top of page

เมืองสกลนครโบราณในรัฐ “ศรีโคตรบูร” และตำนานอุรังธาตุ

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 1 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2558


การพังทลายลงหักเป็นสามท่อนส่วนฐานซึ่งเป็นของเดิมถูกเครื่องบนกระแทกลงมาแตกเป็นผุยผง

มองเห็นส่วนยอด อิฐก่อแบบสอปูนซึ่งเป็นฝีมือการปฏิสังขรณ์

สมัยพระไชยเชษฐาจากเวียงจันทน์กับยอดบนเป็นฝีมือปฏิสังขรณ์สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองไทยรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามสมัยแรก


ทุกวันนี้เรารู้จักพระธาตุพนมในลักษณะที่ว่าเป็นพระธาตุเจดีย์ที่เก่าแก่และมีความศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยแต่ปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่ามีมานานเท่าใดใครเป็นผู้สร้างอยู่ในแว่นแคว้นใดมาก่อนตลอดจนมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพียงใดนั้นยังเป็นที่คาดคะเนไม่ได้แน่นอนและมักเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันในวงการโบราณคดี


สิ่งที่พอจะกล่าวได้อย่างมั่นใจขณะนี้ก็คือลักษณะของศิลปกรรมอันได้แก่ลวดลายและภาพที่สลักบนแผ่นอิฐซึ่งประดับรอบพระธาตุเจดีย์ตอนล่างทั้งสี่ด้านเป็นลักษณะศิลปกรรมที่เป็นตัวเองไม่ใช่ลักษณะศิลปะของจาม มอญ และขอม ทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่า เป็นของที่สร้างโดยชนกลุ่มหนึ่งซึ่งในสมัยโบราณคือเจ้าของดินแดนสองฝั่งแม่น้ำโขง หลักฐานทางโบราณคดีขณะนี้ยังไม่มีเพียงพอส่วนใหญ่เป็นตำนานพงศาวดารซึ่งเรียบเรียงขึ้นภายหลังเหตุการณ์เป็นจริงที่เกิดขึ้นช้านาน


เอกสารที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติของพระธาตุพนมและเรื่องราวของประชาชนตลอดจนแว่นแคว้นที่เกี่ยวข้องซึ่งถือได้ว่าดีที่สุดขณะนี้ก็คือตำนานอุรังคธาตุ


คำว่าอุรังคธาตุนั้นหมายถึงพระบรมธาตุส่วนหน้าอกของพระพุทธเจ้าซึ่งพระมหากัสสปะนำมาประดิษฐานไว้ ณ ดอยกัปปนคีรีหรือภูกำพร้า อีกนัยหนึ่งก็คือพระธาตุพนมนั่นเอง


พระพุทธรูปปางสมาธิและชิ้นส่วนของรูปสลักจากหิน


ตำนานเล่มนี้การเรียงลำดับเหตุการณ์และสถานที่ดูค่อนข้างสับสนจึงมีผู้นำไปเรียบเรียงใหม่ให้อ่านง่ายขึ้นหรือไม่ก็มีผู้ตัดตอนเอาเรื่องราวของสถานที่ไปแยกเขียนเป็นประวัติตำนานของท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ตำนานพระธาตุเชิงชุม ตำนานพระบาท ตำนานพระธาตุนารายณ์เจงเวง ฯลฯ


สาระสำคัญในตำนานอุรังคธาตุนั้นอาจวิเคราะห์เป็นเรื่องสำคัญได้ดังนี้ เรื่องแรกคือพุทธทำนายเป็นสิ่งที่จะต้องมีประจำอยู่ในทุก ๆ ตำนานคือการที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดสัตว์ยังท้องถิ่นใดถิ่นหนึ่งในสุวรรณภูมิแล้วทรงทำนายการเกิดของบริเวณที่จะเป็นศาสนสถานวัดวาอารามหรือบ้านเมือง ตลอดจนการกำหนดพระมหากษัตริย์หรือบุคคลที่จะทะนุบำรุงพระศาสนา


ในตำนานอุรังคธาตุนี้พระพุทธองค์เสด็จมาโปรดดินแดนในลุ่มแม่น้ำโขงโดยเฉพาะทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้ในท้องที่ต่าง ๆ เช่นที่ หนองคาย สกลนคร และนครพนมทรงกำหนดภูกำพร้าในเขตอำเภอธาตุพนมเป็นสถานที่บรรจุพระ


อุรังคธาตุ และทำนายการเกิดของนครเวียงจันทน์ในบริเวณหนองคันแทเสื้อน้ำ ถัดจากพุทธทำนายก็เป็นนิยายปรัมปรา [Myth] เกี่ยวกับประวัติการเกิดของภูมิประเทศอันได้แก่ แม่น้ำ ที่ราบ และภูเขา ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกลุ่มชนที่อยู่อาศัย ตำนานอุรังคธาตุกล่าวถึงการเกิดของแม่น้ำสำคัญๆตามลำแม่น้ำโขงว่าเป็นการกระทำของพวกนาค ซึ่งแต่เดิมมีที่อยู่อาศัยในหนองแสเขตยูนนานทางตอนใต้ของประเทศจีน


นาคเหล่านั้นได้เกิดทะเลาะวิวาทกันจนเป็นเหตุให้ต้องทิ้งถิ่นฐานเดิมล่องมาตามลำแม่น้ำโขงทางใต้ขุดควักพื้นดินทำให้เกิดแม่น้ำสายต่างๆ ขึ้น เช่น แม่น้ำอู แม่น้ำพิง แม่น้ำงึม แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล ฯลฯ


ข้อความที่เกี่ยวกับหนองแสและการวิวาทกันของพวกนาคจนเป็นเหตุให้ต้องหนีลงมาทางใต้ตามลำแม่น้ำโขงนั้นตรงกันกับข้อความในตำนานอื่นคือตำนานสุวรรณโคมคำและตำนานสิงหนวัติ


อันเรื่องราวเกี่ยวกับนาคนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่นิยมกันมากในบรรดาบ้าน เมืองสองฝั่งแม่น้ำโขงตั้งแต่หนองแส ซึ่งเป็นตอนต้นน้ำในเขตยูนนาน ลงมาจนถึงเมืองเขมรตอนปากแม่น้ำโขงมีลัทธิเคารพบูชานาค เชื่อกันว่านาคเป็นผู้บันดาลให้เกิดแม่น้ำลำคลองเกิดความสมบูรณ์พูนสุขแก่บ้านเมืองและอาจบันดาลภัยพิบัติให้น้ำท่วมเกิดความล่มจมแก่บ้านเมืองได้


นาคมีความสัมพันธ์กับคนในฐานะเป็นบรรพบุรุษ เช่น ในประวัติของอาณาจักรฟูนันในจดหมายเหตุจีนกล่าวว่าพราหมณ์มาแต่งงานกับลูกสาวนาคแล้วตั้งตัวเป็นกษัตริย์ปกครองฟูนัน


ตำนานอุรังคธาตุกล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงทรมานพวกนาคจนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา กลายเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาไป


ยิ่งไปกว่านั้น นาคยังเป็นสถาบันที่ศักดิ์สิทธิ์ ในการปกครองและความยุติธรรม กษัตริย์องค์ไหนเจ้าเมืองคนไหนประพฤติผิดในการปกครองหรือประชาชนมีจิตใจไร้


ส่วนฐานแตกกระจายเป็นกองอิฐร่วนคลุมส่วนใกล้พื้นอันเป็นส่วนสำคัญของ

องค์พระธาตุยังไม่เปิดเห็นการหักแบบขาดกลางน้ำหนักอันมหาศาลนั้นได้กด

ทับฐานส่วนล่าง ซึ่งเป็นอิฐก่อไม่สอปูนมีลายจำหลักบนอิฐ


ศีลธรรมจะได้รับการลงโทษจากนาค ทำให้บ้านเมืองพิบัติล่มจมไปแต่ผู้ใดเจ้าเมืองใด ยึดมั่นในพระพุทธศาสนานาคก็จะทำตัวเป็นผู้คุ้มกันและช่วยเหลือนิยายปรัมปราคติ อันเกี่ยวกับนาคซึ่งเชื่อกันว่าเป็นความจริงนี้ถ้าหากวิเคราะห์และแปลความหมายตามหลักวิชามานุษยวิทยาแล้วอาจมองได้ ๒ ลักษณะ คือ

๑. นาคในลักษณะที่เป็นกลุ่มชนดั้งเดิม

๒. นาคในลักษณะที่เป็นลัทธิหนึ่งในทางศาสนา

ถ้าหากแบ่งขั้นตอนของการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนที่มาจากหนองแสตามตำนานแล้วก็กล่าวได้ว่า “ตำนานสุวรรณโคมคำและตำนานสิงหนวัติ” เป็นเรื่องของกลุ่มชนที่เคลื่อนย้ายมาตั้งรกรากอยู่ในเขตลุ่มน้ำโขงตอนบน

คือตั้งแต่เขตจังหวัดเชียงรายหลวงพระบางลงมาจนถึงจังหวัดเลย


ส่วนตำนานอุรังคธาตุนั้นเป็นเรื่องของผู้ที่เคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงตอนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยตั้งแต่เขตจังหวัดหนองคายลงไปจนถึงอุบลราชธานี


ส่วนเรื่องที่ว่า นาคเป็นลัทธิหนึ่งในทางศาสนานั้นหมายความว่าระบบความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชนที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงตั้งแต่หนองแสลงมา เป็นลัทธิที่เกี่ยวกับการบูชานาค


พระธาตุพนมล้ม วันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘ เวลา ๑๙.๓๘ น.

เพราะฝนตกพายุพัดแรงติดต่อหลายวันพระธาตุพนมจึงได้ล้มทลายลงมาทั้งองค์

ประชาชนทั้งประเทศได้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์ และรัฐบาลได้ก่อสร้างองค์พระ

ธาตุขึ้นใหม่ตามแบบเดิมเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๒


นาคเป็นสิ่งนอกเหนือธรรมชาติที่สำคัญ บันดาลให้เกิดแม่น้ำ หนอง บึง ภูเขา และที่อยู่อาศัย ครั้นเมื่อวัฒนธรรมอินเดียโดยเฉพาะพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์แพร่หลายเข้ามาลัทธิบูชานาคก็ได้ผสมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิศาสนาที่เข้ามาใหม่


จะเห็นได้ว่าเรื่องการที่พระพุทธเจ้าทรงทรมานนาคก็ดีเรื่องพระอิศวรและพระนารายณ์ (พระกฤษณะ) รบกับพญานาคก็ดีในตำนานอุรังคธาตุนั้นเป็นการแสดงถึงชัยชนะของศาสนาใหม่ที่มีต่อระบบความเชื่อเก่า


แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าระบบความเชื่อดั้งเดิมจะสลายตัวไป กลับถูกผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาใหม่ด้วย

ดังจะเห็นได้ว่าบรรดานาคได้กลายมาเป็นผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชน กษัตริย์หรือเจ้าเมืององค์ใดเป็นผู้ยึดมั่นในพระพุทธศาสนาก็มักจะได้รับความช่วยเหลือจากนาคในการสร้างบ้านแปงเมืองและบันดาลความอุดมสมบูรณ์ให้แก่บ้านเมือง


แต่ถ้ากษัตริย์หรือประชาชนไม่ยึดมั่นในพระศาสนาขาดศีลธรรมนาคก็จะกลายเป็นอำนาจนอกเหนือธรรมชาติที่บันดาลความวิบัติให้บ้านเมืองนั้นล่มจมเป็นหนองเป็นบึงไปอย่าง เช่น เมืองหนองหารหลวงและเมืองมรุกขนคร เป็นต้น


ลวดลายบนแผ่นอิฐไม่สอปูนที่สันนิษฐานภายหลังว่าน่าจะเป็นศิลปะแบบจาม


การบรรจุพระอุรังคธาตุและการสร้างตลอดจนบูรณะพระธาตุพนมเป็นเรื่องของการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นหรือบ้านเมืองต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วอาจแบ่งระยะเวลาออกได้เป็น ๒ ระยะ


ระยะแรก เป็นเรื่องราวที่เป็นนิยายปรัมปราคติ [Myth] คือเริ่มแต่สมัยพุทธกาลในรัชกาลของพระยาติโคตรบูรผู้ครองแคว้นศรีโคตรบูรพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดสัตว์ทรงกำหนดให้พระกัสสปะนำพระอุรังคธาตุมาบรรจุ ณ ภูกำพร้าหลังจากพระองค์นิพพานแล้ว


ครั้งพระมหากัสสปะนำพระอุรังคธาตุมาบรรจุนั้นพระยาติโคตรบูรสิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระยานันทเสนราชอนุชาขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งศรีโคตรบูรแทนได้ร่วมกับพระยาสุวรรภิงคารแห่งแคว้นหนองหานน้อย พระยาอินทปัฐนครแห่งแคว้นอินทปัฐนครและพระยาจุลณีพรหมทัตแห่งแคว้นจุลณี


เสากลมของ พระธาตุพนมตามซุ้มทิศ


หลังจากก่อองค์พระธาตุเสร็จแล้วพระอินทร์และเทพยดาทั้งหลายก็พากันมาสักการะพระอุรังคธาตุสร้างเสริมตกแต่งพระธาตุให้งดงาม ทำรูปกษัตริย์ทั้งหลายจากแคว้นต่างๆที่มีส่วนร่วมในการก่อพระธาตุทรงช้างทรงม้าพร้อมทั้งลวดลายประดับไว้บนผนังรอบๆองค์พระธาตุทั้งสี่ทิศ รูปเหล่านี้เชื่อกันว่าคือที่ปรากฏบนลวดลายสลักอิฐนั่นเอง เหตุนี้จึงเป็นสิ่งที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์เรื่อยมา


ต่อมาบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่ร่วมกันก่อพระธาตุก็สิ้นพระชนม์ไปแต่ว่าไปประสูติใหม่ในวงศ์กษัตริย์ของแคว้นต่าง ๆ ที่กล่าวนามมาแล้ว ในที่สุดพระยาติโคตรบูรก็ได้เสวยพระชาติเป็นพระยาสุมิตตธรรมครองเมืองรุกขนครแห่งแคว้นศรีโคตรบูรส่วนกษัตริย์องค์อื่น ๆ ได้บวชเรียนจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ทรงมาพบกันอีกทีและทรงร่วมกันบูรณะก่อสร้างพระธาตุพนมครั้งที่สองขึ้น ในครั้งนี้เชื่อกันว่าพระธาตุพนมมีรูปร่างเป็นคูหาสี่เหลี่ยมสองชั้นก่อด้วยอิฐซ้อนกัน


ส่วนยอดชั้นบนของพระธาตุพนมปฏิสังขรณ์สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม

หักลงมาทั้งท่อนยังเห็นลายดอกจันทร์และลายกระจังปิดทอง


ต่อจากรัชกาลพระยาสุมิตตธรรมแห่งมรุกขนครแล้วแคว้นโคตรบูรก็เสื่อมลงความสำคัญของบ้านเมืองได้ย้ายไปอยู่ที่นครเวียงจันทน์อันมีพระยาจันทรบุรีอ้วยล้วยเป็นต้นวงศ์กษัตริย์ และได้ทรงอุปถัมภ์พระธาตุพนมต่อมา


ระยะหลังเหตุการณ์เกี่ยวกับพระธาตุพนมเป็นเรื่องในสมัยล้านช้างซึ่งถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์แล้ว ตำนานอุรังคธาตุกล่าวว่าพระยาโพธิสาราชได้เสด็จมาบูรณปฏิสังขรณ์สร้างวิหารและถวายข้าพระเป็นจำนวนมากเพื่อคอยดูแลรักษาพระบรมธาตุพระยาโพธิสาราชนี้มีหลักฐานว่าขึ้นครองราชย์ในล้านช้างเมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๓


สมัยหลัง ๆ ลงมาก็ถึงรัชกาลพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงทราบเรื่องราวของพระธาตุพนมจากตำนาน ได้เสด็จมานมัสการพระบรมธาตุและทรงบูรณปฏิสังขรณ์ เรื่องของตำนานอุรังคธาตุที่มีมาแต่โบราณมาหมดสิ้นเอาในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้าง


พระธาตุพนม ณ วัดพระธาตุพนมวรวิหาร ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ในปัจจุบันในวันเพ็ญเดือน ๓ ถึง แรม ๑ ค่ำ เดือน ๓ ของทุกปีจะมีงานประจำปี


ต่อมาพระพนมเจติยานุรักษ์ (ปัจจุบันคือพระเทพรัตนโมลี) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมซึ่งเป็นปราชญ์มีความรอบรู้ในเรื่องอักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และโบราณคดีคนหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รวบรวมเรียบเรียงตำนานอุรังคธาตุขึ้นใหม่ให้ชื่อว่า “อุรังคนิทาน” ได้นำเอาเรื่องราวและเหตุการณ์เกี่ยวกับพระธาตุพนมในสมัยหลังรัชกาลพระเจ้าไชยเชษฐาลงมาจนปัจจุบันซึ่งมีบันทึกอยู่ในศิลาจารึกตำนานพงศาวดารและความทรงจำของผู้รู้ในท้องถิ่นมาเพิ่มเติมไว้ จากเรื่องราวที่เพิ่มเติมนี้ทำให้ทราบว่าพระธาตุพนมเป็นศาสนสถานที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือทุกยุคทุกสมัยการบูรณปฏิสังขรณ์แต่ละครั้งเป็นเหตุการณ์ในทางประวัติศาสตร์ซึ่งเจ้าบ้านผ่านเมือง ขุนนางข้าราชการ ประชาชน และพระภิกษุสงฆ์ต้องมาร่วมกันดำเนินการการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งสำคัญในภายหลังนี้ได้แก่ครั้งพระครูหลวงโพนสะเม็กใน พ.ศ. ๒๒๓๕ ครั้งพระครูวิโรจน์รัตโนบลจากวัดทุ่งศรีเมือง อุบลราชธานีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ และครั้งสุดท้ายกรมศิลปากรมาบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓


 

(เรียบเรียงจากบทความเรื่อง ตำนานอุรังคธาตุกับความคิดคำนึงทางโบราณคดี ตีพิมพ์ในวารสารเมืองโบราณ ฉบับพระธาตุพนม, ๒๕๑๘)


อ่านเพิ่มเติมได้ที่:






Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page