top of page

เมืองไทยเป็นสองเมืองหรือ? ปัญหาระหว่างประชาธิปไตยกับธรรมาธิปไตย

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 2 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2549


เหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศที่นับวันจะรุนแรงจนถึงอาจควบคุมอะไรไม่ได้ทุกวันนี้ ในความคิดของข้าพเจ้านับเนื่องเป็นวิกฤติทางศีลธรรมของสังคมในระบอบประชาธิปไตยที่ชอบอ้างความชอบธรรมในเรื่อง ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินจนถึง ประชาชนกว่า ๑๙ ล้านคนเลือกข้าฯ ขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดิน หรือที่ดังแว่ว ๆ ในทีวีเมื่อเร็วนี้ว่า คน ๑๖ ล้านคนเลือกข้าฯอะไรทำนองนั้น




ถ้าพูดให้ทันสมัยหน่อย วาทะเช่นนี้ดูเป็นวาทกรรมที่ผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าในบรรดาพรรคการเมืองที่ผลัดกันเข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะจำได้ว่าเมื่อครั้งคนปากมูนเดินขบวนเรียกร้องรัฐบาลในการสร้างเขื่อนปากมูน ทั้งรัฐบาลและรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดก่อน ๆ พูดออกมาทำนองเดียวกันว่าต้องทำเพื่อคน ๖๐ ล้านคน


ความชั่วร้ายซึ่งเป็นพื้นฐานวิกฤติทางศีลธรรมที่ดูเหมือนตกผลึกอยู่ในสังคมประชาธิปไตยของประเทศไทยก็คือ การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นสิ่งที่แก้ไม่ตกในกระบวนการประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ทั้งที่มักจะมีผู้นำทางปัญญาของชาติออกมาตำหนิและแนะหนทางแก้ไขอยู่เป็นประจำก็ตาม ข้าพเจ้าจำได้ว่าสมัยที่แล้วเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ครองเมืองก็มีผู้เสนอคำว่าธรรมาภิบาลซึ่งเน้นความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ แต่ก็ไม่มีผู้นำทางการเมืองและผู้รับผิดชอบในรัฐบาลนำไปปฏิบัติ จนรัฐบาลที่แล้วสิ้นสุดไปเพราะพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย พรรคไทยรักไทยเข้ามาครองแผ่นดินแทน ได้ทำอะไรค่อนข้างสว่างไสวอยู่ ๒-๓ ปี ก็กลายเป็นแดนสนธยาที่มาถึงทุกวันนี้ บ้านเมืองอยู่ในสภาพอับแสงและมืดมิดทั้งทางปัญญาและศีลธรรม


คนโง่ อย่างข้าพเจ้านึกอะไรไม่ออกนอกจากคิดได้เป็นอย่างเดียวว่า นี่คือทางตันของระบอบประชาธิปไตย


ประชาธิปไตยในทัศนะของคนในวัฒนธรรมตะวันตก เป็นทั้งเครื่องมือและอุดมการณ์ที่ยังความเสมอภาคและเป็นธรรมแก่ประชาราษฎร์ แต่ประชาธิปไตยในเมืองไทยกลับเป็นวิธีการและเทคนิคของคนฉลาดที่คดโกงขาดสำนึกทางศีลธรรม ได้ใช้สร้างตัวเองและพรรคพวกจากสภาวะที่เคยเป็นศูนย์มาเป็นราชามหาเศรษฐีกันอย่างคับบ้านคับเมืองในเวลานี้


กระแสทุนนิยมแบบข้ามชาติได้เปลี่ยนความเป็นมนุษย์ที่เคยเป็นสัตว์สังคมที่มีศีลธรรมของคนไทยที่มีมากว่าพันปีในอดีต ให้กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานกินหญ้ากินเนื้อและกินเลือดกันเองไป ทุกวันนี้คนระดับรากหญ้ากลายเป็นคนกินหญ้า คนชั้นกลางกลายเป็นพวกไม่มีหัวนอนปลายตีนและสายตาสั้น ซึ่งก็รวมทั้งคนที่มีปัญญาที่บ้าประชาธิปไตยจนติดกรอบ


ทางตันดังกล่าวนี้ทำให้รัฐในปัจจุบันกำลังกลายเป็นทรราช เพราะรัฐกับประชาชนมีช่องว่างจนไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสังคมได้ จึงเกิดปัญหาทางสังคมและวัฒนธรรมที่แก้ไขอะไรไม่ได้ ดังเช่น ปัญหาของผู้คนในสามจังหวัดภาคใต้และที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ตลอดจนอีกหลายแห่งทั่วประเทศที่กำลังตามมา


ปรากฏการณ์ของความขัดแย้งที่รุนแรงในขณะนี้ นักรัฐศาสตร์ นักปกครอง มักพูดว่าเป็นเรื่องของ รัฐล้มละลาย [Failed State] หรือที่ปัญญาชนส่วนใหญ่มองไปในแง่ความล้มเหลวทางจริยธรรม แต่ข้าพเจ้าคิดตามภาษาคนโง่ว่าเป็น การล้มเหลวทางศีลธรรม [Demoralization] อย่างชัดแจ้ง ซึ่งถ้าปล่อยให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงต่อไป ก็จะนำไปสู่ ความล่มสลายของความเป็นสัตว์มนุษย์ [Dehumanization] ได้ อันเนื่องมาจากทุกวันนี้สำนึกเดรัจฉานกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน


ในช่วงเวลากว่าปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ในสังคมภาคใต้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามันจนทำให้รู้สึกหดหู่ โกรธแค้น และสิ้นหวัง ทางฝั่งอ่าวไทยข้าพเจ้าเรียนรู้หลายอย่างจากการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ ได้แลเห็นและเข้าใจปัญหาและข้อเท็จจริงที่น่าจะแก้ไขได้จนถึงแก้ไขไม่ได้และควบคุมไม่ได้ในที่สุด เพราะความเป็นรัฐล้มละลายนั่นเองจึงทำให้มีการใช้ความรุนแรงที่ถูกกฎหมายปะทะกับความรุนแรงที่ไม่ถูกกฎหมายจนไม่มีทางสมานฉันท์ได้


รัฐไทยสามารถทำให้คนในโลกมุสลิมและโลกสากลตำหนิและตั้งคำถามในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยธรรม รวมทั้งการทำให้คนมุสลิมภายในขัดแย้งฆ่ากันเอง ซึ่งก็รวมไปถึงบรรดาคนพุทธ ครู และข้าราชการในท้องถิ่นด้วย แต่กลับสามารถสร้างภาพพจน์ที่อธิบายทางสื่อให้คนส่วนใหญ่ในชาติเห็นว่าคนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้คือพวกที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ในขณะที่คนทางฝั่งอันดามันที่ด้อยโอกาส ไม่ว่าเป็นชาวบ้านซึ่งเป็นคนไทย คนมุสลิม และชาวเลซึ่งได้รับภัยพิบัติจากคลื่นยักษ์สึนามิจนหมดตัว หมดฐานะแล้ว ยังกลายเป็นคนไร้ปัฐพี เพราะแผ่นดินที่อยู่อาศัยถูกยึดครองและขับไล่โดยพวกนายทุนทั้งในชาติ ข้ามชาติ และนานาชาติ ในทำนองตรงข้าม เมื่อมองผ่านสิ่งต่าง ๆ เข้าไปกลับกลายเป็นดินแดนสวรรค์ของการท่องเที่ยวที่จะทำรายได้อย่างมหาศาลเข้าประเทศ


ข้าพเจ้าแลเห็นความขัดแย้งและความเดือดร้อนในทำนองนี้ที่แผ่ขยายไปแทบทุกภูมิภาคของประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับด้วยความอัศจรรย์ใจที่ว่า ท่ามกลางการเป็นรัฐที่ล้มเหลวของรัฐบาลนี้ รัฐมีศักยภาพเป็นพิเศษในการครอบงำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศมีความสุขสันต์ชื่นชมรัฐท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่เป็นนรก


แต่ห้วงความรู้สึกมืดมิดและสิ้นหวังทางสังคมที่กล่าวมา เผอิญมีแสงสว่างบางอย่างเกิดขึ้นที่น่าเปลี่ยนทัศนคติจากร้ายกลายเป็นดี เมื่อเกิดมีการเคลื่อนไหวทางสังคมเรียกกันว่า ม็อบสะพานมัฆวาน ที่เกิดขึ้นมาต้านระบอบทักษิณของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ม็อบนี้เป็นม็อบแค่ชื่อเพราะความจริงเป็นการชุมชนเคลื่อนไหวที่มีโครงสร้างแตกต่างไปจากม็อบอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็น ม็อบรถอีแต๋นกับม็อบดอกกุหลาบ


ม็อบมัฆวานเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวที่เป็นม็อบตั้งแต่บริเวณสวนลุมพินีจนถึงท้องสนามหลวง เกิดจากแกนนำม็อบเพียงคนเดียว แต่ภายหลังวันที่ ๔ มีนาคมที่แล้วมา ก็เกิดแนวร่วมและความคิดร่วมขึ้นจากกลุ่มคนที่หลากหลายทั้งอาชีพและวัยวุฒิ


แต่กลุ่มที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญและเห็นเป็นนิมิตหมายที่มีทางสังคมก็คือ กลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ดูเหมือนจะถูกกลบจมปัฐพีไปด้วยการผลิตแบบปริมาณของแทบทุกมหาวิทยาลัยและความต้องการเศษกระดาษที่เป็นปริญญามากกว่าความรู้ มาครั้งนี้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างน่าอัศจรรย์ใจจากการรวมกลุ่มของนักศึกษาเช่นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ออกมาแสดงความคิดเห็นและประกาศการรวบรวมรายชื่อประชาชน ๕๐,๐๐๐ คน เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรี


ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีก็เพราะ บรรดานักศึกษาผู้มีความคิดเหล่านั้นหาได้มีความคิดเห็นและมุมมองที่เป็นแบบเดียวกันไม่ แต่ต่างคนมาพูดคุยกันเพื่อหาจุดร่วมกันอย่างเป็นสมานฉันท์ [Unity] ในขณะเดียวกัน กลุ่มนักศึกษาดังกล่าวก็หาได้เห็นพ้องกับความคิดและการดำเนินการของแกนนำม็อบที่ท้องสนามหลวงไม่ แต่มีความเห็นตรงกันในการจัดการกับการกระทำของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยจริยธรรม


หลังจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาก็เกิดการตื่นตัวกันในหมู่คนมากมายหลายกลุ่ม เรียกว่าทั่วประเทศก็ได้ เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีทางปกปิดหรือปิดบังได้ถึงแม้ว่ารัฐจะควบคุมกลไกต่างๆ ในการสื่อสารได้มากกว่ารัฐบาลในสมัยใด ๆ ก็ตาม


ท่ามกลางการเคลื่อนไหวที่มีขึ้นอย่างมากมายเกือบทั่วประเทศนั้น ได้มีจุดร่วมกันเป็นรูปธรรมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์บนถนนราชดำเนินนอก ซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่รัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล พฤติกรรมของม็อบนี้เป็นสันติวิธีที่หลีกเลี่ยงความรุนแรง คนแก่ ๆ อย่างข้าพเจ้าก็สนใจอยากไปดูไปเห็นก็เลยสวมหัวใจความเป็นนักมานุษยวิทยาสมัยหนุ่ม ๆ เข้าไปสังเกตการณ์ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน ตอนกลางวันอากาศร้อนดูเหมาะกับคนที่ร่างกายแข็งแรง และมีความคิดความอ่านที่ร้อนแรง จึงมีคนมาชุมนุมน้อยกว่าตอนเย็นและกลางคืน กลุ่มคนตอนกลางวันที่ข้าพเจ้าเห็นนั้น ดูคุ้น ๆ หน้าไปหมดเพราะมีทั้งพวกครูบาอาจารย์ นักศึกษา และปัญญาชนต่าง ๆ ที่เคยพบเห็น ทั้งตามสถาบันการศึกษาและการประชุมสัมมนาตามที่ต่างๆ ของประเทศ เลยเดินทักทายกันไปตั้งแต่เชิงสะพานผ่านฟ้าจนถึงสะพานมัฆวานและหน้าทำเนียบ


คนที่มาชุมนุมเหล่านี้จับกันเป็นกลุ่มๆ พุดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ถึงความเป็นไปที่เลวร้ายของบ้านเมือง เป็นการชุมนุมแบบมีโครงสร้างความสัมพันธ์กันหาใช่ม็อบไม่ เพราะแต่ละกลุ่มก็มีความคิดเห็นเป็นตัวเองไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังและทำตามคำแนะนำและความคิดของกลุ่มแกนนำเสมอไป แม้แต่กลุ่มแกนนำเองก็มีความแตกต่างในมุมมองทางความคิด แต่ท่ามกลางสิ่งที่เสมือนกั้นธารน้ำใหญ่น้อยมากมายหลายสาขาจากที่อื่น ๆ ต่างก็มารวมเป็นกระแสเดียวในเรื่องการเรียกร้องให้เกิดสิ่งที่เป็นความถูกต้องทางจริยธรรมในสังคมไทย


เพราะฉะนั้น ปัญหาและจุดร่วมกันของการชุมนุมที่เรียกว่าม็อบมัฆวานนี้ก็คือเรื่องจริยธรรมไม่ใช่เรื่องความถูกต้องตามกระบวนการประชาธิปไตยที่ทำอะไรต่ออะไรต้องถูกต้องตามกฎหมายและข้อบังคับของรัฐธรรมนูญตามแนวคิดและนโยบายประชานิยมของรัฐบาล


แต่สิ่งที่เป็นอัศจรรย์แก่ข้าพเจ้าที่คิดว่าตนเองเป็นคนแก่ท่ามกลางม็อบหนุ่มสาวก็คือ ได้พบคนแก่กว่าข้าพเจ้าอีกมากในตอนกลางวันนี้ ที่ว่าแก่กว่าก็เพราะท่านเหล่านั้นล้วนมีอายุกว่า ๗๐ ปีขึ้นไป บ้างเป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พลเรือน ครูบาอาจารย์ พ่อค้า นักธุรกิจที่จัดเป็นพวกบำนาญแทบทั้งสิ้น คนเหล่านี้ออกมาพูดคุยแสดงความคิดเห็นที่ไม่เกี่ยวกับความถูกต้องทางประชาธิปไตยหรือความชอบธรรมทางจริยธรรมแต่เพียงอย่างเดียว แต่แสดงความเกี่ยวข้องทางศีลธรรมของบ้านเมืองโดยตรง


ประสบการณ์และความมีอายุคือสิ่งที่ท่านเหล่านี้เคยเห็นความสันติสุขที่เคยมีมาแต่เดิมเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าจะไม่มียุคใด สมัยใดที่สมบูรณ์แบบตามอุดมคติหรืออุดมการณ์ก็ตาม แต่ก็ไม่เคยอยู่ในภาวะที่ ฉิบหายเหมือนคราวนี้ ข้าพเจ้าประทับใจมากเมื่อมีคนไทยเชื่อสายเจ๊กที่ท่าทางเป็นนักธุรกิจอาวุโสพูดสำเนียงภาษาไทยไม่ค่อยชัด ออกมาแสดงอารมณ์ความขุ่นเคืองถึงความเหลวแหลกทางพฤติกรรมของคนรุ่นลูกหลานที่ไม่อยู่ในภาวะความเป็นมนุษย์ที่มีศีลธรรมในขณะนี้ และประกาศก้องออกมาว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ของรัฐบาล เพราะฉะนั้น ปัญหาของการเคลื่อนไหวของการชุมนุมที่เรียกว่าม็อบนี้ ไม่ใช่เพียงจริยธรรมเท่านั้น หากหมายไปถึงการเคลื่อนไหวทางศีลธรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทางสังคมและวัฒนธรรมที่เคยจรรโลงความมั่นคงดังกล่าวนี้ด้วย


ตอนกลางคืน ยิ่งเย็นยิ่งดึกคนยิ่งมากและยิ่งแน่นมาแทบทุกสาระทิศ ไม่ใช่เรือนหมื่นแต่เป็นเรือนแสน ทำให้พื้นที่บนถนนราชดำเนินนอกเกือบทั้งหมดกลายเป็นพื้นที่การแสดงมหรสพทางปัญญาที่เปิดตำราไม่พบในการชุมนุมที่เรียกว่า ม็อบ ทั้งหลายที่แล้ว ๆ มา


ตรงเวทีใหญ่ที่บรรดาแกนนำที่เป็นดาราแสดงใหญ่ต่างผลัดกันออกมากล่าวโจมตีและขับไล่นายกรัฐมนตรี สลับด้วยดารารับเชิญที่เป็นนักวิชาการและนักอะไรต่ออะไรที่มาจากหลายกลุ่มหลายเหล่า ดูคล้าย ๆ กับการแสดงคอนเสริต์ของวัยรุ่นในทุกวันนี้ เพราะรอบ ๆ เวทีจะมีคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวและรุ่นแก่ที่ยังมีแรงแออัดยกไม้ยกมือส่งเสียงแสดงพลังรับเป็นลูกคู่แบบมีส่วนร่วม ถัดเวทีใหญ่ไปตามพื้นที่ถนนและพื้นที่โดยรอบ ได้มีการตั้งจอใหญ่ถ่ายทอดภาพและเสียงของบรรดานักแสดงบนเวทีไปให้คนที่มาชุมนุมนั่งฟังกันเป็นบริเวณ ๆ ไป คนที่อยู่หน้าจอเหล่านี้อาจมีส่วนร่วมในการขานรับเป็นลูกคู่ให้กับการปลุกระดมจากเวทีใหญ่เป็นครั้งเป็นคราว แต่เป็นจำนวนมากมีการจับกลุ่มเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หันหน้าเข้าหากันพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดและประสบการณ์กัน กลุ่มคนเหล่านี้มีทั้งคนจนคนรวยที่ถ้ามองเผิน ๆ แล้วจะถูกเหมารวมๆ ว่าเป็นคนชั้นกลาง ข้าพเจ้าแลเห็นบรรดาคนจนที่เป็นพวกคนรับจ้าง ไม่ว่าพวกมอเตอร์ไซด์ แท็กซี่ หรือกรรมกรที่มาจากที่ต่าง ๆ ก็มีการจับกลุ่มและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนที่เดินผ่านไปมาและทักทายกัน ข้าพเจ้าเองได้รับทราบความเดือดร้อนของคนเหล่านี้จากการพูดคุยเช่นกัน โดยเฉพาะรับรู้ว่าการเข้ามาชุมนุมของคนเหล่านี้ไม่มีใครจ้างมาต่างพากันมาเองโดยหัวใจ


ลักษณะอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็คือ บรรดาผู้มาร่วมชุมนุมทั้งหลายเหล่านั้นเป็นจำนวนมากต่างพากันมาทั้งครอบครัว มีทั้งพ่อแม่ลูกรวมทั้งบางคนเอาญาติผู้ใหญ่มาด้วย พากันนั่งเป็นกลุ่ม ๆ อยู่หน้าจอถ่ายทอดการแสดงออกของดาราแกนนำ ตามสองข้างทางริมถนนนอกจากเป็นที่สัญจรไปมาของคนที่มาร่วมชุมนุมแล้วยังพวกพ่อค้า แม่ค้า นำอาหารและสิ่งของมาขาย ทำให้ผู้มาชุมนุมไม่อดอยาก เด็ก ๆ ก็มีของกินและของเล่น มีเต็นท์แสดงข่าวสารข้อมูลและกิจกรรมที่ให้ความรู้ รวมทั้งการอบรมสอนให้เด็ก ๆ เขียนภาพต่าง ๆ ที่ต่างคนต่างแสดงความคิดเห็นและจินตนาการจากเรื่องราวปัญหาของการขัดแย้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ภาพพจน์ของนายกรัฐมนตรีเป็นจุดรวม สำหรับผู้ชุมนุมที่เจ็บป่วยก็มีอาหารและยาแจก รวมทั้งอาหารมังสวิรัติของพวกกองทัพธรรมที่มาปักหลักชุมนุมแบบค้างแรม และมีโรงครัว โรงทานทำอาหารแจกอาหารไปด้วย


สำหรับคนที่มาชุมนุมอีกเป็นจำนวนมากที่อยากแสดงความคิดเห็นโดยผ่านสื่อในทำนองเดียวกับที่ทางราชการจัดให้มีการส่งไปรษณียากรจากผู้คนในสังคมที่เขียนมาเชียร์นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบนั้น ม็อบมัฆวานก็มี คือการจัดเศษกระดาษเปล่า ๆ ให้ผู้คนที่มาร่วมชุมนุมเขียนแสดงความคิดเห็นแล้ววางไว้บนพื้นแบกะดินแทนผู้รับแสดงความคิดเห็นแบบทำเนียบ ข้าพเจ้าได้ยืนอ่านด้วยความเพลิดเพลิน เพราะนอกจากได้แลเห็นความคิดเห็นนานาชนิดแล้ว ยังเห็นคำพูดและความคิดที่เป็นกวี เป็นศิลปะของผู้มาชุมนุมด้วย จนรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางศิลปวัฒนธรรมไปด้วย คงจะไม่มีใครปฏิเสธในขณะนี้เลยได้ว่า เพลงดนตรีและการ์ตูน “ไอ้หน้าเหลี่ยม” นั้นเป็นผลผลิตทางสังคมที่เป็นศิลปะร่วมสมัยทั้งผู้ใหญ่และเด็กร่วมกัน


ม็อบมัฆวานข้างทำเนียบที่มาจากผู้คนร่วมสมัยในสังคมที่หลากหลายในความคิดเห็นหาได้คิดแบบเดียวและอย่างเดียวกันกับผู้ที่เป็นแกนนำของม็อบไม่ อีกทั้งไม่ใช่ม็อบอย่างที่เคยคิดเห็นกัน หากเป็นการเคลื่อนไหวทางปัญญาของกลุ่มคนที่หลากหลายแต่มีจุดร่วมกันทางสังคมอย่างเป็นสมานฉันท์ (Unity) คือจะทำอย่างไรกับความชั่วร้ายทางสังคมในด้านจริยธรรมและศีลธรรม


เพราะทุกคนเห็นว่า ความเป็นธรรมที่มาจากกฎหมาย จากกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยนั้นล้มเหลว เจตนารมณ์วันนี้ส่งผลไปถึงการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรที่เกิดขึ้นตามกติกาประชาธิปไตยหลังการยุบสภาของนายกรัฐมนตรีแห่งพรรคไทยรักไทย จึงเกิดการไม่ยอมรับการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นว่าเป็นความชอบธรรม พรรคการเมืองใหญ่ ๆ ทางฝ่ายค้านปฏิเสธที่จะเข้าร่วม การปฏิเสธความชอบธรรมของการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้ส่งผลให้เห็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในเจตนารมณ์ของปัญญาชน คือการไม่เลือกใครเลยเป็นผู้แทน


ปรากฏการณ์โนโวต นี้ไม่เคยปรากฏเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนในการเลือกตั้งที่เคยมีมาแต่ก่อน เป็นสิ่งที่รัฐบาลและสังคมต้องนำมาพิจารณา แต่ผลปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้นทางฝ่ายรัฐและฝ่ายสนับสนุนกลับไม่ให้ความสำคัญ กลับไปสนใจกับการที่บรรดาผู้สมัครผู้แทนทางฝ่ายตนได้รับการเลือกตั้งจึงทำให้มาประกาศชัยชนะแบบเดิม ๆ ว่า ประชาชน ๑๖ ล้านคน เลือกตนและประสบผลสำเร็จในการรักษาประชาธิปไตย



ในฐานะที่เป็นคนไทย ข้าพเจ้าอดสูแก่ประชาโลกและหวาดกลัวความแตกแยกที่จะนำไปสู่ความรุนแรงที่ไม่อาจควบคุมได้ในอนาคต


การลงจากตำแหน่งที่มีอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่อ้างการรักษากติกาประชาธิปไตยครั้งนี้ หาใช่คำตอบขั้นสุดท้ายของการเคลื่อนไหวทางปัญญาของสังคมไม่ เพราะการที่จะนำประเทศชาติและสังคมไทยเข้าสู่สันติสุขได้นั้น รัฐบาลหรือผู้นำประเทศต้องตอบปัญหาและจัดการความชอบธรรมทางจริยธรรมและศีลธรรม ซึ่งเป็นความจำเป็นพื้นฐานก่อน


เพราะเป็นความจำเป็นสากลของมนุษยชาติ ความเป็นประชาธิปไตยทั้งในลักษณะเป็นเครื่องมือหรืออุดมการณ์นั้น คือสิ่งที่จะต้องตั้งอยู่บนฐานทางศีลธรรมและจริยธรรม ถ้าหาไม่แล้วสิ่งที่เป็นอธรรมก็ครองโลก


โลกที่เต็มไปด้วยประชาธิปไตยแบบไร้คุณธรรมเช่นนี้ ถ้าหันกลับไปคำนึงถึงความคิดของคนโบราณ ก็คงจะได้เห็นแต่การส่ายหน้าและบอกว่าต่อให้มีสิบพระเป็นเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ มาถึงตรงนี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องไปอ้างคำพูดและข้อเขียนของบุคคลที่เป็นปราชญ์ทางพุทธศาสนาที่ผู้คนทั้งหลายยกย่องคือ ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส ที่ออกมาทันเหตุการณ์พอดีคือ “ธรรมาธิปไตยไม่มา จึงหาประชาธิปไตยไม่พบ”


ข้าพเจ้าและเพื่อนมนุษย์ในม็อบมัฆวานโหยหาธรรมาธิปไตย ไม่ใช่ประชาธิปไตยในขณะนี้


ก่อนจบ ข้าพเจ้านึกเห็นอะไรจากหน้าจอทีวีเมื่อเร็ว ๆ นี้ จนเกิดความสังเวช เริ่มแต่นักการเมืองข้างทำเนียบฝ่ายรัฐมาออกรายการทีวีตอบโต้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ในเรื่อง โนโวต ว่าไม่เห็นมีความสำคัญ เพราะคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ การที่มีโนโวตมากในภาคใต้ก็เพราะเป็นพวกพรรคประชาธิปัตย์ การอ้างเช่นนี้ดูสอดคล้องกับความเห็นของผู้ที่เข้าข้างฝ่ายรัฐบาลอีกเป็นจำนวนมาก


นับเป็นการสร้างภาพที่ให้คนส่วนใหญ่เข้าใจไปว่าเมืองไทยขณะนี้แบ่งออกเป็นสองฝ่ายสองเมืองแล้วหรือ


ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าจะเป็นการยอมรับว่า บุคคลที่เป็นผู้นำของรัฐบาลคือบุคคลล้มละลายทั้งศักยภาพและความชอบธรรมในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของประเทศชาติได้ ประเทศไทยจึงต้องเป็นสองอย่างที่ว่ามา ดังนั้นการที่ผู้นำของประเทศที่ล้มเหลวประกาศเว้นวรรคทางการเมืองนั้นก็ดีแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าอดสงสารไม่ได้ถึงความโศกเศร้าของพวกบริวารที่ปรากฏในจอทีวี ยิ่งมีปุโรหิตประจำทำเนียบขึ้นมากล่าวไว้อาลัยแล้ว ก็ยิ่งใจหายเพาะมีการอ้างบทวรรณคดีในเรื่องกฤษณาสอนน้องพฤษกภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง มาอุปมาอุปไมย


ธรรมดาคำร้อยกรองชุดนี้มักปรากฏในลักษณะเป็นประเพณีในคำอาลัยแก่ผู้ตายในงานศพ มักจะมากับพวงหรีด ท่านปุโรหิตอาจจะเผลอเลยเว้นวรรคไม่อ่านวลีสำคัญในบทร้อยกรองนี้ที่ว่า


นรชาติที่วางวายอีกทั้งยังอ้างไม่หมดถึงบทต่อไปที่ว่า ความดีจะปรากฏ เกียรติยศก็ฤาชา ความชั่วจะนินทา ทุรยศยินขจร


การอ่านวรรณคดีแบบพื้น ๆ เหล่านี้เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าผู้ชอบอ่านบทวรรณคดีอย่างเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตต้องมีอาการเพี้ยนตามไปด้วย เมื่อวันหนึ่งก่อนรุ่งสางเกิดละเมอฝันไปถึงบทละครเรื่องรามเกียรติ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ตอนพิเภกอย่าศึกกุมภกรรณ เมื่อกุมภกรรณด่าพิเภกว่า


“ประเทศไทยเป็นของมึงหรือ จึงแบ่งยื้อให้เป็นเหนือเป็นใต้”


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:




Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page