เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2539
เปลือกหอยทะเล : เครื่องประดับและสิ่งของแลกเปลี่ยนจากชุมชนชายฝั่ง
ในพื้นที่ประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปลือกหอยทะเลเป็นวัสดุที่ถูกใช้นำมาทำเป็นเครื่องประดับหรืออาจจะใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในช่วงยุคก่อนเหล็ก เรื่อยมาจนถึงยุคเหล็ก และหมดความนิยมไปเมื่อเข้าสู่สมัยทวารวดี เปลือกหอยทะเลดังกล่าว ได้แก่ เปลือกหอยมือเสือ เปลือกหอยมุก เปลือกหอยสังข์ และเปลือกหอยเบี้ย

หอยเบี้ยและหินอ่อนที่แกะเป็นรูปหอยเบี้ยใช้แทนเงินตรา พบที่เมือง Shang-Zhou
อายุราว ๑,๔๐๐- ๙๐๐ BC.
แหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ เราพบเครื่องประดับที่ทำจากหอยในหลุมฝังศพหลาย ๆ ที่ เช่นเปลือกหอยแครงและหอยขมเจาะรูจากการขุดค้นที่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนที่ท่าแค จังหวัดลพบุรี พบว่ามีกระบวนการทำเครื่องประดับจากเปลือกหอยทะเล ซึ่งทำจากเปลือกหอยสองชนิด คือ หอยกาบขนาดใหญ่หรือหอยมือเสือในพันธุ์ Tridacna และหอยมุก พันธุ์ Trochus ซึ่งอยู่ในประเภทหอยสองฝา และสร้างแบบจำลองขั้นตอนการผลิตตั้งแต่การตัดออกมาเป็นก้อนสี่เหลี่ยม ขัดฝนให้เป็นแท่งทรงกระบอก เจาะแท่งทรงกระบอกที่กึ่งกลางจากหัวและท้าย โดยอาจจะใช้โลหะหรือไม้ไผ่เป็นสว่าน เลื่อยขอบนอกให้เป็นวงส่วนวงในนำไปใช้ทำลูกปัดหรือต่างหูที่มีขนาดเล็กได้อีก ขัดฝนกำไลเปลือกหอยกับแท่นหินทรายให้เรียบและโค้งมนตามต้องการ ด้วยวิธีการผลิตเช่นนี้ ทำให้เข้าใจว่าน่าจะมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับการผลิตโลหะ [Ciarla, Roberto 1992]
ในแหล่งโบราณคดีโดยเฉพาะในลุ่มลพบุรี ภาคกลางของประเทศไทย พบเครื่องประดับที่ทำจากเปลือกหอยทะเลฝังอยู่ในหลุมศพ โดยเฉพาะหอยมือเสือซึ่งมีขนาดใหญ่ แยกย่อยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้จำนวนมาก จากรายงานการศึกษาทางโบราณคดีโดยการขุดค้นในบริเวณนี้ กล่าวว่ากำไลลูกปัด และต่างหู ที่ทำจากเปลือกหอยทะเลปรากฏตั้งแต่ในช่วงวัฒนธรรมยุคแรกก่อนมีการใช้โลหะ และใช้อยู่ในช่วงวัฒนธรรมยุคที่ มีการผลิตทองแดงระดับอุตสาหกรรมแถบเขาวงพระจันทร์และอยู่ในช่วงยุคสำริดในประเทศไทย ในขณะที่เมื่อเข้าสู่ยุคเหล็กก็ยังมีการใช้เปลือกหอยทะเลอยู่ แต่หลังจากนั้นไม่พบว่ามีการใช้วัสดุจากเปลือกหอยทะเลมาทำลูกปัดหรือกำไลข้อมือ แต่เปลี่ยนวัสดุเป็นหินและแก้วแทน (สุรพล นาถะพินธุ ๒๕๓๙) ทำให้เกิดข้อสังเกตว่า ยุคแรก ๆ ที่ยังไม่ปรากฏการใช้โลหะ เครื่องประดับทำจากเปลือกหอยมือเสือถูกทำขึ้นด้วยวิธีเช่นไร ในเมื่อแบบจำลองการผลิตเครื่องประดับจากเปลือกหอยของ Ciarla คาดว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับการผลิตโลหะ เพราะอาจจะใช้เครื่องมือโลหะแยกย่อยชิ้นส่วนต่าง ๆ ซึ่งควรเป็นวิธีการผลิตที่ง่ายกว่า เช่น การเลื่อยแยกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่จะมีเทคนิคการผลิตที่ไม่ใช้เลื่อยหรือสว่านโลหะ
กำไลเปลือกหอยมือเสือขนาดใหญ่พบเป็นจำนวนมาก สีขาวเนื้อละเอียด แม้จะแข็งแต่เปราะแตกหักง่าย ดังนั้นจังพบว่า กำไลเปลือกหอยมักแตกหักเสียหายและมีไม่ครบชิ้น ในส่วนที่หักจะมีการเจาะรูที่ปลายทั้งสองด้าน เพื่อประกอบเข้าด้วยกันใหม่ ดังนั้นกล่าวได้ว่ากำไลหอยมือเสือหรือหอยทะเลอื่น ๆ เป็นสิ่งของหายากและมีค่า มีการซ่อมและนำมาใช้ใหม่แสดงถึงอายุการใช้งานของแต่ละชิ้นอย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ยังมีการพบกำไลหินที่ศพร่างหนึ่งในแหล่งโบราณคดีบ้านใหม่ชัยมงคล ที่ช่วยยืนยันความสำคัญและคุณค่าของเปลือกหอยทะเล เพราะกำไลหินอ่อนนี้ทำรูปทรงเลียนแบบกำไลเปลือกหอยสังข์ทะเล และเหมือนกับกำไลเปลือกหอยสังข์ทะเลชิ้นหนึ่งที่พบในแหล่งโบราณคดีบ้านพุน้อย
ลูกปัดเปลือกหอยวงกลมแบนขนาดเล็ก ๆ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๐.๔ และ ๐.๖ เซนติเมตร ความหนาราว ๐.๑ เซนติเมตร ความพิเศษของลูกปัดแบบนี้คือ ลูกปัดเล็ก ๆ แต่ละชิ้นจำนวนมากมายมหาศาลนี้มีขนาดเท่ากันและเกือบเท่ากันทั้งสิ้น ใช้เทคนิคการทำลูกปัดจากเปลือกหอยทะเลที่เชื่อว่าเป็นวิธีการสากลที่ใช้กันทั่วโลก ตั้งแต่ยุคหินในอินเดีย ยุคเหล็กในอินเดียใต้ ชาวหมู่เกาะในโอเชียเนีย หรือในไต้หวัน ทำลูกปัดเปลือกไข่นกกระจอกเทศในทะเลทรายคาลาฮารี เรียกกันว่า วิธีการแบบ heishi ซึ่งเป็นชื่อเรียกลูกปัดเปลือกหอยที่พวกอินเดียนใน ซานโต โดมิงโก นิวเม็กซิโก ใช้กัน วิธีการทำคือ ทำเปลือกหอยให้เป็นแผ่นแบนเรียบ แล้วตัดออกเป็นแผ่นวงกลมเล็ก ๆ เจาะรูตรงกลาง หลังจากได้จำนวนมากพอใช้เชือกหนา ๆ ร้อยทั้งหมดไว้ด้วยกัน แล้วนำมาขัดฝนกับแผ่นหินหรือร่องหินในคราวเดียวกัน ก็จะได้ลูกปัดวงกลมที่มีขนาดเดียวกันทั้งหมด [Francis, Peter.Jr. 1990] จากการพบลูกปัดเปลือกหอยขนาดเล็ก ๆ แต่เกือบทั้งหมดมีขนาดเท่ากันในแหล่งโบราณคดีลุ่มลพบุรี - ป่าสัก เทคนิคการทำให้มีขนาดเท่ากันเช่นนี้น่าจะยอมรับได้ว่าใช้วิธีการเดียวกันกับที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากนี้ ยังมีลูกปัดเปลือกหอยขนาดพอ ๆ กับกระดุมที่ใช้กันในสมัยนี้ เส้นผ่าศูนย์กลางมีตั้งแต่ ๑.๐ - ๑.๒ เซนติเมตร ส่วนความหนาไม่เท่ากัน ตั้งแต่ ๑.๕ - ๒.๕ เซนติเมตร วิธีการผลิตอาจจะใช้เช่นเดียวกับเทคนิค heishi และยังมีการทำต่างหูจากเปลือกหอยทะเล ที่มีลักษณะประณีต เช่นต่างหูคู่หนึ่งที่พบในแหล่งโบราณคดีบ้านหนองใหญ่ เป็นแผ่นแบนเรียบ ขอบนอกเป็นรูปวงกลม มีหยักหนึ่งหยัก ขอบในทำขอบเป็นครึ่งวงกลมสวยงาม ซึ่งมีการแตกหักเสียหาย แต่ผู้ขุดพบยืนยันว่ามีการต่อเชื่อม ด้วยตัวประสานจนยึดติดกันแน่นด้วยฝีมือละเอียดอย่างยิ่ง ต่างหูชิ้นนี้ยืนยันสมมุติฐานของการผลิตว่าควรจะใช้เส้นลวดหรือเลื่อยโลหะสำหรับงานที่มีความเปราะบางและมีเส้นสายของรูปทรงที่ละเอียดประณีต และต่างหูขนาดเล็กมีการออกแบบสำหรับใส่ในช่องที่เจาะซึ่งควรมีรูใหญ่ราว ๒.๐ เซนติเมตร รูปร่างเป็นแท่งทรงกลมปลายบานออกเล็กน้อย ความละเมียดละไมของเครื่องประดับชิ้นนี้คือ มีการทำเส้นคาดเส้นเล็ก ๆ ประดับบนแกนต่างหูอยู่ด้วย แน่นอนว่า เปลือกหอยทะเลเป็นวัสดุธรรมชาติที่ไม่อยู่ในท้องถิ่น แต่ถูกนำมาจากแดนไกลบริเวณชายฝั่งทะเลแหล่งโบราณคดีที่โคกพนมดี เป็นชุมชนยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่อยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งทะเลนัก กำหนดอายุอยู่ในช่วง ๒,๐๐๐ BC. - ๑,๕๐๐ BC. มีลูกปัดทำจากเปลือกหอยทะเลรูปทรงคล้ายตัว H [H beads] เหมือนกับที่พบในหลุมขุดค้นในแถบเขาวงพระจันทร์ [Higham 1996 : 258] แสดงถึงการติดต่อระหว่างชุมชนทั้งสองพื้นที่
เปลือกหอยทะเลเป็นสิ่งของที่นำมาใช้ทำเครื่องประดับตกแต่งเพื่อความสวยงาม ทั้งยังบ่งบอกสถานภาพของผู้ครอบครองได้ด้วย ในลุ่มลพบุรี - ป่าสัก และแอ่งอีสานเหนือ ผู้คนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ให้คุณค่าของเปลือกหอยทะเลไว้อย่างสูงยิ่ง หากจะเปรียบเทียบกันแล้ว ก็อาจเทียบเคียงคุณค่าได้ใกล้เคียงกับเครื่องประดับสำริดในรุ่นต่อมา หรือเครื่องประดับทองคำเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสมัยประวัติศาสตร์

หอยเบี้ยที่ขุดค้นพบจากหลุมขุดค้นทางโบราณคดี ย่านที่อยู่อาศัย บ้านยี่สาร
อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
หอยเบี้ย : เงินตราจากท้องทะเล
หอยเบี้ย หรือ cowry เป็นหอยทะเลอยู่ในวงศ์ Cypraeidae พบบริเวณชายฝั่งทะเลน้ำอุ่นในส่วนต่าง ๆ ของโลกโดยเฉพาะในมหาสมุทรอินเดีย มีมากในหมู่เกาะมัลดีฟ และมหาสมุทรแปซิฟิคตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือ รูปทรงสวยงาม ลักษณะเปลือกหนา ด้านบนโป่งโค้ง แบนด้านล่าง ผิวเคลือบมันขึ้นเงาและมีสีสันต่าง ๆ ตามแต่ละชนิด ซึ่งมีอยู่มากกว่า ๒๐๐ ชนิด การนำเอาหอยเบี้ยมาใช้น่าจะเกิดจากรูปทรงความงดงามและผิวที่มีสีสันความมันวาว เป็นสิ่งดึงดูดใจ ทั้งเป็นของหายากที่มาจากแดนไกล จึงกลายเป็นสิ่งของที่มีคุณค่าในตัวเอง กระทั่งในปัจจุบันก็ยังเป็นหอยที่มีผู้สะสมกันมากที่สุด หน้าที่ใช้งานของหอยเบี้ยอาจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแต่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่เราคุ้นเคยเท่านั้น แต่อาจรวมถึงการใช้เป็นเครื่องประดับ เป็นเครื่องลาง หรือทำหน้าที่ทางด้านความเชื่ออื่น ๆ ผสมผสานกันจนยากที่จะแยกแยะ และต้องใช้การพิจารณาจากรายละเอียดในแต่ละสังคมไป
cowry กล่าวกันว่า เป็นคำมาจากภาษา ฮินดีและอูรดู “kauri” สันสกฤต “kaparda” และมีชื่อเรียกอีกมากมายตามที่ต่างๆ เช่นในอาณาจักรโรมันใช้ชื่อที่ให้ความหมายว่า “littel pig” และเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมความอุดมสมบูรณ์ ในภาษาฝรั่งเศสยุคแรกๆ เรียกว่า porcelaine และภาษาอังกฤษเรียกว่า cowry ซึ่งภายหลังก็ใช้เรียกชื่อหอยอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในวงศ์นี้ด้วย [Quiggin : 1979]
หอยเบี้ยขนาดเล็ก ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน [currency] ที่ถูกใช้อย่างกว้างขวางในสังคมดั้งเดิมทั่วโลก ก่อนที่จะมีการนำเอาโลหะเช่นเงิน ทอง หรือ โลหะผสมอื่น ๆ แทนที่ในฐานะเงินตรา ดังนั้นจึงและมีการใช้เป็นเครื่องประดับ เป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะ และเงินตราในการแลกเปลี่ยนสินค้าในหมู่ผู้คนมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงเมื่อมีการแทนที่ด้วยเหรียญโลหะและธนบัตร เริ่มจากอินเดีย ได้แพร่ไปสู่อัฟกานิสถาน ไปสู่เปอร์เซีย แล้วจึงเข้าสู่ยุโรป ในแถบรอบทะเลสาบแคสเปียน เยอรมัน ลิธัวเนีย ชายฝั่งทวีปอเมริกัน อินโด - แปซิฟิค ทะเลแดง อียิปต์โบราณ และแอฟริกาในภาคพื้นทวีป มีการใช้หอยเบี้ยชนิด Cypraea moneta linne หรือที่เรียกกันว่า money cowries ซึ่งเป็นหอยเบี้ยขนาดเล็ก ขนาดโดยเฉลี่ยราว ๑ นิ้ว ผิวสีขาวนวลหรือมีแถบเหลือง และหอยเบี้ยชนิด Cypraea annulus หรือที่เรียกกันว่า gold - ring cowries
หมู่เกาะมัลดีฟในมหาสมุทรอินเดียเป็นแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของการเก็บหอยเบี้ย โดยมีศูนย์กลางการแพร่กระจายอยู่ที่แคว้นเบงกอล ข้อมูลทางประวัติศาสตร์จากการเดินเรือของกษัตริย์สุไลมานชาวอาหรับตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ ๙ กล่าวถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้คนและความร่ำรวยของราชินีแห่งมัลดีฟไว้ว่า “ในมัลดีฟ หอยเบี้ยใช้เป็นเงินตราชนิดเดียวเท่านั้น และเมื่อสมบัติของราชวงศ์หมดลง ราชินีแห่งมัลดีฟสั่งให้ผู้หญิงตัดเอาทางมะพร้าวมาขว้างไปในทะเล สัตว์ต่าง ๆ ก็จะเกาะตามมาและกระจัดกระจายอยู่ตามชายฝั่ง พวกเธอจะเก็บเปลือกหอยจนหมด เพื่อมาใส่คลังของราชินี” (อ้างใน A survay of Primitive money : Quiggin ,1979)
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ นักเดินทาง ชื่อ Pyrard de Laval ได้มาอยู่ที่มัลดีฟเป็นเวลา ๒ ปีบันทึกไว้ว่า พวกเขาเรียก (หอยเบี้ย) ว่า boly และส่งออกไปยังที่ต่างๆ อย่างไม่มีจำกัด ในหนึ่งปี มีเรือ ๓๐-๔๐ ลำ มาบรรทุกเอาหอยเบี้ยเหล่านี้โดยไม่เอาสินค้าอื่นใดไปส่งที่เบงกอล ซึ่งจะกลายเป็นสินค้ามูลค่าสูงมาก ผู้คนที่เบงกอลจะใช้เป็นเงินตราแม้ว่าจะมีเงินและทองหรือโลหะต่าง ๆ มากมาย และที่น่าสนใจก็คือ กษัตริย์และขุนนางผู้ใหญ่จะมีคลังที่สร้างขึ้นไว้เป็นพิเศษสำหรับเก็บหอยเบี้ยเสมือนเป็นสมบัติมีค่าอื่น ๆ ส่วนเรือสินค้าของโปรตุเกสจะบรรทุกข้าวจากโคชิน เพื่อมาแลกกับหอยเบี้ยที่ตลาดเบงกอล ใส่ตระกร้าที่ทำจากทางมะพร้าวใบละ ๑๒,๐๐๐ ตัว เป็นการค้าที่ทำกำไรมหาศาลเพราะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง ๓ หรือ ๔ เท่าทีเดียว
หอยเบี้ยจะทวีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่ออยู่พื้นที่ห่างไกลแหล่งกำเนิด บริเวณหมู่เกาะแปซิฟิคและมหาสมุทรอินเดียใช้หอยเบี้ยเป็นเครื่องประดับมากกว่าจะใช้แทนเงินตรา ต่างจากบริเวณภาคพื้นทวีป [inland] ที่จะเพิ่มมูลค่ามากขึ้น
หอยเบี้ยที่พบจากแหล่งโบราณคดีเช่นในประเทศไทย หรือจากบันทึกและภาพประกอบของนักสำรวจในสังคมดั้งเดิมต่างๆ มักจะพบว่ามีการตัดหลังเพื่อความสะดวกสำหรับร้อยเชือกนับจำนวนหรือเก็บรักษา ในปริมาณมาก ๆ จากแหล่งผลิตแถบชายทะเล แต่ก็พบเป็นจำนวนมากเช่นกันที่ไม่ได้ตัดหลังออก
ในจีน พบว่ามีการใช้หอยเบี้ยมาก่อนหน้าที่จะมีการบันทึกถึงอุตสาหกรรมส่งออกในมัลดีฟ มาก่อนอาจจะถึงพันปี เช่นการพบหอยเบี้ยที่หลุมฝังศพกลุ่มวัฒนธรรมเตียน ในยูนนานอายุราว ๒๐๐ BC. ซึ่งอยู่ร่วมกับเครื่องมือสำริดจำนวนมาก แสดงถึงสถานะของทางสังคมและมีหน้าที่ในทางความเชื่อด้วย ในหลุมศพที่ร่ำรวยที่ซือไจ้ซาน มีการพบหอยเบี้ยใส่ในกลองสำริดหรือภาชนะสำริด บางแห่งมีมากกว่า ๒๐,๐๐๐ ตัว ที่ลีไจ้ชาน ในหลุมฝังศพ ๕ หลุม มีมากกว่า ๑๕๐ กิโลกรัม เส้นทางของการนำหอยเบี้ยน่าจะมาจากชายฝั่งทะเลน้ำอุ่น ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นมหาสมุทรอินเดีย หรือในฟิลิปปินส์ มากกว่าที่จะเป็นชายฝั่งทะเลจีนและเวียดนาม มีการใช้หอยเบี้ยในยูนนานเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนต่อเนื่องมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ [Pirazzoli-t’Serstevens, Michele : 1990] ทั้งนี้ข้อมูลที่สนับสนุนมาจากบันทึกของมาร์โคโปโล กล่าวถึงการนำหอยเบี้ยจากอินเดียมาใช้ที่ Carajan หรือยูนนานในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ อีกทั้งการใช้หอยเบี้ยนี้มีบันทึกไว้ว่าน่าจะใช้เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนยุคแรก ๆ ของญี่ปุ่นและเกาหลีด้วย
ในแอฟริกา ปรากฏอยู่ทั่วไปว่ามีการใช้หอยเบี้ยเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนตลอดชายฝั่งจนถึงพื้นที่ภายใน
ในทวีปอเมริกา ไม่ปรากฏการใช้หอยเบี้ยในฐานะเงินตราก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามา มีเพียงการใช้ในพิธีแรกรับและพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าพื้นเมือง
ในอินเดีย บริเวณชายฝั่งของแคว้นเบงกอล เป็นศูนย์กลางการรับซื้อหอยเบี้ยจากหมู่เกาะมัลดีฟ เพื่อส่งขายไปสู่พื้นที่ภายในและภาคพื้นอื่น ๆ น่าจะเริ่มตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นต้นมา และนักเดินทางทางทะเลยุคแรก ๆ ทั้งเปอร์เซียและโปรตุเกสกล่าวถึงการนำหอยเบี้ยจากบริเวณหมู่เกาะมัลดีฟออกไปขายโดยมีศูนย์กลางอยู่แถบบริเวณชายฝั่งของอ่าวเบงกอล และเมื่อปี ค.ศ.๑๘๔๕ มีการบันทึกไว้ว่า หนึ่งรูเปีย เท่ากับหอยเบี้ย ๖,๕๐๐ ตัว มีการใช้หอยเบี้ยทั้งในพม่า ไทย และจีน และในหลายแห่งเมื่อเริ่มมีเงินเหรียญโลหะใช้กันแล้วก็มักจะทำเลียนแบบหอยเบี้ย หรือประทับตราลงบนผิว ความสำคัญของหอยเบี้ยจึงยังคงปรากฏอยู่ตลอดมา [Edwards, Amy : 1996]
ส่วนประเทศไทย มีการใช้หอยเบี้ยต่อเนื่องยาวนานอยู่ทั่วทุกภูมิภาค หอยเบี้ยที่อุทิศให้ศพในวัฒนธรรมลุ่มลพบุรี - ป่าสัก ไม่แน่ใจว่าจะมีหน้าที่เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนสินค้า หรือเป็นเครื่องประดับ เนื่องจากหอยเบี้ยที่พบมีการตัดหรือขัดฝนด้านโป่งออก ข้อสันนิษฐานการตัดหรือขัดฝนด้านที่โป่งออก ถูกวางไว้ที่ด้านข้างของศพเพียงชิ้นหรือสองชิ้นในลักษณะที่ไม่ได้เป็นการร้อยเป็นเครื่องประดับ (แหล่งบ้านใหม่ชัยมงคล ใกล้กับจันเสน จังหวัดนครสวรรค์) แต่ในกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียง ที่บ้านนาดี พบว่า มีการร้อยหอยเบี้ยเป็นสร้อยคอ ซึ่งอาจสันนิษฐานได้ว่า หอยเบี้ยน่าจะใช้เป็นเครื่องประดับมีค่าและเป็นของหายากจากแดนไกลมาก่อนที่จะใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งหมายถึงมีระบบตลาดเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว

ภาพหอยเบี้ยจากการบันทึกของราชทูตชาวฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
จดหมายเหตุลาลูแบร์ ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ อธิบายเกี่ยวกับการใช้เงินตราของชาวสยาม รวมทั้งวาดภาพประกอบเงินตราที่เป็นเงินพดด้วง และหอยเบี้ย กล่าวว่าเงินย่อยที่ใช้กันทั่วไปคือ ”หอยเบี้ย” ฝรั่งที่อยู่ในสยามเรียกว่าเคารี แต่ชาวสยามเรียก เบี้ย นำมาจากหมู่เกาะมัลดีฟ มีส่วนน้อยที่นำมาจากฟิลิปปินส์ อ้างว่าหอยเบี้ยใช้กันทั่วไปในเมืองต่าง ๆ ของอินเดีย และเกือบจะทั้งหมดในเขตแอฟริกา มีการนำหอยเบี้ยบรรทุกใส่เรือเข้ามาทีละมาก ๆ เหมือนเป็นสินค้าชนิดหนึ่ง ราคาตามธรรมดาในตลาด ๑ เฟื้องจะเท่ากับ ๗๐๐-๘๐๐ เบี้ย หากเบี้ยราคาถูกหรือมีจำนวนมาก นั่นคือเครื่องหมายแสดงว่าสินค้าต่าง ๆ ในตลาดมีราคาถูกลง
ของที่ใช้ตวงข้าวหรือเหล้า เรียกว่าทนาน ทำจากกะลามะพร้าว การวัดขนาดปริมาตรของทนาน ใช้หอยเบี้ยตัวเท่า ๆ กัน ตวงความจุ ขนาดของความจุไม่เท่ากัน แต่ที่นิยมเรียกว่า “ทนาน ๘๓๐” นั่นหมายถึงจุหอยเบี้ยได้ ๘๓๐ ตัว
การขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณเกาะเมืองอยุธยา การพบหอยเบี้ยนับเป็นเรื่องปกติเพราะมีการใช้เป็นเงินตราในสมัยนั้น รวมถึงแหล่งโบราณคดีที่ร่วมสมัยกัน เช่นบริเวณบ้านเขายี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ที่เป็นชุมชนเมืองท่าภายนอกขนาดเล็ก ๆ มีการพบหอยเบี้ยในทุกระดับชั้นวัฒนธรรม ตั้งแต่ชั้นแรกสุดเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ จนถึงต้นรัตนโกสินทร์ทีเดียว เบี้ยที่พบมีทั้งที่ตัดหลังแต่ไม่ได้ตัดหลัง ส่วนใหญ่เคลือบมันที่ผิวจะหมดไปเหลือเพียงเนื้อสีขาว มีเป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังมีเคลือบผิวเป็นมันและมีเส้นรอบวงสีเหลือง
หอยเบี้ยที่พบในภาคเหนือในยุคสมัยราชวงศ์มังราย ลักษณะเป็นหอยเบี้ยหลังตัดเช่นเดียวกับที่พบในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่ผิวที่เคลือบมันหรือมีสีสันเหลือเพียงเนื้อเปลือกหอยสีขาว ทำให้ไม่ทราบชนิดของหอยเบี้ย ฝังไว้ในไหจากกลุ่มเตาล้านนา (คริสต์ศตวรรษที่ ๑๖-๑๗) พบที่บ้านนาขาม อยู่ทางทิศเหนือของบ่อลิกไนต์ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ซึ่งใช้เป็นเงินตราที่ถูกฝังเก็บไว้แน่นอน (กองโบราณคดี ๒๕๓๑)
ร่องรอยในภาษาไทยที่กล่าวถึงเบี้ย แสดงนัยะว่าเป็นเงินตรามาตั้งแต่โบราณ เช่นคำว่า เบี้ยหวัด เบี้ยบำนาญ เบี้ยทำขวัญ ดอกเบี้ย เบี้ยเลี้ยง เบี้ยน้อยหอยน้อย เบี้ยหัวแตก เป็นต้น ในอักขราภิธาน ศรับท์ ของหมดบรัดเลย์ ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖ เบี้ยแปดร้อยตัวเป็นหนึ่งเฟื้อง ทั้งเสนอว่า คำว่า ”เบี้ย” น่าจะมาจาก ”รูเปีย” ที่เป็นหน่วยการนับเงินในอินเดีย
มีการใช้หอยเบี้ยพันธุ์ต่าง ๆ โดยมีชื่อเรียกต่างกันไป เช่น เบี้ยแก้ (ผิวดำมันเนื้อหนามีลายจุด) เบี้ยจั่น (รูปร่างแบน ด้านหลังมีเม็ดทั้งซ้ายและขวา) เบี้ยไท (สีเส้นสีเหลืองเป็นวงบนหลัง) เบี้ยตุ้ม (เป็นเบี้ยตัวสั้นๆ สำหรับใช้เล่นกำถั่ว) เบี้ยโป่ง (เบี้ยขนาดใหญ่เท่ากำมือเด็ก มีลายเป็นกระจุก) เบี้ยผู้ (มีเส้นเหลืองเป็นวงรอบผิวสีขาวเลื่อม) เบี้ยหมู (รูปร่างยาวสีเขียวไม่มีเส้นสีเหลืองที่หลัง) เบี้ยฝอย (คือเบี้ยเล็กเบี้ยน้อยสารพัดชนิดปนกันอยู่) (แบรดเลย์ ๒๕๑๔)
ปัจจุบันในบางท้องถิ่น ยังมีความเชื่อว่าให้ใส่หอยเบี้ยรวมกับขี้ผึ้งเก็บไว้ในหม้อขนาดเล็ก ๆ เรียกว่า “หม้อตายอดตายาย” สำหรับหญิงสาวที่ออกเรือนและมีลูกคนแรก จะต้องมีการตั้งหม้อของตนเองประจำไว้ในบ้าน และนำมาทำความสะอาดด้วยเครื่องหอมทุกตรุษสงกรานต์ (บ้านเขาทอง อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์) ส่วนบางแห่งใช้หอยเบี้ยแขวนคอให้เด็กเล็กๆ เสมือนเป็นเครื่องรางที่เชื่อว่าป้องกันฟันผุได้ หอยเบี้ยในแง่มุมของการเป็นเครื่องรางหรือสัญลักษณ์เหล่านี้ มีการกล่าวถึงไม่มากนัก และเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาอย่างยิ่ง
กล่าวได้ว่า การใช้หอยเบี้ยในดินแดนประเทศไทยปรากฏเริ่มแรกในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ช่วงยุคโลหะราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว อาจใช้เป็นเครื่องประดับมากกว่าเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของ เรายังไม่สามารถหาข้อยุติที่แน่ชัดเกี่ยวกับร่องรอยการค้าในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะยังไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบในแง่มุมเหล่านี้ การปรากฏของหอยเบี้ยสมัยก่อนประวัติศาสตร์มีอยู่น้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับหอยทะเลที่นำมาใช้เป็นเครื่องประดับ (ซึ่งอาจรวมถึงการมีมูลค่าในการแลกเปลี่ยนด้วย) หอยเบี้ยยังไม่เป็นของสำคัญในยุคก่อนประวัติศาสตร์
ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคการเป็นบ้านเป็นเมืองในสมัยทวารวดี เราก็ยังไม่พบว่ามีการใช้หอยเบี้ยแทนเงินตรา และแทบจะไม่พบหอยเบี้ยในแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดีเลย แต่มีการพบเหรียญเงินที่ทำจากโลหะเงินและโลหะผสมทั้งแบบที่มีตราประทับและแบบที่เป็นแผ่นเงินเรียบ ๆ ขนาดเล็ก ๆ ฝังอยู่ในหม้อไห ซึ่งแน่ใจได้ว่าเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนอย่างแน่นอน
หอยเบี้ยที่ใช้แทนเงินตราปรากฏชัดว่าเป็นสื่อที่นำมาใช้กันทั่วไปเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ทั้งในเขตล้านนา และในภาคกลาง และเขตคาบสมุทรสมัยอยุธยา หอยเบี้ยเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ว่านำมาจากหมู่เกาะมัลดีฟในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมส่งออกขนาดใหญ่ และมีการใช้เป็นเงินตราอยู่ทั่วไปในภูมิภาคนี้ แม้จะมีเงินเหรียญหรือเงินตราที่ทำจากโลหะประเภทต่าง ๆ อยู่ก็ตาม เงินเบี้ยเหล่านี้ใช้กันสืบเนื่องมาจนเมื่อราวสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังปรากฏว่ามีมูลค่าอยู่
หอยเบี้ยเป็นสิ่งของสากล มีช่วงการใช้ที่ยาวนานนับพันปีในท้องที่เกือบทั่วโลก และมีมูลค่าในการแลกเปลี่ยนสินค้า เพราะเป็นของหายากจากแดนไกล นิยมใช้เริ่มแรกโดยเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของตั้งแต่ก่อนมีการนำโลหะมาใช้แทนเงินตรา จนเมื่อมีเหรียญกษาปณ์ใช้แล้ว หอยเบี้ยก็ยังมีหน้าที่ใช้งานอยู่ ระยะเวลาของการใช้ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงเมื่อไม่นานมานี้
หอยเบี้ยจึงนับเป็นเงินตราจากท้องทะเลที่เป็นสากลในโลกสมัยโบราณโดยแท้
บรรณานุกรม
กองโบราณคดี. เหมืองแม่เมาะ ออบหลวง บ้านยางทองใต้. ฝ่ายวิชาการ กรมศิลปากร ,๒๕๓๑
แบรดเลย์,แดนบีช.ดร. อักขราภิธานศรับท์. โรงพิมพ์คุรุสภา กรุงเทพฯ ๒๕๑๔
พิมาน แจ่มจรัส. ชุมชนุจดหมายเหตุฝรั่งในเมืองไทย, สำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา, ๒๕๑๐
สุรพล นาถะพินธุ. วัฒนธรรมสมัยโบราณที่บ้านใหม่ชัยมงคลและข้อคิดเห็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายในภาคกลางของประเทศไทย. สังคมและวัฒนธรรมจันเสน เมืองแรกเริ่ม ในลุ่มลพบุรี-ป่าสัก โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์ ๒๕๓๙
Ciarla, Roberto. The Thai-Italian Lopburi region archaeology project : preliminary results. Souyheast Asian Archaeology 1990. Centre for South East Asian Studies, University of Hull, Great Britain ,1992
Edward, Amy. Molluscs and man. http//museum.nhm.uga.edu/gssc/newsletr/jun97.html
Francis, Peter.Jr. Two bead strands from Andhra Pradesh, India. Asian Perspectives Vol.29 no.1, 1990
Higam, Charles. The Bronze Age of Southeast Asia. Cambridge University Press,1996
Pirazzoli-t’Serstevens, Michele. Cowry and Chinese copper cash as prestige good in Dian. Souyheast Asian Archaeology 1990. Centre for South East Asian Studies, University of Hull, Great Britain ,1992
Quiggin, Alison Hingston. A survay of Primitive Money.Methuen, London.1979
Comentarios