เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2548
ระหว่างเดือนมีนาคม–เมษายน–พฤษภาคม ที่แล้วมา ข้าพเจ้ามีโอกาสเดินทางไปศึกษาภูมิวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านบนพื้นแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ เขมร พม่า เวียดนาม และลาว ตามลำดับ ความประสงค์ที่ไปก็เพื่อจะดูว่าเพื่อนของเราที่คนไทยมักดูแคลนมาเสมอว่าไม่มีอะไรทัดเทียมเราในด้านความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองนั้นเป็นอย่างไร เพราะในทำนองตรงข้าม บรรดาประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ก็มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อประเทศไทยเหมือนกัน อันเนื่องมาจากเหตุการณ์และความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยการล่าอาณานิคมของอาณาจักรนิยมอังกฤษและฝรั่งเศสจนมาถึงสมัยอเมริกาทำสงครามกับเวียดนาม

โรงเรียนในบริเวณเวียดนามตอนกลาง สภาพที่ดูเปลี่ยนแปลง อาคารขยายใหญ่ขึ้นและใหม่ขึ้นกว่าเดิม
ด้วยเวลาอันน้อยนิดแต่อยากรู้อยากเห็นมากๆ ข้าพเจ้าและคณะใช้วิธีศึกษาภูมิศาสตร์วัฒนธรรมสองข้างทางไปเรื่อย ๆ จากบริเวณหนึ่ง ท้องถิ่นหนึ่งไปเรื่อย โดยดูรายละเอียดบางจุดที่น่าสนใจเป็นสำคัญ เพราะการสังเกตการณ์ไปตลอดทางนั้นทำให้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของ นิเวศวัฒนธรรม (cultural ecology) ได้ไม่มากก็น้อย ในการรับรู้และเรียนรู้ของข้าพเจ้าถือว่าความสัมพันธ์ของระบบนิเวศทั้งสองเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันกับความมั่นคงทางสังคม และวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมแต่ละประเทศเป็นอย่างมาก
เมืองไทยหรือประเทศไทยของเราที่รัฐและประชาชนที่มีโอกาสทั้งหลายชอบโอ่เป็นนักหนาว่าเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจดีกว่าเพื่อนบ้านนั้น แท้จริงกำลังขาดดุลยภาพในเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างนิเวศวัฒนธรรมและนิเวศเศรษฐกิจการเมือง ด้วยกระทำของรัฐและประชาชนที่มีโอกาสเหล่านั้น การกระทำที่ทำให้เกิดการรุกล้ำของนิเวศเศรษฐกิจการเมืองอย่างไม่มีกาลเทศะนั้นคือการทำลายนิเวศวัฒนธรรมที่มีผลทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางสังคมและวัฒนธรรมในแทบทุกภูมิภาคของประเทศในขณะนี้
เพราะการรุกล้ำของนิเวศเศรษฐกิจและการเมืองของบรรดาประชาชนที่ได้โอกาสหรือฉวยโอกาสก็คือการบุกรุกของนายทุนที่ใช้อำนาจทางการเมืองของรัฐเข้าไปแย่งพื้นที่และทรัพยากรท้องถิ่นของผู้คนที่ด้อยโอกาสในท้องถิ่น จนเกิดเป็นความขัดแย้งอย่างไม่รู้จบในปัจจุบัน เกิดความเคลื่อนไหวทั้งจากบรรดาปัญญาชนที่เป็นนักวิชาการสุจริตชนและองค์กรเอกชนร่วมมือกับบรรดาชาวบ้านชาวเมืองในท้องถิ่นที่ได้รับการเดือดร้อน โต้แย้ง คัดค้าน เดินขบวนกันอยู่เนือง ๆ ผลที่เกิดตามมาก็คือ แทบทุกเมื่อเชื่อวันจะมีการประชุมสัมมนาทั้งเป็นเรื่องของการเสนอผลงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น และการอบรมการปฏิบัติการทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยสถาบันการศึกษาจากทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคกันอย่างกว้างขวาง หลายต่อหลายแห่งก็มีการเชิญบรรดานักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ ปราชญ์ผู้รู้ชาวบ้านที่มีชื่อเสียงมาให้ความรู้ทั้งแนวคิด ทฤษฎี และการปฏิบัติการกันเป็นประจำ
ข้าพเจ้านับเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่ถูกอุปโหลกว่าเป็นผู้รู้และเชี่ยวชาญ เคลื่อนไหวอยู่ในวังวนแห่งการวิจัยและการไปพูดไปสัมมนาอยู่กว่า ๑๔ – ๑๕ ปีที่ผ่านมา เมื่อมีโอกาสได้โผล่ออก นอกกระดอง ไปยังประเทศเพื่อนบ้านในครั้งนี้แล้วตกใจ เพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของเขาแล้วดูมีสมดุลระหว่างระบบนิเวศวัฒนธรรมและนิเวศเศรษฐกิจการเมืองที่จะยังให้เกิดความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจแก่คนทั้งหลายในชาติดได้ดีกว่าเรา ไม่ว่าเขมร เวียดนาม พม่า และลาวที่เคยเป็นสังคมนิยมต่างขานรับการลงทุนขนาดใหญ่จากภายนอกตามกระแสโลกาภิวัตน์ทั้งนั้น แต่ทั้งรัฐและสังคมจะคำนึงถึงผู้คนในท้องถิ่นเป็นสำคัญ หาได้ปล่อยให้นิเวศเศรษฐกิจการเมืองรุกล้ำเข้าไปทำลายนิเวศวัฒนธรรมของท้องถิ่นไม่
ประเทศเวียดนามคือตัวอย่างที่จะพูดถึงในที่นี้ ข้าพเจ้านั่งรถวิ่งผ่านแต่เมืองลาวบาวที่อยู่ต่อแดนประเทศลาว มายังเมืองดงฮา เมืองเว้ เมืองดานัง เมืองญาจัง เมืองพันราง เมืองฟันเทรียด เมืองไซ่ง่อนไปจนถึงเมือง กันเธอ ริมแม่น้ำโขง แลเห็นการเปลี่ยนแปลงแต่ละพื้นที่สองฝั่งถนนที่มีความแตกต่างกันทางภูมิศาสตร์จากเหนือจดใต้ชัดเจน จำได้ว่าเมื่อ ๑๔ ปีที่ผ่านมา บ้านเรือนของคนเวียดนามทั้งในเมืองและชนบทมีขนาดเล็กคับแคบและมีสภาพแวดล้อมที่สกปรก อาหารการกินและสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันดูขาดแคลน เพราะเป็นประเทศที่ถูกย่ำยีแหลกลาญโดยสงครามกับอมนุษย์ที่ใช้เทคโนโลยีทำลายล้างอย่างขี้ขลาดและบ้าคลั่งมาเมื่อ ๖ ปี ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเข้าไปพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ก็ยังห่างไกลกับความเจริญในด้านความสะดวกสบายในชีวิตความเป็นอยู่จากผู้คนในประเทศไทยอีกมาก แม้ว่าอาหารการกินและการพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมทั้งการเกษตรอุตสาหกรรมจะดีขึ้นเป็นอย่างมากก็ตาม แต่ทว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นแก่ตาในปีนี้ เวียดนามเจริญเติบโตอย่างคาดไม่ถึง แทบทุกหนแห่งบ้านเรือนที่เคยติดพื้นชั้นเดียวมี ๓ ห้อง มีการขยายตัว มีห้องเพิ่มขึ้น บางแห่งก็เป็นสองชั้น รวมทั้งเกิดบ้านและตึกของคนรวยเพิ่มขึ้น มีการขยายถนนและปรับปรุงถนนให้สะดวกสบายเพิ่มขึ้นให้เหมาะแก่การคมนาคมและสัญจรของคนในท้องถิ่น แทบทุกบ้านมีสวนครัวที่เลี้ยงตัวเองได้อย่างไม่ต้องพึ่งตลาด เพราะพื้นที่แทบทุกตารางนิ้ว หน้าบ้าน หลังบ้าน หรือรอบบ้านถูกใช้เป็นที่ปลูกพืชผักต่างๆ อย่างมีระเบียบ ผลผลิตที่ได้ไม่เพียงแต่จะใช้บริโภคภายในครัวเรือนเท่านั้น ส่วนเกินยังสามารถนำไปขายในตลาดสดเช้าเย็นที่มีอยู่ทุกย่านทุกตำบลด้วย เพื่อขายให้กับผู้คนในเมืองที่ไม่มีพื้นที่ทำสวนครัวได้ เวียดนามไม่มีซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างคลั่งไคล้และบ้า ๆ บอ ๆ แบบของไทย แต่มีตลาดสดเช้าเย็นที่อุดมสมบูรณ์ทั้ง ผัก ปลา หมู เป็ด ไก่ที่ชาวบ้านและผู้ผลิตรายย่อยที่มีทุนรอนน้อย ๆ สามารถทำมาค้าขายได้ ทำให้คนมีอาหารการกินอยู่ดีทุกระดับ
สิ่งที่เวียดนามชนะไทยอย่างขาดลอยคือ การจัดการน้ำและการเกษตร เพราะแม้จะมีพื้นที่ทางเกษตรน้อยกว่าเมืองไทยและมีประชากรถึง ๘๒ ล้านคนมากกว่าหกสิบกว่าล้านคนของไทยก็ตาม ก็สามารถปลูกข้าวส่งออกได้เป็นอันดับสองรองจากไทย ที่ว่าชนะก็เพราะมีการกระจายรายได้ให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ดีกว่าของไทย เห็นได้จากการทำนาทำไร่ตามที่นาหรือพื้นดินแปลงเล็ก ๆ เพียงไม่กี่ไร่ มักเป็นการร่วมแรงกันทำโดยคนกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ ๓–๖ คนและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับกำลังทุนของแต่ละกลุ่ม เช่น ยังใช้วัวและความรวมทั้งแทรคเตอร์ขนาดเล็กในการเพาะปลูก การจัดการน้ำเข้านาและที่เพาะปลูกก็ยังเป็นแบบเดิม โดยอาศัยการชลประทานราษฎร์ที่ถนอมลำน้ำและทางน้ำธรรมชาติซึ่งมาจากที่สูง บรรดาลำน้ำธรรมชาตินี้แหละที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของคนเวียดนามและสามารถผันและดึงเข้าไปใช้ในการเพาะปลูกแบบแบ่งปันกันอย่างเสมอภาคหาได้เป็นการแย่งน้ำกันอย่างของเมืองไทยไม่ การสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ รวมทั้งการขุดคลองส่งน้ำในลักษณะที่เป็นชลประทานหลวงดูมีน้อย เพราะจะเป็นการทำลายสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่น แต่การปล่อยให้คนในท้องถิ่นจัดการร่วมกันไปตามธรรมชาติ ได้ทำให้ความเป็นอยู่ของคนในสังคมเกษตรกรรมของเวียดนามดูเป็นระเบียบเสมอภาคและสัมพันธ์กับธรรมชาติสภาพแวดล้อมอย่างกลมกลืน พื้นที่เกษตรกรรมกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ แม่น้ำ ลำน้ำ และทางน้ำดูไม่ขาดแห้ง หรือดูดีเป็นแห่ง ๆ อย่างของไทย กลับดูเย็นตาคล้ายกันไปหมด โดยเฉพาะผู้คนที่ต่างคนออกไปทำงานอย่างขยันขันแข็งเป็นกลุ่มเป็นระเบียบ สิ่งเหล่านี้คนไทยแต่ก่อนเคยมี แต่เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาและการทำเกษตรอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาแทนแรงงานคนและสัตว์ก็ทำให้เปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น จนเดี๋ยวนี้เราแยกคนที่เป็นชาวนาทำไร่กับคนที่เป็นกรรมกรใช้แรงงานในกิจกรรมทางอุตสาหกรรมไม่ออก วิถีชีวิตที่เคยอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนและเป็นปึกแผ่นในระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเพียงพอหายไปหมดสิ้น แต่สภาพการเช่นนี้คือสิ่งที่แลเห็นในหมู่คนเวียดนาม
สังคมอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมในเมืองไทยกำลังเปลี่ยนให้คนไทยเป็นอมนุษย์ เพราะกำลังพัฒนาให้คนเป็นปัจเจกอย่างผิดวิสัยของมนุษยชาติ แต่เวียดนามพัฒนาคนให้อยู่เป็นกลุ่มเป็นเหล่าตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องเป็นสัตว์สังคม ในเวียดนามรัฐและสังคมดูเป็นอันหนึ่งเดียวกันในการพัฒนาให้มนุษย์อยู่ติดพื้นที่อันเป็นมาตุภูมิหรือแผ่นดินเกิด เพราะแทบทุกแห่งที่ผ่านไปจะพบว่าผู้คนในท้องถิ่นนอกจากมีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในลักษณะที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนที่ความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งในระดับเครือญาติและเพื่อนร่วมท้องถิ่นและความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติในลักษณะที่มีการจัดการสภาพแวดล้อมธรรมชาติในเรื่องการทำมาหากิน การตั้งถิ่นฐาน การอยู่อาศัย และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติอย่างแนบแน่นและดูไม่เสื่อมคลายทั้ง ๆ ที่เป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์
เพราะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น มีการจัดการกับหลุมศพเป็นเงาตามตัว บ้านบางบ้านสร้างหลุมศพของคนตายในครอบครัวไว้ในเขตบ้าน และในพื้นที่ทำกินไม่ว่าจะเป็นไร่นาและเรือกสวน เมื่อมองไปตามทุ่งนาจะแลเห็นหลุมศพกระจายกันอยู่เป็นหย่อม ๆ หรือบางที่ในบรรดาพื้นที่สาธารณะป่าเขาและบริเวณแห้งแล้งก็ปรับเปลี่ยนให้เป็นแหล่งฝังศพกระจายกันอยู่ทั่วไป เวียดนามคล้ายจีนแต่ไม่เหมือนจีน เป็นสังคมที่ให้ความสำคัญลัทธิบูชาบรรพบุรุษ (ancestor focus) แต่ไม่นำศพผู้ตายในครอบครัวหรือตระกูลไปฝังไว้รวมกันเป็นสุสานใหญ่ ๆ ในที่ห่างไกลกับเอาไว้ใกล้ตัว และบ้านเรือนดูกระเดียดไปทางข้างญี่ปุ่นมากกว่า บรรดาหลุมศพและแหล่งฝังศพทั้งที่พบตามบ้านและแหล่งทำกินดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าคนเวียดนามและสังคมเวียดนามเน้นการอยู่ร่วมกันในถิ่นกำเนิดแต่แรกเกิดจนตาย ช่วงเวลาของการอยู่ร่วมกันในท้องถิ่นเดียวกันเป็นเวลาหลายชั่วคน คือสิ่งที่สร้างให้คนเวียดนามปรับสภาพแวดล้อมธรรมชาติของท้องถิ่นให้เป็นระบบนิเวศวัฒนธรรมร่วมกันได้ เกิดสถานที่และแหล่งประวัติศาสตร์ศิลปวัฒนธรรมที่จรรโลงสำนึกท้องถิ่นและความเชื่อท้องถิ่นที่มีทั้งประวัติศาสตร์ จารีต ประเพณี และพิธีกรรมรวมกัน ข้าพเจ้าคิดว่าคนไทยเคยมีในสิ่งเหล่านี้ แต่ปัจจุบันไม่มี เพราะถูกทั้งรัฐและนายทุนทำลาย
ข้าพเจ้าเชื่อว่ารัฐเวียดนามมีจิตใจที่เอื้ออาทรต่อคนท้องถิ่นที่ไม่เหมือนรัฐไทย เพราะตลอดทางที่นั่งรถผ่านไปข้าพเจ้ามักบ่นถึงความล่าช้าในการเดินทาง คือเวียดนามนั้นแม้ว่าจะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วก็ตาม แต่เรื่องเส้นทางคมนาคมดูล้าหลัง การคมนาคมจากกรุงฮานอยทางเหนือมายังเมืองไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ทางใต้ขึ้นอยู่กับทางหลวงเพียงสายเดียว ซึ่งแม้ว่าจะทำถนนให้ดีและสะพานข้ามแม่น้ำลำน้ำสายต่าง ๆ ได้สะดวกกว่าแต่ก่อนก็ตาม แต่ก็เป็นถนนขนาดเล็กที่รถวิ่งสวนทางไปมาในช่องทางเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การขับขี่ยานยนต์ต้องมีการควบคุมความเร็วให้อยู่เพียง ๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นการเดินทางจากเหนือไปใต้ด้วยรถยนต์จึงกินเวลาหลายวันทีเดียว

บ้านเรือนในชนบทของเวียดนาม ที่เพาะปลูกไม่ไกลจากบ้านเรือนและยังมีการใช้แรงงานร่วมกัน
แต่เมื่อแลเห็นบรรดาทุ่งนาและพื้นที่ทางเกษตรและที่อยู่อาศัยที่เขียวและชุ่มน้ำ ความรู้สึกในเรื่องตำหนิก็หมดไป เพราะคิดได้ว่า ถ้าหากเวียดนามพัฒนาถนนหนทางอย่างใหญ่โตและมากมายไปทุกหนแห่งแล้ว บรรดานักการเมือง พ่อค้า ข้าราชการและนายทุนคงร่ำรวยมิใช่น้อย เพราะค่าคอมมิชชั่นคงแพร่สะพัด และคนธรรมดาที่เป็นชาวบ้านในท้องถิ่นก็คงเดือดร้อน เพราะบรรดาถนนหนทางเหล่านั้นคือสิ่งที่กีดขวางทางเดินและการกระจายตัวตามธรรมชาติของน้ำที่จะยังความชุ่มชื้นให้แก่การเพาะปลูกและการอยู่อาศัยของผู้คนได้ ตลอดเส้นทางข้าพเจ้าแทบมองไม่เห็นภาพพจน์ของกรมทางหลวง กรมชลประทาน องค์กรจัดการไฟฟ้าพลังน้ำ และกรมป่าไม้แบบที่พบในประเทศไทยแต่อย่างใด รวมทั้งแทบไม่พบพื้นที่ทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่บรรดานายทุนข้ามชาติต่างแย่งเข้ามากันยึดครองพื้นที่สาธารณะและถิ่นทำกินของชาวบ้านอย่างเช่นในเมืองไทยที่แทรกซึมไปทั่วทุกระแหงจนคนไทยกลายเป็นทาสติดที่ดิน ที่พบเห็นในประเทศเวียดนามก็มีอยู่ในเขตเมืองไซ่ง่อนและบริเวณปริมณฑลที่มีนักลงทุนข้ามชาติของไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง
ครั้นหวนกลับมาที่ถนนสายเดี่ยวที่สะท้อนความล้าหลังในเรื่องการพัฒนาอีกทีก็กลับทำให้ได้แลเห็นอะไรลุ่มลึกกว่าแต่เดิม เพราะถนนเส้นนี้ที่ต้องนั่งรถแลสองข้างทางไปอย่างช้า ๆ นี้ ไม่เพียงแต่ให้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ร่มรื่นในชนบทแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น หากเป็นเส้นทางที่ผ่านไปตามเมืองต่าง ๆ ทั้งระดับอำเภอและจังหวัด ทำให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นโครงสร้างบางอย่างที่ทางรัฐได้พัฒนาให้เกิดขึ้นอย่างมีความหมาย
ในเขตเมืองนั้น ย่านตลาด ร้านค้า ห้องแถว และที่อยู่อาศัยพัฒนาขึ้นตามสองฝั่งถนนแบบที่พบในเมืองไทยเมื่อราว ๓๐-๔๐ ปีก่อน แต่สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตและโดดเด่นก็คือโรงเรียนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการเป็นอาคารขนาดเล็กชั้นเดียวมาเป็นสองชั้นขนาดใหญ่ที่มีบริเวณกว้างขวางมีสีสันที่สวยงาม ล้วนเป็นอาคารที่ใหญ่โตกว่าอาคารอื่นๆ รวมทั้งสถานที่ทางราชการและศูนย์กลางในการบริหารด้วย ข้าพเจ้าไม่เคยพบเห็นเช่นนี้ในเมืองไทย เพราะโรงเรียนแบบนี้มีเป็นจำนวนมาก นับเป็นศูนย์กลางของท้องถิ่นที่ขานตอบการศึกษาของเด็กนักเรียนในท้องถิ่นโดยแท้และเป็นสถานที่มีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก เพราะเด็กนักเรียนในท้องถิ่นต้องเข้าโรงเรียน ในเวลาไปโรงเรียนพักกลางวันและกลับบ้าน เด็กนักเรียนจะเดินและขี่รถจักรยานกันตามถนนดูแน่นไปหมด อันแสดงให้เห็นว่าตำแหน่งของโรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน เดินทางกลับไปทานอาหารกลางวันที่บ้านได้อย่างสบาย ซึ่งผิดกับโรงเรียนในเมืองไทยราวฟ้าและดินที่โรงเรียนห่างบ้านและมีระดับสำรับคนรวยคนจน แต่ที่แย่ก็คือคนจนและคนด้อยโอกาสมักไม่ได้เรียนกัน
ดูเหมือนความต่างกันของโรงเรียนในเมืองไทยกับเวียดนามในยุคปฏิรูปการศึกษาตั้งแต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาจนถึงรัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็คือ โรงเรียนของไทยอยู่ในเขตการศึกษาอันเป็นเขตการบริหารที่แลเห็นแต่ระบบการจัดการต่างๆ ในเรื่องตำแหน่งงานของผู้บริหาร ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และอุปกรณ์การศึกษาจนแลไม่เห็นเด็กนักเรียนกับวัฒนธรรมท้องถิ่น โรงเรียนในเวียดนามคือศูนย์กลางของท้องถิ่น เป็นสิ่งที่อยู่ในพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับกระบวนการอบรมทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น นับเป็นสถานที่สร้างสำนึกท้องถิ่นและกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้ในวิชาการต่าง ๆ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับศักยภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของท้องถิ่นโดยแท้ โรงเรียนในเวียดนามคือสถานที่เพื่อเตรียมคนในด้านความรู้เพื่อขานรับกับการรุกล้ำของนิเวศเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากโลกาภิวัตน์ โรงเรียนคือสิ่งที่ทำให้เด็กในท้องถิ่นเรียนรู้นิเวศวัฒนธรรมและนิเวศเศรษฐกิจการเมืองเพื่อการปรับให้มีความสัมพันธ์กันอย่างมีดุลยภาพ โรงเรียนคือหัวใจของกระบวนการท้องถิ่นวัฒนา (localization) ซึ่งเป็นกระบวนการปฏิรูปการศึกษาที่เมืองไทยไม่เคยคิดที่จะให้ดี
จากการที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมดังกล่าวมานี้ ข้าพเจ้าก็มาถึงบางอ้อว่า การพัฒนาของเวียดนามนั้นแท้จริงคือสิ่งที่อยู่ในกรอบความคิดของคนตะวันออกที่มีมาแต่เดิม คือการเน้นให้ผู้คนอยู่ติดที่ ให้อยู่กันอย่างยั่งยืนมีรากเหง้าเป็นกลุ่มเป็นแหล่ง มีความเป็นอันหนึ่งเดียวกันในวัฒนธรรมจารีตและประเพณี ซึ่งต่างกันกับคนตะวันตกที่เน้นอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สนับสนุนให้คนโยกย้ายถิ่นไปตามที่ต่าง ๆ จนไม่มีโอกาสและเวลาที่จะอยู่ติดที่ร่วมกันจนเป็นชุมชนขึ้นมา มีแต่สร้างให้คนเป็นปัจเจกที่อาจมีบ้านพักทันสมัยโอ่อ่ามีความสะดวกสบาย แต่ต่างคนต่างอยู่ ต่างซุกหัวนอนไปวัน ๆ ดังเห็นได้จากการเกิดบ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมทั่วทุกระแหงในเมืองไทยขณะนี้
พลันข้าพเจ้านึกถึง คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเล็ก–ประไพ วิริยะพันธุ์ขึ้น ครั้งเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่และออกเดินทางตระเวนไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อศึกษารวบรวมข้อมูลมาสร้างเมืองโบราณ ท่านสังเกตว่ามีการเคลื่อนย้ายของผู้คนจากจังหวัดและท้องถิ่นหนึ่งไปท้องถิ่นหนึ่งเพื่อการทำงานตามสถานที่ประกอบการทางอุตสาหกรรมและการบริการอยู่ตลอดเวลา จึงบอกกับข้าพเจ้าว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีจะเกิดความยุ่งยากขึ้น การตรึงคนให้อยู่กับที่ซึ่งทำให้ท่านคิดอะไรที่ออกนอกไปจากการสร้างเมืองโบราณในขณะนั้นว่า อยากจะก่อตั้งโรงเรียนช่างสิบหมู่ขึ้นตามท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อให้คนในท้องถิ่นได้ฟื้นความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมาช้านาน ในด้านปัจจัยสี่และสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรมมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นตามกาลเทศะและฤดูกาลขึ้นก็จะทำให้เกิดรายได้จากส่งที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่น และเกิดพลังและความภูมิใจในถิ่นกำเนิดหรือมาตุภูมิของตนขึ้น ความคิดของท่านแม้ไม่อาจทำให้เป็นรูปธรรมได้ในขณะนั้น แต่ก็เป็นสิ่งสืบเนื่องมาเป็นงานอย่างหนึ่งของมูลนิธิฯ ในการออกไปช่วยจัดการในเรื่องความรู้เพื่อให้ท้องถิ่นจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขึ้นมา รวบรวมหลักฐานข้อมูลทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาเพื่อถ่ายทอดให้เกิดสติปัญญา และสำนึกท้องถิ่นของชาวบ้านในท้องถิ่นต่าง ๆ ของประเทศ
การได้มีโอกาสไปเวียดนามครั้งนี้ของข้าพเจ้าทำให้แลเห็นอย่างสว่างในความคิดของคุณเล็ก และแลเห็นการพัฒนาท้องถิ่นที่ผิดทิศทางอย่างแท้จริงในเมืองไทย ตราบใดที่คนไทย สังคมไทยยังเต็มไปด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานไปทำมาหากินตามถิ่นต่าง ๆ อย่างไม่มีหัวนอนปลายตีนกันอยู่เช่นนี้ การลงหลักปักหลักที่เป็นปึกแผ่นทางสังคมและวัฒนธรรมไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะการพัฒนาความเป็นกลุ่มหรือชุมชนที่มีโครงสร้างสังคมจากระดับครอบครัว เครือญาติ ชุมชนและท้องถิ่นที่มีสำนึกร่วมกันทางชีวิตวัฒนธรรมนั้น ต้องใช้เวลาของการอยู่ในพื้นที่ร่วมกันไม่ต่ำกว่า ๒–๓ ชั่วคน สิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ดูเป็นเรื่องเปิดโอกาสให้ปัจเจกบุคคลที่เป็นนายทุนหรือผู้ที่ฉวยโอกาสทั้งหลายจากภายนอกเข้าไปตั้งถิ่นฐานแย่งทรัพยากร ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเอาเปรียบชาวบ้านชาวเมืองในรูปแบบที่อ้างว่าทำเพื่อชุมชนหรือทำเพื่อคนส่วนรวมในระดับชาติอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าคิดว่าเวียดนามเดินทางมาถูกทาง และการพัฒนาทางสังคมวัฒนธรรมอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ ในขณะที่ของไทยผิดทั้งทิศทางและหลงทางจนไม่อาจแก้ไขอะไรได้ในขณะนี้
นอกจากโรงเรียนแล้ว โครงสร้างทางกายภาพที่โดดเด่นในสังคมเมืองอีกอย่างหนึ่งของเวียดนามที่นับว่าเป็นการดำเนินการของรัฐก็คือ อนุสาวรีย์ที่ฝังศพวีรชนในสงครามกับอเมริกัน ทุกอำเภอและจังหวัดจะมีอนุสาวรีย์และแหล่งฝังศพดังกล่าวนี้ดูเด่นเป็นสง่ามองเห็นแต่ไกล เหนือหลุมศพมีรายชื่อของวีรชนที่เสียชีวิตไว้อย่างชัดเจน อนุสาวรีย์นี้มีความสัมพันธ์กับโรงเรียนเป็นอย่างมาก เพราะดูเหมือนจะมีการกำหนดให้โรงเรียนและเด็กนักเรียนมาทำความสะอาดและขัดชื่อจารึกของวีรชนอยู่เป็นประจำ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ที่กล่าวต่อโลกในการทำสงครามกับมหาอำนาจอเมริกันว่า เวียดนามเป็นหนึ่งเดียวจะแบ่งแยกจากกันมิได้ แต่ความเป็นหนึ่งเดียวของท่านโฮจิมินห์นั้น คือการทำให้ผู้คนหลายชาติพันธุ์หลายศาสนาที่มีความแตกต่างกันตามท้องถิ่นต่าง ๆ ตั้งแต่เหนือจดใต้ มีสำนึกในการอยู่แผ่นดินเวียดนามเดียวกัน โดยแต่ละคนมีหน้าที่ร่วมรบเพื่อปกป้องแผ่นดินร่วมกันอย่างเสมอภาค บรรดาวีรชนที่มีชื่อปรากฏบนแผ่นดินเหนือหลุมศพแหล่งนั้น ล้วนเป็นคนในท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนาทั้งสิ้น เวียดนามแลเห็นเอกลักษณ์ท่ามกลางความหลากหลายในโครงสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเสมอภาค ในขณะที่สังคมไทยและรัฐไทยเพ้อเจ้อและคุกคามให้ผู้คนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนากลายเป็นคนไทยแบบเชื้อชาติเดียวกัน
เหตุการณ์ในภาคใต้คือปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นในความคิดแบบนี้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments