาลทรายที่ผลิตจากอ้อยในเขตนี้ ก็เพราะพื้นที่ดอนแม้จะเหมาะสมในการปลูกอ้อยแต่ก็มีการบุกเบิกขึ้นในสมัยหลังโดยเฉพาะเมื่อมีการตั้งโรงงานน้ำตาลทรายที่ทันสมัยโดยนำเครื่องจักรมาจากต่างประเทศที่บางขวาก และแม้ว่าแม่น้ำท่าจีนในเขตนครชัยศรีจะถูกบันทึกไว้ว่าเป็นแหล่งน้ำตาลทรายเพื่อส่งออกมาตั้งแต่ราวต้นกรุงรัตนโกสินทร์ คือ ในรัชกาลที่ ๒ และ ๔ ที่มีการลงทุนผลิตโรงงานน้ำตาลทรายขนาดใหญ่ทั้งจากคนจีนและชาติตะวันตก ซึ่งขณะนั้นในเขตสามชุกยังมีผู้คนเบาบางและห่างไกล แต่กิจการก็ซบเซาไปในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะน้ำท่วมและประเทศอื่น ๆ สามารถปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลทรายเพื่อส่งออกได้ในราคาถูกกว่าและเมื่อราคาข้าวดีกว่าจึงหันมาปลูกข้าวอันเป็นพื้นฐานของชาวนากันมากกว่าปลูกอ้อย
จนเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๙ มีการก่อตั้งโรงงานน้ำตาลที่บ้านบางขวาก ตำบลย่านยาวในอำเภอสามชุก เป็นโรงงานผลิตน้ำตาลทรายขาวพิเศษแห่งแรกของภาคตะวันตก ในสมัยนั้นเป็นโรงงานน้ำตาลขนาดใหญ่เป็นอันดับ ๓ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และปัจจุบันยังคงผลิตน้ำตาลอยู่ ในพื้นที่กว่า ๔๐๐ ไร่ เมื่อเป็นโรงงานขนาดใหญ่จึงมีพนักงานมากมายจนสร้างโรงเรียนเอกชนให้ลูกหลานพนักงานของตนเองและลูกหลานชาวไร่ตลอดจนเด็กในตลาดบางขวากเล่าเรียน ชื่อโรงเรียนน้ำตาลสุพรรณอุปถัมภ์
หลังการก่อสร้างประตูระบายน้ำชลมารคพิจารณ์และประตูเรือสัญจรชลมารคพิจารณ์เสร็จยิ่งทำให้การคมนาคมทางน้ำในลุ่มน้ำท่าจีนขยายตัวไปอีก เพราะสามารถเดินเรือขึ้นไปจนถึงทางด้านเหนือที่แม่น้ำสุพรรณไปต่อเนื่องกับตลอดของท้องถิ่นในเขตแม่น้ำเจ้าพระยาอีกหลายแห่ง เพราะการเดินทางเข้าออกลำน้ำท่าจีนสามารถกระทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น ลำน้ำจึงคลาคล่ำไปด้วยเรือน้อยใหญ่ไม่ขาดสายมีทั้งเรือบรรทุกข้าวเปลือก เรือบรรทุกทราย เรือโยง เรือเมล์ เรือแดง เรือบริษัทขนส่งสุพรรณฯ เรือยนต์ เรือพาย เรือสำปั้น เรือกลไฟ ฯลฯ มีการคำนวณคร่าว ๆ ถึงปริมาณเรือเข้าออกประตูเรือสัญจรชลมารคพิจารณ์ว่าไม่น่ามีจำนวนน้อยกว่าสามร้อยลำต่อวัน
ส่งผลต่อการขยายตัวทางการค้าของตลาดสามชุก เพราะการเดินทางเข้าออกลำน้ำท่าจีนโดยใช้ประตูเรือสัญจรชลมารคพิจารณ์นั้น ย่อมต้องผ่านท่าน้ำบริเวณตลาดสามชุก และการเดินทางเข้าออกประตูเรือสัญจรชลมารคเรือต้องจอดรอคิว ยิ่งทำให้ตลาดสามชุกเป็นจุดหนึ่งในการพักเรือที่ขึ้นล่องในลำน้ำท่าจีน ทำให้บริเวณท่าน้ำด้านหน้าตลาดสามชุกเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของให้กับผู้โดยสารที่แวะที่ท่าจอดเรือ เมื่อการค้าขายเป็นไปอย่างคึกคักทำให้เกิดการขยายตัวทางการค้าและอาคารบ้านเรือนในตลาดสามชุกในช่วงก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้การเติบโตของบริษัทเดินเรือขนส่งสุพรรณฯ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการรับส่งผู้โดยสารที่สัญจรทางน้ำไปยังชุมชนต่าง ๆ ได้รับความนิยมแพร่หลาย ทำให้ผู้คนเดินทางไปยังตลาดสะดวกสบายขึ้น ผู้คนจากต่างถิ่นจึงเดินทางเข้ามายังตลาดสามชุกไม่ขาดสาย
เส้นทางการเดินทางที่สร้างเครือข่ายโยงใยได้ไกลขึ้น เพราะสามารถล่องเรือตามลำน้ำเจ้าพระยาจากกรุงเทพมหานครเข้าประตูน้ำบ้านแพน ประตูน้ำบางยี่หน ผ่านจังหวัดสุพรรณบุรี แล้วเข้าประตูน้ำโพธิ์พระยาถึงอำเภอสามชุกผ่านประตูน้ำชลมารคพิจารณ์ ไปอำเภอเดิมบางนางบวช แล้วเลยถึงจังหวัดชัยนาทได้
แต่หลังจากนั้น เมื่อเริ่มมีโครงการสร้างถนนตั้งแต่ทศวรรษที่ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา สามชุกก็หมดความสำคัญในฐานะตลาดริมน้ำและเกิดสภาพเช่นนี้กับย่านเมืองหรือตลาดริมน้ำทุกแห่งในเขตเจ้าพระยาตอนบนและตอนล่างหรือน่าจะกล่าวได้ว่าทั้งประเทศ ผู้คนเปลี่ยนมาเดินทางด้วยรถยนต์และขนส่งสินค้าด้วยเส้นทางบก จึงกลายเป็นบทสุดท้ายของตลาดและเมืองริมแม่น้ำจนกลายร้างราและเปลี่ยนจากย่านการค้าเป็นที่อยู่อาศัยซึ่งแทบไม่มีผู้คนในที่สุด
ทุกวันนี้ สภาพแวดล้อมทางการปกครองของอำเภอสามชุกอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดห่างจากตัวเมืองประมาณ ๓๕ กิโลเมตร มีพื้นที่ ๓๖๒ ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้ ทิศเหนือติดกับอำเภอเดิมบางนางบวช ทิศใต้ติดกับอำเภอศรีประจันต์และอำเภอดอนเจดีย์ ทิศตะวันออกติดกับอำเภอเดิมบางนางบวชและอำเภอศรีประจันต์ ทิศตะวันตกติดกับอำเภอหนองหญ้าไซ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๗ ตำบล ๖๘ หมู่บ้าน เทศบาลตำบลสามชุก ๑ แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล ๖ แห่ง ประชากรรวม ๔๔,๕๔๔ คน แบ่งเป็นชาย ๒๑,๕๖๖ คน หญิง ๒๒,๙๗๘ คน จำนวนครัวเรือน ๑๒,๐๗๕ ครัวเรือน ความหนาแน่นของประชากร ๑๕๘ คน/ตารางกิโลเมตร (ข้อมูลจากทะเบียนราษฎรเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓)
มีการพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานทั้งไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ การโทรคมนาคมสื่อสารและมีแหล่งน้ำ ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม ทำไร่อ้อย ทำนา ปลูกข้าวโพด ปลูกผัก ผลไม้ โดยเฉพาะทำไร่อ้อย และทำนา นอกจากนี้ ตามคันนาหรือที่ว่างชาวบ้านจะลงต้นดอกรักและต้นมะลิที่เก็บดอกไปขายให้ชุมชนหลายแห่งที่ร้อยพวงมาลัยเป็นอาชีพหลัก โดยส่งไปขายที่ตลาดปากคลองตลาดในกรุงเทพมหานคร ตลาดในเมืองสุพรรณบุรี นครสวรรค์และชัยนาท จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนในอำเภอสามชุก และยังมีการเลี้ยงวัวและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น เลี้ยงปลาทับทิมในกระชังในแม่น้ำสุพรรณ และยังมีอาชีพค้าขายซึ่งทำกันทั่วไปตามชุมชนต่าง ๆ
นอกจากนี้ยังมีโรงสีข้าว โรงงานน้ำตาล ธนาคารจำนวนหนึ่ง สถานศึกษาทุกระดับตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาตรี โรงเรียนมีทั้งสิ้น ๓๖ โรง และสถาบันอุดมศึกษา ๑ แห่ง สถานพยาบาลของรัฐบาล เป็นโรงพยาบาล ขนาด ๖๐ เตียง ๑ แห่ง และสถานีอนามัย ๑๓ แห่ง แต่ยังคงมีพบการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกอยู่บ้างในช่วงฤดูฝน
สามชุกอยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมเขตร้อน อากาศเหมาะสำหรับการเพาะปลูก ฤดูร้อนได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้จากทะเลจีนใต้พัดผ่านเข้ามาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ทำให้อากาศร้อนอบอ้าวโดยทั่วไป ฤดูฝน ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากมหาสมุทรอินเดียพัดผ่านมาในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคมทำให้อากาศมีความชุ่มชื้นมีฝนตกโดยทั่วไป บางปีตกชุกจนประสบปัญหาน้ำท่วมเพราะเป็นพื้นที่รับน้ำในที่ราบลุ่ม ฤดูหนาวได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่านเข้ามาในช่วงเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์แต่อากาศไม่หนาวจนเกินไปนัก สถิติโดยเฉลี่ยของแถบจังหวัดสุพรรณบุรี ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ อุณหภูมิสูงสุด ๓๙.๓ องศาเซลเซียส ในเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิต่ำสุด ๑๕.๗ องศาเซลเซียสในเดือนธันวาคม ปริมาณน้ำฝนทั้งปี วัดได้ ๑,๐๘๔ มิลลิเมตร จำนวนวันที่ฝนตก ๑๐๗ วัน
สามชุกเมื่อแรกเริ่ม

ชิ้นส่วนของขา “หม้อสามขา” ที่พบในแหล่งโบราณคดีหนองราชวัตร
เขตที่ดอนซึ่งเป็นบริเวณที่ราบเชิงเขา ต่อเนื่องกับเขตที่สูงของเทือกเขาตะนาวศรี บริเวณเหล่านี้พื้นดินส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทราย มีหนองน้ำและลำห้วยสายเล็ก ๆ ไม่สามารถปลูกข้าวนาลุ่มแบบทดน้ำได้ แต่ลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคหินใหม่ไปจนถึงยุคเหล็กนิยมในการตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนหมู่บ้านขนาดเล็ก ดังที่พบในบริเวณนิคมกระเสียวซึ่งอยู่เหนือจากอ่างเก็บน้ำกระเสียวและติดกับเขตภูเขาสูงในอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ชาวบ้านพบวัตถุโบราณจำนวนมาก เช่น ขวานหิน กำไลหิน และแกนเจาะ หม้อดินเผา หม้อสามขา เครื่องปั้นดินเผาเนื้อดิน ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่พบในแถบตำบลหนองราชวัตรที่อยู่ห่างไปราว ๕๐ กิโลเมตร
โบราณวัตถุที่พบถือเป็นเอกลักษณ์เด่นนั่นคือ ภาชนะแบบหม้อสามขา ซึ่งพบในเขตวัฒนธรรมหินใหม่ในประเทศจีน ไต้หวัน ในเมืองไทยพบแถบเทือกเขาทางภาคตะวันตกตั้งแต่กาญจนบุรี คาบสมุทรภาคใต้ เช่น ชุมพร พังงา กระบี่และสตูลไปจนถึงรัฐเคดาห์ ปะลิส สลังงอ ในมาเลเซีย
ส่วนทางเหนือจากบ้านเก่า เมืองกาญจนบุรีขึ้นมาคือ พบที่หนองราชวัตรและที่ด่านช้างในจังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนี้ยังพบขวานหินกะเทาะรูปใบมีดคมโค้งมีด้ามจับทำจากหินควอทซ์เนื้อดีและหินขัดขนาดต่าง ๆ กำหนดอายุแบบ คร่าว ๆ กันว่าน่าจะอยู่ในช่วงราว ๕,๐๐๐ ปี มาแล้ว (๓,๐๐๐ BC.) และสภาพแวดล้อมดังกล่าวกลายเป็นผืนป่าตลอดมาโดยไม่มีการเข้าไปอยู่อาศัยทับซ้อนหลังจากหมดช่วงการตั้งถิ่นฐานสมัยหินใหม่และสมัยก่อนประวัติศาสตร์ลงมาแต่อย่างใด
ท้องถิ่นทางตอนเหนือของจังหวัดสุพรรณบุรีนี้ มีเส้นทางติดต่อในระหว่างบ้านเมืองยุคแรกเริ่มที่เมืองโบราณสมัยทวารวดีอู่ทองตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ และต่อเนื่องมาจนสมัยทวารวดีตอนปลาย ๆ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ ก่อนจะเปลี่ยนรูปแบบศิลปกรรมเนื่องในพุทธศาสนามาเป็นแบบที่ได้อิทธิพลจากเมืองละโว้หรือลพบุรีอย่างเด่นชัด

ภาชนะดินเผารูปแบบเช่นนี้ และเครื่องมือขวานหินขัดแบบใบมีด พบแบบคล้ายคลึงกันในแหล่งโบราณสมัยยุคหินใหม่เมื่อราว ๕,๐๐๐ ปีมาแล้วในแถบจังหวัดกาญจนบุรี
แหล่งชุมชนสมัยทวารวดีในเขตทางเหนือของตัวเมืองสุพรรณบุรี เช่นที่ บ้านดอนระกำ ตำบลสวนแตง อำเภอเมือง ห่างจากตัวอำเภออู่ทองราว ๕-๖ กิโลเมตร ในอีกฟากหนึ่งของลำน้ำจระเข้สามพัน ชาวบ้านขุดพบกรุพระพุทธรูปสมัยทวารวดีในที่นาของตนเองไม่น้อยกว่า ๓๐ องค์ ถือว่าเป็นจำนวนมากที่สุดในจังหวัดสุพรรณบุรี บ้านดอนระฆัง ตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสุพรรณบุรี มีซากเจดีย์สมัยทวารวดีอยู่ ๓-๔ องค์ พบลูกปัดสีต่าง ๆ ด้วย บ้านหนองแจง ตำบลไร่รถ อำเภอดอนเจดีย์ บ้านหนองแจงเป็นโบราณสองยุคสมัยซ้อนกัน เพราะแนวคูเมืองชั้นในสมัยทวารวดี เมืองชั้นนอกเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นเมืองในสมัยลพบุรี และราว พ.ศ.๒๕๒๙-๒๕๓๐ มีผู้ลักลอบขุดพบพระสมัยทวารวดีเนื้อชินปางปฐมเทศนาและพระพิมพ์ต่าง ๆ อีกมากมาย บ้านสำเภาล่ม ตำบลนางบวช อำเภอเดิมบางนางบวช พบพระพิมพ์ดินเผาขนาดใหญ่มากราว ๒๐ x ๑๔ เซนติเมตร ปางป่าเลไลยก์กับปางมารวิชัย และบ้านคูเมือง ตำบลทุ่งคลี อำเภอเดิมบางนางบวช ซึ่งอยู่ใกล้คลองสีบัวทอง ติดกับจังหวัดสิงห์บุรี มีเมืองทวารวดีอยู่เมืองหนึ่ง (มนัส โอภากุล.พระพุทธรูปบูชาสมัยทวารวดีที่เมืองสุพรรณบุรี “ลานโพธิ์” , ๒๕๔๔)
เมืองโบราณไร่รถที่บ้านหนองแจง เป็นเมืองโบราณที่มีอายุตั้งแต่สมัยทวารวดีตอนปลายจนถึงสมัยลพบุรี ซึ่งมีอายุร่วมสมัยกับแหล่งโบราณคดีที่พบในเขตสามชุก ระยะทางห่างจากอำเภอสามชุกไปทางทิศใต้ราว ๓๐ กิโลเมตร อยู่ริมลำน้ำท่าคอยฝั่งตะวันตก มีการพบพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ศิลปะลพบุรี เช่น พระโพธิสัตว์อวโลกิตศวร นางปัญญาปารมิตา พระปางประทานพร พระพุทธรูปในซุ้มเรือนแก้ว มีทั้งที่ประทับยืนและนั่ง นอกจากบนพระพุทธรูปศิลปะลพบุรีแล้ว ก็ยังพบพระพุทธรูปแบบทวารวดีและอู่ทองอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีเครื่องเหล็กชนิดต่าง ๆ ถึงร้อยกว่าชิ้น ซึ่งเครื่องเหล็กเช่น มีด พร้า จอบ ขวานต่าง ๆ คีมขายาว กรรไกรหนีบหมาก เครื่องปั้นดินเผา เช่น ไหเคลือบสีน้ำตาลกับไหเคลือบสีเขียวและกระปุกใส่กระดูกคนตาย ในสมัยราชวงศ์ซุ้งหรือซ่งหรือซ้อง (พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๙)
ส่วนที่แหล่งศาสนสถาน “ดอนทางพระ” หรือ “เนินทางพระ” ตำบลบ้านสระ อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ห่างจากอำเภอสามชุกราว ๆ ๑๐ กิโลเมตร ใกล้กับลำน้ำท่าระกำซึ่งเป็นเส้นน้ำสายเดียวกับลำน้ำท่าคอยที่เมืองไร่รถ ชาวบ้านทราบว่าเป็นแหล่งโบราณคดีมานานแล้วและมีพื้นที่ขนาดใหญ่มากกว่าที่พบเห็นในปัจจุบัน เพราะเมื่อราว พ.ศ.๒๕๑๑ ชาวสามชุกไปขุดเอาพระพุทธรูปนาคปรกแบบลพบุรีที่ดอนทางพระมาประดิษฐานเป็นพระประธานที่วัดวิมลโภคาราม วัดใหม่ประจำเมืองของตลาดสามชุก และเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๒ ชาวบ้านขุดซากอาคารโบราณสถานในสมัยลพบุรี เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรจึงรีบไปขุดลอกเอาโบราณวัตถุที่เหลืออยู่ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุพรรณบุรี

ประติมากรรมพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทำจากหินทราย
โบราณวัตถุที่พบแบ่งเป็น ๒ ประเภท ประเภทแรกเป็นพวกปูนปั้น ส่วนประเภทที่สองเป็นหินทราย พวกที่เป็นรูปปูนปั้นนั้นเป็นของที่ทำเพื่อประดับสถาปัตยกรรมโดยตรง จึงเป็นของซึ่งสร้างขึ้นในเวลาเดียวกันกับตัวศาสนสถาน มีรูปแบบฝีมือช่างท้องถิ่นผสมระหว่างแบบทวารวดีซึ่งสืบเนื่องอยู่ในท้องถิ่นนี้กับขอมแบบบายน ฝีมือประณีตงดงามมาก ได้แก่ เศียรเทวดา นางอัปสร พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ลายเทพพนม เศียรอสูรขนาดใหญ่ รูปสัตว์ประดับศาสนสถาน พระพิมพ์เนื้อชินที่เป็นแบบพระพิมพ์ลพบุรี ส่วนโบราณวัตถุที่เป็นหินทราย เช่น พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรประทับยืนมีรูปแบบเป็นบายน แต่ดูเทอะทะไปบ้างไม่คล้ายคลึงกับงานช่างฝีมือแบบงานปูนปั้น หรือเศียรเทวดาที่ทำจากหินทรายฝีมือคล้ายช่างหลวงที่เมืองละโว้หรือลพบุรี
ศาสนาสถานแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินกลางทุ่งนาที่มีสระสี่เหลี่ยมโบราณอยู่ใกล้เคียง นอกจากนั้นก็ไม่พบศาสนสถานกลุ่มอื่น ๆ แต่อย่างใด คงจะเป็นปราสาทขนาดใหญ่เนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายานที่ได้รับอิทธิพลจากกัมพูชาตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ลงมา ในบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี นอกเหนือจากที่เมืองอู่ทอง ซึ่งเป็นเมืองโบราณตั้งแต่สมัยทวารวดีแล้ว โบราณวัตถุที่เป็นพระพุทธรูปและพระพิมพ์ตามกรุวัดต่าง ๆ นั้นเกินกว่าครึ่งเป็นศิลปะเนื่องในสมัยลพบุรีและได้รับอิทธิพลทางศิลปกรรมทางศาสนาจากเมืองละโว้หรือลพบุรีโดยตรง


พระพุทธรูปปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว
ปูนปั้นแบบลพบุรี
ปูนปั้นแบบลอยตัวเพื่อประดับศาสนสถานเป็นรูปเศียรเทวดาในศิลปกรรมแบบลพบุรี
ศาสนสถานในลัทธิมหายานแห่งนี้มีอายุร่วมสมัยกับศาสนาสถานที่พบในเขตเมืองโบราณที่บ้านไร่รถ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองโกสินารายณ์ ในอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี ปราสาทวัดกำแพงแลง จังหวัดเพชรบุรี และที่วัดมหาธาตุเมืองราชบุรี ซึ่งสัมพันธ์กับอิทธิพลของพุทธศาสนาแบบมหายานที่ส่งอิทธิพลจากเมืองนครธมในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่ผ่านมาจากเมืองละโว้หรือลพบุรีอย่างเด่นชัด
และครั้งหนึ่งถูกนักวิชาการบางกลุ่มตีความว่าเมืองโบราณที่กล่าวถึงในภาคกลางเหล่านี้ คือบ้านเมืองต่าง ๆ ที่ปรากฏในจารึกปราสาทพระขรรค์ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ไม่เห็นด้วยกับข้อสมมติฐานเหล่านั้น โดยสันนิษฐานว่า ปราสาทที่เนินทางพระน่าจะเป็นของพระมหากษัตริย์ในเขตแดนสุพรรณภูมิ ซึ่งรับนับถือพระพุทธศาสนามหายานแบบกัมพูชา ทรงสร้างขึ้นเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในภูมิภาคนี้

ดอนทางพระหรือเนินทางพระ ศาสนสถานขนาดใหญ่ ริมคลองท่าว้า เส้นทางน้ำสำคัญในอดีต เป็นศาสนสถานแบบพุทธมหายานเนื่องในอิทธิพลศิลปกรรมแบบลพบุรี และมิได้เกี่ยวข้องกับอำนาจทางการเมืองของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในจารึกปราสาทพระขรรค์แต่อย่างใด
การนำเอาแบบอย่างศิลปกรรมของบ้านเมืองที่เคยยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองมาก่อนมาเป็นแบบอย่างนั้น เป็นลักษณะที่เป็นธรรมดาของสังคมมนุษย์โดยทั่วไป เป็นเรื่องของการเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรม หาได้แสดงถึงความครอบงำของอำนาจทางการเมืองแห่งหนึ่งมายังอีกแห่งหนึ่งไม่
ดังนั้น บริเวณสามชุกจึงถือว่าเป็นพื้นที่สำคัญทางตอนเหนือของบ้านเมืองโบราณในเขตสุพรรณภูมิ ที่ทำให้พบศาสนสถานขนาดใหญ่ที่รับพุทธศาสนาแบบมหายานที่เนินทางพระบริเวณบ้านสระซึ่งอยู่ใกล้กับลำน้ำเก่าที่เป็นลำน้ำด้วนและคลองชลประทานในเวลาต่อมาและอยู่ห่างจากแพร่งสามแยกลำน้ำเสียวที่บ้านทึงในระยะทางราว ๆ ๑๐ กิโลเมตร เส้นทางน้ำเก่าเหล่านี้สามารถเดินทางขึ้นไปยังแพรกศรีราชซึ่งเป็นศูนย์กลางเมืองใหญ่สมัยลพบุรีและมีร่องรอยของศาสนสถานแบบสุพรรณภูมิในระยะทางราว ๆ ๕๐ กิโลเมตร และไม่เป็นการยากที่จะเดินทางไปสู่เมืองละโว้หรือลพบุรี เมืองใหญ่ในอีกฝั่งหนึ่งของเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำทางฝั่งตะวันออก
ร่องรอยลำน้ำเก่าหลายแห่ง ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำสุพรรณคือเขตที่ราบสลับหนองบึงและที่ดอนซึ่งลาดเทจากที่ราบเชิงเขาทางตะวันตกไปทางที่ราบลุ่มในทางตะวันออก มีลำน้ำด้วนที่ไหลมาจากลำน้ำจระเข้สามพันซึ่งอยู่ในเขตที่สูงทางแถบอำเภออู่ทองต่อกับลำน้ำท่าว้า หรือลำน้ำท่าคอย หรือลำน้ำท่าระกำ ชื่อเปลี่ยนไปเมื่อไหลผ่านท้องถิ่นต่าง ๆ แต่ปรากฏชื่อในแผนที่ของกรมแผนที่เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ ว่า คลองจระเข้ เพราะมีต้นน้ำสายหนึ่งมาจากที่สูงทางแถบอู่ทองและแยกออกมาจากจากลำน้ำจระเข้สามพัน ซึ่งตามธรรมชาติน่าจะไหลจากใต้ขึ้นเหนือ ลำน้ำจึงสุดด้วนปลายน้ำเกือบถึงบ้านท่าระกำ แนวระนาบเดียวกับบ้านสามชุก ต่อมามีการขุดคลองชลประทานแล้วจึงขุดคลองท่าระกำนี้ไปต่อกับคลองชลประทานที่รับน้ำจากคลองกระเสียวซึ่งมีต้นน้ำจากเทือกเขาตะนาวศรีทางฝั่งตะวันตก
คลองท่าระกำหรือแม่น้ำด้วนนี้จึงเป็นเส้นน้ำที่สำคัญ เชื่อมต่อบ้านเมืองสมัยทวารดีในเขตอู่ทอง เมืองในสมัยสุพรรณภูมิและลพบุรีที่เมืองสุพรรณต่อเนื่องกับเมืองไร่รถที่ดอนเจดีย์และเนินทางพระที่สามชุก ต่อเนื่องไปถึงชุมชนสมัยลพบุรีมีคูน้ำคันดินล้อมรอบที่บ้านโป่งแดง โดยมีชุมชนโบราณในสมัยปลายทวารวดีต่อเนื่องกับสมัยลพบุรีตั้งอยู่หลายแห่ง โดยแม่น้ำสุพรรณบุรีในปัจจุบันที่ห่างไปราว ๑-๒ กิโลเมตร ไหลขนานกันไปและน่าจะมีความสำคัญน้อยกว่าในยุคร่วมสมัย
จากแผนที่เก่าราว พ.ศ.๒๔๖๐ บริเวณทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณนั้น ป่าไม้เบญจพรรณกินบริเวณลึกจากแทบเทือกเขามาจนใกล้ถึงแนวฝั่งแม่น้ำด้วนในระยะประมาณ ๒-๔ กิโลเมตร พวกย่านบ้านเก่าที่มีเรื่องเล่าสืบต่อมาและการพบโบราณวัตถุสถานตั้งแต่สมัยทวารวดีตอนปลายจนถึงสมัยลพบุรีก็อยู่ในแนวสองฝั่งของแม่น้ำด้วนนี้ไปไม่ไกลเช่นกัน บริเวณนี้มีการสำรวจว่าเป็นท้องถิ่นที่บุกเบิกทำนากันมากและมีน้ำตลอดทั้งปีแม้จะเป็นช่วงก่อนการมีโครงการชลประทาน จึงมีตำนานนิทานเรื่องย่านบ้านเก่าติดที่อยู่หลายแห่ง
คลองท่าระกำจากทางทิศใต้ขึ้นไปชาวบ้านเล่าถึงนิทานท้องถิ่นเรื่อง “ท่าตาจวง ” ที่บ้านท่าตาจวง ตำบลปงดอน แนวเดียวกับบ้านวังหินและเยื้องกับบ้านย่านยาวไปไม่ไกล มีเรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่งนามว่า ตาจวง อาศัยอยู่เมืองอยุธยา มีวิชาแปลงตน มีเมียสองคน ชื่อนางอรุณเมียหลวงและนางสุวรรณเมียน้อย นางอรุณเมียหลวงแพ้ท้องอยากกินลูกสมอ ด้วยความรักเมียตาจวงจึงพาเมียทั้งสองเดินทางเข้าป่ามายังเขตเมืองสุพรรณ เมื่อเก็บลูกสมอได้แล้วก็เดินทางกลับอยุธยา แต่ระหว่างทางเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ทั้งสามวิ่งหลบฝนจนมาถึง คลองท่าระกำ ที่มีน้ำป่าไหลหลากไม่สามารถข้ามได้ ตาจวงจึงบอกกับเมียทั้งสองว่าจะแปลงร่างเป็นจระเข้ นอนขวางคลองไว้ เมื่อนางอรุณข้ามไปถึงอีกฝากหนึ่งก็ให้นางสุวรรณข้ามตามไป แล้วเอาน้ำมนต์ที่ทำขึ้น ราดบนหัวจระเข้ ร่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม นางอรุณถือขันน้ำมนต์ข้ามไปถึงอีกฝากหนึ่งเหลือบเห็นดวงตาของจระเข้ใหญ่ เกิดความกลัวทำขันน้ำมนต์ตกลงพื้น จระเข้ตาจวงก็ไม่สามารถคืนร่างเป็นคนได้ แต่ด้วยความรักเมียทั้งสอง จระเข้ตาจวงจึงขุดถ้ำอยู่ริมสองฝังคลองนั้น ส่วนเมียทั้งสองก็อาศัยอยู่คนละฝากคลอง มีลูกมีหลานสืบเชื้อสายมาจนถึงทุกวันนี้
นิทานหรือตำนานในท้องถิ่น แม้จะเคยมีผู้จดจำเกี่ยวกับชื่อบ้านนามเมืองไว้ได้มาก แต่ปัจจุบันมีคนที่ทราบเรื่องเล่าในท้องถิ่นเหล่านี้น้อยลงเพราะการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม เส้นทางน้ำและการเดินทางไปหมดแล้ว จึงแทบสูญหายไปจากความทรงจำ
ต่อจากนั้น เหนือขึ้นไปที่ วัดลาดสิงห์ ก็มีเรื่องเล่าถึงเคยเป็นที่พักทัพของสมเด็จพระนเรศวรฯ แต่เดิมภายรอบบริเวณวัดมีสระน้ำรายรอบ ปัจจุบันถมที่ดินไปแทบหมดแล้ว บริเวณบ้านลาดสิงห์ติดกับบ้านสระ ซึ่งพบศาสนสถานดอนทางพระ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ ช่างตัดผมที่ตลาดสามชุก ฝันเห็นสถานที่หนึ่งที่ดอนทางพระนี้จึงชวนกันไปทำพิธีบวงสรวงขอให้พบแล้วขุดไปพบพระพุทธรูปนาคปรกที่มีเดือยสำหรับเสียบบนแท่น รวมทั้งเทวรูปและพระพิมพ์ต่าง ๆ คณะจากสามชุกนำขึ้นมาได้ พบเดือยที่ฐานจึงใส่รถเข็นแล้วให้วัวลากมาประดิษฐานที่วัดใหม่คือ วัดรัตนโภคารามหรือวัดวิมลโภคาราม และกลายเป็นวัดประจำท้องถิ่นของคนในตลาดสามชุก ที่ในอดีตเคยต้องพายเรือไปทำบุญกันที่วัดสามชุกซึ่งอยู่ต่ำลงมาตามลำน้ำสุพรรณเล็กน้อย ต่อมาชาวบ้านร้านตลาดจึงจัดพิธีเฉลิมฉลองกันใหญ่โต หลวงพ่อนาคปรกเป็นที่เคารพ นับถือของคนจีนและชาวตลาดสามชุก อธิษฐานขออะไรได้สมปรารถนา ชาวสามชุกที่ไปประกอบอาชีพต่างถิ่นเจริญรุ่งเรืองก็กลับมากราบพระทำบุญกันทุกครั้งที่กลับบ้าน และในงานเทศกาลต่าง ๆ ต่อจากบ้านสระคือ บ้านหนองโรง ที่วัดหนองโรงหรือ วัดหนองโรงรัตนาราม ในตำบลหนองผักนาก เดิมเป็นวัดร้างมีเจดีย์เก่าแบบอยุธยาองค์หนึ่ง ในวิหารมีพระพุทธรูปทำจากหินทรายบ้าง ปูนปั้นบ้างแบบอู่ทอง แต่ถูกตัดเป็นท่อน ๆ อยู่ ๔ องค์
บ้านหนองผักนาก แต่เดิมชื่อบ้านดอนลาวแต่ไม่มีคนลาวอยู่แต่อย่างใด มีวัดโบราณและพระพุทธรูปที่เป็นพระประทานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปแบบอู่ทอง วัดนี้เป็นวัดใหญ่ที่มีโบสถ์หลังเก่าฐานตกท้องสำเภาซึ่งเป็นรูปแบบการก่อสร้างในสมัยอยุธยา การที่มีโบสถ์อยู่ที่วัดหนองผักนากและชาวบ้านผู้ใหญ่เล่ากันว่า วัดนี้เดิมชื่อ วัดหนองพักนาค เพราะในละแวกนี้มีวัดอยู่น้อยมาก ถึงจะมีก็เป็นวัดร้างและไม่มีพระอุโบสถให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรม โดยเฉพาะการบวชนาค จึงต้องมาบวชกันที่นี่แห่งเดียว โดยชาวบ้านในหมู่บ้านละแวกนี้จะบวชพร้อมกันที่อุโบสถวัดหนองผักนากทุกปี มีพิธีการแห่นาคมาจากบ้านกันใหญ่โต ให้นาคขึ้นบนหลังช้าง และมีคนขี่ม้าเป็นสิบ ๆ ตัว ผู้คนมากมายแห่ร่วมขบวนสนุกสนานครื้นเครงมาตลอดทาง พอมาถึงวัดก็หยุดพักที่ริมหนองน้ำหน้าวัด เตรียมแห่นาคเข้าโบสถ์ เมื่อนำนาคเข้าอุโบสถแล้วก็นำช้างและม้าไปเล่นกันที่ดอนแห่นาค ซึ่งอยู่ห่างจากวัดประมาณ ๑ กิโลเมตร เล่นล่อช้างให้ช้างไล่ม้าล้มลุกคลุกคลานกันไป
เหนือขึ้นไปจากบ้านหนองผักนาก คือ บ้านโป่งแดง ที่อยู่ริมลำน้ำโป่งแดง ซึ่งเป็นลำห้วยขวางในแนวตะวันตกตะวันออก ในโคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่กล่าวว่าเลยจากบ้านโป่งแดงก็เป็นป่าที่มีสัตว์ร้าย เช่น เสือชุกชุมแล้ว หมู่บ้านนี้มีลำห้วย ๓ สาย ไหลมารวมกันคือ ห้วยวังโบสถ์ ห้วยหนองเกตุ และห้วยร่องขนาน กลายเป็นคลองโป่งแดง แล้วไหลสู่ลงแม่น้ำสุพรรณที่ปากคลองโป่งแดงเหนือวัดบ้านทึง
บ้านโป่งแดงเป็นเนินชุมชนโบราณรูปวงรีขนาดราว ๑ ตารางกิโลเมตร มีร่องรอยคูน้ำล้อมรอบ ทั่วบริเวณพบเศษภาชนะดิน ภาชนะแบบขันสำริด ลูกปัดแก้วสีต่าง ๆ คำบอกเล่าของกำนันโป่งแดงท่านหนึ่งกล่าวว่าเมื่อราว พ.ศ.๒๕๐๒ มีชาวบ้านโป่งแดงไถนาแล้วไปพบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระศิวะอิศวรและศักติ พระพุทธรูปปางทานอภัย ปางห้ามญาติ เนื้อสำริดจำนวน ๙ องค์ใส่ไว้ในภาชนะคล้ายโอ่ง เป็นศิลปกรรมแบบลพบุรี ต่อมามีผู้พบพระพุทธรูปปางห้ามญาติเนื้อสำริด พระพุทธรูปเนื้อทองคำ พระพิมพ์โมคคัลลาเนื้อดินเผา แบบพิมพ์พระ ๑๑ พี่น้อง แบบพิมพ์พระโมคคัลลาและพระเครื่องดินเผาพิมพ์ต่าง ๆ ในบริเวณที่ต่างกันซึ่งเป็นแบบลพบุรีทั้งสิ้น หลักฐานสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ศิวลึงค์สูงราว ๑ เมตรเศษ ฐานเป็นรูป ๘ เหลี่ยมส่วนบนกลม ปัจจุบันไม่พบหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
ที่วัดโป่งแดง ยังเก็บรักษาพระพุทธรูปแบบอู่ทองปางมารวิชัยเนื้อหินทราย หน้าอุโบสถเก่ามีเจดีย์เดิมน่าจะสร้างในสมัยเดียวกัน มีผู้ขุดพบพระเครื่องแล้วใส่ไว้ในเจดีย์ และยังพบพระพิมพ์แบบลพบุรีและที่เรียกว่าพระร่วงนั่งเนื้อชิ้นดีบุกอีกจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีตำนานเรื่องเล่าที่เป็นความเชื่อผ่านวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนย่างกุมารทอง ขณะขุนแผนต้องโทษหนีไปพึ่งโจรหมื่นหาญที่บ้านซ่องหรือที่ปัจจุบันเรียกว่าบ้านหนองบัวหิ่ง อยู่ทางทิศตะวันตกห่างจากบ้านโป่งแดงราว ๔ กิโลเมตร เกิดรักใคร่กับนางบัวคลี่ ลูกสาวหมื่นหาญจนตั้งครรภ์ หมื่นหาญจึงคิดฆ่าขุนแผนแต่ขุนแผนรู้ตัวก่อน จึงหาอุบายฆ่านางบัวคลี่ แล้วผ่าท้องได้ลูกเป็นชาย หนีโจรหมื่นหาญเอาลูกไปย่างไฟที่โบสถ์วัดแห่งหนึ่งแล้วเรียกว่ากุมารทอง ซึ่งผู้สร้างภาพยนตร์อ้างว่าขุนแผนนำเอาลูกที่เกิดกับนางบัวคลี่ ไปย่างที่โบสถ์ “วัดโป่งแดง” จนกลายเป็นเรื่องร่ำลือและจดจำวัดโป่งแดงได้แต่เพียงเป็นสถานที่ย่างกุมารทองในตำนานจนละเลยความสำคัญในการเป็นเมืองโบราณในยุคลพบุรีที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งไปเสีย

ที่ตั้งที่ว่าการอำเภอสามชุก ซึ่งตั้งขึ้นตั้งแต่ช่วงราว พ.ศ.๒๔๓๗-๒๔๕๗ จากพื้นที่รกร้างเป็นป่า
และเป็นท่ารับสินค้าจากชาวกะเหรี่ยง จนกลายเป็นเมืองที่มีตลาดและคนจีนอพยพเข้ามาค้าขาย
และเป็นที่มาของคำว่า “ตลาดร้อยปี” เพราะเป็นเมืองใหม่ที่สร้างเมื่อมีการปรับปรุงการปกครองมาเป็น
ระบบมณฑลเทศาภิบาลนั่นเอง
พื้นที่ดอนซึ่งเป็นพื้นที่ลอนลูกคลื่นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณนี้มีกลุ่มบ้านในแนวเดียวกันที่ต่อเนื่องกับบ้านโป่งแดงซึ่งอยู่ในเขตอำเภอหนองหญ้าไซที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในการปกครองของอำเภอสามชุก คือ บ้านสระ บ้านซ่อง บ้านบัวหิ่ง บ้านหนองด่าน บ้านสระแค บ้านบ่อใหญ่ บ้านดอนกระเบื้อง บ้านดอนสูง บ้านดงมืด บ้านหนองหลวง หมู่บ้านเหล่านี้พบโบราณวัตถุทางศาสนาแบบลพบุรีเช่นเดียวกับบ้านโป่งแดง
ที่บ้านหนองโรง มีนิทานเรื่องเล่าการแข่งกันสร้างถนนไปสู่ขอหญิงสาวชื่อนางพิมบ้านหนองโรง ของชายหนุ่ม บ้านขังขอม ที่ต่อมาเรียกเพี้ยนไปเป็น บ้านคลองขอม เพราะมีเรื่องเล่าว่าสถานที่นี้เคยเอาพวกขอมมาขังไว้ และในแผนที่เก่าของกรมแผนที่ทหารฉบับพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ ก็ยังเรียกว่าบ้านขังขอม ชาวบ้านเรียกว่า “ถนนด้วน” อันเป็นแนวถนนดินโบราณที่น่าจะสร้างขึ้นเพื่อใช้ในฤดูแล้งเดินทางติดต่อกับทางฝั่งแม่น้ำสุพรรณหรืออาจจะเป็นแนวทำนบเพื่อการชลประทานและการเดินทางในยุคลพบุรีก็เป็นได้ พวกบรรทุกเกวียนมาจากบ้านป่าแถบนี้จะใช้ถนนดินโบราณเป็นการสัญจร ผ่านหนองโขง บ้านชัฎหวายหรือชักหวาย ซึ่งในโคลงนิราศของสุนทรภู่เรียกว่า ”ชัฎหอม” และบ้านโป่งแดง ผ่านบ้านดอนวิเชน บ้านดอนบ้าน ดอนแห่นาคที่บ้านหนองผักนาก ผ่านดอนกลางตรงไปสู่สำแม่น้ำท่าจีนหรือแม่น้ำสุพรรณที่บ้านขังขอม ซึ่งเยื้องต่ำกว่าตำแหน่งวัดบ้านทึงลงมาเล็กน้อย
ส่วนลำน้ำที่แยกออกจากแม่น้ำสุพรรณบริเวณบ้านย่านยาวที่มีวัดบางขวาก มีเส้นทางน้ำแยกออกไปทางฝั่งตะวันออกในแผนที่เก่าเขียนว่า แม่น้ำวังลึก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่มต่ำกว่าฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณ มีบึงน้ำหนองน้ำหลายแห่ง บริเวณนี้น่าจะเป็นเส้นทางน้ำเก่าที่สามารถติดต่อกับชุมชนสมัยทวารวดีในเขตสิงห์บุรีและชัยนาทที่อยู่ตามลำน้ำสีบัวทอง เขตนี้มีร่องรอยวัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยาหลายแห่ง เช่น ที่วัดสำเภาล่ม ส่วนวัดนางพิมพ์ซึ่งเป็นวัดเก่านั้นอยู่ใกล้เส้นทางน้ำ มีหนองน้ำล้อมรอบอยู่หลายแห่ง เช่น หนองสัปปะโคน หนองปู่สาย หนองแฟบ หนองสองห้อง และเหนือวัดนางพิมพ์ไปราว ๕ กิโลเมตรคือ วัดวังลึก
เหนือย่ายนาวขึ้นมาตามลำน้ำสุพรรณคือบริเวณ วัดสามชุก ซึ่งเป็นย่านบ้านสามชุก เล่าสืบกันมาว่า แม่น้ำสุพรรณตรงข้ามหน้าวัดสามชุกฝั่งตะวันตกมีท่าน้ำใหญ่สำหรับชาวบ้านนำโคกระบือลงน้ำ เกวียนล้อขึ้นลงได้สะดวก แต่ก่อนเรียกว่า “ท่ายาง” บริเวณสามชุกอยู่ทางตอนเหนือเมื่อถึงฤดูแล้งน้ำแห้งแม่น้ำขาดตอน การสัญจรทางเรือต้องรอให้ถึงหน้าน้ำเสียก่อน ชาวบ้านป่า คนลาว คนกระเหรี่ยงที่อยู่ห่างจากฝั่งแม่น้ำ เอาข้าวของใส่เกวียนมาค้าขายแลกเปลี่ยนกับเรือพ่อค้าทางใต้ที่ท่ายาง ซึ่งชื่อท่ายางนี้อาจจะมาจากท่าน้ำที่มีต้นยางหรือท่าน้ำที่ชาวกะเหรี่ยงหรือคนในท้องถิ่นเรียกพวกเขาว่า “ยาง” จึงกลายเป็นชื่อท่าที่ปรากฏสืบมา
คนที่ตลาดสามชุกเรียกกลุ่มคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณว่า “ชาวป่า” ที่ขนของป่ามาขาย หากขนข้าวมาขายก็เรียกว่า “ชาวนา” มักมาจากหนองผักนาก หนองหญ้าไซ โป่งแดง หนองราชวัตร ด่านช้างไปจนถึงบ่อพลอย เพราะในระยะเริ่มแรกเรียกบริเวณรอบนอกรวม ๆ ว่าป่า เรียกชาวบ้านที่อยู่อาศัยริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณว่า “ชาวบ้าน” เรียกผู้ที่ที่มากับเรือ บนเรือจ้าง เรือโดยสารหรือเรือโยงว่า “ชาวเรือ” ส่วนคนในตลาดเรียกตัวเองว่า “ชาวตลาด” หรือ “คนตลาด” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจีน ชาวบ้านรอบนอกก็มักเรียกว่า “เจ๊กในตลาด” โดยไม่ได้รู้สึกหรือคิดว่าเป็นการดูถูกทางชาติพันธุ์แต่อย่างไร
ถ้าครั้งใดมาถึงแล้วไม่พบกัน ฝ่ายที่มาก่อนก็ต้องรอแล้วขนถ่ายสินค้าลงกองไว้ ชาวบ้านเล่าตรงกันหลายท่านว่าเกวียนที่นำสินค้ามาขายมีมาก บางครั้งมีเกวียนมาจอดรอหลายเล่ม และหากถึงช่วงต้นหน้าฝนชาวนาไถนาหว่านข้าวขวางทางเกวียน คนเกวียนก็จำเป็นต้องเสียค่าเสียหายที่ทำให้นาข้าวที่หว่านไปแล้วเสียหาย ชาวบ้านป่าก็นำกระชุกซึ่งเป็นภาชนะรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดพอบรรทุกลงบนเกวียนได้ โดยทั่วไปหมายถึงภาชนะสำหรับบรรจุของ เช่น นุ่นหรือถ่านนับเป็นใบหรือลูก สานด้วยไม้ไผ่ใส่สินค้าที่นำมาเก็บไว้ในกระชุกของตนเพื่อรอค้าขายกับพ่อค้าทางเรือ จากกระชุกที่มีอยู่มากมายผู้ใหญ่หลายท่านจึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นที่มาของชื้อบ้านว่า “สามชุก” นั่นเอง
ที่วัดสามชุกมีอาคารมณฑปเก่าประดิษฐานรอยพระพุทธบาทสี่รอย หน้ามณฑปมีหงส์สัมฤทธิ์ ๑ คู่ ที่ถูกนำมาเก็บรักษาไว้แล้ว การปิดทองรอยพระพุทธบาทเป็นงานประจำปีของชาวบ้านสามชุก พระพุทธรูปหินทรายสมัยอยุธยาเคยอยู่ในมณฑปนั้น ต่อมาชาวบ้านจึงนำมาบูรณะเพื่อเป็นพระประธานบนศาลการเปรียญ หลวงพ่อธรรมจักร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่กับวัด มีผู้กล่าวเดิมหลวงพ่อธรรมจักรเป็นพระพุทธรูปที่พระอาจารย์ธรรมโชติวัดเขาขึ้น สร้างไว้แล้วย้ายมาอยู่ที่วัดสามชุก
ย่านบ้านสามชุกและวัดสามชุกนี้จึงน่าจะเป็นบ้านเก่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาเช่นเดียวกับทางวัดนางพิมพ์ทางฝั่งคลองบางขวากหรือคลองวังลึกและเหนือขึ้นไปที่บ้านทึง
ในแผนที่ซึ่งสำรวจในราว พ.ศ.๒๔๖๐ ลงตำแหน่งไว้ว่า จากย่านบ้านสามชุกคือบ้านสามเพ็งซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอนางบวช ต่อไปคือบ้านชักหวาย วัดคลองขอม บ้านหินดาด ปากคลองบ้านโป่งแดง ฝั่งตรงข้ามที่เยื้องมาเล็กน้อยคือวัดบ้านทึง สลับกันฝั่งตรงข้ามคือปากน้ำของลำคลองกระเสียวที่มีบ้านโป่งแดง ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปตามลำน้ำและเหนือขึ้นไปตามลำน้ำในฝั่งเดียวกันคือวัดบางแอกและวัดโพธิ์ลังกา
วัดบ้านทึงเป็นย่านบ้านใหญ่และคงมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะทั้งตำนานเรื่องท้าวอู่ทองและศาสนสถานภายในวัดตลอดจนวัดร้างที่อยู่โดยรอบ เช่น วัดโพธิ์เงินโพธิ์ทองหรืออาจเป็นวัดโพธิ์ลังกา รวมทั้งวัดบางแอกที่อยู่ใกล้เคียงก็บ่งบอกถึงความเป็นมาดังกล่าว
นอกจากนี้ ย่านบ้านทึงยังใกล้กับปากลำน้ำกระเสียวที่ไหลมาจากที่สูงในเขตเทือกเขาตะนาวศรีอันเป็นเส้นทางติดต่อทางน้ำที่สำคัญสู่ชุมชนบ้านป่าในเขตภายใน และเป็นที่มาของคำสำคัญในโคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่คือ “น้ำสำคัญ ป่าต้น คนสุพรรณ” อันหมายถึงย่านน้ำกระเสียวที่ไหลมารวมบริเวณปากน้ำที่ย่านบ้านทึงนี่เอง
ในนิราศสุพรรณ ของสุนทรภู่ ก็เล่าเรื่องที่มาของวัดบ้านทึงไว้ว่า
๏ ผู้เถ้าเล่าเรื่องอย้าน บ้านทึง ท้าวอู่ทองมาถึง ถิ่นถุ้ง แวะขอเชือกหนังขึง เขาไม่ ให้แฮ สาปย่านบ้านเขดคุ้ง คี่ทึ้งทึงแปลง ฯ ๏ วัดทร่างข้างคุ้งย่าน บ้านทึง ชื่อชัดวัดคี่ทึ้ง ถูกต้อง ผู่เถ้าเล่าเรื่องจึง จะแจ้ง แสดงเอย ท่านนั่งสั่งสอนพร้อง พร่ำไว้ไม้ตรี ฯ
นิทานที่บ้านทึงในนิราศสุพรรณเล่าถึง ท้าวอู่ทองใช้เกวียนเดินทางมาถึงทุ่งบ้านทึง เกวียนแอกหักก็มาขอเชือกหนังเพื่อซ่อมแอกแต่ชาวบ้านไม่ยอมให้ ขอฟางข้าวให้วัวกินชาวบ้านก็ไม่ยอมให้อีก ท้าวอู่ทองจึงเรียกพวกบ้านขี้ทึ้ง ที่น่าจะแปลว่าขี้เหนียว ต่อมาเรียกเป็น “บ้านทึง” ส่วนตำนานที่เล่ากันติดที่ในท้องถิ่นมีอยู่ว่า ท้าวอู่ทองนำขบวนเกวียนผ่านมายังวัดบ้านทึง แอกเกวียนหักลงจึงหยุดพักไปขอฟางมาให้วัวกินและขอหนังควายแห้งมาซ่อมแซม แต่คนที่บ้านนี้ไม่ให้ ท้าวอู่ทองเลยอธิฐานขอให้นกกระจอกและอีกาไม่มากินข้าวของพวกบ้านขี้ทึ้งนี้อีกต่อไป คงให้สมกับเป็นบ้านคนขี้เหนียวจนแม้แต่นกกาก็ยังเงียบเสียงเพราะไม่มีความเมตตาเผื่อแผ่ผู้ใด
บริเวณที่แอกมาหักลงเรียกว่า “วัดบางแอก” และสร้างวัดขึ้นอีกวัดชื่อ “วัดรอ” เหนือวัดบ้านทึงขึ้นมาเล็กน้อย ปัจจุบันทั้ง ๒ วัดกลายเป็นวัดร้างเหลือแต่รากฐานอาคาร วัดบางแอกเมื่อจะขยายถนนสี่เลนสาย ๓๐๔ กำหนดให้ต้องไถวัดร้างบางแอกนี้ทิ้งไปก็พบหางเสือเรือสำเภาขนาดย่อม ๆ ที่เก็บรักษาไว้ที่สำนักงานชลประทานประตูน้ำชลมาร์คพิจารณ์ อีกทั้งมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดอุบัติเหตุแก่คณะทำทางจนต้องบวงสรวงและตัดถนนเบี่ยงแนวเดิม ทุกวันนี้กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนิยมมาบนบานขอพรด้วยหาบขนมจีนและไหว้พระพุทธรูปที่ขุดได้จากวัดบางแอกกันใหญ่โต
ชาวบ้านเล่าว่าเดิมบริเวณพื้นที่วัดบ้านทึงมีวัดร้างอยู่สองวัดต่อกันคือ วัดโพธิ์เงินและวัดโพธิ์ทองหรืออาจจะเป็นวัดโพธิ์ลังกาในแผนที่เก่าครั้ง พ.ศ.๒๔๖๐ ภายในวัดบ้านทึงที่ไปจนถึงถนนใหญ่และแม่น้ำสุพรรณ มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์หรือพระนอน วิหารโบราณและหอไตรสมัยอยุธยา ซึ่งมีรูปแบบอาคารขนาดเล็กที่นิยมสร้างกันในสมัยอยุธยาตอนปลาย พบเห็นในแถบสิงห์บุรีและอ่างทอง เช่น ที่พระตำหนักคำหยาดในอำเภอแสวงหา วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติที่บางระจัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกุฏิไม้อายุกว่า ๑๐๐ ปี หลายหลัง สภาพแวดล้อมสงบร่มรื่น มีต้นไทรใหญ่ ต้นกร่าง ต้นลั่นทมอายุมากสมกับที่เป็นวัดโบราณของท้องถิ่น
จากสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่บริเวณบ้านทึงเป็นจุดเชื่อมต่อกับคลองกระเสียว จึงเป็นสามแยกที่รวมเอาผู้คนและตลาดการค้าไว้ในบริเวณนี้มาแต่โบราณ เพราะเส้นทางที่ติดต่อกับพื้นที่ใกล้เชิงเขานั้นใช้ลำคลองกระเสียวที่สบกับแม่น้ำสุพรรณบริเวณบ้านทึงในระยะทางประมาณ ๕๐ กิโลเมตร ก็จะถึงหมู่บ้านเชิงเขา ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ถือว่าเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรธรรมชาติและของป่า นับเป็นเส้นทางค้าขายสำคัญมาแต่โบราณ นอกจากนี้ ยังมีลำน้ำลำห้วยสายเล็กสายน้อยไหลจากเขตที่สูงทางเทือกเขาฝั่งตะวันตกไหลมาลงแม่น้ำสุพรรณโดยเฉพาะบริเวณเหนือบ้านทึงขึ้นไป
ตำนานเรื่องท้าวอู่ทองนั้น ปรากฏอยู่ทั่วไปในเขตที่ราบภาคกลาง มักสัมพันธ์อยู่ในเส้นทางเดินทางทั้งทางบกและทางน้ำในช่วงยุคสมัยอยุธยาลงมาที่มีการติดต่อค้าขาย และตำนานเรื่องท้าวอู่ทองในหลายแห่งก็มักสัมพันธ์กับการค้าขาย คนจีนและการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นเครือข่ายการค้าระยะทางไกล
อีกทั้งในบริเวณท้องถิ่นย่านนี้ไปจนจรดเขตชัยนาทและลพบุรีจะมีนิทานท้องถิ่นทำนองเรือสำเภาล่มหรือการแข่งขันกันสร้างทางเพื่อแห่ขันหมากขอลูกสาวชาวบ้าน ซึ่งปรากฏเป็นตำนานเมืองละโว้หรือลพบุรีด้วย ตำนานหรือนิทานประจำถิ่นที่เกี่ยวกับภูมิวัฒนธรรมของบ้านเมืองและภูมิศาสตร์ที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของชุมชนนั้นเป็นเนื้อเรื่องหลักแบบนิทานตาม่องล่ายทางแถบชายทะเลในอ่าวไทย
ถือเป็นตำนานนิทานที่เกี่ยวพันกับการเข้ามาของคนกลุ่มใหม่ที่ถูกมองว่าเป็นคนจีนจากโพ้นทะเลและการเดินทางค้าขายไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในนามของท้าวอู่ทอง การใช้เรือสำเภา และการสู่ขอหญิงสาวชาวบ้านหรือการแข่งขันกันระหว่างชายหนุ่มในท้องถิ่นและชายพ่อค้า เป็นต้น เนื้อเรื่องเหล่านี้มักปรากฏในท้องถิ่นที่มีการตั้งถิ่นฐานชุมชนมาตั้งแต่สมัยลพบุรีต่อกับยุคต้นกรุงศรีอยุธยา และดังที่พบในท้องถิ่นสามชุกนี้นั่นเอง

โรงเรียนสำคัญของอำเภอสามชุก “โรงเรียนนิกรนรราษฎร์ศึกษาลัย”
จากสามเพ็งถึงสามชุก
ในโคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่กล่าวถึงทั้งชื่อ “สามชุก” และ “สามเพ็ง” แยกกัน กล่าวถึงสามชุกซึ่งเป็นท่าน้ำที่จอดเรือรอคนกะเหรี่ยงซึ่งเดินทางภายป่าเขาทางตะนาวศรีนำฝ้ายมาขายแลกเปลี่ยนอย่างคึกคัก ซึ่งชาวบ้านในท้องถิ่นยังจำได้ว่าฝั่งตะวันตกตรงข้ามวัดสามชุกเรียกว่า “ท่ายาง” ซึ่งน่าจะมีความหมายมากกว่าถ้าหมายถึงท่าน้ำที่คนยางหรือกะเหรี่ยงนำฝ้ายมาขายมากกว่าท่าน้ำที่มีต้นยางยืนต้นอยู่ คนกะเหรี่ยงหรือยางนี้น่าจะเป็นกะเหรี่ยงโปหรือโผล่วในเขตภูเขาที่ยังคงปลูกฝ้ายกันอยู่ถึงในปัจจุบัน
“๏ ถึงนามสามชุกถ้า ป่าดง กะเหรี่ยงไร่ได้ฝ้ายลง แลกล้ำ เรือค้าท่านั้นคง คอยกะเหรี่ยง เรียงเอย รายจอดทอดท่าน้ำ นับฝ้ายขายของ ๏ พวกกะเหรี่ยงเสียงเพราะพร้อง กะหน็องกะแหน็ง สาวผูกลูกปัดแดง ประดับพร้อย คิ้วตาน่านวลแตง ตะละหม่อม จอมเอย แข้งทู่หูยานย้อย อย่างละว้าพาคลาย”
สถานที่ต่อเนื่องจากบ้าน “สามชุก” ก็คือ “สามเพ็ง” ซึ่งยังเป็นป่าอยู่มาก บ้านคนน้อยจนแทบจะหาไม่ได้ แต่บริเวณนี้พื้นน้ำตื้นเป็นหาดทราย ป่าสดชื่นน้ำใสสะอาดและมีปลาหลากหลายพันธุ์ สามเพ็งในช่วงที่สุนทรภู่เดินทางมาถึง (ราว พ.ศ.๒๓๗๔) หรือในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังไม่มีการสร้างตลาดหรือมีบ้านเรือนเป็นชุมชนแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับชุมชนเดิมที่สามชุกที่ถือว่าเป็นท่าเรือค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าแบบโบราณในยุคต้นกรุงฯ ที่การค้าที่มากับการคมนาคมและคนจีนยังไม่ได้สร้างรูปแบบเมืองค้าขายชายฝั่งน้ำที่เกิดขึ้นในคราวที่เริ่มส่งน้ำตาลทรายและข้าวเป็นสินค้าส่งออกอย่างกว้างขวาง
“๏ สามเพ็งเล็งสะล่างไม้ ไพรสณฑ์ ป่าใหญ่ใช่เขตคน ขาดบ้าน ร่มรื่นชื่นชุ่มชล ชุมแต่ แร่เอย ปลาว่ายสายสินธุ์สะอ้าน สะอาดตื้นพื้นทราย”
ชื่อ “สามชุก” และ “สามเพ็ง” ผู้ใหญ่และผู้รู้ในท้องถิ่น เช่น ในงานบันทึกนิทานคำกลอนของคุณสุภร ผลชีวิน หรือผู้รู้ในท้องถิ่นรุ่นปัจจุบันถึงที่มาของคำว่า “สามชุก” สันนิษฐานว่ามาจากเหตุใหญ่ ๆ ๒ ประการ และทั้งสองประการนี้สัมพันธ์กับตำแหน่งที่ตั้งและเอกลักษณ์เด่นของชุมชนคือการเป็นย่านการค้าและศูนย์กลางการคมนาคม โดยอธิบายว่า สามชุกอาจมาจากคำว่า “กระชุก” หรือ “สีชุก” เป็นภาชนะสานจากไม้ไผ่มีหลายรูปแบบ เช่น รูปฟักผ่าตามยาวเพื่อใช้ใส่ของในเกวียน เช่น ข้าวเปลือก นุ่น และถ่าน แบบทรงกลมสูง ไว้สำหรับบรรจุของที่ตกค้างจากการซื้อขาย ชาวบ้านนำมาใช้ใส่ของในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย บริเวณท่าน้ำตอนนี้อยู่ในเขตแม่น้ำสุพรรณด้านเหนือ ก่อนการสร้างเขื่อนนั้นหากเป็นหน้าแล้งน้ำน้อย เรือจะติดท้องทรายต้องรอเวลาจนน้ำหลากมาถึง การกองภาชนะใส่สินค้า เช่น กระชุกจึงน่าจะเป็นภาพที่คุ้นเคย พื้นที่บริเวณนี้จึงเรียกชื่อกันว่า “บ้านกระชุก” หรือต่อมาคือ “บ้านสามชุก” ก็เป็นได้
ส่วนคำว่า “สามเพ็ง” น่าจะมาจากท้องถิ่นนี้ซึ่งมีเส้นทางน้ำติดต่อกับท้องถิ่นอื่น ๆ ได้ ๓ เส้นทาง คือทางเหนือต่อกับชัยนาทและนครสวรรค์ ทางทิศใต้ต่อกับสุพรรณ นครปฐมและสมุทรสาครและทางตะวันตกจากชุมชนบ้านป่าแถบหนองหญ้าไซและเขตเทือกเขาทางด่านช้างที่ใช้ทั้งทางบกและทางเรือจากคลองโป่งแดงและคลองกระเสียว ทำให้ย่านนี้กลายเป็นชุมทางที่มีลักษณะเป็น “สามแพร่ง” ต่อมาได้เพี้ยนเป็นสามเพ็งซึ่งก็เป็นการสันนิษฐานจากคนในรุ่นหลัง

ตลาดสามชุกในอดีต
เนื่องจากหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล ทั้งย่านสามเพ็งและบ้านสามชุกอยู่ใต้การปกครองของอำเภอนางบวช ที่ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ โดยที่ว่าการอำเภอ ใช้บ้านของนายอำเภอ ริมแม่น้ำสุพรรณบริเวณระหว่างวัดบ้านทึงกับวัดบางแอก เป็นที่ว่าการอำเภอ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๓๗ ต่อมาจนถึง พ.ศ.๒๔๕๗ จึงย้ายมาอยู่ที่บ้านสามเพ็งห่างจากวัดสามชุกราว ๑ กิโลเมตร ในขณะนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่ามีผู้คนอาศัยอยู่น้อย
เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการ ภายหลังจึงแยกพื้นที่ควบรวมใหม่เกิดเป็น “อำเภอเดิมบาง” ในปี พ.ศ.๒๔๕๔ ขึ้นอีกอำเภอหนึ่ง และเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗ จึงเปลี่ยนชื่อจาก "อำเภอนางบวช" ซึ่งมีที่ว่าการอำเภออยู่ที่บ้านสามเพ็งเป็น "อำเภอสามชุก" โดยนำชื่อย่านตำบลขนาดใหญ่ด้านใต้ลงมาที่บ้านสามชุกมาเป็นชื่ออำเภอ แล้วนำเอาบ้านนางบวชไปขึ้นกับอำเภอเดิมบางเสีย จึงเติมท้ายชื่ออำเภอเดิมบางเป็น “อำเภอเดิมบางนางบวช” จนถึงปัจจุบัน
เมื่อเปลี่ยนชื่อที่ว่าการทำการอำเภอนางบวชเป็นอำเภอสามชุกใน พ.ศ.๒๔๕๗ เหตุนี้เองที่ “บ้านสามเพ็ง” สถานที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอนางบวชแต่เดิม จึงเรียกใหม่ว่า “สามชุก” หรือ “ตลาดสามชุก” ตามชื่ออำเภอใหม่กันต่อมาตั้งแต่เมื่อเกือบร้อยปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน
ตลาดและเมืองสามชุก
หลังการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล โดยรวมเมืองนครชัยศรี สาครบุรี และสุพรรณบุรี รวมอยู่ในมณฑลนครชัยศรี เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๘ มีที่ทำการมณฑลอยู่ที่เมืองนครชัยศรี ก็ตั้งอำเภอนางบวชในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน บริเวณนี้ถือเป็นบ้านป่าทางเหนือสุดของมณฑลนครชัยศรีก็ว่าได้ จึงได้ชื่อว่าเป็นท้องถิ่นที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุม
ราว พ.ศ.๒๔๕๔ และ พ.ศ.๒๔๕๗ ตามลำดับ จึงมีการปรับปรุงและแยกพื้นที่ออกเป็นสองอำเภอ คืออำเภอเดิมบางนางบวชและอำเภอสามชุก และเลือกที่ตั้งที่ว่าการอำเภออย่างเป็นทางการที่ย่านสามเพ็ง ซึ่งเคยป่าในสมัยเมื่อสุนทรภู่มาถึง (พ.ศ.๒๓๗๔) และมีพื้นที่กว้างขวางไม่มีชุมชนใหญ่เหมือนเช่นแถบทางใต้น้ำลงมาคือ บ้านสามชุก และเหนือน้ำขึ้นไปคือ บ้านทึง ที่มีวัดและบ้านตั้งอยู่ริมแม่น้ำและเป็นชุมชนใหญ่มาแต่โบราณ
การเลือกตำแหน่งพื้นที่สร้างที่ว่าการอำเภอในชุมชนนั้นสะดวกสำหรับคนที่เดินทางมาติดต่อราชการ เพราะอยู่กึ่งกลางระหว่างปากน้ำหลายแห่งเช่น คลองวังลึกหรือบางขวาก คลองโป่งแดงและคลองกระเสียว รวมทั้งริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณ การติดตลาดก็ยิ่งทำให้ได้รับความสะดวกทั้งฝ่ายชาวบ้านและผู้ค้าขาย นอกจากนี้ยังหน่วยงานราชการอื่น ๆ อีกหลายแห่ง เช่น สถานีตำรวจภูธร สุขศาลา สำนักงานที่ดิน ห้องสมุดประชาชน สหกรณ์ไม่จำกัดสินใช้ ที่ทำการไปรษณีย์และโรงเรียนประจำอำเภอที่ตั้งขึ้นในเวลาต่อมา ทำให้ผู้คนจากทั่วสารทิศ
หลังจากสร้างที่ทำการอำเภอนางบวชที่สามเพ็ง น่าจะเริ่มจากเรือนแพค้าขายริมน้ำและท่าเทียบเรือ ซึ่งคนสามชุกเรียกกันว่าแพ คนที่เป็นเจ้าของที่ริมน้ำจะทำท่าเรือและเก็บค่าที่เพื่อเทียบเรือขนส่งสินค้าหรือค้าขาย แพใช้ค้าขายและเป็นบ้านพักอาศัยริมตลิ่งเป็นแพชั้นเดียว หลังจากนั้นคนแพจึงขึ้นบกมาปลูกบ้านบนที่ดินของอำเภอซึ่งเป็นที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ในปัจจุบัน และยังคงค้าขายเช่นเดิม ช่วงแรก ๆ ปลูกบ้านเป็นหย่อมๆ ไม่เรียงติดกันเป็นซอย ต่อมาจึงเริ่มปลูกเป็นห้องแถวค้าขายหันหน้าชนกันจนกลายเป็นซอยแบ่งเป็นแถว ๆ และปลูกติดต่อกันไปตามธรรมชาติ สามเพ็งจึงกลายเป็นตลาดที่มีการซื้อขายสินค้าแทนย่านท่าเรือรอแลกเปลี่ยนสินค้าแบบเดิมที่บ้านสามชุก

ร้านค้าเมื่อสามชุกกลายเป็นตลาดร้อยปีเพื่อการท่องเที่ยว
เมื่อย้ายมาอยู่กับที่ว่าการอำเภอใหม่ ตลาดริมน้ำมักสร้างเป็นเรือนพื้นห้องแถวติดดิน ไม่ยกพื้นสูงกันน้ำท่วม เพราะสามชุกอยู่เหนือขึ้นมาตามลำน้ำ แม้ตลาดริมแม่น้ำบางแห่ง จะยกพื้นห้องแถวสูงวกว่าพื้นดินก็ตาม เรือนห้องแถวเช่นนี้พบได้ทั่วไปในบริเวณตลาดริมแม่น้ำ ตั้งแต่แถบนครชัยศรีขึ้นไปจนถึงสองพี่น้องและศรีประจันต์ เรือนค้าขายนี้แตกต่างไปจากรูปแบบบ้านเรือนของคนไทยในภาคกลาง เพราะสร้างเป็นแถวติดกัน ชั้นล่างไว้ข้าวของที่นำมาขาย ส่วนชั้นบนเปิดเป็นห้องโล่ง ๆ ไม่กั้นห้องกั้นฝา แยกสัดส่วนโดยใช้ม่านกั้นและหลับนอนกันรวม ๆ ในห้องแถวนั้น ส่วนที่อาบน้ำหรือห้องสุขาในบางแห่งจะสร้างรวมไว้อีกที่หนึ่งและบางแห่งก็ให้ไปใช้ธรรมชาตินอกพื้นที่หรือใช้น้ำอาบในแม่น้ำลำคลอง
จากนั้นตลาดจึงขยายไปพร้อม ๆ กับการโยกย้ายของผู้ที่เข้ามาทำการค้า เพราะเป็นสถานที่ราชการใหม่ที่มีพื้นที่กว้างขวาง นอกจากจะมีตลาด ก็มีท่าน้ำรับส่งสินค้าทางเรือมากมายทั้งท่าข้าว ท่าถ่าน โรงสี โรงเลื่อย เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว ชาวนารอบ ๆ ทั้งใกล้และไกลจะเดินทางเข้ามาซื้อสินค้าจำเป็น
ตลาดสามชุกเมื่อกว่าร้อยปีที่ผ่านมา เป็นตลาดเรือนแถวไม้ริมแม่น้ำสุพรรณที่ไม่ใช่ตลาดน้ำแบบตลาดนัดของชาวบ้านสวนตามลุ่มน้ำลำคลองใกล้ชายฝั่งทะเล ที่นำของสวนหรือเข้าของสินค้ามาขายเฉพาะช่วงเช้าตรู่หรือติดตลาดเฉพาะกิจชั่วคราว แต่เป็นการปลูกเรือนแถวเพื่ออยู่อาศัยถาวรพร้อม ๆ กับขายของไปด้วย ลักษณะตลาดประเภทนี้คือ ตลาดที่เกิดขึ้นริมแม่น้ำลำคลองที่ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ราวต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อมีคนจีนขยับขยายเข้ามาทำมาหากินทางบ้านเมือง ภายในแผ่นดินเพิ่มขึ้น และโดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา วิธีการเดินทางไปมาระหว่างหัวเมืองและชุมชนห่างไกลใช้เส้นทางแม่น้ำลำคลองและพัฒนาการเดินเรือเมล์ขนส่งทั้งสินค้าและผู้คนมากขึ้น รวมทั้งการปรังปรุงระบบราชการ เกิดชุมชนขนาดใหญ่เป็นอำเภอต่าง ๆ ขึ้นหลายแห่ง ตลาดริมแม่น้ำจึงเกิดมากขึ้นตามชุมชนที่ก่อร่างสร้างตัวจากตลาดเล็ก ๆ จนขยายกลายเป็นตลาดที่มีโครงสร้างระดับเมือง
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดตลาดและเมืองไปพร้อม ๆ กันในบริเวณลุ่มน้ำต่าง ๆ ในภาคกลางตอนล่าง ที่มีรูปแบบเดียวกัน คือ เป็นเรือนแถวไม้ ตั้งอยู่ริมน้ำ ใช้การขนส่งสินค้าและการคมนาคมเป็นหัวใจของการค้าขาย โดยเชื่อมโยงสินค้าจากเมืองหลวงหรือแหล่งผลิตระยะทางไกลกับสินค้าจำพวกข้าว น้ำตาล หรือถ่าน ของชาวบ้านรอบนอกที่เป็นชาวนา โดยผู้ประกอบการค้าส่วนใหญ่คือคนจีนหรือลูกจีนครึ่งไทยท้องถิ่นที่ทั้งอยู่อาศัยและค้าขายในตลาด
โครงสร้างพื้นที่ของตลาดสามชุกถือว่ามีรูปแบบของตลาดริมแม่น้ำที่ถูกสร้างให้เป็นเมืองในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ อย่างชัดเจน หลังจากปลูกสร้างบ้านเพื่อค้าขายเพียงไม่กี่หลังก็ขยับขยายกลายเป็นเรือนแถวไม้ปลูกหันหน้าชนกัน โดยมีซอยใหญ่ ๆ เป็นแนวขวางแม่น้ำราว ๆ ๔ ซอย มีซอยย่อยที่เคยเป็นท่าถ่าน ท่าข้าวจนกลายเป็นโกดังเก็บสินค้าเมื่อท่าข้าวและถ่านเริ่มมีน้อยลง ด้านบนและด้านติดแม่น้ำมีเรือนแถวไปตามถนนที่ขนานไปตามแนวยาวของแม่น้ำในพื้นที่ประมาณ ๑๐ ไร่
รอบนอกมีสถานที่กว้างขวางสำหรับจอดเกวียนที่รับได้เป็นร้อย ๆ เล่ม ซึ่งเป็นเกวียนบรรทุกข้าวและถ่านของชาวบ้านที่อยู่รอบนอก นำมาขายกับพ่อค้าทางเรือที่ท่าต่าง ๆ พื้นที่สาธารณะรอบ ๆ เหล่านี้เดิมเป็นหนองน้ำหรือร่องน้ำที่ถูกถมและออกโฉนดจนกลายเป็นทรัพย์สินส่วนตัว การเชื่อมโยงกับหมู่บ้านรอบนอกก็มีทางเกวียนโบราณใช้เดินทางขนส่งผลิตผลพวกข้าวและถ่านจากชุมชนต่าง ๆ ที่อยู่ไกลฝั่งแม่น้ำสุพรรณทางตะวันตกมาลงเรือที่ตลาดสามชุก
ทางฝั่งตรงข้ามทิศตะวันออกของแม่น้ำไม่มีตลาดย่านการค้าในยุคที่ยังไม่มีการสร้างถนน เป็นสวนผักของคนจีนปลูกทั้งผักจีนและพืชผักตามฤดูกาลเป็นแนวยาวตลอดริมน้ำไปจนจรดวัดสามชุก เช่น คะน้า กวางตุ้ง กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักกาดเขียว นอกจากนั้น ยังมีสวนผักที่ปลูกริมตลิ่ง เช่น ข้าวโพด ถั่วลิสง มะเขือเทศ หอมใหญ่ มันเทศ มันสำปะหลัง ตลอดจนไม้ดอก เช่น กุหลาบ มะลิ ชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ ตลาดสามชุกซึ่งมักเป็นคนไทยท้องถิ่นหลายบ้านซึ่งมีพื้นที่ก็ปลูกทั้งไม้ผล เช่น มะม่วง มะปราง ชมพู่ ฝรั่ง กระท้อน และพืชผักสวนครัวต่าง ๆ จนสามารถนำมาขายที่ตลาดในช่วงฤดูต่าง ๆ ทำให้ตลาดสามชุกมีทั้งผักสดผลไม้ต่าง ๆ บริโภคโดยอุดมสมบูรณ์
ตลาดสามชุกในช่วงทศวรรษ ๒๔๖๐ เป็นต้นมา เป็นแหล่งรวมสินค้าทางน้ำและทางบกจากเหนือใต้มากมาย คนท้องถิ่นใกล้เคียงเข้ามาแลกเปลี่ยนค้าขายได้สะดวกกับสินค้าที่มาจากดอนเจดีย์ ด่านช้าง หันคา ศรีประจันต์จนถึงเขตบ่อพลอย ทำให้ตลาดสามชุกกลายเป็นย่านการค้าที่มีผู้คนรู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะตลาดประจำอำเภอที่อุดมไปด้วยสินค้ามากมายหลายชนิด ทั้งสินค้าประจำท้องถิ่น สินค้าจากต่างถิ่นและจากกรุงเทพมหานคร ผู้คนมากมายกลายเป็นเมืองการค้าที่นับยิ่งเจริญขึ้นเรื่อย ๆ
กลุ่มชาวจีนคือผู้มีบทบาทสำคัญทำให้เมืองริมแม่น้ำกลายเป็นเมืองค้าขายในช่วงรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา การอพยพของชาวจีนเข้าสู่ตลาดสามชุก ประกอบด้วยคนหลายกลุ่มอาชีพ หลายประสบการณ์ ต่อมาได้ขยายเครือข่ายและเครือญาติไปตามจังหวัดต่าง ๆ ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำแม่กลอง เช่น พระนครศรีอยุธยา นครปฐม นครสวรรค์ ราชบุรี และกรุงเทพฯ เป็นต้น
นอกจากจะเป็นศูนย์ราชการและก่อสร้างตลาดซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางรองรับการค้าข้าว การค้าถ่านที่นำมาจากหมู่บ้านไกล ๆ ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณ ทางหนองหญ้าไซ จนถึงด่านช้างแล้ว การเป็นศูนย์รวมการคมนาคมทางน้ำขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านทั้งฝั่งดังกล่าวและชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงจะลงเรือที่ท่าตลาดสามชุก ดังนั้น หัวใจของตลาดสามชุกคือ การค้าข้าวและถ่าน
บริเวณรอบ ๆ ตลาดสามชุกเป็นพื้นที่ซึ่งเหมาะต่อการเพาะปลูกข้าว ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ข้าวยังคงเป็นสินค้าหลักเป็นที่ต้องการสูงของตลาดทั้งในและต่างประเทศ รัฐบาลทำโครงการชลประทานเพื่อการเพาะปลูกเป็นโครงข่ายจำนวนมากและใช้เวลาอย่างยาวนาน เป็นสาเหตุหนึ่งของการสนับสนุนและส่งเสริมให้ราษฎรเข้าไปบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูกข้าว การปลูกข้าวเพื่อค้าขายในบริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีนจึงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนทำให้โรงสีตลอดจนตลาดหลายแห่งที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีนขยายตัวรองรับตลาดค้าข้าวและการขนส่งทางน้ำตลอดลำน้ำสุพรรณหรือนครชัยศรี เช่น ตลาดสามชุก ตลาดเก้าห้อง ตลาดบางลี่ ตลาดศรีประจันต์ ตลาดท่าพี่เลี้ยงในเมืองสุพรรณบุรี ขึ้นเหนือจากสามชุกไปหันคา ท่าโบสถ์ สามง่าม ตลาดวัดสิงห์ ตลาดปากคลองมะขามเฒ่าในจังหวัดชัยนาท ล่องใต้จากสามชุกตลาดบางหลวง ตลาดห้วยพลู ตลาดงิ้วราย ตลาดองค์พระปฐม ตลาดใหม่ในจังหวัดนครปฐม เป็นต้น
ที่ตลาดสามชุกมีการสร้างโรงสีขนาดใหญ่ก็เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ โรงสีบน โรงสีกลางและโรงสีล่าง นับเป็นแหล่งซื้อขายข้าวขนาดใหญ่ มีชาวนาในท้องถิ่นและละแวกใกล้เคียงนำข้าวเปลือกบรรทุกใส่เกวียนมาค้าขายให้พ่อค้าแม่ค้าที่มารอรับซื้ออยู่ และมีที่พักเกวียนอยู่บริเวณหลังอำเภอสามชุกกว้างใหญ่ทีเดียว แล้วนำไปขายให้โรงสี หรือท่าข้าวอีกทอดหนึ่งหรือชาวนาไปขายให้โรงสีโดยตรงหรือนำไปขายที่โรงสีโดยตรง
ในอดีตอำเภอสามชุกมีป่าไม้สมบูรณ์หนาแน่น โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตกติดกับเทือกเขา พ.ศ.๒๔๗๕ ได้เกิดสัมปทานป่าไม้ขึ้นทั่วราชอาณาจักร มีการขออนุญาตทำไม้เพื่อแปรรูปและเผาถ่านเพิ่มมากขึ้น และในช่วงทศวรรษ ๒๔๘๐ เป็นช่วงที่เห็นได้ชัดว่ามีการบุกเบิกพื้นที่ป่าเบญจพรรณในเขตตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณ ชาวบ้านเริ่มย้ายถิ่นฐานจากแนวลำน้ำเดิมคือลำน้ำท่าระกำจากบ้านวังหว้า บ้านลาดสิงห์ ไปจับจองที่ดินถางป่าทำไร่กันหลายปี ผลที่ได้คือการนำกิ่งไม้ ต้นไม้ที่บุกเบิกไว้แล้วมาเผาทำถ่านไปขายที่ท่าเรือริมแม่น้ำสุพรรณที่ตลาดสามชุก ซึ่งเป็นท่าขายถ่านใหญ่ ที่สามชุกมี “ท่าถ่าน” อยู่ริมน้ำหลายท่า ทำการค้ากันอย่างเป็นลำเป็นสัน เรือโยงบรรทุกสินค้า มีข้าวและถ่านเป็นหลัก นับเวลาแล้วนานหลายสิบปีที่การค้าถ่านเจริญรุ่งเรืองอยู่ในย่านนี้
“ถ่าน” นับเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการในยุคนั้นทั้งในระดับครอบครัวและโรงงาน บริเวณตลาดสามชุก สร้าง “ท่าถ่าน” เพื่อรองรับการซื้อขายเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ท่าถ่านคือสถานที่เชื่อมโยงให้คนขายถ่านที่บรรทุกมากับเกวียนและคนซื้อถ่านที่เป็นชาวเรือจอดที่ท่าเรือมาพบและซื้อขายกันโดยตรง เจ้าของท่าเพียงแต่คิดค่าที่หรือค่าเช่าสถานที่สำหรับนำถ่านจากเกวียนขึ้นลง โดยคิดส่วนแบ่งจากยอดขาย และจะมีคนซึ่งคล้ายนายหน้าไปชักชวนชาวบ้านที่นำเกวียนมาขายถ่านที่ท่าถ่านแต่ละแห่ง
สู่ความร่วงโรย

ห้องแถวในตลาดสามชุก วันที่ร้างลา แทบไม่มีการค้าขาย
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ.๒๔๘๘) จนถึงทศวรรษที่ ๒๕๒๐ ช่วงเวลาราว ๆ ๓๐ ปีที่ถือว่าเป็นยุคทองของตลาดสามชุก เป็นผลมาจากการเป็นตลาดใหญ่ที่อยู่ด้านเหนือสุดของจังหวัดสุพรรณบุรีและเป็นจุดศูนย์กลางที่ผู้คนที่เป็นชาวบ้าน ชาวนา นำผลผลิตมาขายทั้งที่เป็นข้าวและถ่าน และพร้อมจะใช้เงินทองเพื่อซื้อสิ่งของใช้ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้า เครื่องมือทางการเกษตร อาหาร จากตลาดที่ดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาตั้งหลักฐานทำการค้า
ช่วงราว พ.ศ.๒๕๑๖ เป็นต้นมา ดัชนีชี้วัดความรุ่งเรืองการเงินเดินสะพัดเป็นผลมาจากกลไกการซื้อขายซึ่งมีทุกระดับ ตั้งแต่ระดับการซื้อขายจากชาวไร่ ชาวนา การซื้อขายของพ่อค้าคนกลางไปยังโรงงานและโรงสี ดูได้จากจำนวนของธนาคาร ปรากฏว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีธนาคารเปิดทำการในตลาดสามชุกจำนวน ๗ แห่ง คือ ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารเอเชีย ธนาคารศรีนคร ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แสดงว่ามีปริมาณเงินหมุนเวียนจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งธุรกิจการค้าขนาดเล็ก ซื้อมาขายไป ธุรกิจขนาดกลาง ร้านค้าที่มีเครือข่ายในชุมชน ธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีทั้งธุรกิจการเกษตรและธุรกิจด้านอุตสาหกรรม เห็นได้ว่าสามชุกไม่ได้เป็นเพียงตลาดซื้อขายจับจ่ายใช้สอยของชุมชนย่านนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของธุรกิจภาคการเกษตรที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง กำลังแรงงานที่ต้องใช้ในภาคการเกษตรจำนวนมากอีกด้วย

กิจกรรมที่คณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุดทำสม่ำเสมอเพื่อสร้างความรู้ในเรื่องท้องถิ่นให้เยาวชน
พอถึงช่วงราวปี พ.ศ.๒๕๒๗-๒๕๒๘ เริ่มมีการตัดถนนสายชัยนาท-สุพรรณบุรี-ตลิ่งชัน นับเป็นจุดเปลี่ยนอย่างจริงจัง หลังจากการเดินทางทางเรือหมดความนิยมและสิ้นสุดลงเมื่อราว พ.ศ.๒๕๒๐ แม้ก่อนหน้านั้นจะมีเรือบรรทุกข้าวอยู่บ้าง แต่ก็หายไปจากลำน้ำหมดแล้ว
ในยุคสมัยที่ถนนทุกสายมุ่งสู่การค้าแบบใหม่ ร้านค้าทันสมัยมีสินค้าให้เลือกมากมายหรือห้างสรรพสินค้าที่มีทุกอย่างภายในสถานที่เดียว การโหมประชาสัมพันธ์แก่ผู้บริโภคจนสร้างค่านิยมพื้นฐานให้คนในสังคมเปลี่ยนรูปแบบการใช้จ่ายจากตลาดในท้องถิ่นไปสู่ตลาดของกลุ่มทุนที่ไม่ทราบที่มาที่ไป ทั้งนี้เป็นนโยบายการค้าเสรีที่รัฐบาลอนุญาตและกลายเป็นตัวเร่งให้ผู้ค้ารายย่อยต้องปิดตัวกิจการค้าแบบครอบครัวของตนเองไปกันทั้งประเทศไม่เฉพาะแต่ที่ตลาดสามชุกเท่านั้น
การล้มลงของตลาดสามชุกนำไปสู่เหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย ช่วงปี พ.ศ.๒๕๔๒ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังซึ่งดูแลที่ราชพัสดุบริเวณซอย ๑ และซอย ๒ มีโครงการปรับปรุงการปลูกสร้างอาคารบนที่ดินบริเวณดังกล่าว โดยจะรื้อห้องแถวเรือนไม้เก่าที่มีอยู่เดิมและสร้างเป็นตึกอาคารพาณิชย์เพื่อพัฒนาธุรกิจและศักยภาพที่ราชพัสดุ
จึงเกิดการรวมตัวของคนในตลาดสามชุกร่วมพัฒนาและปรับปรุงตลาดของตนจนกลายเป็นตลาดสามชุกที่ฟื้นการค้าขายเพื่อการท่องเที่ยวและการค้าในท้องถิ่นได้ในระดับหนึ่ง โดยการดำเนินงานของอาสาสมัครที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุกเชิงอนุรักษ์
หลังจากสร้างความเข้าใจและใช้ความพยายามในการทำงานเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูร่วมกันหลายปี ตลาดเรือนแถวไม้เก่าซอมซ่อที่มีแนวคิดที่จะรื้อทิ้งไป ก็กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง จนถึงราว พ.ศ. ๒๕๕๐ กรมธนารักษ์จังหวัดสุพรรณบุรีได้ทำหนังสือหารือไปยังกรมศิลปากรเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับคุณค่าทางโบราณคดีของอาคารสิ่งปลูกสร้างในตลาดสามชุก กรมศิลปากรให้ความเห็นว่า อาคารภายในตลาดสามชุกจัดเป็นประเภทโบราณสถานประเภท “ย่านประวัติศาสตร์” ที่มีความสำคัญในด้านประวัติศาสตร์ชุมชนและรูปแบบอาคารพื้นถิ่น จึงสมควรอนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประชาคมชาวสามชุกจึงร่วมมือสร้าง ฟื้น และพัฒนาตลาดสามชุกเพื่ออนุรักษ์บ้านเรือนไม้เก่าแก่และฟื้นตลาดเพื่อการท่องเที่ยวจนมีชื่อเสียงโด่งดัง และกิจการค้าขายรุ่งเรืองต่อมาจนทุกวันนี้
Commentaires