top of page

หกสิบปีของในหลวงกับร้อยปีพุทธทาส

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 2 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 2 มี.ค. 2559


สังคมไทยในวันนี้วิกฤติจนน่าเป็นห่วง เพราะกำลังมาถึงทางตันที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจแบบรุนแรงอย่างที่เคยเกิดกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา และจีน เมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้วมา



อาจเป็นเพราะประเทศไทยไม่เคยเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกมาก่อนก็ได้ที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคนปรับตัวตามไม่ทันเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน แต่นั่นก็หาได้หมายความว่าจะรอดพ้นอิทธิพลของตะวันตกไม่ เพราะได้ตกเป็นทาสทางความคิดและสติปัญญาแบบตะวันตกมาโดยตลอด วิกฤติการทางการเมืองและสังคมที่ผ่านมาในสองสามเดือนนี้คือสิ่งที่กำลังบอกว่าเวรและเวลาได้มาถึงแล้ว


แต่ก่อนทั้งไทย ลาว เขมรและเวียดนาม ต่างก็มีโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจคล้ายคลึงกัน คือเป็น สังคมชาวนา [Peasant Society] ที่มีโครงสร้างสองโครงสร้างซ้อนกันอยู่ คือ โครงสร้างแบบเสมอภาคของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร กับโครงสร้างศักดินาของคนเมืองที่มีลักษณะเหลื่อมล้ำ แต่ว่ามีลักษณะเกื้อกูลกับโครงสร้างแรกด้วยระบบอุปถัมภ์ ทำให้สังคมชาวนาไม่อยู่อย่างอิสระหากเป็นส่วนหนึ่ง [Part Society] ของสังคมใหญ่เสมอมา


เมื่อตกเป็นเมืองขึ้นและอาณานิคมของตะวันตก โครงสร้างศักดินาที่สัมพันธ์กับสถาบันศาสนาและกษัตริย์ก็ถูกแทนที่โดย โครงสร้างโลกวิสัย [Secularized] ของเจ้าของอาณานิคมชาวตะวันตก อันเป็นโครงสร้างทางวัตถุนิยมที่เน้นความมีสิทธิและชอบธรรมของปัจเจกบุคคลในระบบเศรษฐกิจแบบเสรีทุนนิยม ซึ่งเมื่อพัฒนาจนเป็นอุดมการณ์แล้วมีชื่อเรียกว่า ประชาธิปไตย


โครงสร้างนี้มีลักษณะครอบงำและสืบเนื่อง แม้ว่าบ้านเมืองที่เคยเป็นอาณานิคมจะเป็นอิสระแล้วก็ตาม ได้ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนในสังคมชาวนาจนทนไม่ได้ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติที่ใช้ความรุนแรง เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่ไม่เหมาะสมนี้มาเป็นโครงสร้างสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์


สังคมไทยยังไม่เคยผ่านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างแบบนี้ เพราะยังเข้ากันได้กับสังคมศักดินาที่ค้ำจุนโดยสถาบันศาสนาและกษัตริย์ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมาก็ตาม ทั้งโครงสร้างเสมอภาคของสังคมชาวนากับโครงสร้างศักดินาของคนเมืองและคนชั้นปกครองก็ยังคงดำรงอยู่


แต่นับตั้งแต่สมัย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา การผันเงินสู่ชนบทเพื่อช่วยเหลือประชาชนในด้านเศรษฐกิจได้ทำลายโครงสร้างแบบเสมอภาคของสังคมชาวนาที่เคยอยู่ได้ด้วยตนเองแบบเกื้อกูลซึ่งกันและกันในทางเกษตรกรรม มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพิงสังคมเมืองที่บรรดาคนชั้นบริหารที่เคยเป็น ขุนนาง ข้าราชการที่เคยมีคุณธรรมเพี้ยนมาเป็นผู้แสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ให้กับตนเองและพรรคพวก


สังคมเสรีประชาธิปไตยตั้งแต่สมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นต้นมา เป็นระยะเวลาที่แลเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโครงสร้างของคนชั้นศักดินา สมัยศักดินาราชาธิปไตย มักมีคำพังเพยแบบแดกดันว่า ยศช้างขุนนางพระ เพราะเห็นแก่ยศศักดิ์เป็นใหญ่ แต่มาสมัยนี้กลายเป็น ยศพระขุนนางพ่อค้าแทน


ขุนนางพระในสมัยนี้มั่งคั่งร่ำรวยกว่าแต่ก่อน ซึ่งแลเห็นง่าย ๆ จากบรรดาอาคารในสังฆาวาสและพาหนะขับขี่ราคาแพง ๆ อาจรวมทั้งบัญชีเงินฝากในธนาคารด้วย ที่น่าสงสารก็คือ ขุนนางช้างไม่มี เพราะนอกจากจะใกล้สูญพันธ์แล้วยังถูกนำไปใช้ลากซุง ร่อนเร่ขอทาน และแสดงละครสัตว์ในมหกรรมแสงเสียงของการท่องเที่ยว


แต่ขุนนางใหม่ขึ้นมาแทนคือ ขุนนางพ่อค้านั้นได้พัฒนาตัวเองจากการที่เคยอยู่ใต้ใบบุญและพึ่งพิงขุนนางเดิมที่มีอำนาจทางฝ่ายบุ๋นและบู๊ มาเป็นเจ้าพระเดช นายพระคุณแทน พวกขุนนางเหล่านี้คือกลุ่มคนที่เป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง ไม่มีชาติแต่ข้ามชาติและพร้อมที่จะขายชาติ บุคคลเหล่านี้ไม่มีอุดมการณ์ที่เป็นประชาธิปไตย แต่อาศัยกระบวนการประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองและพรรคพวกในการที่จะเข้ามาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน


บุคคลเหล่านี้ทั้งกายและใจเน้นความมีตัวตนและการเป็นปัจเจกบุคคลนิยมตามลัทธิเศรษฐกิจแบบเสรีทุนนิยม ไม่มีความดีและความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์เป็นเพียงแต่ทรัพยากรที่ตนสามารถกำหนดและบังคับใช้ได้ บุคคลเหล่านี้คือ ผู้ที่ใช้ความรู้ทางวิทยาการและเทคโนโลยีสร้างสิ่งที่เป็นสมองกลและสิ่งเสมือนจริง [Virtual Reality] ขึ้นมอมเมาเยาวชนและคนรุ่นใหม่ให้กลายพันธุ์จนเป็นเดรัจฉานไม่เป็นมนุษย์ เพราะความเป็นมนุษย์อยู่ที่การเป็นสัตว์โลกที่เป็นสัตว์สังคมหรือสัตว์หมู่ที่อยู่ร่วมกันได้ ด้วยความเชื่อทางศาสนาและจริยธรรมที่นำไปสู่การเป็นคนมีศีลธรรมของสังคม


ด้วยประการที่กล่าวมานี้ ก็จะทำให้เห็นว่าสังคมไทยวันนี้กำลังอยู่ภายใต้อิทธิพลและการครอบงำของระบบเศรษฐกิจข้ามชาติ ทุนนิยมเสรีที่นับเนื่องเป็นโครงสร้างของเดรัจฉานโดยแท้ กำลังอยู่ในสภาพที่ตกผลึกจนยากที่จะแก้ไขได้ คนรากหญ้ากลายเป็นคนกินหญ้า คนชั้นกลางที่พอมีสติปัญญาก็กลายเป็นคนมักได้และสายตาสั้น


เพราะฉะนั้น การโหยหาของปัญญาชนที่รักประชาธิปไตยเป็นอุดมการณ์ในเรื่องการแก้แต่เพียงรัฐธรรมนูญอย่างเดียวนั้นไม่น่าจะทำอะไรได้ เพราะอมนุษย์เหล่านี้รู้จักที่จะจ้างบรรดามือปืนทางกฎหมายมาแก้ต่างแก้ไขได้ไม่ยาก


ปัญหาพื้นฐานที่เป็นอันตรายของชาติบ้านเมืองในทุกวันนี้ก็คือ การแบ่งทรัพยากรของผู้คนในแผ่นดินที่ทำให้ภาคใต้เลือดท่วม และภาคเหนือน้ำท่วมอย่างที่เห็นกันอยู่ รวมทั้งภูมิภาคอื่น ๆ ด้วยที่กำลังจะตามมาด้วยความรุนแรงอีกหลายอย่าง


แต่ท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงและมืดมน ก็ยังมีแสงสว่างอยู่บ้างที่อาจเตือนสติและนำทางให้แก่ปัญญาชนทั่วไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงเป็นที่พึ่งของคนทั้งชาติในที่สุด คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงพระราชกรณียกิจที่ทรงทำและทะนุบำรุงการเกษตรอันเป็นเศรษฐกิจพื้นฐานของแผ่นดิน โดยการเสด็จออกไปเยี่ยมเยียนราษฎร ทรงสอนและสนับสนุนให้ประชาชนมีที่ดินและแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก รวมทั้งการนำเอาอุตสาหกรรมที่เหมาะสมเข้ามาเชื่อมโยง จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ทรงชี้หนทางการอยู่รอดด้วยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่สามารถต้านทานหรือต่อรองกับเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแบบเสรีทุนนิยมได้


ความสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงนั้นอยู่ที่ต้องเป็นคนพอเพียงทั้งกายและใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นบุคคลที่พอเพียง เหตุที่เศรษฐกิจพอเพียงเคลื่อนไปได้ช้าก็เพราะคนเป็นจำนวนมากในสังคมไม่เป็นคนพอเพียงนั่นเอง โดยเฉพาะบรรดาขุนนางพ่อค้าที่เป็นใหญ่เป็นโตในสังคม


เลยทำให้ต้องคิดถึง ท่านพุทธทาส ที่ได้ให้ ความหมายของคำว่าพอเพียงว่าเป็นสิ่งที่ไม่เกินและไม่ขาด สังคมไทยควรเป็นธรรมิกสังคมนิยม คือเอาการเป็นอยู่รวมกันอย่างพอเพียงไม่เกินไม่ขาดเป็นอุดมการณ์ แต่การจะบรรลุถึงได้นั้นต้องมีธรรมะ ท่านพุทธทาสสิ้นไปนานแล้วแต่สิ่งที่ท่านเทศน์ ท่านสอนหาสิ้นไปไม่ โดยเฉพาะการแสดงธรรมว่า ถ้าไม่มีธรรมะ การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยก็เป็นการเลือกตั้งที่โกง ผู้แทนที่เลือกมาก็โกง รัฐสภาที่เกิดขึ้นก็โกง และในที่สุดก็ได้รัฐบาลโกง และสำหรับคนที่บูชาประชาธิปไตยจนตกขอบ ท่านก็เตือนสติไว้ว่า เสียงประชาชนไม่ใช่เสียงสวรรค์เสมอไป อาจเป็นเสียงนรกก็ได้ ถ้าหากไร้ศีลธรรม และการเมืองที่ดีก็คือ การมีศีลธรรมนั่นเอง รวมทั้งคนที่ยึดมั่นในศาสนาและพิธีกรรมตามรูปแบบ ก็ต้องเข้าใจว่าการเข้าถึงธรรมะที่แท้จริงนั้นก็คือการเห็นพระพุทธเจ้า คงไม่ใช่แต่เพียงการกราบไหว้บูชาพระพุทธรูป สร้างพระพุทธรูปใหญ่น้อยเป็นสำคัญ เพราะพระจักรพรรดิราชและพระยามารก็มีรูปลักษณะได้เช่นเดียวกับพระพุทธองค์


ถ้ามีสติและทบทวนให้ดีสังคมไทยอาจรังสรรค์ธรรมิกสังคมนิยมตามแนวคิดของท่านพุทธทาสโดยไม่ยาก เพราะยังมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทัดดินต่างปิ่นเกล้า เป็นพระธรรมิกราชอยู่ แต่การเข้าถึงพระองค์นั้นคงไม่ใช่อยู่ที่การทำอะไรใหญ่โตอย่างสิ้นเปลืองจนเกินความพอเพียง


การเป็นบุคคลที่มีความพอเพียงทั้งกายและใจต่างหากที่จะนำไปสู่การแก้ไขในสิ่งที่ไม่มีดุลยภาพของสังคมและบ้านเมืองในขณะนี้ได้


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:




Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page