เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2547
เวลานับราวสี่สิบปีที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ได้จัดการให้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาตินั้น สังคมไทยและรัฐไทยดูมีความชื่นชมและหลงใหลในความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุแบบตะวันตกที่ก้าวหน้ากว่าบรรดาประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะลาว เขมร พม่า และเวียดนาม ที่กลายเป็นประเทศสังคมนิยม ทั้งที่เป็นคอมมิวนิสต์และไม่ใช่คอมมิวนิสต์

จารึกภาษามอญ ในสมัยทวารวดี พบที่วัดโพธิ์ร้าง จังหวัดนครปฐม
ทว่าไทยกลับล้าหลังทางสติปัญญากว่า เพราะเหตุว่าไปบ้าแต่รูปแบบความเจริญที่เป็นแต่เปลือก คือเอาอย่างได้แต่เพียงสิ่งที่ผิวเผิน
สิ่งหนึ่งที่รัฐไทยใช้เป็นเครื่องมือสร้างประเทศ และประกาศการมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองให้โลกรับรู้ก็คือประวัติศาสตร์ชาตินิยม ที่ได้รับอิทธิพลในเรื่องความคิดมาจากประเทศมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมในขณะนั้น เช่น อังกฤษและฝรั่งเศส
แต่ก่อน เรื่องราวความเป็นมาในอดีตที่มีบทบาทสร้างสำนึกร่วมกันของคนในสังคมเป็นเรื่องตำนานและพงศาวดาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องสมมุติที่มีรากฐานมาจากเรื่องราวทางศาสนาและผู้นำทางวัฒนธรรม เป็นเรื่องที่คนทั่วไปในสังคมรับรู้และเชื่อว่าเป็นจริง
แต่เรื่องราวเหล่านี้ ประเทศที่เจริญทางตะวันตกไม่เชื่อและไม่ยอมรับ จะเห็นด้วยก็ต้องเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่มีการค้นคว้า รวบรวมจากข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงมาสร้างขึ้น
รัฐไทยต้องการให้มหาอำนาจทางตะวันตกยอมรับในเรื่องนี้ จึงมีการสร้างความเป็นมาของผู้คนและบ้านเมืองแต่อดีตในลักษณะที่เป็นประวัติศาสตร์กับเขาบ้าง
ประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นนี้ คือประวัติศาสตร์ชาติ เพราะสัมพันธ์กับการที่จะบอกให้คนทั้งหลายรู้ว่าบ้านเมืองและผู้คนในดินแดนประเทศไทยมีความสัมพันธ์รวมตัวกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวเป็นรัฐและอาณาจักรมากว่าเจ็ดร้อยปีทีเดียว ซึ่งก็มีความเก่าแก่และมีความเจริญไม่ยิ่งหย่อนกว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และเก่ากว่าอเมริกาเสียด้วยซ้ำ
อันที่จริง ประวัติศาสตร์ชาติแบบนี้ก็เกิดขึ้นกับบรรดาผู้คนและบ้านเมืองในประเทศอื่นเหมือนกัน โดยเฉพาะบรรดาบ้านเมืองที่ตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก ผู้ที่ทำให้เกิดการเขียนและสร้างประวัติศาสตร์ชาติก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้รู้จักและเรียนรู้วิธีคิดและวิธีการมาจากประเทศทางตะวันตกทั้งสิ้น พูดง่ายๆ ก็คือได้เรียนมาจากพวกตะวันตกนั่นเอง จึงใช้ประวัติศาสตร์แบบนี้ตอบโต้ตะวันตกที่ได้สร้างประวัติศาสตร์ของดินแดน บ้านเมืองและผู้คน ที่ตนต้องการยึดครองเป็นอาณานิคมขึ้นมาอธิบายความชอบธรรมของตน
ดังตัวอย่างเช่น ฝรั่งเศสสร้างประวัติศาสตร์เมืองพระนครมาอธิบายถึงความเป็นมหาอาณาจักรของพวกขอม ที่มีอำนาจครอบครองดินแดนประเทศไทยมาก่อนเพื่อจะได้ใช้เป็นข้ออ้างว่า เมื่อตนได้เขมรเป็นอาณานิคมแล้ว ก็ควรมีสิทธิ์ในการได้ปกครองดินแดนที่ขอมมีอำนาจมาก่อนได้
การสร้างประวัติศาสตร์แบบนี้เท่ากับเป็นการดักคอไม่ให้ทางไทยสร้างประวัติศาสตร์ที่แสดงอารยธรรมเก่าแก่ในดินแดนประเทศไทยเกินเรื่องราวของชนชาติไทยได้
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอื่น ไม่ว่าอินโดนีเชียหรือเวียดนาม ต่างก็สามารถค้นคว้าเรื่องราวและหลักฐานทางโบราณคดีที่เก่าแก่ในดินแดนประเทศตน มาสร้างความมีอารยธรรมที่เก่าแก่กว่าของไทยได้
อันที่จริง ความซวยของคนไทยอยู่ที่ผู้นำและนักปราชญ์นักวิชาการมักมีความเห็นที่คล้อยตามนักปราชญ์และนักวิชาการฝรั่งเสมอ เพราะเชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้และวิธีการศึกษาที่เป็นระบบถูกต้อง อีกทั้งมักยกย่องให้เป็นครู เลยทำให้ปราชญ์ฝรั่งเศสสมัยยุคล่าอาณานิคมมีส่วนช่วยทำให้ประวัติศาสตร์ไทยและอารยธรรมไทยเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ ๗๐๐ ปีที่ผ่านมานี้เอง
นั่นคือบรรดานักปราชญ์ นักวิชาการฝรั่งเศสได้ใช้ “ภาษา” เป็นสิ่งกำหนดความเป็นชนชาติ
ดินแดนประเทศไทยก่อน ๗๐๐ ปีที่ผ่านมาไม่พบชนชาติที่พูดภาษาไทย หากเป็นของคนที่เป็นชนชาติมอญและเขมร เพราะพบศิลาจารึกที่มีตัวอักษรและภาษาของชนชาติเหล่านี้ จึงได้นำไปผูกเข้ากับหลักฐานที่เป็นร่องรอยของบ้านเมือง และบรรดาโบราณสถานวัตถุทางศาสนา แล้วสรุปออกมาอย่างกว้างๆ ดังนี้
ตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ลงมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ นับเนื่องเป็นสมัยทวารวดี มีอาณาจักรทวารวดีที่เมืองนครปฐมเป็นศูนย์กลาง อาณาจักรนี้ ผู้คนเป็นชนชาติมอญ
พอพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ลงมา ขอมเมืองพระนครจากกัมพูชามีอำนาจ เป็นมหาอาณาจักร ได้ขยายอำนาจทางการเมืองเข้ามาครอบครองดินแดนประเทศไทยทั้งหมด แล้วตั้งเมืองละโว้หรือลพบุรีเป็นเมืองศูนย์กลาง โดยกษัตริย์ขอมส่งเจ้านายและขุนนางที่เป็นตัวแทนพระองค์มากำกับการปกครอง
การที่ขอมเข้ามามีอำนาจ ก็ทำให้ชนชาติขอมจากเมืองพระนครเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และเป็นผู้คนในดินแดนนี้ด้วย จึงเท่ากับดินแดนประเทศไทยมีชนชาติมอญและชนชาติขอมหรือเขมรอยู่เป็นส่วนใหญ่
จนล่วงเข้ามาราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ก็มี “ชนชาติไทย” ที่ฝรั่งบอกว่าเคยเป็นใหญ่อยู่ในประเทศจีนตอนใต้ โดยมีอาณาจักรน่านเจ้าเป็นรัฐสำคัญ ได้ถูกจีนตีแตกจนทำให้คนไทยต้องอพยพลงมาทางภาคเหนือของไทย เช่น เชียงราย เชียงแสน แล้วเข้ามายังเมืองสุโขทัย ซึ่งเป็นเมืองในปกครองของขอม คนไทยทยอยกันเข้ามาตั้งถิ่นฐานและเป็นพลเมืองอยู่ภายใต้อำนาจทางการเมืองของขอมอยู่ก่อน แต่พอพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ก็มีกำลังกล้าแข็ง
ผู้นำคนไทยที่เข้มแข็งสองคน คือขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด และขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง ต่างผนึกกำลังกันแข็งข้อต่อขอม ยกกองทัพเข้าขับไล่โขลญลำพง ผู้เป็นขุนนางขอมที่ปกครองเมืองสุโขทัยออกไป แล้วประกาศความเป็นอิสรภาพของคนไทย ตั้งสุโขทัยเป็นเมืองหลวง โดยมีขุนบางกลางหาวขึ้นครองราชย์ในพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ “สุโขทัยจึงเป็นราชธานีแห่งแรกของชนชาติไทย”
ต่อจากพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ก็เป็นรัชกาลของพ่อขุนรามคำแหง ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นพระมหาราช ทรงทำสงครามปราบปรามบ้านเมืองต่างๆ และขยายอำนาจอาณาจักรสุโขทัยกว้างไกล ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น แล้วสร้างศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ ขึ้นมาประกาศพระกรณียกิจที่ทรงกระทำให้กับบ้านเมือง จนกลายเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งของประวัติศาสตร์ชนชาติไทย

จารึกวัดป่ามะม่วง อักษรไทย ภาษาไทย พบที่เมืองเก่า สุโขทัย
ตามที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า ทั้งปราชญ์ผู้นำ คือปราชญ์ฝรั่ง กับปราชญ์ผู้ตาม คือปราชญ์ไทย ต่างก็ช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ชนชาติไทยที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๗๐๐ ปีที่ผ่านมา โดยมีสุโขทัยเป็นราชธานี และมีพ่อขุนรามคำแหงทรงเป็นมหาราชพระองค์แรก
ประวัติศาสตร์นี้คือสิ่งที่ใช้สอนกันในการศึกษาของชาติทั้งระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย จนกลายเป็นประวัติศาสตร์ชาติที่เห็นว่าเป็นสิ่งถูกต้อง เป็นข้อยุติที่ทุกคนต้องเชื่อ เช่นเดียวกันกับบรรดาตำนานพงศาวดารที่เคยมีมาก่อน
ดูเหมือนทั้งผู้นำของชาติและบรรดาปราชญ์ราชครูทั้งหลายต่างก็พากันเลิกให้ความสำคัญกับตำนานพงศาวดารที่เคยเชื่อกันมาก่อนโดยสิ้นเชิง บางท่านก็ตำหนิว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เชื่อถือไม่ได้ และก็หันมาเชื่อประวัติศาสตร์สุโขทัยที่ว่านี้แทน
แต่ที่น่าประหลาดก็คือ ใครก็ตามที่ยังให้ความสำคัญกับตำนานพงศาวดาร และแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งหรือคัดค้านประวัติศาสตร์สุโขทัยที่เป็นประวัติศาสตร์ชาตินี้ จะถูกกล่าวหาว่านอกคอก เป็นพวกชาตินิยม (เพราะไม่ยอมรับความคิดเห็นของนักปราชญ์ฝรั่ง)
และที่สำคัญที่สุด ถือเป็นการหมิ่นพระเกียรติของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเลยทีเดียว โดยเฉพาะถ้ามีการคัดค้านใดๆ ที่เกี่ยวกับจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ ที่เชื่อกันว่าพ่อขุนรามคำแหงโปรดฯ ให้สร้างขึ้น เลยทำให้ศิลาจารึกที่น่าจะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์กลายเป็น “จารึกทางตำนาน” ไป
กระนั้นก็ดี ก็ยังมีผู้ที่แสดงความสงสัยและเขียนอะไรต่ออะไรขึ้นมาขัดแย้งกับจารึกทางตำนานนี้อยู่เนืองๆ จากคนรุ่นเก่าถึงรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ที่ไปเล่าเรียนวิชาประวัติศาสตร์มา หรือที่มีความรู้เกี่ยวกับวิชาประวัติศาสตร์ว่าเป็นวิชาที่ไม่ได้หาข้อยุติ และเป็นวิชาที่ต้องคิดและตั้งคำถามมากขึ้น ดังนั้น ข้อขัดแย้งในเรื่องประวัติศาสตร์สุโขทัยและจารึกพ่อขุนรามคำแหงจึงกลายเป็นปัญหาระดับชาติที่เกิดขึ้นเสมอมา
ในบรรดากลุ่มผู้ที่ขัดแย้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สุโขทัยแห่งชาติและจารึกพ่อขุนรามคำแหงนั้น มีกลุ่มใหญ่อยู่สองกลุ่ม
กลุ่มแรก ไม่เชื่อเรื่องอำนาจทางการเมืองของสุโขทัยในสมัยพ่อขุนรามคำแหง อีกทั้งไม่เชื่อว่าศิลาจารึกหลักนี้เป็นสิ่งที่พ่อขุนรามคำแหงสร้างขึ้น หากเชื่อว่าสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยหลังรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง และเป็นจารึกที่สร้างขึ้นเพื่อตอบโต้ปัญหาการเมืองในสุโขทัยเอง ระหว่างตระกูลของขุนผาเมืองกับตระกูลของขุนบางกลางหาว ผู้ที่ขุนผาเมืองอภิเษกให้เป็นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ปกครองเมืองสุโขทัย ข้อคิดเห็น ข้อขัดแย้งของกลุ่มนี้ มักถูกบรรดานักวิชาการที่ยึดมั่นถือมั่นในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงกีดกัน และกล่าวหาว่านอกคอก หรือไม่ก็มุ่งทำลายพระเกียรติคุณของพ่อขุนรามคำแหงเลยทีเดียว
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ที่มีความเห็นว่า ศิลาจารึกหลักนี้เป็นของที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยขึ้นมา กลุ่มนี้กำลังถูกข้อกล่าวหาที่ฉกรรจ์ คือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ถึงสองพระองค์ คือพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันถึงขนาดถูกมองว่าเป็นคนทรยศ เนรคุณ และทำลายเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของคนสุโขทัย จนต้องมีการเดินขบวนและเผาพริกคั่วเกลือ แช่งชักหักกระดูกกันอย่างใหญ่โต
ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งในกลุ่มแรกที่มีความขัดแย้งกับประวัติศาสตร์สุโขทัยและจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหง ข้าพเจ้าได้เคยเขียนเหตุผลในการโต้แย้งไว้ในหลายๆ ที่แล้ว จะไม่ย้อนกลับไปกล่าวถึงอีก หากจะขอเพิ่มเติมประเด็นบางอย่างที่คิดขึ้นได้ในตอนหลัง
เรื่องสำคัญก็คือคำว่า “ชนชาติไท” ถ้ามองตามกับดักของปราชญ์ฝรั่งสมัยยุคล่าอาณานิคม ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบรมครูของปราชญ์ไทยแล้ว ดูเหมือนมองกลุ่มชนชาติสัมพันธ์กับยุคสมัย ดังกำหนดว่าสมัยทวารวดีเป็นยุคของชนชาติมอญเป็นใหญ่ จึงมีภาษาเขียนที่ปรากฏในจารึกเป็นภาษามอญ ในยุคนี้เมืองนครปฐมถูกกำหนดให้เป็นราชธานีของอาณาจักรทวารวดีที่มีชนชาติมอญปกครอง
พอถึงสมัยลพบุรี ชนชาติขอมหรือเขมรเข้ามาเป็นใหญ่ จึงปรากฏพบโบราณสถานวัตถุที่เป็นศิลปะขอม และจารึกที่เป็นภาษาขอม ยุคนี้ได้กำหนดให้เมืองละโว้หรือลพบุรีเป็นเมืองสำคัญ และเป็นเมืองที่มีชนชาติขอมเป็นใหญ่
ครั้งถึงสมัยสุโขทัยก็เป็นเรื่องชนชาติไทเข้ามาเป็นใหญ่แทนพวกขอม จึงปรากฏจารึกภาษาไทยที่สร้างขึ้นโดยพ่อขุนรามคำแหงขึ้น
ในความคิดของข้าพเจ้า การกำหนดเช่นนี้ก็คือการนำภาษาเข้าไปสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเชื่อว่าคนที่พูดภาษาเหมือนกันนี้ทั้งหมดเป็นคนในชาติพันธุ์เดียวกัน ซึ่งก็ทำให้เกิดความเข้าใจไปในทำนองว่าเป็นกลุ่มคนที่มีสายเลือดเดียวกัน ที่เรียกว่า เชื้อชาติ [Race]
ปัจจุบัน สิ่งที่เรียกว่าเชื้อชาติ [Race] นี้ บรรดานักวิชาการทั้งสายวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์เกือบทั้งโลกได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่เป็นจริง เพราะวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์นั้น การรวมกลุ่มกันเป็นชาติพันธุ์จนถึงการเป็นชนชาตินั้น เป็นเรื่องการผสมผสานกันทางวัฒนธรรม [Culture] มากกว่า
ในหมู่คนจีน ที่นับได้ว่าเป็นกลุ่มชนชาติใหญ่นั้นคือสิ่งแสดงให้เห็นในเรื่องนี้ว่า ความเป็นจีนที่สำคัญคือการโยงใยคนกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ด้วยภาษาที่ใช้เป็นภาษากลาง และคนจีนเองเวลามองคนกลุ่มอื่นที่ต่างจากตนแยกออกเป็นชนเผ่าและชนชาติ ก็มองจากภาษาหลักที่ใช้เหมือนกัน
คนจีนมองคนในชาติพันธุ์ไทว่าเป็นชนชาติ เพราะเป็นกลุ่มใหญ่ และมีเครือข่ายตามท้องถิ่นและภูมิภาคอื่นๆ มากมาย หาใช่เป็นชนเผ่าซึ่งเป็นชนกลุ่มเล็กๆ ไม่
เพราะฉะนั้น ความเป็นคนไทยจึงเป็นเรื่องของภาษาและวัฒนธรรมมากกว่า แต่สังคมไทยและรัฐไทยที่ผ่านมาจนบัดนี้ยังมีความคิดเห็นว่า การเป็นคนไทยนั้น ภาษาเป็นสิ่งที่แสดงลึกลงไปจนถึงการสืบสายเลือด จึงเชื่อกันว่าคนไทยเป็นผู้ที่สืบเชื้อชาติเดียวกันมาตั้งแต่เทือกเขาอัลไต มาน่านเจ้า สุโขทัย อยุธยา จนถึงกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน เลยทำให้ประวัติศาสตร์ไทยสมัยสุโขทัยและที่เรียนกันตามโรงเรียนทั่วไปในขณะนี้คือประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยม ประวัติศาสตร์แห่งชาติที่สัมพันธ์กับการสร้างรัฐชาติ [Nation state] นั้นมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ - ๕ แต่พอมาถึงสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ขบวนการชาตินิยมก็เกิดขึ้น จึงทำให้ประวัติศาสตร์ชาติแต่เดิมกลายเป็นประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยมไป เพราะต้องการแสดงให้ทั้งโลกและคนไทยเห็นว่า ก่อนที่คนไทยจะปลดแอกตัวเองจากการปกครองของขอมครั้งสุโขทัยนั้น ไทยเคยเป็นชาติใหญ่มีอารยธรรม เป็นเมือง เป็นอาณาจักรมาแล้วในดินแดนประเทศจีน ซึ่งอาจจะเก่าแก่ไปกว่าจีนเสียอีก
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ถ้าวิเคราะห์แยกภาษา โดยเฉพาะภาษาไทย ว่าไม่เกี่ยวกับการเป็นชาติพันธุ์แบบสืบสายเลือด แต่หากเป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่มีศักยภาพในเรื่องบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมแล้ว ก็จะเห็นว่า “กับดัก” ของปราชญ์ฝรั่งยุคล่าอาณานิคม ที่กำหนดว่าดินแดนประเทศไทยมีชนชาติมอญที่พูดภาษามอญ และชนชาติขอมที่พูดภาษาเขมรครอบครองมาก่อนการเข้ามาแทนที่ของชนชาติไทยจะอ่อนตัวลง แล้วจะเห็นได้ว่า การเป็นชนชาติมอญและชนชาติขอมนั้น แท้ที่จริงเกิดจากการบูรณาการทางวัฒนธรรมและการเมืองของคนหลายชาติพันธุ์หลายภาษา และจะแลเห็นวัฒนธรรมในสองระดับ
ระดับหนึ่งเรียกว่า “กลุ่มท้องถิ่น” ที่มีสำนึกความคล้ายคลึงทางชาติพันธุ์เหมือนกัน [Ethnicity] กลุ่มเหล่านี้มีความสัมพันธ์ทางสังคมในลักษณะเสมอภาค และมีภาษาถิ่นที่มีลีลาและสำเนียงเดียวกัน
ส่วนอีกระดับหนึ่งคือ “กลุ่มบ้านเมือง” [Polity] เป็นกลุ่มที่มีคนหลายชาติพันธุ์มาอยู่รวมกัน จึงต้องมีบูรณาการทั้งในด้านวัฒนธรรมและการเมืองเพื่ออยู่ร่วมกัน โดยสร้างภาษากลางที่ใช้สื่อร่วมกัน และมีการจัดระเบียบสังคมให้มีความซับซ้อนและเหลื่อมล้ำกัน คือมีทั้งระดับผู้นำ ที่มีสถานภาพและรูปแบบในการดำรงชีวิตแตกต่างไปจากระดับคนธรรมดาทั่วไป ความเป็นชนชาติไทยนั้นนับเนื่องในกลุ่มบ้านเมือง
ในเรื่องนี้ ถ้าหากมองจากหลักฐานและงานค้นคว้าทางมานุษยวิทยาที่อาจนำมาอ้างอิงได้ในที่นี้ ก็คืองานของลีช (E. R. Leach 1910 - 1989) เรื่อง Political Systems of Highland Burma (1954) ที่ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกะฉิ่นกับคนไทใหญ่ในพม่า คนกะฉิ่นเป็นชนเผ่าในที่สูง มีโครงสร้างสังคมอีกแบบหนึ่ง พอลงมาสัมพันธ์กับคนไทใหญ่บนพื้นราบ ก็ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างมาเป็นแบบคนไทไป ในขณะที่คนไทเองก็มีคนระดับผู้นำ คือเจ้าฟ้าและพวกบริวาร
เมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาเกี่ยวกับชนชาติไททั้งในประเทศเวียดนาม พม่า และยูนนาน ก็เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องตำแหน่งและสภาพแวดล้อมในการตั้งถิ่นฐานของคนไท
คนหลายเผ่าพันธุ์ตั้งหลักแหล่งอยู่ในพื้นที่หุบเขาเดียวกัน ตามระดับความสูงที่แตกต่างกัน แต่คนไทมักตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มที่มีทั้งบริเวณที่ลาดเชิงเขาที่สามารถตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มใหญ่โตได้ มีพื้นที่ราบลุ่มทำการเกษตรได้ดีกว่าคนที่อยู่บนที่สูง แต่ที่สำคัญ สามารถควบคุมการใช้น้ำที่ไหลมาจากที่สูงให้มีน้ำใช้ทั้งในด้านการบริโภคอุปโภคและการ เกษตรได้ดี รวมทั้งตำแหน่งที่ตั้งถิ่นฐานนั้นสะดวกแก่การสัญจรไปมา เกิดมีบริเวณที่กำหนดให้เป็นตลาด ทั้งเพื่อการดำรงอยู่ภายในท้องถิ่น และการแลกเปลี่ยนสินค้าและสิ่งของระหว่างท้องถิ่นด้วย จึงกลายเป็นที่ดึงดูดให้ผู้คนหลายชาติพันธุ์เข้ามาติดต่อค้าขายรวมทั้งเข้ามาตั้งถิ่นฐานผสมผสานด้วย ทำให้ความเป็นชนชาติไทนั้นมีหลายชาติพันธุ์ที่รวมกัน ใช้ภาษากลางซึ่งเป็นภาษาไทร่วมกัน มีการเติบโตเป็นบ้านเป็นเมืองและรัฐขึ้น จนสามารถสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ทั้งทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจไปยังกลุ่มบ้านเมืองตามหุบเขาต่างๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ความเป็นชนชาติในกลุ่มบ้านเมืองของคนไทดังกล่าวนี้หาได้หยุดนิ่งไม่ หากเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในทางขยายเครือข่ายตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยมีการรวมตัวกันเป็นบ้านเมืองที่เป็นรัฐขนาดใหญ่ถึงขั้นเป็นอาณาจักรได้เลย หากเป็นแต่รัฐอิสระเล็กๆ ที่มีเจ้าฟ้าหรือเจ้าเมืองปกครองเท่านั้น ในยามที่เกิดความเดือดร้อน เช่นมีสงคราม ก็อาจจะรวมตัวกันเป็นพักๆ เพื่อต่อต้านศัตรูร่วมกัน หลังจากนั้นก็กลับคืนความเป็นอิสระดังเดิม
แต่ในยุคที่ภูมิภาคมีรัฐหรืออาณาจักรเกิดขึ้น ชนชาติไทที่เป็นกลุ่มบ้านเมืองอิสระเหล่านี้อาจถูกดูดกลืนให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรและระบบการเมืองที่ซับซ้อนได้ อย่างเช่นเรื่องของรัฐหรืออาณาจักรน่านเจ้า ที่ในประวัติศาสตร์ชาตินิยมของไทยกล่าวว่าเคยเป็นอาณาจักรของคนไทนั้น แท้จริงคนไทเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หรือถ้าจะมองให้ลึกลงไปกว่านี้ก็คือ คนในตระกูลผู้นำของคนไทอาจเข้าไปมีความสัมพันธ์ทางสังคมกับกษัตริย์หรือราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรนั้นอยู่ เพราะเหตุว่าบุคคลในระดับกษัตริย์และพระราชวงศ์นั้นคือผู้ที่สังคมอุปโลกน์และยอมรับให้อยู่เหนือกว่าบุคคลธรรมดา เพื่อที่จะไม่เป็นคนของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ว่าสามารถมีความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองกับคนกลุ่มอื่นเมืองอื่นด้วยการแต่งงานได้

จอมพลป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทย
ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ มีการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจและการเมืองของชนชาติไท ตลอดจนชนชาติอื่นๆ ในบริเวณตอนใต้ของประเทศจีนเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากความกดดันในเรื่องการมีผู้คนเพิ่ม ต้องการแหล่งทำกินและตั้งถิ่นฐานเพิ่มเติม รวมทั้งการรุกล้ำปราบปรามของคนจีนด้วย จึงเกิดการเคลื่อนย้ายเพื่อสร้างบ้านแปงเมืองขึ้น
ผู้คนเหล่านี้ โดยพื้นฐานมีการค้าระยะไกลจากหุบเขาโน้นไปหุบเขานี้ ตลอดจนมีความรู้ในเรื่องดินแดนที่ห่างไกลทั้งทางบกและทะเลดี จึงรู้ว่าท้องถิ่นใด ดินแดนใดที่อาจเข้าไปทำการค้าขายและสร้างบ้านแปงเมืองได้ โดยเฉพาะดินแดนประเทศไทย ที่ยังมีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่ว่างเปล่าอยู่มาก จึงมีการเคลื่อนย้ายเข้ามาทั้งทางบกและทางทะเล ทำให้เกิดบ้านเมืองใหม่ๆ ขึ้นทั้งบริเวณชายทะเลและบริเวณภายใน ที่รู้จักกันในนามว่า “สยามประเทศ”
ในช่วงเวลาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ ลงมา บ้านเมืองที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้ได้มีการรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นมากขึ้น จึงมีการกล่าวถึงเรื่องการส่งทูตจากสยามประเทศไปเจริญสัมพันธไมตรีทางการค้ากับจีน คนในสยามประเทศแม้ว่าจะมีความหลากหลายในเรื่องชาติพันธุ์ แต่ก็ถูกเรียกจากคนภายนอกอย่างเดียวกันว่าเป็นคนสยาม ชนชาติไทคงนับเป็นชนกลุ่มใหญ่ของสยาม และภาษาไทก็ได้รับการยกให้เป็นภาษากลางที่สื่อสารระหว่างกันทั้งเป็นการภายในและกับคนภายนอก
พอล่วงเข้าพุทธศตวรรษที่ ๑๘ บรรดาบ้านเมืองที่เป็นรัฐเก่า อาณาจักรเก่า เช่น เมืองพระนครและพุกามก็เสื่อมโทรมลง คนกลุ่มใหม่ที่พูดภาษาไทเป็นภาษากลางก็เจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการผสมผสานและผนวกบ้านเมืองเดิมในรัฐเดิม รวมทั้งผู้คนเข้าสู่บ้านเมืองยุคใหม่ที่มีการแบ่งออกเป็นแคว้นหรือรัฐอิสระหลายรัฐด้วยกัน อันได้แก่นครศรีธรรมราช สุพรรณภูมิ อโยธยา สุโขทัย ล้านนา และล้านช้าง เป็นต้น บ้านเมืองเหล่านี้ แม้ว่าเป็นอิสระต่อกัน แต่ก็มีความสัมพันธ์กันทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น การกินดองเป็นญาติกันทางการแต่งงานระหว่างกษัตริย์ต่างแคว้นกัน และการใช้ภาษาไทเป็นสื่อกลางระหว่างกัน
ดังนั้น ถ้าหากจะพิจารณาจากการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนหลายชาติพันธุ์เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เรียกว่าสยามประเทศ และใช้ภาษาไทซึ่งเคยเป็นภาษาที่สื่อกันระหว่างคนหลายกลุ่มเหล่าและหลายชาติพันธุ์ในดินแดนทางใต้ของจีนมาก่อน มาเป็นภาษากลางของผู้คนในสยามประเทศแล้ว ก็จะแลเห็นว่าภาษาไทหาได้ผูกพันติดกับชนชาติใดชาติหนึ่ง เช่นชนชาติไทยโดยเฉพาะไม่ หากได้กลายมาเป็นภาษาที่มีบทบาทในบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมให้กับคนสยามที่มาจากหลายเผ่าพันธุ์ และในขณะเดียวกันก็ใช้สื่อสารกับคนกลุ่มอื่นจากภายนอกอย่างมีเอกภาพ
เมื่อมาถึงตรงนี้ ก็อาจนึกย้อนหลังไปถึงสมัยทวารวดีและลพบุรีที่ปราชญ์ฝรั่งเศสและปราชญ์ไทยผู้ติดตามบอกว่าเป็นพวกมอญและเขมร เพราะเหตุว่าใช้ภาษานั้นๆ เรื่องก็คงเป็นทำนองเดียวกัน คือเป็นภาษาสำคัญที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างผู้คนหลายชาติพันธุ์ที่มีอยู่มากมายในบ้านเมือง ยิ่งเมืองไหนใหญ่โตก็ยิ่งเป็นแหล่งรวมของผู้คนนานาชาติ ยกตัวอย่างเช่นเมืองนครชัยศรี หรือนครปฐมโบราณ เป็นต้น ที่ยังปรากฏภาพสลักบนแผ่นอิฐและภาพปูนปั้นที่ประดับตามฐานพระสถูปเจดีย์เป็นรูปแบบของคนต่างเผ่าพันธุ์ให้เห็น หรือภาพสลักบนผนังระเบียงคดของปราสาทนครวัดและปราสาทบายนก็เช่นเดียวกัน ล้วนแสดงให้เห็นว่าการเป็นเมืองหรือรัฐขนาดใหญ่นั้นมีคนหลายชาติหลายภาษาอยู่รวมกัน จึงต้องมีบูรณาการทางภาษาเพื่อให้สื่อสารกันได้
ภาษาที่ถูกเลือกให้เป็นภาษากลางจึงมีหน้าที่สำคัญในการสร้างความเป็นพลเมืองของเมืองหรือรัฐนั้น มากกว่าการเป็นตัวแทนของชนชาติใดชาติหนึ่ง
ยิ่งกว่านั้น การเกิดบ้านเมืองและรัฐในสมัยทวารวดีและลพบุรีก็เป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นจากกระบวนการเคลื่อนย้ายของผู้คนจากภายนอกทั้งทางบกและทางทะเลเข้ามาตั้งถิ่นฐานร่วมกัน ผู้คนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์มีทั้งที่เข้ามาและออกไปอยู่เป็นประจำ
ถ้าย้อนเข้าไปในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ตามหลักฐานโบราณคดีที่พบใหม่ๆ ในขณะนี้ ก็จะเห็นได้ว่าการเคลื่อนย้ายของผู้คนจากภายนอกเข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองในดินแดนประเทศไทยนั้น มีมาราว ๔,๐๐๐ ปีที่แล้วมา ผู้คนเหล่านี้มีหลายชาติพันธุ์จากทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยผ่านเข้ามาทางประเทศเวียดนาม ล้วนเป็นผู้คนที่มีความรู้ในเรื่องการนำโลหะสำริดมาทำเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับ คนเหล่านี้กระจายอยู่ทั้งในบริเวณชายทะเลและดินแดนภายใน เช่น ในบริเวณลุ่มน้ำลพบุรี - ป่าสัก และดินแดนที่ราบสูงโคราช
พอประมาณ ๒,๕๐๐ ปีลงมาก็เข้าสู่ยุคเหล็ก ที่มีผู้คนจากภายนอก เช่นจากโพ้นทะเล จากอินเดีย เข้ามาติดต่อทั้งด้วยการค้าระยะไกลและการเข้ามาตั้งถิ่นฐาน เกิดเป็นเมืองเป็นรัฐขึ้น
ความหลากหลายของท้องถิ่นในเรื่องชีวภาพและชาติพันธุ์ ทำให้เกิดท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเกิดขึ้น ท้องถิ่นแต่ละแห่งก็อาจมีการผสมผสานทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ให้กลายเป็นกลุ่มที่มีสำนึกรวมกันในทางชาติพันธุ์ [Ethnicity] ที่มีตระกูลใหญ่และตระกูลน้อยอยู่ร่วมกัน
ผู้ที่อยู่ในตระกูลใหญ่คือผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำ หลายกลุ่มท้องถิ่นที่มีหัวหน้าตระกูลเป็นผู้ปกครองเหล่านี้ มีความสัมพันธ์กันทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง จนทำให้เกิดพื้นที่ทางการเมือง [Polity] ที่เป็นเมือง รัฐ หรือแคว้นร่วมกัน โดยเลือกภาษาของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีศักยภาพในการสื่อสารสูงให้เป็นภาษากลางร่วมกัน สร้างลัทธิความเชื่อและจารีตประเพณีในการอยู่ร่วมกัน เมื่อมีการติดต่อกับทางอินเดียและบ้านเมืองโพ้นทะเลอื่นๆ บรรดาผู้นำของรัฐและแคว้นเหล่านั้นก็นำเอาศาสนาและอารยธรรมอินเดียเข้ามาสร้างให้เกิดบูรณาการทางวัฒนธรรมและการเมืองขึ้น จนมีระบบกษัตริย์ ภาษา อักษร และศิลปะ อารยธรรม เกิดรัฐเล็กและรัฐใหญ่ที่มีวัฒนธรรมร่วมสมัยกัน
ข้าพเจ้ามีความเห็นขัดแย้งและชิงชังต่อปราชญ์ฝรั่งและปราชญ์ไทยที่เป็นฝ่ายตาม ที่มองว่าในพื้นที่ทางการเมืองที่เป็นรัฐหรือเมืองใหญ่ๆ [Polity] นั้น มีชนชาติใดชนชาติหนึ่งเป็นใหญ่ หรือเป็นพลเมืองทั้งหมด โดยใช้ภาษาและจารึกเป็นหลักฐานยืนยัน เพราะดีแต่อ้างในเรื่องสิ่งสมมุติในระดับวัฒนธรรมหลวง ไม่ยอมรับความเป็นจริงในเรื่องชาติพันธุ์ที่อยู่ในระดับท้องถิ่น ที่เรียกว่าวัฒนธรรมราษฎร์ แต่ที่แย่ที่สุดก็คือการสร้างประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยมที่ใช้ภาษาไทยและจารึกเป็นพื้นฐานให้เกิดการเปลี่ยนชื่อประเทศจากประเทศสยามเป็นประเทศไทย ตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา
ข้าพเจ้ารู้สึกละอาย เมื่อรัฐบาลพม่าเปลี่ยนชื่อประเทศจากพม่า ซึ่งหมายถึงชนชาติ มาเป็น “เมียนมาร์” ซึ่งหมายถึงการอยู่รวมกันของหลายชาติพันธุ์ในดินแดนเดียวกัน สติปัญญาของผู้นำพม่าดูมีวิวัฒนาการแบบขึ้น [Evolution] แต่ของไทย ดูเหมือนนับวันเจริญลง [Involution]
บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณปีที่ ๓๐ ฉ. ๓ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๔๗)
Comments