top of page

อนิจจาสยามประเทศ : ร่ำรวยวัฒนธรรมเพื่อขาย แต่ล้มละลายในชีวิตวัฒนธรรม

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 1 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2555


สยามประเทศนี้มีกรรม เพราะคนที่อ้างคนเป็นคนไทยในปัจจุบันได้ขุดค้นและขุดคุ้ยเอาศิลปวัฒนธรรม อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อการดำรงชีวิตร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มาจัดการและปรุงแต่งเพื่อขายให้มาซึ่งรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ให้ความสำคัญแก่คุณค่า แต่มุ่งเพียงมูลค่าอันเป็นที่มาของรายได้แต่เพียงอย่างเดียว



ข้าพเจ้ากำหนดเรียกวัฒนธรรมที่สร้างขึ้น และทำให้เกิดมูลค่าเป็นเงินเป็นทองเป็นรายได้ดังกล่าวนี้ว่า ศิลปวัฒนธรรม เพราะเป็นการขายรูปแบบสวยงามเป็นของที่ระลึก [Souvenir] และสามารถแยกส่วนออกจากความสัมพันธ์กับความหมายที่เป็นสัญลักษณ์แต่เดิมได้ แต่เป็นการทำลายคุณค่าและความหมายของสิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกว่า ชีวิตวัฒนธรรม ซึ่งมีสภาวะเป็นองค์รวมแยกส่วนไม่ได้ เป็นวัฒนธรรมที่แยกไม่ออกจากสังคม อันหมายถึงกลุ่มคนในพื้นที่ใดที่หนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ร่วมกัน


เพราะความหมายที่แท้จริงของคำว่าวัฒนธรรมทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยานั้น คือทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ ประเพณีพิธีกรรมและความเชื่อที่คนในกลุ่มสังคมสร้างขึ้นเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกัน


ดังนั้น วัฒนธรรมแต่ละด้านไม่ว่าเศรษฐกิจ หรือความเชื่อและประเพณีพิธีกรรม เป็นต้น แยกไม่ออกจากความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในกลุ่มนั้น ๆ อีกทั้งมีความหมายในการจรรโลงการอยู่ร่วมกันทางสังคม ทำให้เกิดสำนึกร่วมของการเป็นกลุ่มชนเดียวกัน


ความเป็นประเทศชาติของสยามนั้นมีวัฒนธรรมสองระดับ ระดับบนหรือระดับชาติ ที่เป็นของส่วนรวม เรียกว่า ประเพณีหลวง [Great tradition] มีหน้าที่บูรณาการ [Integration] ให้ วัฒนธรรมท้องถิ่นในระดับล่าง ซึ่งเรียกว่า ประเพณีราษฎร์ [Little tradition] ที่มีความหลากหลายและแตกต่างกันทางวัฒนธรรม ให้มีสำนึกร่วมเป็นคนในชาติภูมิเดียวกันในนามของ คนไทย หรือ คนสยาม ร่วมกัน


วัฒนธรรมหลวงในระดับบนนั้นมักมองไม่เห็นคน หากมีลักษณะที่สร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ คือแลเห็นเป็นรูปแบบทางศิลปวัฒนธรรมที่สื่อสารให้คนในชาติมีปฏิสัมพันธ์กัน รวมทั้งสื่อให้คนภายนอกได้เห็นอัตลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศชาติ เป็นวัฒนธรรมที่มีรูปแบบที่เห็นได้เป็นรูปธรรมและนามธรรม อย่างเช่นรูปแบบของ พระสุเมรุมาศ ที่ถวายพระเพลิงพระศพเจ้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ เห็นเป็นรูปธรรม แต่ประเพณีแนวคิดและขั้นตอนต่างๆ และความหมายเป็นนามธรรมที่พวก UNESCO ดัดจริตเรียกว่า วัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ [Untouchable culture]


ส่วนวัฒนธรรมราษฎร์ในระดับล่าง เป็นวัฒนธรรมที่แลเห็นคนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนา ที่มาและประวัติศาสตร์ เป็นวัฒนธรรมที่มีพลวัตร คือเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเทศะของคนที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่น วัฒนธรรมราษฎร์ดังกล่าวนี้ ข้าพเจ้าเรียกว่า ชีวิตวัฒนธรรม หรืออีกนัยหนึ่ง สังคมวัฒนธรรม เพราะเป็นวัฒนธรรมที่ผูกติดอยู่กับกลุ่มคนในชุมชนที่สร้างวัฒนธรรมนั้นขึ้นมาเพื่อการอยู่ร่วมกัน และมีชีวิตรอดร่วมกัน ดังนั้นจะเรียกอีกนัยหนึ่งได้ว่า ชีวิตวัฒนธรรมก็คือ วิถีชีวิตของคนในชุมชนใดชุมชนหนึ่งร่วมกัน


แต่ความเป็นชุมชนนั้นหาได้อยู่ที่การเห็นจากภายนอกว่ามีการสร้างบ้านเรือเคียงอยู่เป็นกลุ่ม เช่นบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ตึกแถวอะไรต่าง ๆ นานา แล้วแบ่งเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอไม่ หากการที่จะเป็นชุมชนนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางสังคมของคนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน [Social และ Cultural space] ตั้งแต่ระดับครอบครัว กลุ่มเครือญาติทั้งจากทางสายเลือดและจากการกินดอง (จากการแต่งงาน) มาถึงการอยู่รวมกันเป็นชุมชนซึ่งเป็นพื้นที่ให้คนหลายเหล่าหลายตระกูลและหลายชาติพันธุ์มาอยู่รวมกัน มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมไม่ต่ำกว่า ๓ ชั่วคน พอที่จะสร้างรูปแบบในการดำรงชีวิต ภาษา ระบบความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรม รวมทั้งกติกาต่างในการดำรงชีวิตร่วมกันซึ่งเรียกว่า จารีตประเพณี เกิดการอบรมและถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและภูมิปัญญาในการอยู่ร่วมกัน และแก้ปัญหาความขัดแย้งร่วมกันจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ ปรับเปลี่ยนพื้นที่อันเป็นระบบนิเวศธรรมชาติให้เป็นนิเวศวัฒนธรรม


ผลที่ตามมาทำให้เกิดสิ่งที่เป็นโครงสร้างทางกายภาพขึ้นแก่ชุมชน โดยไม่ต้องมีใครมากำหนดจากภายนอก ความเป็นชุมชนจึงอยู่ที่การรู้จักและรับรู้ว่าใครคือคนใน และใครเป็นคนนอกนั่นเอง


ชุมชนท้องถิ่น [Local communities] ของเมืองไทย ว่าตามหลักฐานและข้อมูลทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและโบราณคดีแล้ว มีพัฒนาการมาเป็นสังคมชาวนา [Peasant society] มากว่าพันปีทีเดียว คือเป็นสังคมที่ก้าวผ่านสังคมแบบเผ่าพันธุ์ [Tribal society] มาแล้วช้านาน จนปัจจุบันกำลังกลายพันธุ์เป็นสังคมอุตสาหกรรมในยุคโลกาภิวัตน์อย่างรวดเร็ว ที่ว่าเป็นสังคมที่ก้าวผ่านสังคมเผ่าพันธุ์นั้น เพราะมีบูรณาการทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นที่สามารถสลายความเป็นเผ่าพันธุ์ให้อ่อนลงและหมดสิ้นไปได้


สังคมแบบชาติพันธุ์มีศูนย์รวมอยู่ความเป็นชาติพันธุ์ เช่น เป็นไทย เป็นมอญ เขมร ลาว อะไรทำนองนั้น แต่ว่าสังคมชาวนา ความเป็นศูนย์รวมอยู่ที่แผ่นดินเกิดหรือบ้านเกิด


สังคมชาวนาในสยามประเทศที่มีความสมบูรณ์ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนั้น เริ่มขึ้นด้วยการที่คนมากกว่าหนึ่งชาติพันธุ์เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน อีกทั้งมีการเคลื่อนย้ายเข้ามาผสมกลมกลืนกันตามช่วงเวลาต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ แต่การเข้ามาอยู่ร่วมกันของคนต่างชาติพันธุ์ดังกล่าวในประวัติศาสตร์สังคมชาวนานั้น หาได้เข้ามาแบบรุกล้ำอ้างสิทธิ์และอำนาจเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องไม่ คนจากข้างนอกต้องได้รับการยินยอมจากคนในท้องถิ่นที่อยู่มาก่อน ต้องยอมรับกติกาในทางสังคมและวัฒนธรรม เพื่อที่จะกลายเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกัน และทำความเจริญมาให้กับท้องถิ่น เมื่อได้รับการยอมรับคนที่เข้ามาอยู่ใหม่ก็ถือว่า ท้องถิ่นนั้นตนต้องอยู่ไปจนตายและกลายเป็นบ้านเกิดของลูกหลานตน และเกิดสำนึกว่าตนเป็นคนของบ้านนี้เมืองนี้ร่วมกับคนที่เป็นชาติพันธุ์อื่น


ท้องถิ่นหนึ่ง ๆ เป็นพื้นที่ธรรมชาติที่กว้างขวางที่รอปรับชีวิตความเป็นอยู่ของคนหลาย ๆ ชุมชนได้ คนในทุกชุมชนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมธรรมชาติร่วมกัน โดยการเปลี่ยนแปลงให้เป็นนิเวศวัฒนธรรม ที่มีการแบ่งพื้นที่และทรัพยากรว่าอะไรบ้างที่เป็นของส่วนตัวและของส่วนรวม


ของส่วนรวมคือ สมบัติร่วม [Common property] อันได้แก่ พื้นที่สาธารณะ เช่น หนองบึง ลำน้ำ ลำห้วย ป่าเขา ท้องทุ่ง ซึ่งไม่เป็นของส่วนตัวของใครของเหล่ากอใด หากใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างมีกติกา และมีการพัฒนาบำรุงรักษาให้เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจและสังคม มีการกำหนดชื่อ สถานที่พื้นที่ผูกด้วยเหตุผลทางตำนานให้เป็นที่รับรู้ นอกจากพื้นทางเศรษฐกิจและสังคม ก็เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นศูนย์รวมทางศาสนา ความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรม เช่น พื้นที่เป็นวัดเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในชุมชนท้องถิ่นรับทราบและเข้ามาใช้พื้นที่เป็นเจ้าของร่วมกัน


สังคมท้องถิ่นที่เป็นสังคมชาวนาในสยามประเทศนั้น ประกอบด้วยบ้านและเมือง บ้านเป็นชุมชนขนาดเล็กที่กระจายอยู่ในปริมณฑลของท้องถิ่น บ้านบางบ้านอาจจะมีชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ก็ได้ ส่วนบ้านอื่นก็เป็นของชาติพันธุ์อื่น แต่ทุกบ้านต้องมีการใช้พื้นที่ร่วมกันและแบ่งปันกัน จึงเกิดประเพณีพิธีกรรมทางศาสนา ความเชื่อและวิธีการและเทคนิคทางเทคโนโลยีที่พัฒนาร่วมกัน และการอยู่รวมกันโดยมีสมบัติร่วมกันดังกล่าวนี้ คือการมีชีวิตรอดร่วมกันจนเกิดสำนึกในเรื่องการเป็นคนท้องถิ่นที่เป็นแผ่นดินเกิดร่วมกัน ศิลปกรรม เครื่องมือเครื่องใช้ รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีพิธีกรรมที่สร้างขึ้นนั้น ล้วนมีหน้าที่ที่จะทำให้โครงสร้างสังคมของคนแม้ว่าจะมีที่มาจากชาติพันธุ์ที่หลากหลายกลายเป็นคนพวกเดียวกัน เป็นคนถิ่นเดียวกัน


ส่วนเมืองนั้นก็หมายถึงพื้นที่และชุมชนที่เป็นศูนย์กลาง [Central place] ของบรรดาชุมชนบ้าน ชุมชนเมืองมีขนาดใหญ่มีคนหลายชาติพันธุ์และหลายอาชีพ และมีตลาดอันเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสถานที่อันเป็นแหล่งทำพิธีกรรมและศูนย์กลางในระบบความเชื่อ


ยกตัวอย่างเช่น ศูนย์กลางความเชื่อและกิจกรรมทางสังคมของชุมชนบ้าน คือ วัดที่มีโบสถ์ ซึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า สิม แต่วัดที่เป็นศูนย์กลางของเมืองหรือของท้องถิ่นนั้น นอกจากจะมีโบสถ์แล้วยังมี ธาตุ ซึ่งหมายถึงพระธาตุเจดีย์ที่ผู้คนจากชุมชนบ้านต้องมาทำพิธีกรรมร่วมกัน นอกจากนั้น ชุมชนที่เป็นเมืองยังเป็นศูนย์กลางในการปกครองและบริหารโดยมักจะเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำการของบุคคลที่เป็นหัวหน้าหรือเจ้าเมืองอีกด้วย


สังคมท้องถิ่น หรือประกอบด้วยบ้านและเมืองอันเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกนี้ คือพื้นฐานของความเป็นอยู่ที่พอเพียงยั่งยืนและอยู่ได้โดยลำพัง [Self contained] ของผู้คนในสังคมชาวนาที่มีทั้งสมบัติส่วนตัว เช่น พื้นที่อยู่อาศัยทำกิน และพื้นที่สาธารณะอันเป็นสมบัติร่วม คนในสังคมท้องถิ่นเหล่านี้รู้จักดีว่าใครเป็นคนกลุ่มไหน ชาติพันธุ์ไหน มีเหล่ากอเป็นมาอย่างใด และรู้ว่าใครเป็นคนนอกที่รุกล้ำเข้ามาที่ดีหรือไม่ดี แต่ที่สำคัญคนในเหล่านี้มีประวัติศาสตร์ของตนเองและมีสำนึกร่วมของแผ่นดินเกิดร่วมกัน จึงมักจะทักทายกันว่าเป็นคนบ้านไหน เมืองไหนเป็นสำคัญ


คนในสังคมท้องถิ่นอันประกอบด้วยบ้านและเมืองดังกล่าวนี้ สร้างศิลปวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความหมาย และมีกาลเทศะ ศิลปวัฒนธรรมที่จับต้องได้เป็นรูปธรรมนั้นเห็นได้ เช่น สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของวัดวาอาราม และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในระบบความเชื่ออื่น ๆ ในขณะที่ศิลปวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้นคือ ประเพณีพิธีกรรม เช่น ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตและประเพณีสิบสองเดือนที่ทำกันทั้งในบ้านและวัดตามกาลเทศะที่กำหนดไว้


บรรดาประเพณีพิธีกรรมเหล่านี้คือกลไกในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมให้คนอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปึกแผ่น ทำให้เกิดความมั่นคงทางสังคมและจิตใจที่นำไปสู่ความมั่นคงของมนุษย์ ในส่วนระบบประเพณีพิธีกรรมเหล่านี้สร้างขึ้นโดยคนท้องถิ่นจึงมีรูปแบบ ขั้นตอน วิธีการและความหมายทางสัญลักษณ์ที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะแต่ละถิ่นมากมาย และแต่ละท้องถิ่นก็ให้ความสำคัญของประเพณีพิธีกรรมแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน ดังเช่นประเพณีขึ้นธาตุและชิงเปรตที่พระบรมธาตุเมืองนครฯ มีความสำคัญในลักษณะที่เป็นอัตลักษณ์ของคนในท้องถิ่นภาคใต้ ในขณะที่ประเพณีจุดบั้งไฟมีความสำคัญกับคนในท้องถิ่นหลาย ๆ ถิ่นในภาคอีสาน หรือประเพณีเทศน์มหาชาติที่มีการแห่ผีตาโขนเป็นอัตลักษณ์ของคนด่านซ้ายในจังหวัดเลย เป็นต้น


เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒ ข้าพเจ้าทำการศึกษาชุมชนอยู่ที่บ้านม่วงขาวในเขตตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นชุมชนของคนลาวพวนในท้องถิ่นดงศรีมหาโพธิ์ ที่มี ต้นโพธิศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ของคนท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ อาทิ คนลาวพวน ลาวอีสาน ลาวเวียง คนมอญ คนเขมร คนไทยและคนจีน อยู่ผสมผสานกันตามหมู่บ้านต่าง ๆ มาราวเกือบ ๒๐๐ ปี


กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ในระยะแรกที่เคลื่อนย้ายเข้ามานั้น มีลักษณะต่างคนต่างอยู่และเข้ากันไม่ได้ แต่ทุกกลุ่มให้ความสำคัญกับต้นโพธิศรีมหาโพธิเหมือนกัน จะพากันมาไหว้ต้นโพธิศรีมหาโพธิในเดือนหกอันตรงกับประเพณีวิสาขบูชาทางพุทธศาสนา จากการมาพบปะทำบุญร่วมกัน ความสัมพันธ์ทางสังคมก็พัฒนาขึ้น ทำให้ทุกหมู่บ้านของท้องถิ่นรู้จักกัน สัมพันธ์กันในการแต่งงานและกิจกรรมแลกเปลี่ยนสิ่งของและแรงงานในชีวิตทางเศรษฐกิจ คนลาวอีสานคิดจุดบั้งไฟขึ้น ณ ลานวัดต้นโพธิในยามเทศกาล เลยเกิดเป็นประเพณีและศิลปวัฒนธรรมขึ้น เป็นของทุกหมู่บ้านในท้องถิ่น พร้อมกันสร้างบั้งไฟทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในนามของวัดประจำหมู่บ้านมาแห่มาเซิ้ง และนำมาจุดแข่งขันกันที่ลานวัดต้นโพธิ์ ทำให้ผู้คนในท้องถิ่นได้พบปะกัน ทำบุญร่วมกันและเกิดสำนึกในการเป็นคนดงศรีมหาโพธิร่วมกัน


แต่ที่สำคัญอย่างมากก็คือ วันจุดบั้งไฟและประเพณีวิสาขบูชานี้ เป็นวันรวมญาติ พ่อแม่ปู่ย่าตายายและลูกหลาน ทำให้คนรุ่นลูกและหลานที่จากบ้านเกิดไปทำงานในเมืองและต่างจังหวัดจะเดินทางกลับมาพบพ่อแม่ ปู่ย่าตายายและทำบุญร่วมกัน สนุกสนานร่วมกัน เป็นประเพณีที่ทุกคนคาดหมายและเตรียมตัวเตรียมใจเป็นอย่างยิ่ง


ข้าพเจ้าได้สังเกตการณ์และร่วมสนุกสนานในชีวิตวัฒนธรรมของคนเหล่านี้ แต่ในปัจจุบันกลับซบเซาและขาดความหมายทางชีวิตวัฒนธรรม เพราะนับเป็นสิบปีมาแล้วที่ทางรัฐและการท่องเที่ยว (ททท.) เข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นคือกรมศิลปากรประกาศต้นโพธิศรีมหาโพธิและบริเวณโดยรอบเป็นหลักฐานทางโบราณคดี กำหนดเขตหวงห้ามไม่ให้ชาวบ้านชาวเมืองเข้าไปใช้สถานที่ดังแต่ก่อน และในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในช่วงเวลาจุดบั้งไฟ มีการกำหนดและสร้างกฎเกณท์ต่าง ๆ รวมทั้งทำให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวแก่บรรดาผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว


ประเพณีจุดบั้งไฟของคนในท้องถิ่น ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นประเพณีพิธีกรรมและศิลปวัฒนธรรมของคนในที่คิดขึ้นทำขึ้นในพื้นที่อย่างมีกาลเทศะก็สิ้นสุดลง กลายเป็นของคนนอกที่เข้ามากำหนดรูปแบบและบทบาท รวมทั้งแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่ต้องตามกาลเทศะไป


ทุกวันนี้ ประเพณีบั้งไฟท้องถิ่นศรีมหาโพธิจึงกลายเป็นศิลปวัฒนธรรมเพื่อขายไป ซึ่งก็เหมือนกับประเพณีพิธีกรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นอีกมากมายหลายแห่งทั่วประเทศ


ประเพณีจุดบั้งไฟของท้องถิ่นศรีมหาโพธินี้ คือสมบัติร่วมของคนในท้องถิ่นที่มีความหมายต่อชีวิตวัฒนธรรมเป็นอย่างยิ่ง ได้ถูกทั้งรัฐและการท่องเที่ยวจากส่วนกลางแย่งยื้อและช่วงชิงไปขายให้กับนักท่องเที่ยวทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งก็คือคนนอกนั่นเองทำให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นมีรายได้ที่รัฐสามารถนำไปโอ่ถึง GDP. จนทำให้เกิดเป็นนโยบายที่ต่อเนื่องอยู่ในปัจจุบัน


อีกแห่งหนึ่งที่ดังกว่าศรีมหาโพธิ์คือ ด่านซ้ายในเขตจังหวัดเลยที่มีเทศกาลบุญพระเวส อันมีการจัดขบวนผีตาโขนของคนท้องถิ่นร่วมพิธีและสร้างความสนุกสนาน โดยความหมายผีตาโขนคือพวกผีป่าผีร้ายที่ตามพระเวสสันดรมากรุงสีพีเพื่อเอาบุญเอากุศลเป็นบุคคลในพระพุทธศาสนา เมื่อมาถึงวัดโพนชัยอันเป็นสถานที่เทศมหาชาติก็ปลดเปลื้องบรรดาหน้ากากและหัวโขนที่ทำด้วยเศษผ้าเศษกระดาษอันเป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคลทิ้งลงลำน้ำหมันที่ผ่านกลางเมืองไป


แต่ทางรัฐ ททท. และบรรดานายทุนที่หากินกับการท่องเที่ยวก็แย่งชิงการแสดงผีตาโขนของคนท้องถิ่นให้เกิดเป็นจุดเด่นของการท่องเที่ยวไม่ให้ความสำคัญกับการเทศน์มหาชาติ เช่น เน้นเรื่องผีตาโขน พัฒนาหน้ากากหัวโขนให้สวยงามเป็นรูปแบบศิลปกรรมที่ซื้อและเอากลับไปเป็นของที่ระลึกได้ ทำให้ความหมายของหน้ากากหัวโขนที่เป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคล มีมูลค่าเป็นเงินเป็นทองและเป็นของดีที่ระลึกไป นี้คือการนำวัฒนธรรมมาขายแต่ทำลายสิ่งที่เป็นคุณค่าในชีวิตวัฒนธรรมโดยแท้


เมืองด่านซ้ายกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเมื่อฤดูกาลมาถึง ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือคนจากภายนอก ในขณะที่คนในเกิดการแตกแยกเพราะเกิดคนที่เห็นแก่ได้และยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อการขายวัฒนธรรมของคน แต่การขายวัฒนธรรมที่เลวร้ายอย่างสุด ๆ เห็นจะเป็นการแห่เทียนเข้าพรรษาของเมืองอุบลฯ ที่เพียงอ้างแต่ชื่อ แต่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างหมดเพื่อการท่องเที่ยว และความอุบาทว์ที่เกิดขึ้นก็คือ การแห่เทียนเข้าไปแข่งขันและแสดงกันอย่างมโหฬารที่ทุ่งศรีเมืองแทนการแห่เทียนเข้าพรรษาที่วัดอย่างที่เคยมีมาแต่ก่อน


กระนั้นก็ดี ประเพณีทางศิลปวัฒนธรรมที่อัปมงคลสุดๆ และอุบาทว์สุด ๆ เห็นจะไม่มีอะไรเกินประเพณีสงกรานต์และลอยกระทง ทั้งสองเป็นประเพณีของการเปลี่ยนผ่านในรอบปี จากปีเก่าสู่ปีใหม่ซึ่งมนุษย์ชาติแทบทุกเผ่าพันธุ์ให้ความสำคัญคล้ายคลึงกัน หากแตกต่างกันทางรูปแบบ


สงกรานต์เป็นเรื่องช่วงเวลาที่เกี่ยวกับพระอาทิตย์ในขณะที่ลอยกระทงเป็นเรื่องของพระจันทร์ เป็นประเพณีที่มีความหมายทางสังคมเป็นอย่างยิ่ง คือสร้างความสัมพันธ์ ฟื้นความสัมพันธ์และผ่อนคลายความขัดแย้งของตนตั้งแต่ครอบครัว กลุ่มเครือญาติมาถึงชุมชนและระหว่างชุมชนท้องถิ่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน


ทั้งสองประเพณีนี้ รัฐ การท่องเที่ยวและนายทุนก็แย่งยื้อจากชีวิตวัฒนธรรมของคนที่เคยอยู่รวมกันเป็นครอบครัว มีเครือญาติ มีชุมชน มาเป็นการละเล่นเพื่อปลดปล่อยและระบายอารมณ์ที่เป็นตัณหาราคะของผู้คนร้อยพ่อพันแม่ไม่มีหัวนอนปลายตีนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ


ประเพณีทั้งสองนี้เล่นกันอย่างไม่มีกาละเทศทั้งประเพณี [Nationwide] ที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยซึ่งล้วนมีสติปัญญาในทางลบ มักออกแถลงการณ์คาดคะเนว่า ปีนี้จะมีสถิติการตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนเท่าใด


แต่ที่น่าทุเรศในเรื่องของความคิดและวิธีคิดก็คือ เรื่อง “เจ็ดวันอันตราย” นี่หรือคือช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของประเพณีสงกรานต์เพื่อความเป็นสวัสดิมงคล


อนิจจาสยามประเทศ


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:





Comentarios


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page