top of page

“เมืองแพร่” โครงสร้างทางกายภาพของเมืองโบราณที่มีชีวิต

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

อัปเดตเมื่อ 5 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 10 มิ.ย. 2559


ในที่นี้ เวียงแพร่ คือศูนย์กลางของเมืองแพร่ซึ่งมีลักษณะทางกายภาพเป็นเวียงโบราณอันหมายถึงมีการขุดคูน้ำคันดินล้อมรอบ บุคคลผู้มีสถานภาพมีการอยู่อาศัยภายในรอบคูเวียง มีการจัดการน้ำกินน้ำใช้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ มีพื้นที่ทำกินและภูมินิเวศของการตั้งถิ่นฐานสะดวกสามารถเดินทางติดต่อได้ทั้งทางน้ำและทางบก นอกจากนี้ลักษณะของโครงสร้างทางสังคมยังเป็นศูนย์กลางของการปกครอง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของบ้านเมืองในแอ่งที่ราบเมืองแพร่ ซึ่งในภูมินิเวศวัฒนธรรมของแอ่งเมืองแพร่ครอบคลุมชุมชนที่มีโครงสร้างทางกายภาพและโครงสร้างทางสังคมขนาดเล็กและซับซ้อนน้อยกว่าเวียงแพร่อีกหลายแห่ง



ในสังคมบ้านเมืองของล้านนา ความแตกต่างระหว่างความหมายของคำว่า “เวียง” กับ“เมือง” และ “เชียง” มีความแตกต่างปรากฏอยู่ ถึงแม้จะเป็นการเรียกชื่อระดับของชุมชนที่มีความซับซ้อนทางโครงสร้างสังคมมากกว่าบ้านเช่นเดียวกัน และอาจจะถูกใช้คาบเกี่ยวและคลุมเครือแต่ก็มีความหมายที่แตกต่างในการเรียกชื่อเฉพาะค่อนข้างชัดเจน ดังนี้


เวียง ผู้คนในล้านนาและเอกสารโบราณระบุว่า เวียง คือ เมืองที่มีการขุดคูน้ำและพูนคันดินล้อมรอบ อาจจะอยู่ในรูปสี่เหลี่ยม วงกลมหรือวงรี หรือไม่อาจบอกรูปร่างได้ ความเข้าใจของชาวบ้านปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงการเดินทางไปในเมืองที่มีคูน้ำและกำแพงเมืองมักจะพูดว่า “ไปในเวียง” และชาวบ้านในเวียงแพร่กล่าวเฉพาะเจาะจงไปอีกว่า “เวียง” หมายถึง “แนวคูน้ำ” ที่ล้อมรอบนั่นเอง


โครงสร้างทั้งทางสังคมของเวียงซึ่งแตกต่างไปจากหมู่บ้านและการสร้างกำแพงดินหรือกำแพงอิฐล้อมรอบนี้บ่งบอกถึงระบบป้องกันการบุกรุกจากภายนอก และอาจจะมีหน้าที่ของการชักน้ำธรรมชาติหรือกักเก็บน้ำไว้ใช้บ้าง หากแต่ในภาคเหนือชุมชนส่วนใหญ่ใช้น้ำจากลำห้วยและบ่อน้ำจึงไม่ชัดเจนเท่ากับชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งการขุดคูน้ำหมายถึงการกักเก็บน้ำไว้ใช้อย่างชัดเจนมากกว่า


ภายในเวียงมีวัดหลายแห่งแตกต่างจากหมู่บ้านที่มีวัดประจำชุมชนเพียงวัดเดียว มีกลุ่มสายตระกูลเป็นผู้อุปถัมภ์วัดที่เรียกว่าศรัทธาวัด มีคุ้มหรือวังของเจ้าผู้ปกครองหรือเจ้าผู้ครองนครเป็นศูนย์กลางและสถานที่ว่าราชการ บ้านเรือนของเครือญาติและผู้ติดตาม ชาวบ้านธรรมดาที่อาศัยอยู่ในเวียงตามลักษณะโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อนกว่าชุมชนในหมู่บ้าน “เวียง” จึงให้ความหมายของการเรียกความเป็นเมือง [Town] ทางกายภาพและโครงสร้างสังคมด้วย


เมือง คือชุมชนขนาดใหญ่กว่าหมู่บ้านทั้งทางกายภาพและโครงสร้างของชุมชน เป็นศูนย์กลางของการปกครอง มีระบบบริหารที่มีลำดับชั้นและผู้คนที่มีช่วงชั้นทางสังคม รวมถึงระบบความเชื่อที่ซับซ้อนกว่า เมืองเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและผู้ชำนาญเฉพาะด้วย เมืองมีสถานะเป็นตลาดหรือจุดการแลกเปลี่ยนสินค้าสำคัญที่อาจเป็นผู้ผลิตเองหรือไม่ได้ผลิตก็ได้ ดังนั้นเมืองโดยเฉพาะในอดีตจึงต้องมีชุมชนระดับหมู่บ้านในแบบสังคมชาวนาอยู่รายรอบ ขนาดของเมืองบางแห่งลักษณะทางกายภาพอาจจะไม่ใหญ่ไปกว่าหมู่บ้านก็ได้ แต่โครงสร้างทางสังคมจะมีความซับซ้อนกว่าและแตกต่างไปจากหมู่บ้าน


เชียง เป็นคำเรียกเมืองเช่นกัน แต่ไม่ได้มีความหมายเฉพาะทางกายภาพเท่านั้น เพราะชื่อของเมืองที่ขึ้นต้นด้วยเชียงมักจะเป็นเมืองขนาดใหญ่ และมีความหมายครอบคลุมลักษณะทางกายภาพที่มีการขุดคูน้ำกำแพงดินล้อมรอบและชุมชนบริวารที่อยู่ในปริมณฑลอีกด้วย อีกทั้งยังให้ความหมายของความเป็นเมืองที่มีศูนย์กลางการปกครองที่ใหญ่กว่าและซับซ้อนกว่า เป็นศูนย์กลางของบ้านเมืองบริวารหลายแห่ง เชียง จึงน่าจะหมายถึงลักษณะของความเป็นเมืองขนาดใหญ่หรือเมืองที่เป็นศูนย์รวมของการปกครองระดับที่ใหญ่กว่าเมือง


ลักษณะทางกายภาพของเมืองที่มีคูน้ำและกำแพงดินล้อมรอบทำให้แยกพื้นที่ออกเป็น “ในเวียง” และ “นอกเวียง” มีรูปแบบการใช้พื้นที่เห็นได้ชัดเจน มีลักษณะของความเป็นเมืองขนาดใหญ่ มีรูปแบบของระบบความเชื่อที่สัมพันธ์กับการใช้พื้นที่ และมีโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อน นับเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเมืองในภาคเหนือที่ยังหลงเหลือรูปแบบทางกายภาพ และรูปแบบการใช้พื้นที่ของเมืองอย่างชัดเจนที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน


ลักษณะทางกายภาพเวียงแพร่คือการสร้างเมืองที่ขนานไปกับลำน้ำยม ขุดคูเมือง พูนดินสร้างกำแพงเมืองแข็งแรง สามารถป้องกันพื้นที่ในเวียงได้อย่างมั่นคง มีระบบป้องกันน้ำหลากจากแม่น้ำยมและลำน้ำลำห้วยจากเทือกเขา ที่สูงรอบๆ เข้าท่วมพื้นที่ลุ่มในเมือง เป็นการคำนึงถึงทิศทางการหลากของน้ำเป็นรูปแบบเฉพาะของเมืองในวงล้อมของเทือกเขาที่ต้องเลือกชัยภูมิที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย


พื้นที่ตัวเมืองแพร่ในปัจจุบันซ้อนทับอยู่ในเขตเมืองเก่าที่เป็นเวียงโบราณ และมีการขยายพื้นที่ทางสังคมและเศรษฐกิจไปตามถนนและบริเวณโดยรอบตามลำดับเวลาที่เปลี่ยนแปลง นอกจากภายในตัวเมืองจะมีร่องรอยความเป็นเวียงเก่าจากแนวกำแพงและคูเมืองรวมถึงศาสนสถานแล้ว โครงสร้างความเป็นชุมชนและองค์ประกอบของความเป็นเมืองโบราณยังคงอยู่อย่างชัดเจนมากกว่าเมืองโบราณในเขตล้านนาแห่งอื่น ๆ และสามารถวิเคราะห์โครงสร้างทางกายภาพของเมืองโบราณที่ยังมีความหมายและหน้าที่ต่อผู้คนและชุมชน ตลอดจนระบบความเชื่อที่มีโครงสร้างสัญลักษณ์ที่มีความหมายต่อชีวิตคนเมืองแพร่จนถึงปัจจุบัน


โครงสร้างทางกายภาพและโครงสร้างทางสังคมของเมืองแพร่สะท้อนแนวคิดเรื่องการจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้คนในเมืองที่แสดงสถานภาพของกลุ่มเจ้านายเชื้อสายของผู้ปกครองและชาวบ้านทั่วไป ความเป็นเมืองในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจ เป็นพื้นที่ซึ่งคนในท้องถิ่นอื่นหรือกลุ่มชาติพันธ์ต่าง ๆ มารวมตัวกันเพื่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า เป็นศูนย์กลางความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนในท้องถิ่นและพื้นที่ห่างไกล และระบบความเชื่อที่สัมพันธ์กับภูมินิเวศที่มีเรื่องราวหรือตำนาน [Myth] รองรับอธิบายความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ ความเชื่อในการควบคุมสภาพแวดล้อมหรือระบบนิเวศให้เป็นไปตามปกติของผู้คนในสังคมเกษตรกรรมในลักษณะของประเพณีสิบสองเดือนและพิธีกรรมของบ้านเมือง


โครงสร้างทางกายภาพของเมือง


ลักษณะทางกายภาพของเวียงแพร่เป็นเมืองรูปร่างยาวคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าแต่ไม่มีมุม ขนาดกว้างราว ๘๐๐ เมตร ยาวประมาณ ๑,๔๐๐ เมตร จนบางคนเรียกว่าเป็นเมืองรูปหอยสังข์เพื่อให้มีความสัมพันธ์กับสัญลักษณ์มงคลอันเป็นคติทางพุทธศาสนาซึ่งเป็นการตีความในภายหลัง มีทิศทางขนานไปกับแม่น้ำยม มีลำน้ำธรรมชาติที่ชักน้ำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคูเมืองทางด้านทิศเหนือ กำแพงเมืองพูนดินขึ้นมาสูงมาก ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “เมฆ” ซึ่งน่าจะมีคูน้ำเพียงชั้นเดียวล้อมรอบด้านนอก ปัจจุบันเหลือชัดเจนเพียงส่วนหนึ่งที่เรียกว่า “น้ำคือ” และมีแนวร่องรอยที่ต่อเนื่องกับลำห้วยแม่แคมที่ไหลมาจากเทือกเขาแถบป่าแดง-ช่อแฮ ประตูเมืองดั้งเดิมมีทั้งสี่ด้าน คือ ประตูยั้งม้า (ประตูเวียง) ประตูชัย ประตูศรีชุม และประตูมาร ภายหลังมีการสร้างประตูขึ้นใหม่ใกล้กับประตูยั้งม้าเรียกว่าประตูใหม่จนกลายเป็นห้าประตูในทุกวันนี้ เล่าสืบต่อกันมาว่าการเข้าออกในเวียงได้ตามช่วงเวลา เพราะมีการปิด-เปิดประตูตามเวลาที่เหมาะสมและไม่ให้เข้าในเวลากลางคืน


สถาปัตยกรรมทางศาสนาภายในเวียงแพร่แสดงถึงอิทธิพลของศิลปกรรมจากบ้านเมืองทั้งสองแห่งคือ สุโขทัยและล้านนา ภายในเวียงแพร่มีวัดสำคัญได้แก่ วัดศรีชุม วัดหลวง วัดหัวข่วง วัดพระนอน วัดพงษ์สุนันท์ที่สร้างขึ้นภายหลัง และวัดพระบาทมิ่งเมืองที่รวมเอาวัดเก่าแก่สองแห่งเข้าด้วยกัน และเป็นวัดหลวงชั้นวรวิหารประจำเมืองในปัจจุบัน ส่วนนอกเมืองทางฝั่งเชิงเขาด้านตะวันออกมี “พระธาตุช่อแฮ” เป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง


วัดที่อยู่รอบนอกเวียงส่วนใหญ่ไม่ใช่วัดเก่าแก่เท่ากับวัดภายในเวียง สร้างขึ้นภายหลังโดยสามารถสืบประวัติย้อนหลังไปได้ถึงผู้สร้างได้ทั้งสิ้น เช่น วัดเมธังกราวาส (วัดน้ำคือ) วัดจองเหนือ (วัดจอมสวรรค์) วัดจองกลาง (วัดสระบ่อแก้ว) และวัดจองใต้ (วัดต้นธง) ซึ่งวัดที่ชาวเงี้ยวหรือไทใหญ่และม่านหรือพม่าเป็นผู้สร้างขึ้น ต่างจากวัดภายในเวียงที่ตำนานหรือประวัติของวัดมักอิงอยู่กับตำนานการสร้างเมืองแพร่ที่ย้อนหลังไปไกลมาก วัดรอบนอกสร้างขึ้นพร้อมๆ กับการขยายตัวของชุมชนที่มีการตั้งถิ่นฐานใหม่และจากฐานเศรษฐกิจการทำป่าไม้ในเมืองแพร่


โครงสร้างทางกายภาพของเวียงแพร่มีการใช้งานโดยชาวเมืองและมีชื่อเรียกเฉพาะสืบทอดกันมายาวนาน เวียงแพร่นับเป็นเมืองแห่งเดียวในล้านนาที่ยังคงสภาพแวดล้อมตามโครงสร้างของเมืองแบบโบราณไว้ได้มากกว่าเมืองอื่นๆ และยังรักษาร่องรอยความหมายจนทำให้สามารถเข้าใจกายภาพของเวียงโบราณได้จากการศึกษากายภาพในปัจจุบัน


กำแพงเมืองหรือเมฆ แต่เดิมน่าจะมีความสูงมากกว่าเวียงอื่นๆในหัวเมืองเหนือ


“เมฆ” คือกำแพงเมืองแพร่


กำแพงเมืองล้อมรอบตัวเมืองเก่า สูงประมาณ ๕-๖ เมตร ฐานกว้างราว ๑๐ เมตร ชาวบ้านเรียกว่า เมฆ ซึ่งผู้อาวุโสในเมืองแพร่กล่าวว่า เมฆเป็นภาษาเมืองเหนือแปลว่ากั้น หลักฐานเท่าที่ปรากฏน่าจะเป็นกำแพงเมืองในเขตล้านนาที่สูงมากกว่าเมืองแห่งอื่น ๆ กำแพงเมืองแพร่นอกจากใช้ป้องกันการบุกรุกแล้ว ยังเห็นหน้าที่ของการป้องกันน้ำท่วมด้วย เพราะสามารถกั้นน้ำหลากจากฝั่งน้ำยมไม่ให้ไหลเข้าเมือง


บนกำแพงเมืองน่าจะเคยมีการก่อกำแพงอิฐและเอาต้นหนามพุงดอมาปลูกไว้คงเพื่อป้องกันการบุกรุก จากคำบอกเล่าของชาวบ้านสูงอายุเล่าว่ากำแพงอิฐคงสูญหายไปหลังจากเมืองแพร่เกิดการจลาจลเงี้ยวปล้นเมืองแพร่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕ ภายหลังเมื่อเมืองขยายตัวมากขึ้นจึงมีการรื้อเอาอิฐกำแพงเมืองไปทำถนนและถมที่ลุ่ม รวมทั้งขุดดินกำแพงดินเปลี่ยนเป็นถนนด้วย อย่างไรก็ตามร่องรอยก้อนอิฐขนาดใหญ่ยังมีอยู่บนกำแพงเวียงและมีขนาดใหญ่กว่าอิฐที่อื่น ๆ


บริเวณโรงเรียนป่าไม้แพร่ตั้งอยู่มุมเมืองด้านตะวันออกเฉียงใต้ อาคารที่เคยเป็นที่ทำการของบริษัทอีสต์ เอเชียติค ของเดนมาร์ก ตั้งอยู่บนกำแพงเมืองในจุดที่สูงสุดแห่งหนึ่งของแนวกำแพงเมืองเก่า จนสามารถประมาณความสูงของกำแพงเมืองแต่ดั้งเดิมได้ มีต้นไม้ร่มครึ้ม บนอาคารสามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองแพร่โดยรอบ การมีอาคารบ้านพักอยู่บนเมฆหรือกำแพงเก่าของเมืองแพร่ในยุคที่ยังมีเจ้าหลวงปกครองอยู่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก ที่เจ้าหลวงอนุญาตให้มีการปลูกสร้างที่พักบนกำแพงเมืองได้ เพราะเมื่อราวห้าสิบปีมาแล้วผู้อาวุโสชาวเมืองแพร่เมื่อยังเป็นเด็กเห็นกำแพงสูงและเคยเล่นไถลลื่นลงมาโดยเอากาบกล้วยหรือกาบมะพร้าวนั่ง กำแพงเมืองรกมาก ไม่มีใครดูแลใส่ใจ ตรงกำแพงก็จะมีคูน้ำล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง ไม่มีใครรุกล้ำเข้ามาสร้างบ้านเรือนเพราะคิดว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งประตูเมืองที่เป็นประตูไม้ก็มีสภาพสมบูรณ์


ริมกำแพงทั้งสองด้านเป็นป่ารก มีไก่ป่าและสัตว์ป่ามากมาย โดยเฉพาะรังผึ้ง มีต้นฉำฉาและต้นจามจุรีจำนวนมาก ในสมัยหนึ่งชาวบ้านในเมืองแพร่เคยทำสวนครั่งโดยการปล่อยแมลงชนิดที่สร้าง ขี้ครั่ง ที่ต้นฉำฉาริมกำแพงเมือง จนกลายเป็นสินค้าของเมืองแพร่ที่สำคัญ ต่อมาก็มีการทำลายกำแพงเมือง บางจุดแตกบ้าง พังบ้าง เป็นเช่นนี้เพราะน้ำหลากเข้ามาท่วมและกัดเซาะ และบางส่วนกลายเป็นสถานที่ราชการ เช่น สถานีตำรวจ ศาล เป็นต้น


มีผู้บุกรุกทำเป็นที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะแถบวัดหัวข่วงและวัดหลวง ซึ่งกำแพงเมืองที่ยังเหลือสมบูรณ์คือแถว ๆ ประตูใหม่และแถบน้ำคือหรือบริเวณคูเมืองที่เหลืออยู่และวัดศรีบุญเรือง ส่วนกำแพงแนวประตูชัยหายไปเกือบหมดเนื่องจากถูกดัดแปลงเป็นตลาดเทศบาล ร้านค้าและที่จอดรถของเทศบาล โดยเฉพาะ ศาลเจ้าพ่อแสนชัย ที่เคยเป็นเพียงศาลผีขนาดเล็ก เล่ากันว่าเป็นศาลของข้าราชการตำรวจที่ประจำการที่สถานีตำรวจบริเวณประตูชัยซึ่งเสียชีวิตเมื่อเงี้ยวปล้นเมืองแพร่


ศาลเจ้าพ่อแสนชัยสร้างมาได้ประมาณกว่าสิบปี ซึ่งบูรณะจากศาลเดิมหลังเหตุการณ์น้ำท่วมเมืองแพร่ เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๘ สมาคมคนจีนในเมืองแพร่เป็นผู้สนับสนุนการสร้าง เมื่อก่อสร้างมีปัญหากับชาวบ้านเพราะเกลี่ยและทำลายกำแพงลงมา สภาวัฒนธรรมพยายามต่อต้านการสร้างศาลเจ้าดังกล่าว แต่จากอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองของคนเชื้อสายจีนเก่าในพื้นที่ ทำให้รัฐท้องถิ่นกลายเป็นฝ่ายสนับสนุนการทำลายแนวกำแพงเมืองโบราณ โดยนำเอาโครงการปรับภูมิทัศน์และบริเวณศาลเจ้าพ่อแสนชัยอยู่ในแผนการทำงานและก่อสร้างเป็นศาลเจ้าจีนใหญ่โตอย่างที่เห็นในปัจจุบัน


คูเวียงที่เรียกว่า “น้ำคือ”


เมืองแพร่มีคูน้ำล้อมรอบชั้นเดียว ชาวบ้านเรียกคูเวียงนี้ว่า “น้ำคือ” ชาวบ้านสูงอายุกล่าวว่า คำว่าคือหมายถึงคู เป็นแนวคูเวียงที่ยังเหลือร่องรอยอย่างชัดเจนอยู่บริเวณประตูใหม่จนถึงประตูชัย ในส่วนอื่น ๆ มีร่องรอยอยู่แต่ไม่ชัดนัก ดินที่ได้จากการขุดคูน้ำนี้คงนำมาถมเป็นแนวกำแพงเวียง น้ำในคูเวียงชาวบ้านหลายคนเล่าว่าเคยนำเสื้อผ้าไปซักที่น้ำคือ แนวคูเวียงแพร่นี้ต่อเนื่องกับลำน้ำธรรมชาติ ห้วยแม่แคม หากน้ำจากแม่น้ำยมไหลหลากก็จะระบายไหลออกนอกตัวเมืองด้วยลำแม่แคมนี้ ลำน้ำยมไหลติดประชิดแนวกำแพงบริเวณวัดพระนอนทำให้คูเวียงบริเวณนี้อาจจะถูกกัดเซาะไปก็ได้ ปัจจุบัน “น้ำคือ” ถูกปรับสภาพสร้างขอบซีเมนต์และปูอิฐเป็นทางเดินโดยรอบ เป็นที่ออกกำลังกายและสวนสาธารณะของเมือง ขนาดกว้างราว ๑๐ เมตร ซึ่งหากมีความกว้างใกล้เคียงของเดิมก็นับเป็นคูเวียงที่กว้างพอคร


ประตูเมือง เวียงแพร่มีประตูประจำทิศ ชาวบ้านอาวุโสเล่าว่ามีกฎเกณฑ์ที่ชาวบ้านรับรู้ว่าจะเข้าออกในเวียงได้โดยจะมีการปิด-เปิดประตูเป็นเวลาและไม่ให้เข้าในตอนกลางคืน จากการบอกเล่าเมื่อราวสมัย ๗๐-๘๐ ปีมาแล้วก็ยังใช้งานประตูเมืองที่เป็นไม้ปิด-เปิดเข้าออกกันอยู่ ประตูเมืองแพร่ในทิศต่างๆ มีดังนี้


ประตูชัย อยู่ทางทิศตะวันออก ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นประตูมงคลและเป็นชื่อมาแต่ดั้งเดิม ใช้ประตูนี้โดยเฉพาะเมื่อไปรบหรือรบกลับมาแล้วเพื่อความเป็นมงคล และใช้สำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เป็นประตูที่ต่อกับถนนโบราณซึ่งตัดตรงไปสู่พระธาตุช่อแฮ เป็นเส้นทางที่ชาวเมืองแพร่ใช้เพื่อเดินทางเท้าไปนมัสการในงานเทศกาลไหว้พระธาตุประจำปี

ประตูศรีชุม อยู่ทางทิศตะวันตกตรงข้ามกับประตูชัย บริเวณนี้กำแพงบางส่วนใกล้กับวัดพระนอน ในฤดูน้ำหลากแม่น้ำยมกัดเซาะจึงติดชิดริมน้ำ ส่วนทางฝั่งขวามีน้ำแม่แคมซึ่งไหลอ้อมผ่านตัวเวียงจนเป็นแนวคูเมืองก่อนไหลตกแม่น้ำยมไม่ไกลจากแนวกำแพงเมืองนัก


ประตูยั้งม้า หรือประตูเลี้ยงม้า หรือประตูเวียง อยู่ทางทิศเหนือแถบวัดหัวข่วงตรงข้ามกับประตูมาร เป็นประตูเล็กๆ พอช้างม้าเข้าออกได้ แต่ใช้สำหรับเดินทางต่อไปยังเมืองสอง ที่ชื่อว่าประตูเลี้ยงม้าหรือประตูยั้งม้าเพราะมีเรื่องเล่าว่าเป็นลานกว้างเหมาะสำหรับเลี้ยงม้าหรือวัว ทั้งที่เป็นม้าของเจ้านายในเมืองแพร่และพวกพ่อค้าม่าน เงี้ยว ซึ่งเป็นพ่อค้าวัวต่างม้าต่างจะใช้ประตูนี้เป็นทางเข้าเมือง พอมาถึงเมืองก็จะเอาม้ามาปลดพักไว้ที่นี่ เพราะมีลานหรือข่วงกว้างขวาง เมื่อจัดทำธุระในเมืองเสร็จแล้วก็จะมานำม้าที่ปล่อยเลี้ยงไว้บรรทุกต่างสินค้าหรือข้าวของเดินทางกลับ


ประตูมาร อยู่ทางทิศใต้ คำว่า “มาร” เป็นคำในท้องถิ่นที่เรียกการเผาผีหรือฌาปนกิจศพ ในอดีตของเมืองแพร่ หากผู้ใดทำผิดจะมีการประหารแล้วนำไปทิ้งไว้ที่ประตูมาร หรือทำการประหารที่ประตูมาร บริเวณประตูมารจะมีพระพุทธรูปชื่อ “หลวงพ่อพระวิชิตมารประทานสันติสุขสวัสดี ชีนสีห์ธรรมบพิตร” หรือ “พระวิชิตมาร” เป็นพระพุทธรูปเก่าในวัดร้างชื่อวัดนางเหลียว ปัจจุบันก็ยังมีซากฐานปรากฏอยู่ ครั้งแรกที่พบไม่มีเศียร เพิ่งบูรณะและใส่เศียรใหม่แล้วทำพิธีพุทธาภิเษกในภายหลัง นักโทษประหารมักจะมาไหว้ขอไม่ให้โดนประหาร คนเก่าแก่ในเมืองแพร่เล่ายืนยันว่า นักโทษบางคนถูกประหารที่สนามหลวงหรือสวนสุขภาพในปัจจุบัน แล้วเอาใส่ล้อใส่เกวียนไปทิ้งไว้ที่ประตูมาร

ประตูมารคือ “ประตูผี” ที่มีอยู่ในเมืองโบราณอื่น ๆ จะมีการเคลื่อนย้ายศพออกไปเผาทางประตูมาร การเคลื่อนย้ายจะไม่ผ่านหน้าจวนผู้ว่าหรือคุ้มเจ้าหลวง หากนำศพเคลื่อนผ่านด้านหลังคุ้มหรือจวนแทน เพราะถือเป็นสิ่งอัปมงคล ทั้งเจ้านายและสามัญชนจะเผาที่ประตูมารเช่นเดียวกัน ในภายหลังก็ยังนิยมปฏิบัติเช่นนี้อยู่


ประตูใหม่ เพิ่งสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ อยู่ใกล้กับประตูยั้งม้า เมื่อเมืองแพร่ขยับขยายชุมชนและเขตเศรษฐกิจการค้าออกไปนอกเมือง ทำให้การเดินทางเข้าออกในเมืองไม่สะดวกเนื่องจากเมื่อเดินทางมาถึงสี่แยกหน้าสถานีตำรวจแล้วเลี้ยวขวาเข้าประตูชัย อีกทางหนึ่งคือเมื่อเดินทางถึงปากทางโรงไฟฟ้าก็ตัดเข้าวัดร้างนอกเวียงแล้วเข้าประตูเลี้ยงม้า ผู้ว่าราชการจังหวัดในยุคนั้นเห็นชาวบ้านเดินทางเข้าเวียงไม่สะดวกจึงให้นายอำเภอเกณฑ์ชาวบ้านช่วยกันขุดเบิกกำแพงเวียงเป็นประตูขึ้นอีกประตูหนึ่ง แล้วสร้างสะพานข้ามคูตัดถนนจนถึงสะพานข้ามน้ำร่องสวรรค์ ขยายถนนให้กว้างและปรับปรุงถนนที่คดโค้งให้ตรงเพื่อต่อกับถนนยันตรกิจโกศลตัดถนนต่อเนื่องไปจนถึงร้องกวางและผ่านต่อไปยังเมืองน่านได้ด้วย นับเป็นการเปิดประตูสู่ถนนสายเศรษฐกิจของเมืองแพร่ตั้งแต่นั้นมา ส่วนด้านขวาของประตูใหม่กำแพงเมืองหายไปเนื่องจากถูกปรับแต่งภูมิทัศน์กลายเป็นสนามเล่นกีฬา เนื่องจากมีการเมืองท้องถิ่นเข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อไม่นานมานี้


ปัญหาการบุกรุกขึ้นไปอยู่อาศัยบนกำแพงเมืองแพร่ เนื่องจากประตูเมืองแพร่มีฐานกว้างใหญ่และสูงจึงถูกบุกรุกสร้างบ้านบนกำแพงเมือง เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๗ กำแพงเมืองบริเวณวัดพระนอนใกล้กับวัดศรีชุมและวัดหัวข่วง มีการขึ้นไปตั้งหลักแหล่งที่ทำกินเป็นจำนวนมาก ทางองค์กรปกครองท้องถิ่นจึงให้เช่าพื้นที่กำแพงเมืองโดยรอบตารางวาละ ๒๕ สตางค์ แต่กรมธนารักษ์ไม่เห็นด้วย เพราะนานเข้ากำแพงเมืองจะกลายเป็นพื้นที่เอกชนไปในที่สุด สัญญาเช่าดังกล่าวจึงยุติไป ราว พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงจัดให้มีการประชุมร่วมกันของชาวบ้านที่อยู่ติดกำแพงเมือง บริเวณชุมชนวัดหัวข่วง ชุมชนศรีชุม และชุมชนพระนอน แนวกำแพงเมืองในตัวเวียงระยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตร แต่ถูกทำลายไปแล้วประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร ชาวเมืองแพร่กล่าวว่าผู้บุกรุกไม่ใช่คนพื้นที่แต่เดิม และยังยึดพื้นที่กำแพงเมืองแพร่และไม่ยอมคืนที่ดินให้กับราชพัสดุ แสดงให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวและการทำลายพื้นที่ของส่วนร่วมซึ่งมีมานานแล้ว หน่วยงานท้องถิ่นไม่กล้าไล่ที่เนื่องจากเกรงจะเสียคะแนนเมื่อถึงคราวเลือกตั้ง จึงยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกในเขตเทศบาลเมืองแพร่มาจนทุกวันนี้


คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ในอดีต


คุ้มเจ้าหลวง


เป็นคำที่ชาวบ้านใช้เรียกบ้านของเจ้าผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย หรือ เจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ ก่อนสมัยเงี้ยวปล้นเมืองแพร่ประมาณ ๑๐ ปี เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นอาคารแบบกึ่งตะวันตกที่นิยมสร้างในสมัยนั้น ตัวอาคารก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น หลังคาทรงปั้นหยา มีลวดลายขนมปังขิงประดับ เช่นที่หน้าจั่ว ช่องลม ประตู หน้าต่างมีทั้งหมด ๗๒ บาน ไม่มีการฝังเสาเข็ม แต่ใช้ไม้ซุงท่อนเป็นไม้เนื้อแข็งรองรับฐานเสาทั้งหลัง ด้านหน้ามีมุขและทางขึ้นทั้งสองด้าน


ภายหลังเจ้าหลวงเมืองแพร่คือเจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ ย้ายไปอยู่เมืองหลวงพระบางจากกรณีเงี้ยวปล้นเมืองแพร่แล้ว คุ้มเจ้าหลวงกลายเป็นที่ตั้งของกองทหารม้าจากกรุงเทพฯ ที่ส่งมารักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองแพร่อยู่ระยะหนึ่ง บริเวณที่ตั้งของคุ้มเจ้าหลวงมีอาณาเขตถึงที่ตั้งของหอสมุดประชาชนจังหวัดแพร่ และสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองแพร่ในปัจจุบัน ซึ่งบริเวณนี้เคยมีศาลาหลังใหญ่เป็นคอกม้าเก่า ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีประกาศพระราชบัญญัติประถมศึกษา บริเวณคอกม้าเก่าจึงกลายเป็นที่ตั้งของโรงเรียนประจำจังหวัดชาย คนเมืองแพร่ในสมัยนั้นเรียกกันว่า “โรงเรียนคอกม้า” และได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวคือ โรงเรียนพิริยาลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ และย้ายไปอยู่บริเวณถนนยันตรกิจโกศลในเวลาต่อมา


ต่อมาคุ้มเจ้าหลวงกลายเป็นจวนหรือบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทย เป็นสถานที่ราชการ หมายถึงพื้นที่ปิดสำหรับประชาชนทั่วไป แม้ลูกหลานเชื้อสายเจ้าเมืองพยายามจะสร้างอนุสาวรีย์เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ฯ ที่ด้านหน้าคุ้มก็มีปัญหาอยู่นานกว่าจะสร้างได้


คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่เคยเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถคราวเสด็จเยี่ยมราษฎรจังหวัดแพร่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ นอกจากนี้ อาคารหลังนี้ยังได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ให้เป็นสถาปัตยกรรมดีเด่นประเภท อาคารสถาบันและสาธารณะเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖


จนองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ได้รับมอบคุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่มาจากกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๗ มีการปรับปรุงภายในคุ้มและตกแต่งภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณแล้วสร้างที่พักหรือจวนผู้ว่าราชการจังหวัดไว้ที่ด้านหลัง ปัจจุบันคุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่มีฝ่ายรับผิดชอบคือ “กองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม” องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ และมีความพยายามจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ประจำเมือง ณ คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่แต่เดิมนั้น


สนามหลวง


ลานสนามหลวงอยู่ใกล้กับคุ้มเจ้าหลวงกลางเวียงแพร่ สภาพพื้นที่เป็นลานกว้างใช้สำหรับฝึกทหาร สนามหลวงใช้เรียกทั้งพื้นที่ซึ่งใช้สำหรับทำกิจกรรมของเจ้าผู้ครองนครโดยเฉพาะในเรื่องทางการเมือง นอกจากนี้ตำแหน่ง “เค้าหรือเก๊าสนามหลวง” ใช้เรียกโดยรวม สำหรับตำแหน่งทางการปกครองเมืองที่มีลำดับลดหลั่นต่าง ๆ โดยอ้างอิงพื้นที่ทางการเมืองคือสนามหลวง ดังนั้นสนามหลวงจึงเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการปกครองของเจ้าหลวง เครือญาติ และเสนาบดีของเมืองอย่างชัดเจน ปัจจุบันบริเวณสนามหลวงกลายเป็นสวนสุขภาพหรือสวนหลวง ร.๙ ซึ่งเป็นสวนสาธารณะประจำจังหวัด และด้านหน้าเป็นวงเวียน มีการนำพระพุทธรูปมาประดิษฐานไว้ในสมัยของผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่ง ซึ่งชาวเมืองแพร่ถือว่าเป็นขึด ไม่ใช่สิ่งมงคล


วัดจองใต้หรือวัดต้นธงในอดีต ถ่ายเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๐


วัดและบ้าน


วัดในเวียงแพร่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่แถบฝั่งเหนือของเวียง คือ วัดหัวข่วง วัดศรีชุม วัดหลวง วัดพงษ์สุนันท์ และวัดพระนอนตามลำดับ สำหรับวัดที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกคือวัดศรีบุญเรืองหรือวัดสีลอ และวัดพระร่วง ส่วนวัดที่อยู่กลางเมือง ได้แก่ วัดพระบาทมิ่งเมือง


วัดในเขตเวียงแพร่ ๓ วัดมีร่องรอยความเป็นวัดเก่าแก่ที่ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาในวัฒนธรรมแบบสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย เพราะมีคติการสร้างเป็นพิเศษคล้ายกับแนวคิดในการสร้างพระสี่อิริยาบถ นั่นคือ วัดศรีชุม มีพระยืนขนาดใหญ่ปิดทอง เป็นศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากสุโขทัย จัดว่าเป็นพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่และมีฝีมือช่างงดงามองค์หนึ่งในภาคเหนือ ส่วนพระสถูปเป็นเจดีย์ทรงปราสาท อยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ลักษณะลวดบัวและรูปทรงแสดงให้เห็นว่า ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากดินแดนล้านนาในพุทธศตวรรษที่ ๒๐ วัดหลวง มีพระนั่งขนาดใหญ่ และวัดพระนอน มีพระนอนขนาดใหญ่ ขาดแต่พระปางลีลาเพียงอย่างเดียว


วัดพระบาทมิ่งเมืองแต่เดิมเป็น ๒ วัด คือวัดมิ่งเมืองและวัดพระบาท โดยมีซอยเล็ก ๆ กั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้มีการรวมวัดทั้งสองเข้าด้วยกันเป็น วัดพระบาทมิ่งเมือง ปัจจุบันวัดพระบาทมิ่งเมืองถือเป็นศูนย์กลางความรู้ทางธรรมอย่างเป็นทางการ เพราะมีมหาวิทยาลัยสงฆ์ สาขาของมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ ตั้งอยู่ แต่ก่อนในเมืองแพร่สำนักเรียนสำคัญและมีชื่อเสียงอยู่ที่วัดศรีชุม ต่อมาจึงปรับเปลี่ยนมาอยู่ที่วัดน้ำคือหรือวัดเมธังกราวาส ซึ่งมีพระครูมหาเมธังกรเป็นเจ้าอาวาส จนกลายมาอยู่ที่วัดพระบาทมิ่งเมืองซึ่งสัมพันธ์กับสำนักเรียนวัดพระสิงห์ที่เชียงใหม่ เนื่องจากพระธรรมราชานุวัติ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทมิ่งเมืองได้ย้ายไปประจำที่วัดพระสิงห์ วัดพระบาทมิ่งเมืองถือเป็นวัดหลวงชั้นวรวิหาร มีพระพุทธรูปที่หล่อขึ้นใหม่คือ “พระพุทธโกศัยศิริชัยมหาศากยมุนี” หรือ “หลวงพ่อพุทธโกศัย” ที่ทางราชการถือว่าเป็นประธานของเมือง และเป็นวัดที่เจ้าคณะจังหวัดจำพรรษา


ส่วนวัดนอกเขตกำแพงเมืองได้แก่ วัดจองเหนือ (วัดจอมสวรรค์) วัดจองกลาง (วัดสระบ่อแก้ว) และวัดจองใต้ (วัดต้นธง) ซึ่งวัดต่าง ๆ เหล่านี้เป็นวัดที่คหบดีชาวไทใหญ่และพม่า ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าเงี้ยวและม่านเป็นผู้สร้างขึ้น เพราะเมื่อเมืองแพร่เปิดให้มีการสัมปทานป่าไม้ บริษัทจากเดนมาร์กและอังกฤษนำพาผู้คนหลากหลายกลุ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองแพร่ ทั้งเงี้ยวหรือไทใหญ่และพม่าซึ่งเป็นพ่อค้าและเสมียนชำนาญงาน เพราะสามารถพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษได้ ที่วัดจอมสวรรค์ตั้งอยู่บนถนนยันตรกิจโกศล สร้างโดยพ่อค้าชาวไทใหญ่ชื่อพ่อเฒ่ากันตีและนายฮ้อยคำมาก อพยพครอบครัวมาอยู่เมืองแพร่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๕ เป็นวัดที่สร้างในป่าร่มครึ้ม มีลำคลองตัดผ่าน ต่อมา “นายจองนั่นตา” หรือที่เรียกกันว่า “เฮดเมนอังกฤษ” มีประวัติว่าเกิดเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๑๓ เดิมอยู่ทางเหนือของพม่า เคยคลุกคลีกับชาวอังกฤษมาก่อน ต่อมาได้ย้ายเข้ามาทำงานป่าไม้และค้าขายที่เมืองแพร่จนร่ำรวยจึงร่วมกับกลุ่มชาวบ้านไทใหญ่ บูรณะวัดจอมสวรรค์ สร้างอาคารแบบจองที่เป็นอาคารไม้รวมเอาทั้งศาลาการเปรียญ วิหาร และที่พักอาศัยของสงฆ์เข้าด้วยกัน รูปทรงอาคารสวยงาม แต่ในปัจจุบันพระสงฆ์และวัตรปฏิบัตินั้นเป็นแบบคนเมือง และชาวบ้านรอบ ๆ ในยุคนี้น้อยคนที่จะยอมรับว่าตนเองมีเชื้อสายโดยตรงจากเงี้ยวในเมืองแพร่ จะรับรู้กันแต่ไม่อยากเปิดเผยเท่าใดนัก คงเป็นเพราะเรื่องเงี้ยวปล้นเมืองแพร่ที่ยังคงเป็นความทรงจำ


นอกจากนี้ยังมีวัดสำคัญที่อยู่ในเขตตัวเมืองที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและกิจการสัมปทานไม้ นั่นคือ วัดเมธังกราวาส วัดร่องซ้อ และวัดเชตวันที่อยู่นอกเวียง วัดเหล่านี้สร้างขึ้นภายหลังเมื่อมีชุมชนและชาวบ้านออกไปตั้งบ้านเรือนอยู่นอกเมืองมากขึ้น นอกจากนี้ บริเวณเขตขยายนี้ยังมีการตั้งถิ่นฐานใหม่ เช่น กลุ่มมิชชั่นนารีที่เผยแผ่ศาสนาคริสต์เมื่อราว ๑๐๐ กว่าปีมาแล้ว มีโรงพยาบาลคริสต์เดิมชื่อ “โรงพยาบาลฝรั่ง จนปัจจุบันมีโบสถ์คริสต์ ๑๒ แห่ง มีชาวแพร่นับถือศาสนาคริสต์อยู่ไม่น้อย


ที่บ้านเชตวันเป็นพื้นที่พักซุงของบริษัทรับทำสัมปทานไม้ จึงต้องมีเวรยามป้องกันขโมย บ้านเชตวันเป็นชุมชนนอกเวียงขนาดใหญ่และมีความหลากหลาย เพราะมีทั้งคนที่นับถือพุทธ คริสต์ แต่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ และสัมพันธ์กับภายในเวียง เพราะมีช่องทางออกจากในเวียงบริเวณประตูมาร จึงเป็นที่ลอยอังคารริมแม่น้ำยมของชาวเมืองแพร่เนื่องจากอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยม ผู้อาวุโสเล่าว่าในอดีตคนที่อยู่อาศัยนอกกำแพงเมืองจะถูกเรียกว่าคนบ้านนอก ส่วนคนที่อยู่ในเวียงเรียกว่าคนในเวียง


ชุมชนหรือบ้านที่อยู่ในเวียงจะมีวัดประจำเกือบทุกชุมชน ศรัทธาวัดคือกลุ่มตระกูลลูกหลานเจ้าและกลุ่มตระกูลเก่าในเมืองแพร่ ตระกูลที่บูรณะวัดในเวียงแพร่ในยุครุ่งเรืองจากการค้าไม้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มตระกูลผู้มีฐานะ เช่น วัดศรีชุมมีกลุ่มเจ้าบัวชุมเป็นผู้บูรณะ วัดหัวข่วงเป็นกลุ่มเจ้าสุนันตา เจ้าน้อยวงศ์ จากตระกูลวังซ้ายเป็นผู้บูรณะ วัดหลวงกลุ่มเจ้าที่เป็นศรัทธาวัดคือเจ้าน้อยตุ้ย วัดพงษ์สุนันท์หรือวัดสนุกหรือสีนุก ตระกูลวงษ์บุรีเป็นศรัทธาวัด


ชุมชนแต่ละแห่งจะมีวัดประจำชุมชน เช่น วัดหัวข่วงมีบ้านหัวข่วง วัดศรีชุมมีบ้านศรีชุม วัดหลวงมีบ้านวัดหลวง วัดพระนอนมีบ้านพระนอนซึ่งจะรวมเอาชาวบ้านแถบประตูมารด้วย วัดพระร่วงมีบ้านพระร่วง วัดพระบาทมีบ้านประตูชัยหรือบ้านพระบาท วัดสีลอมีบ้านสีลอหรือบ้านศรีบุญเรือง ส่วนวัดพงษ์สุนันท์ ศรัทธาวัดก็เป็นกลุ่มลูกหลานตระกูลที่ก่อสร้างวัดพงษ์สุนันท์


เวลามีงานบุญหรืองานประเพณีร่วมกัน แต่ละวัดก็จะมีการเชื่อมโยงถึงกัน จะมีใบบอกบุญซึ่งกันและกัน เวลามีงานก็จะนิมนต์เจ้าอาวาสวัดอื่น ๆ มาร่วมงาน ศรัทธาวัดก็จะมาร่วมทำบุญด้วย แต่ก่อนเวลามีการก่อสร้างอะไรเสร็จแต่ละหมู่บ้านจะมีริ้วขบวนแห่มาร่วมทำบุญ ต่อมาสมัยหลังก็เริ่มลดลง พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ก็น้องลง เจ้าอาวาสวัดมักจะเป็นคนท้องถิ่นอื่น ผู้คนเริ่มห่างไกลวัดจนแทบจะไม่หลงเหลือความสำคัญของวัดประจำชุมชนดังเช่นแต่ก่อน


เมื่อเทศบาลได้แบ่งการปกครองเป็นชุมชนต่าง ๆ เมื่อประมาณ ๒-๓ ปีที่แล้ว มีจำนวน ๑๘ ชุมชน ซึ่งเป็นเพียงแค่การแบ่งเขตการปกครองเพื่อทางราชการจะได้จัดสรรงบประมาณให้ แต่ชาวบ้านก็ยังเรียกชุมชนว่า “บ้าน” มากกว่าที่จะเรียกว่า “ชุมชน” เช่น ชุมชนบ้านสีลอ ก็จะเรียกว่าบ้านสีลอมากกว่า เพราะดูสนิทสนมเหมือนพี่น้องกันมากกว่า ในเวียงและบริเวณเมฆหรือกำแพงเมืองจะมีชุมชนอยู่ ๗ ชุมชน คือ หัวข่วง ศรีชุม วัดหลวง ศรีบุญเรืองหรือสีลอ ปงสนุกหรือพงษ์สุนันท์ พระนอน และพระร่วง การแบ่งชุมชนของเทศบาลก็เป็นการแบ่งตามบ้านเก่าที่เคยมีมา หากแต่เมื่อแบ่งการปกครองเป็นชุมชนก็ไม่ได้แบ่งศรัทธาวัดตามการปกครองไปด้วย วิธีการแบ่งศรัทธาวัดยังเป็นตามระบบเดิมและแบ่งตามสายตระกูล


หน่วยงานปกครองท้องถิ่นคือเทศบาลเริ่มเข้ามามีบทบาทในการจัดการโครงสร้างของชุมชนเมืองแพร่ดั้งเดิมให้เป็นระบบใหม่ ชาวบ้านรวมตัวกันทำกิจกรรมขึ้นมาก่อน แล้วทางเทศบาลเข้ามาดูแลในภายหลัง โดยเข้ามาพร้อมกับงบประมาณของกิจกรรมต่างๆ งานแห่ลอยกระทง งานวัดเข้าพรรษา งานสงกรานต์ งานตักบาตรเทโว งานตักบาตร วันขึ้นปีใหม่ งานกีฬาชุมชน โดยทำรูปแบบงานแห่ที่แต่ละชุมชนส่งเข้าร่วม


พระธาตุช่อแฮ ตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ตัวอย่าง

รูปแบบศิลปกรรมแบบเฉพาะของเมืองแพร่


สะดือเมืองหรือหลักเมือง


เมืองแพร่ไม่มีเสาหลักเมืองหรือเสาอินทขิลมาแต่ดั้งเดิมแต่อย่างใด ราวปี พ.ศ. ๒๕๓๖-๒๕๓๗ มีความต้องการจากกระทรวงมหาดไทยให้สร้างเสาหลักเมืองให้เป็นมาตรฐานขึ้นทั่วประเทศ โดยนำคติมาจากการสร้างเสาหลักเมืองที่กรุงเทพฯ เมืองแพร่จึงขอพระราชทานไม้มะยมหินซึ่งเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดมาทำเป็นเสาหลักเมืองจากเด่นชัยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๖ ก่อนหน้านั้นถือเอากลางเวียงบริเวณด้านใต้โรงเรียนนารีรัตน์เป็นที่ตั้งเรียกว่าสะดือเมือง ซึ่งมีต้นโพใหญ่ แผ่นหินศิลาจารึกอักษรไทยฝักขาม ศักราช พ.ศ. ๒๐๔๐ ที่กล่าวถึงการสร้างวัดศรีบุญเริงซึ่งอยู่บริเวณเรือนจำจังหวัดแพร่ปัจจุบัน นำมาเป็นหลักเมือง นอกจากนี้ยังมีการลงทรงเจ้าพ่อหลักเมืองซึ่งกลายเป็นผีเมืองอย่างเป็นทางการซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้อีกด้วย ในความคิดของชาวบ้านรุ่นเก่าเห็นว่าการทำหลักเมืองให้ใหญ่โตนี้เป็นเพียงความเชื่อที่รัฐสร้างขึ้นเพื่อการท่องเที่ยว และพ้องกับความเชื่อของชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่เน้นเรื่องการบูชาหลักเมืองแบบเสาอินทขิลที่มีต้นแบบมาจากเมืองเชียงใหม่ ทั้งที่เมืองแพร่ไม่มีธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนกับทางเชียงใหม่แต่อย่างใด


ตลาด


ก่อนที่จะมีการทำสัมปทานป่าไม้และมีการสร้างทางรถไฟ การค้าขายระหว่างบ้านเมืองในเขตล้านนาจะมีพ่อค้าม่าน เงี้ยวเป็นผู้กระจายสินค้าต่าง ๆ ใช้ประตูยั้งม้าเป็นทางเข้าเมือง เมื่อมาถึงเมืองก็จะเอาม้ามาปลดพักไว้แล้วนำของมาขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้ากับคนในเมือง สินค้าจะเป็นพวกของป่าและซื้อของในเมืองกลับไป เช่น เกลือ ยาพวกควินิน เสื้อผ้า หอกดาบ เพราะเมืองแพร่ได้ชื่อว่าผลิตหอก ดาบ มีด ชั้นดีแห่งหนึ่ง


ตลาดเช้าเย็นภายในเวียงน่าจะอยู่ที่บริเวณประตูชัยมาแต่เดิมจนถึงปัจจุบัน ในนิราศปราบเงี้ยวมณฑลพายัพของหลวงทวยหาญรักษา เขียนถึงคราวขึ้นมาปราบเงี้ยวเมืองแพร่ มีตลาดนัดอยู่ที่แถบประตูชัยซึ่งเป็นตลาดสดเทศบาลทุกวันนี้ บริเวณประตูชัยคนที่เข้ามาอยู่อาศัยจะเป็นพวกคนจีนและแขกที่เป็นแขกสิกข์ เดินทางมาจากเชียงใหม่บ้าง ลำปางบ้าง และยังมีการตั้งร้านค้าขายอยู่จนทุกวันนี้


นอกจากนี้ชาวบ้านยังมีตลาดนอกเมืองคือ ตลาดบ้านทุ่ง ซึ่งอยู่นอกกำแพงเมืองไปทางบ้านน้ำคือแล้วข้ามคูเวียงไปอีกที ส่วนย่านธุรกิจสมัยใหม่ที่ริเริ่มโดยคนจีนคือย่านถนนเจริญเมือง เกิดเมื่อราวหกสิบเจ็ดสิบปีก่อน เป็นศูนย์กลางทางการค้า ในยุคนั้นใครอยากได้อะไรก็จะมาที่ถนนเส้นนี้เป็นหลัก ก่อนที่จะขยายไปตามถนนตัดใหม่ คือ ถนนยันตรกิจโกศล


คอกหรือคุก


คอกคือคำที่ใช้เรียกเรือนจำหรือคุก ผู้อาวุโสของเมืองแพร่เล่าว่า ในอดีต นักโทษหญิงจะถูกขังที่ “คอก” ซึ่งตั้งอยู่ที่เรือนจำจังหวัดในปัจจุบัน ส่วนนักโทษชายจะถูกคุมตัวไว้บริเวณคุ้มเจ้าหลวง ต่อมาจึงได้ย้ายไปรวมกัน การสืบสวนคดีความนักโทษต้องเดินทางจากคอกไปศาลซึ่งยังคงตั้งอยู่ในบริเวณปัจจุบัน โดยนักโทษจะใส่โซ่ที่คอ แขน ขา มีผู้คุมและตำรวจคุมตัวไป เป็นภาพชินตาสำหรับคนในเวียงแพร่ยุคหนึ่ง


หอผี


ในเวียงแพร่ไม่มีหอผีเมืองที่แน่ชัด นอกจากสะดือเมืองหรือหลักเมืองซึ่งมีหลักฐานว่าสร้างขึ้นในภายหลัง แต่มีการทำพิธีกรรมตามความเชื่อในเรื่องนับถือผีปู่ย่าหรือผีบรรพบุรุษ หรือผีสายตระกูลซึ่งมีหอผีใหญ่อยู่ตามบ้านของตระกูลใหญ่ในเวียงหลายแห่ง ส่วนศาลผีในเมืองมีอยู่หลายแห่ง และปัจจุบันถูกทำให้กลายเป็นศาลเจ้าจีนก็หลายแห่งเช่นกัน


บริเวณประตูชัยเคยมีศาลของนายร้อยตรีตาดที่ถูกเงี้ยวฆ่าตายในคราวเงี้ยวปล้นเมืองแพร่ ชาวจีนในเมืองได้สร้าง “ศาลเจ้าพ่อแสนชัย” เป็นอาคารแบบศาลเจ้าจีนขนาดใหญ่และบูชาเป็นศาลเจ้าพ่อแบบจีน ส่วนศาลที่หลังสถานีตำรวจวัดพระร่วงก็เคยเป็นศาลผีของชาวเมืองมาก่อน ลักษณะเป็นหอไม้ ต่อมาคนเชื้อสายจีนเข้ามาบวงสรวงและมาขอชาวบ้านโดยรอบสร้างใหม่เมื่อไม่ถึง ๑๐ ปีที่ผ่านมา และต้องขออนุญาตร่างทรงที่เป็นคนในบ้านพระร่วงก่อน แม้จะเป็นศาลเจ้าแบบจีนแต่ก็มีการห้ามแสดงงิ้ว


ส่วนศาลเจ้าของคนเชื้อสายจีนที่เก่าแก่อยู่ในย่านถนนสายธุรกิจคือถนนเจริญเมืองได้แก่ ศาลเจ้าปุ่งเถ่ากง ที่เดิมชื่อ ศาลเจ้าฮั่วเฮงหักเหา ซึ่งเป็นศูนย์รวมทางความเชื่อของคนเชื้อสายจีนที่เข้ามาอยู่ในเมืองแพร่ ซึ่งจะมารวมตัวกันที่ศาลเจ้าแห่งนี้โดยเฉพาะช่วงวันสารทและวันตรุษ โดยมีประวัติของศาลเจ้าบันทึกว่าครั้งแรกสร้างศาลเจ้าเป็นอาคารไม้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ ในที่ดินของพระยาคงคาสมุทรเพชร


ป่าช้า


เมืองแพร่มีป่าช้าหรือที่เผาศพประจำเมืองคือที่ป่าช้าประตูมาร ประตูมารก็คือประตูผีประจำเวียงซึ่งเป็นช่องประตูเฉพาะสำหรับการนำศพออกจากเมือง เพราะในเวียงโดยปกติทั่วไปจะไม่มีธรรมเนียมในการเผาศพภายในกำแพงเมือง


การชักลากจูงศพในเวียงแพร่จะถือธรรมเนียมไม่ผ่านคุ้มเจ้าหลวง จะใช้เส้นทางด้านหลังเท่านั้น ไม่เว้นแม้แต่ชาวเมืองแพร่ที่อยู่ด้านนอกเวียง หากต้องเดินทางผ่านเข้าเมืองเพื่อไปที่ฌาปนสถานป่าช้าประตูมารก็จะไม่ผ่านถนนด้านหน้าคุ้มและปฏิบัติสืบเนื่องมาถึงทุกวันนี้ สำหรับคนเชื้อสายจีนมีป่าช้าที่ฝังศพของชาวจีนอยู่ทางด้านส่วนขยายของเมืองทางถนนยันตรกิจโกศล


บึงน้ำ


พื้นที่ในเวียงมีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ โดยเฉพาะบริเวณคุ้มเจ้าหลวงหรือจวนผู้ว่าราชการจังหวัดและโรงเรียนนารีรัตน์เป็นจุดต่ำที่สุด และบริเวณในเวียงทางทิศตะวันตกจะมีความสูงกว่าทางทิศตะวันออก วัดเก่าและชุมชนเก่าจะอยู่ทางฝั่งนี้มากกว่า มีบึงใหญ่ ๒ แห่ง คือ บึงเหนือ อยู่บริเวณฝั่งตะวันตกของถนนไชยบูรณ์ต่ำจากบ้านพักข้าราชการอัยการจนถึงที่ว่าการอำเภอเมืองแพร่ เมื่อก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ยังมีน้ำขังในชุมชนแถบนั้นตลอดปี เพราะอยู่ในที่ลุ่มชื้นแฉะทำให้ชาวบ้านที่สร้างบ้านเรือนบริเวณนี้มักจะเป็นโรคผิวหนัง


ส่วนบึงใต้ อยู่ที่สนามโรงเรียนป่าไม้ ปัจจุบันความกว้างถึงชายบ้านพระนอนตอนใต้ บึงใต้นี้ต่อกับท่อที่ทำไว้ใต้กำแพงเวียง เมื่อน้ำในบึงมากก็จะเปิดปากท่อระบายน้ำลงคูไหลสู่น้ำยม ปัจจุบันถึงแม้จะไม่มีบึงแล้ว แต่น้ำฝนก็ขังอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นบึงเดิมทุกปี ทำให้เทศบาลต้องขุดเจาะกำแพงเวียงส่วนหนึ่งเพื่อทำประตูระบายน้ำให้ไหลดีกว่าท่อที่ทำไว้แต่โบราณ


น้ำในบึงทั้ง ๒ แห่งเป็นน้ำฝนและน้ำใต้ดินเมื่อถึงฤดูแล้งน้ำจะแห้งไปเอง เมื่อเริ่มมีน้ำในช่วงหน้าฝน ในบึงจะมีสัตว์พวกกบ อึ่งอ่าง ปลา เป็นแหล่งอาหารยามหน้าฝนด้วย แต่ไม่ปรากฏว่าชาวบ้านมีการนำน้ำจากบึงนี้ไปใช้แต่อย่างใด ระหว่างบึงทั้ง ๒ แห่งมีสายน้ำเชื่อมต่อกัน ๒ สาย สายตะวันออกน้ำไหลผ่านข้างวัดพระบาทซึ่งในอดีตไม่มีตลาดร้านค้า น้ำไหลมาทางหน้าวัดพระร่วงผ่านบ้านสันกลางทางทิศตะวันออกลงสู่บึงใต้ ส่วนสายตะวันตกน้ำบึงบางไหลผ่านบ้านปงสนุกหรือบ้านปงสุนันท์ ผ่านบ้านสันกลางทางทิศตะวันตกถึงหมู่บ้านพระนอนทางใต้


พื้นที่ระหว่างบึงทั้ง ๒ แห่งทำให้เกิดแนวเนินดินที่แบ่งออกเป็น ๓ สัน สันทางตะวันออกเรียกชื่อตามวัดพระร่วงว่า “สันพระร่วง” สันด้านกลางมีร่องน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านกลายเป็นถนนคุ้มเดิมในปัจจุบัน กลายเป็นแนวสันสองสันแต่หมู่บ้านบริเวณนี้เรียกรวมเป็น “บ้านสันกลาง” ส่วนสันตะวันตกเรียกว่า “สันพระนอน”


น้ำบ่อขุด


น้ำกินน้ำใช้ในเวียงใช้ “น้ำบ่อขุด” แต่ละบ่อลึกเกินกว่า ๑๐ เมตรขึ้นไปทั้งสิ้น หากน้ำที่สามารถนำมาใช้ดื่มได้มีเพียงไม่กี่บ่อเท่านั้น บ่อน้ำทั้งหลายถือเป็นแหล่งน้ำสาธารณะ ผู้คนละแวกใกล้เคียงสามารถนำไปใช้สอยร่วมกันได้ แม้ว่าจะเป็นบ่อน้ำในบ้านก็ตาม ปัจจุบันเมื่อชาวบ้านเปลี่ยนมาใช้น้ำประปาจึงมีการถมบ่อไปจำนวนหนึ่ง ชาวบ้านเชื่อว่าห้ามทำผิดหรือขึด เช่น ถมบ่อ หรือตัวอย่างของคนที่มีบ่อน้ำอยู่ในบ้านไม่ได้ถมบ่อ แต่ทำฝาปิดบ่อเอาไว้แล้วเอาเตียงนอนทับบ่อน้ำไว้อีกชั้น ชาวบ้านเชื่อว่าทำแบบนี้จะทำให้อยู่กันอย่างไม่มีความสุข บ้านจะรุ่มร้อน อยู่กันไม่ได้ ลูกหลานต่างแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น ส่วนผู้ทำก็เป็นอัมพฤกษ์ ต่อมาลูกจึงได้มารับไปอยู่ต่างจังหวัด ในที่สุดบ้านหลังนั้นก็ถูกปิดตาย


แต่ยังมีอีกหลายแห่งที่เก็บอนุรักษ์บ่อน้ำเหล่านี้ไว้ เช่น ที่หน้าวัดหัวข่วง หน้าวัดหลวง ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะและตามบ้านชาวบ้านเก่าแก่ที่มีฐานะอีกหลายแห่ง


ชาวบ้านนอกเมืองเล่าถึงวิธีการที่จะหาบริเวณที่จะขุดบ่อน้ำ คือ จะนำเอากะละมังมาครอบดินบริเวณดังกล่าวไว้ ๑ คืน พอรุ่งเช้ามาเปิดฝาออกหากมีไอน้ำแปลว่าพื้นที่ดังกล่าวมีน้ำในดินมาก จึงจะขุดต่อไป หากเปิดฝาออกดูไม่มีไอน้ำ ชาวบ้านจะไปหาพื้นที่ใหม่แทน คติในการขุดบ่อน้ำนั้นมีกำหนดว่า การจะขุดบ่อน้ำไม่ใช่จะขุดได้ทุกหลัง เพราะบ่อน้ำดังกล่าวถือเป็นบ่อน้ำของหมู่บ้าน ๕-๑๐ หลังจึงจะมีสักบ่อหนึ่ง อีกทั้งการขุดน้ำบ่อห้ามขุดโดยให้บ้านอยู่ตรงกลางระหว่างบ่อ เพราะถือว่าจะทำให้เจ้าของบ้านอายุสั้น และเมื่อต้องการถมบ่อน้ำจะถมครั้งเดียวไม่ได้ จะต้องค่อย ๆ ถมทีละนิดทีละหน่อย หากใครถมทีเดียวหมดจะมีอันเป็นไปหรือไม่ก็เป็นไข้ไม่สบาย เป็นต้น


พื้นที่การเกษตร


คนในเมืองก็มีการเพาะปลูกเช่นเดียวกัน แต่จะออกไปทำข้างนอกและอยู่ใกล้แหล่งน้ำโดยเฉพาะแม่น้ำยม ชายฝั่งแม่น้ำยมในอดีตจะกว้างมากและยาวตลอดแนว เต็มไปด้วยแปลงผักมากมาย ชาวบ้านปลูกผัก ทำสวน ในแม่น้ำยมมีปลาชุกชุม เป็นปลาที่ว่ายทวนน้ำขึ้นเหนือมาจากสุโขทัยเพื่อหาอาหารกิน มีดินดอนข้างแม่น้ำเรียกว่า ดอนทราย ชาวบ้านสามารถใช้เพื่อเพาะปลูกได้ พืชที่ปลูกคือ ข้าวโพด ยาสูบ มันแกว มันแดง ต้นหอม และพืชผักสวนครัว ชุมชนที่ทำการเพาะปลูกมากที่สุดคือชุมชนวัดหัวข่วง เพราะเป็นชุมชนที่ติดกับแม่น้ำยมมากที่สุด นอกจากนี้ชาวบ้านพระนอนยังมีที่นา ทำนา ทำไร่ ทำสวน ทางอีกฝั่งของลำน้ำยมแถวบ้านป่าแมต แต่ในระยะหลังน้ำท่วมบ่อย สภาพการปลูกพืชผักริมหาดแม่น้ำยมจึงหายไป


นอกจากนี้ยังมีที่นาซึ่งอยู่นอกเวียงแถบที่เป็นโรงเรียนพิริยาลัย โรงแรมนครแพร่ แถววัดสระบ่อแก้วในปัจจุบัน บริเวณตลาดน้ำทองในปัจจุบันเคยเป็นที่นาของตระกูลใหญ่ ๆ ในเวียงแพร่ บริเวณถนนเจริญเมืองและโรงเรียนเทคนิคแพร่ก็เป็นที่นาเช่นเดียวกัน ทางฟากตะวันออกก่อนเข้าถึงตัวเวียงของเมืองแพร่และถูกแบ่งเป็นลำเหมืองต่าง ๆ เพื่อใช้ในเขตชุมชน รอบ ๆ ตัวเวียงมีลำเหมือง เช่น เหมืองค่า เหมืองแดง เหมืองหิต เหมืองหลวง ไหลผ่าน โดยแบ่งหรือแยกจากลำน้ำที่มาจากแถบป่าแดง เช่น น้ำแม่ก๋อน น้ำแม่แคม และน้ำเหมืองแดง สภาพแวดล้อมของเมืองแพร่ในปัจจุบันที่มีการสร้างชุมชนสมัยใหม่เป็นแหล่งการค้า ย่านเศรษฐกิจ และโรงพยาบาลเมื่อราวสิบปีมานี้กั้นลำเหมืองและสายน้ำไม่ให้มีการระบายออกสู่ลำน้ำยม เมื่อฝนตกน้ำระบายออกไม่ทันจึงท่วมจังหวัดแพร่อยู่เสมอ


พระธาตุศักดิ์สิทธิ์


พระธาตุช่อแฮคือพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองแพร่ เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นนครและเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองแพร่ อยู่นอกเวียงทางทิศตะวันออกเป็นระยะทางประมาณ ๘ กิโลเมตร โดยมีความเชื่อเรื่องในตำนานพระเจ้าเลียบโลกที่กล่าวถึงสถานที่พระพุทธเจ้าเสด็จมา คือ พระธาตุจอมแจ้ง พระธาตุดอยเล็ง และพระธาตุเนิ้ง ซึ่งเป็นพระธาตุสำคัญของเมืองแพร่ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน พระธาตุช่อแฮเป็นที่เคารพสักการะของผู้คนอย่างต่อเนื่องเพราะมีการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด


อาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ อธิบายถึงรูปแบบศิลปกรรมและคติการสร้างว่าน่าจะมีอายุร่วมสมัยสุโขทัย และเมื่อเมืองแพร่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของล้านนาตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าติโลกราชเป็นต้นมา ศิลปะสถาปัตยกรรมแบบล้านนาได้เข้ามาครอบงำศิลปวัฒนธรรมในเมืองแพร่อย่างมาก เห็นได้จากรูปแบบของพระเจดีย์ที่วัดศรีชุมและวัดหัวข่วง ต่อมารูปแบบศิลปะที่รับมาจากทางล้านนาถูกปรับแปลงเป็นรูปแบบท้องถิ่นที่เป็นลักษณะเฉพาะของเมืองแพร่ ดังที่เห็นจากศิลปกรรมของพระธาตุช่อแฮและพระธาตุจอมแจ้งซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน นับเป็นรูปแบบศิลปะสถาปัตยกรรมแบบเมืองแพร่ในระยะต่อมา


ชาวบ้านเก่าแก่เล่าว่าในอดีตพอถึงวันพระ ๑๕ ค่ำ คนเฒ่าคนแก่นิยมพาลูกหลานเดินไปใส่บาตรที่พระธาตุช่อแฮ เตรียมของไปไหว้พระธาตุด้วย เตรียมข้าวนึ่ง กับข้าว ดอกไม้ หอบหิ้วและถือไปใช้เวลาเดินราว ๒ ชั่วโมง ใส่บาตรเสร็จก็กินข้าวกลางวันแล้วเดินกลับบ้าน ถ้าไม่รีบก็จะเดินเล่นไปเรื่อย ๆ บางทีก็เดินไปจนถึงวัดพระธาตุดอยเล็ง และในวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ เหนือ จะมีประเพณีนมัสการพระธาตุช่อแฮซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปี สมัยก่อนชาวเมืองแพร่จะเดินออกทางประตูชัย ผ่านบริเวณสนามบินในปัจจุบัน ผ่านทุ่งนา ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับถนนไปสู่พระธาตุช่อแฮทุกวันนี้ ซึ่งต้องเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ๑ วัน ต้องหาบข้าวหาบของไปและเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เนื่องจากเส้นทางเป็นป่าตลอดทางแล้วค้างคืนที่ตีนดอย รุ่งเช้าจึงเดินขึ้นพระธาตุเพื่อตักบาตร


สำหรับพระธาตุช่อแฮไม่ใช่วัดมาแต่เดิม เพราะเป็นพระธาตุประจำเมืองและเป็นที่ศรัทธาของคนในท้องถิ่นอื่น ๆ ของล้านนา ถือเป็นพระธาตุประจำปีเกิดหนึ่งในสิบสองนักษัตรด้วย และเมื่อเป็นวัดก็มีพระจำพรรษาน้อย เวลามีงานเทศกาลจึงต้องนิมนต์พระจากวัดต่าง ๆ ในเวียงมารับบาตรจนมีการมาปรับปรุงวัดพระธาตุอย่างใหญ่โตเมื่อไม่นานมานี้ วัด


เจ้าพ่อผาด่าน ผีใหญ่ต้นน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเมืองแพร่


บริเวณทิศตะวันออกของลำน้ำยมและตัวเวียงแพร่ซึ่งมีพระธาตุช่อแฮเป็นศูนย์กลาง มีชุมชนป่าแดง-ช่อแฮตั้งบ้านเรือนอยู่รายรอบ เบื้องหลังคือแนวเทือกเขาใหญ่ที่มียอดเขาสูงเด่นเป็นหน้าผาใหญ่ลักษณะคล้ายหัวช้าง เรียกกันว่า “ช้างผาด่าน” และ “ช้างผาแดง” ชาวบ้านนับถือว่าเป็นภูผาศักดิ์สิทธิ์ ลำห้วยธารน้ำที่ไหลจากยอดเขานี้เป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับใช้ทำเกษตรกรรมในเขตป่าแดง-ช่อแฮ และรอบเวียงแพร่ ต่อเนื่องไปตลอดแอ่งที่ราบเมืองแพร่จากร้องกวางจนถึงเด่นชัย


ชาวบ้านยังมีนิทานเรื่องเล่าที่อธิบายชื่อสถานที่ดอยผาช้างด่านที่เกี่ยวกับ “ปู่ละหึ่ง” ซึ่งมีเรื่องเล่าของปู่ละหึ่งในเมืองแพร่หลายแห่ง ปู่ละหึ่งเป็นชายชาวบ้านธรรมดา แต่รูปร่างล่ำสันใหญ่โต มีกำลังวังชามากแต่ไม่ใช่ยักษ์ มีข้าวของเครื่องใช้ใหญ่โตกว่าคนปกติ คนเมืองแพร่หากเห็นสิ่งของเครื่องใช้ขนาดใหญ่ก็มักจะพูดว่าเป็นของปู่ละหึ่ง ที่เกี่ยวกับดอยช้างผาด่านนั้นมีเรื่องเล่าว่า ปู่ละหึ่งมีช้างอยู่ ๑ เชือก เป็นช้างฮ้ายหมายถึงดุร้าย ซน ดื้อ ชอบเหยียบย่ำกินพืชผักที่ปลูกไว้เสียหายหมด กินเสร็จแล้วก็หนีเข้าป่าไป ปู่ละหึ่งโกรธมากจึงติดตามไป เพราะตัวใหญ่โตจึงเดินไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามช้างทัน เมื่อเห็นช้างก็จับช้างเหวี่ยงไปรอบๆ ด้วยความโกรธ แล้วจึงเหวี่ยงไปทางทิศตะวันออกของเมืองแพร่ ช้างเชือกนั้นก็นอนล้มตายในลักษณะของช้างหมอบ กลายเป็นผาเรียกว่า ดอยช้างผาด่าน มาจนทุกวันนี้


เทือกเขาทางฝั่งป่าแดงนี้สันเขาจะแบ่งร่องน้ำอย่างชัดเจน ทางทิศเหนือของดอยสันกลาง จะมีขุนน้ำแม่แคมและขุนน้ำแม่สาย ถือผีขุนน้ำคือ “เจ้าพ่อผาด่าน” และ“เจ้าพ่อผาแดง” ส่วนทางด้านทิศใต้ของดอยสันกลางจะมีขุนน้ำแม่ก๋อน ถือผีขุนน้ำคือ “เจ้าพ่อสันใน” และ “เจ้าพ่อพญาขวา” ส่วนผีผู้รักษาป่าจะแยกออกไปอีกคือ “เจ้าพ่อดำ” ดูแลป่าในเขตบ้านนาตอง น้ำจ้อม “เจ้าพ่อสุรินทร์” ดูแลป่าในเขตบ้านนาคูหา บ้านนาแคม บ้านแม่แคม เป็นต้น


อย่างไรก็ตามชาวบ้านถือ “เจ้าพ่อผาด่าน” เป็นผีใหญ่ที่เป็นผีต้นน้ำ ผีป่า และผีเขา ดูแลขุนน้ำทั้ง ๓ สาย รักษาป่าและภูเขาทั้งหมดในบริเวณนี้ และชาวบ้านทั้งหมดที่ใช้น้ำจากช้างผาด่านจะร่วมกันเลี้ยงผีใหญ่ที่หอผีใหญ่ของเจ้าพ่อผาด่านซึ่งอยู่เหนือฝายตาช้างไปราว ๔๐ เมตร การเลี้ยงผีเจ้าพ่อผาด่านในวันแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๙ เหนือ โดยเลี้ยงควาย ๓ ปีต่อครั้ง ปีที่เหลือจึงเลี้ยงด้วยหมู

 









Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page