เผยแพร่ครั้งแรก 20 ก.พ. 2559

คุณเล็ก วิริยะพันธุ์
ปลายปี ค.ศ. ๒๐๐๐ ที่ผ่านมา วารสารเมืองโบราณได้สูญเสียคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งวารสารเมืองโบราณ และมูลนิธิประไพ วิริยะพันธุ์ไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอายุ ๘๖ ปี
คนทั่วไปรู้จักคุณเล็กแต่เพียงในฐานะเจ้าของบริษัทธนบุรีพานิช ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อันเป็นรถชั้นนำของโลก กับเป็นผู้สร้างเมืองโบราณ สถานที่ศึกษาประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แต่ในความเป็นจริงคุณเล็กได้อุทิศทั้งกายใจ และทรัพย์สินเงินทองอันเป็นสมบัติส่วนตัวของท่านและครอบครัว ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ในด้านการศึกษาแก่เยาวชนของชาติอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง
หนึ่งในกิจกรรมทั้งหลายแหล่เหล่านี้ก็คือการทำให้มีวารสารเมืองโบราณ ที่มีอายุนับแต่การออกฉบับแรกในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ มาจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลา ๒๗ ปี แต่การเป็นวารสารเมืองโบราณในความคิดและความริเริ่มของคุณเล็กนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการหาบทความมาจัดพิมพ์ขึ้นในรูปเล่มของวารสารเท่านั้น หากเป็นเรื่องของการลงทุนจัดหาบุคคลที่มีความรู้มาร่วมกันทำงานค้นคว้าหาข้อมูลใหม่ ๆ เสนอให้แก่วงวิชาการเป็นสำคัญ ดังนั้น สิ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารเมืองโบราณจึงเป็นข้อมูลและหลักฐานใหม่ ๆ ตลอดจนความคิดเห็นและความรู้ใหม่ ๆ ตลอดเวลา

คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ขณะออกสำรวจเพื่อนำข้อมูลไปสร้างเมืองโบราณกับอาจารย์มานิต วัลลิโภดม
เหตุที่คุณเล็กให้ความสำคัญต่อการศึกษารวบรวมข้อมูลใหม่ ๆ นั้นมีที่มาจากประสบการณ์ของคุณเล็กในการสร้างเมืองโบราณนั่นเอง คุณเล็กขาดข้อมูลและหลักฐานเป็นอย่างมากในการสร้างสิ่งนั้นสิ่งนี้ในเมืองโบราณ เพราะสิ่งที่มีการบันทึกและค้นคว้ากันไว้ในขณะนั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเอาของเก่ามาเล่าใหม่ รวมทั้งผู้รู้ผู้เขียนก็มีอยู่ในแวดวงจำกัด เลยทำให้ต้องออกไปแสวงหาความรู้และข้อมูลด้วยตนเอง
ในช่วงสิบปีแรกของการสร้างเมืองโบราณ คุณเล็กต้องเดินทางออกไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ เกือบทั่วราชอาณาจักรแทบทุกอาทิตย์ เลยได้เห็นและเข้าใจสถานการณ์ของการศึกษาทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในสังคมไทย ว่าอยู่ในสภาพที่ล้าหลัง เพราะไม่มีการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลใหม่ๆ มาสร้างเป็นความรู้ให้เหมาะสมกับกาลเวลา ยังคงอาศัยแต่เรื่องเก่า ๆ ความคิดเก่า ๆ มาอธิบายตัวเองและสังคมอยู่ตลอดเวลา

คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ที่ปราสาทเขาพระวิหาร
ผลที่ตามมาก็คือคนไทยมักมองความเป็นมาของชาติบ้านเมืองในลักษณะที่เป็นภาพนิ่งและหลงตัวเอง โดยเฉพาะความรู้สึกในเรื่องชาตินิยมนั้น ยังถูกจรรโลงอยู่ด้วยความรู้สึกนึกคิดที่เต็มไปด้วยอคติและอวิชชา
ในขณะเดียวกัน บรรดาหลักฐานข้อมูลที่ควรแก่การรวบรวมและเรียนรู้ก็ถูกละเลยให้สูญหายไปทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะในช่วงเวลาที่เป็นยุคสงครามเย็นนั้น รัฐไม่ให้ความสำคัญในเรื่องอดีตและวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมท้องถิ่นแม้แต่น้อย ทุ่มเทการสนับสนุนไปในเรื่องพัฒนาการทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมจนสุดโต่ง ทุกอย่างมุ่งเน้นไปในเรื่องปัจจุบันและอนาคต และในการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนนหนทาง การสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้า และการเปิดพื้นที่ในด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้หลักฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์สังคมของท้องถิ่นหมดสิ้นไปโดยไม่มีการศึกษารวบรวมไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาแต่อย่างใด
ก่อนออกไปศึกษาค้นคว้า คุณเล็กบอกว่า ความรู้เกี่ยวกับอดีตความรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรมของเมืองไทยที่คนทั่วไปได้รับรู้นั้น ดูเหมือนมีอยู่เพียงสุโขทัย อยุธยา เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ แต่เมื่อได้ออกไปสัมผัสด้วยตนเองแล้ว จึงเห็นว่าความมั่งคั่งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมมีอยู่แทบทุกท้องถิ่น จนทำให้ความเป็นไทยที่เห็นจากสุโขทัย อยุธยา และกรุงเทพฯ กลายเป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้น จึงเกิดความบันดาลใจที่จะรวบรวมหลักฐานและข้อมูลทั้งในด้านศิลปวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ของท้องถิ่น ไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้โดยจัดให้มีการดำเนินการเป็นสองอย่างด้วยกัน

คุณเล็กและคุณประไพ วิริยะพันธุ์ เมื่อยังหนุ่มสาว
อย่างแรก คือการนำเอาบรรดาสถาปัตยกรรมเครื่องไม้ และวัตถุสิ่งของทางชาติพันธุ์ อันเป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในความสนใจที่จะศึกษาและอนุรักษ์ของหน่วยราชการและนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง มารักษาไว้ในเมืองโบราณในลักษณะที่เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่สื่อให้ผู้เข้ามาชมได้เห็นด้วยรูปแบบของความเป็นชุมชนมากกว่าการเอามาตั้งแสดงไว้เป็นเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ เช่นเป็นเรือนไทยแบบนั้นแบบนี้ หรือเป็นของภาคนั้นภาคนี้อย่างที่เขาทำกัน หากสร้างเชื่อมโยงให้เป็นกลุ่มที่มีโครงสร้างเป็นชุมชนทั้งในเมืองและชนบท เช่นบริเวณที่เรียกว่าตลาดบก ตลาดน้ำ และหมู่บ้านภาคเหนือ ที่แลเห็นความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างบ้านและวัดเป็นต้น
อย่างที่สอง คือในส่วนของโบราณวัตถุทางชาติพันธุ์ที่ไม่สามารถนำเอาไปบูรณาการไว้ในกลุ่มอาคารที่เป็นชุมชนดังกล่าวได้ ก็นำมาจัดเก็บและแสดงไว้ในกลุ่มอาคารที่เรียกว่าพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมพื้นบ้าน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ทางชาติพันธุ์ของสังคมชาวนาแห่งแรกในเมืองไทยก็ว่าได้
ถึงแม้ว่าจะมีการนำมรดกทางวัฒนธรรมทั้งหลายแหล่ที่กล่าวมานี้มารักษาไว้ที่เมืองโบราณอย่างที่ไม่มีผู้ใดทำมาก่อนก็ตาม คุณเล็กก็หาได้พอใจและหยุดอยู่เพียงแค่นี้ไม่ เพราะไม่คิดว่าจะเป็นการแพร่หลายให้คนทั่วไป โดยเฉพาะเยาวชน ได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ควรมีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลอย่างต่อเนื่อง จึงได้จัดตั้งกลุ่มนักวิชาการขึ้นมาดำเนินการสำรวจค้นคว้าและนำผลงานมาเสนอในรูปของ “วารสารเมืองโบราณ”

อาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ หรือ น ณ ปากน้ำ ศิลปินผู้เป็นกำลังสำคัญสำหรับวารสารเมืองโบราณครั้งก่อตั้ง
บุคคลที่คุณเล็กให้ความนับถือและเชื้อเชิญให้เข้ามาเป็นเสาหลักในการดำเนินการก็คือ อาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ ผู้ที่ใช้นามปากกาว่า น.ณ ปากน้ำ คุณเล็กรู้จักอาจารย์ประยูรจากข้อเขียนในหนังสือ และเห็นว่าเป็นผู้ที่มีความรู้และมีประสบการณ์จากความเป็นจริง ดีกว่านักวิชาการที่ทางราชการและวงวิชาการในระดับมหาวิทยาลัยในขณะนั้นยกย่อง โดยกล่าวว่าอาจารย์ประยูรเขียนหนังสือง่าย ๆ คนธรรมดาอย่างท่านอ่านรู้เรื่องและเข้าถึงความเป็นจริงได้ ต่างจากนักวิชาการที่มีชื่อเสียงที่มักเขียนอะไรเต็มไปด้วยแนวคิดทฤษฏีที่อ่านและฟังแล้วตามไม่ทัน ไม่รู้เรื่อง จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นเรื่อง “รู้น้อยรู้มาก” ไป โดยคุณเล็กมีคำอธิบายจากสุภาษิตโบราณว่า คนที่ไม่รู้และบอกว่าไม่รู้นั้นเป็นคนซื่อสัตย์ น่านับถือ ส่วนคนที่ไม่รู้และบอกว่ารู้นั้นยังไม่สู้กระไร พอจับได้ว่าไม่รู้ในที่สุด แต่คนที่รู้น้อยแล้วบอกว่ารู้มากนั้นอันตราย เพราะจับไม่ได้ แต่สามารถทำให้เกิดการหลงผิดได้ง่าย คนประเภทหลังนี้มีอยู่มากมายในสังคมไทย
การที่คนรู้น้อยรู้มากมีมากมายในสังคมไทยนั้น ก็เพราะเป็นผลผลิตของรัฐในยุคสงครามเย็น การพัฒนาประเทศตามแบบอย่างตะวันตกอย่างผิวเผิน และเน้นความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การศึกษา นิติศาสตร์ ตลอดจนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น ทำให้คนไทยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพวกที่เป็นข้าราชการของรัฐ มองโลกในลักษณะที่คับแคบ และขาดความรู้ในเรื่องของความเป็นมนุษย์ ที่อาจเรียนรู้ได้จากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม
ผลที่ตามมาจนถึงขณะนี้ก็คือ พวกข้าราชการและนักวิชาการของรัฐส่วนใหญ่มีความรู้และความเข้าใจแต่เพียงเรื่องของวัฒนธรรมหลวงที่หยุดนิ่ง และมักนำมาอ้างอิงในการดำเนินการที่ใช้อำนาจในครรลองทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์เป็นสำคัญ หามีความเข้าใจในเรื่องชีวิตวัฒนธรรมที่หลากหลาย อันเป็นเรื่องของวัฒนธรรมราษฎร์ไม่
คนรู้น้อยรู้มากเหล่านี้แหละที่ทำให้รัฐกับสังคมมีช่องว่าง ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อันเป็นการนำมาซึ่งการมีรัฐ ทรราชย์อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เหตุนี้อาจารย์ประยูรจึงได้เข้ามาเป็นผู้นำในการสำรวจค้นคว้าและเสนอผลงานในวารสารเมืองโบราณในลักษณะที่เป็นการดำเนินงานแบบกู้ข้อมูลทางด้านศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมาอย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลากว่า ๒๐ ปี เพื่อเผยแพร่สิ่งที่ปัจจุบันได้สูญหายไปในยุคพัฒนาทางเศรษฐกิจ ให้คนทั่วไปในยุคปัจจุบันและอนาคตได้รับรู้ อาจารย์ประยูรทุ่มเททั้งกำลังกายและใจในการดำเนินงานร่วมกับคณะทำงาน ซึ่งได้แสดงออกมาทั้งในการเสนอบทความเป็นประจำ และการให้ข้อคิดเห็น ตลอดจนการชี้แนะในเรื่องที่เป็นประโยชน์

อาจารย์ประยูร ขณะออกไปถ่ายภาพสำรวจ
เพื่อรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำวารสารเมืองโบราณในยุคแรกเริ่ม
สิ่งที่เป็นผลงานที่ล้ำค่าของอาจารย์ประยูรก็คือ การถ่ายภาพโบราณสถานและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในท้องถิ่นต่างๆ เกือบทุกภูมิภาค ที่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่มีอีกแล้ว ไว้ให้เป็นมรดกของสังคม ภาพเหล่านี้ปัจจุบันอยู่ในการดูแลของมูลนิธิประไพ วิริยะพันธุ์
บัดนี้ ผู้ใหญ่ทั้งสอง คือคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ และอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ ได้ล่วงลับไปแล้วในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน นับเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราที่อยู่ในคณะผู้จัดทำวารสารเมืองโบราณ แต่เจตนารมณ์ของท่านทั้งสองยังคงดำเนินอยู่อย่างสืบเนื่อง และจะงอกงามต่อไปในรูปของ มูลนิธิเล็ก–ประไพ วิริยะพันธุ์
ศรีศักร วัลลิโภดม : บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๔๔)
留言