เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.พ. 2550

องค์กรชุมชนที่มีส่วนร่วมในการจัดการพื้นที่ทางทรัพยากร
ถ้ามองตามแนวคิดแบบโพสต์โมเดิร์นที่กำลังฮิตกันในหมู่นักวิชาการทั้งสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ขณะนี้ คำว่า เศรษฐกิจพอเพียง ก็คือวาทกรรมชุดใหม่ที่ตอบโต้เศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ครอบงำสังคมไทยและสังคมโลกส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั่นเอง
ข้าพเจ้าแลเห็นคำ แต่ไม่เห็นโครงสร้าง เพราะสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รับสั่งนั้นอยู่ในระดับปรัชญาที่ตอบคำถามว่า Why เท่านั้น เลยกลายเป็นหน้าที่ของบรรดานักวิชาการและผู้รู้จำนวนมากออกมาแสดงความคิดชี้แนะและสอนสิ่งในลักษณะที่เป็น How กันมากมาย ข้าพเจ้าเป็นคนที่ล้าหลัง เพราะตามไม่ทันในเรื่องโพสต์โมเดิร์น จึงติดกับเรื่องของ “โครงสร้าง” โดยเฉพาะโครงสร้างสังคมอยู่ร่ำไป

ความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย
จึงใคร่จะเสนอมุมมองแบบขี้เท่อไว้บ้างในที่นี้ นั่นคือ สังคมไทยในส่วนรวมมีพัฒนาการที่ค่อนข้างก้าวกระโดด จากโครงสร้างแบบประเพณีของสังคมชาวนามาเป็นสังคมอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว เลยทำให้เกิดความซับซ้อนและขัดแย้งกันระหว่างโครงสร้าง “สาม” ระดับ คือ ระดับล่าง ระดับกลาง และระดับบน
ระดับล่าง คือ โครงสร้างแบบเดิมของชุมชนในระดับบ้านและเมืองตามท้องถิ่นต่าง ๆ ที่เน้นความเท่าเทียมและเสมอภาค แม้ว่าจะมีสูงต่ำในเรื่องวัยวุฒิและคุณวุฒิอยู่บ้างก็ตาม โครงสร้างแบบนี้ไม่ค่อยมีความเหลื่อมล้ำและชนชั้นเท่าใด
ระดับกลางและระดับบน คือ โครงสร้างทางราชการ มีความเหลื่อมล้ำและความแตกต่างทางชนชั้น ที่สนับสนุนการรวมศูนย์อำนาจในการบริหารของข้าราชการ พัฒนาการของสังคมไทยที่แล้วมาคือการอยู่รวมอย่างสัมพันธ์กับของโครงสร้างสองระดับนี้ในลักษณะอุปถัมภ์โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ทรงมีทั้งพระราชอำนาจและพระบารมีในการปกครองเต็มที่
สังคมทั้งสองระดับนี้ดำรงอยู่ในลักษณะปฏิสัมพันธ์ ชนชั้นผู้อยู่ภายใต้การปกครอง คือพวกไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินกับพวกเจ้าขุนมูลนายในระบบราชการที่เป็นชนชั้นปกครอง ซึ่งยังไม่มีชนชั้นกลาง คือ พวกพ่อค้านักธุรกิจที่ปรากฏตัวอย่างเด่นชัด ยังคงเป็นเรื่องของคนรวยกับคนจนที่ยังไม่แลเห็นสถานภาพสูงต่ำ
ชนชั้นกลางเริ่มปรากฏตัวอย่างเต็มที่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา แต่ก็ยังไม่เป็นอิสระจากการครอบงำของขุนนางข้าราชการ ตราบจนสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรี การพัฒนาเศรษฐกิจ-การเมืองแบบตะวันตกเติบโตอย่างรวดเร็ว จนถึงการสิ้นสุดรัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พวกพ่อค้าและนักธุรกิจมีอิสระและมีอิทธิพลเหนือบรรดาประชาชนและข้าราชการ อันเนื่องมาจากการใช้ช่องว่างของประชาธิปไตยแบบการเลือกตั้งซื้อเสียงหาเสียงเข้ามาเป็นนักการเมือง
การเติบโตและครอบงำของบรรดาพ่อค้านักธุรกิจทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมนี้ ทำให้แลเห็นบทบาทและอิทธิพลของภาคธุรกิจซึ่งครอบงำภาครัฐหรือข้าราชการ กับภาคสังคมของคนธรรมดาทั่วไปในลักษณะที่เป็น โครงสร้างเดรัจฉาน ที่ถูกผลักดันด้วยสำนึกและอุดมคติทางปัจเจกบุคคลอันเป็นอิทธิพลจากระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่เป็นวัตถุนิยม ซึ่งเป็นกระแสหลักของโลกาภิวัตน์ในทุกวันนี้
สำนึกและความคิดแบบปัจเจกนี้ได้กลายเป็นคุณค่า ค่านิยมการมองโลก และอุดมการณ์ที่เข้าไปทำลายระบบคุณค่าและคุณธรรมทั้งหลาย ซึ่งเคยจรรโลงความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่รอดร่วมกัน ซึ่งมีอยู่ในโครงสร้างของชนชั้นล่างที่เป็นชาวบ้านและพลเมืองกับชนชั้นปกครองที่เป็นขุนนาง ข้าราชการอย่างสิ้นเชิง ผลที่ตามมาก็คือการเกิดคอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวงในลักษณะที่เป็นนิสัยชอบและวิถีชีวิตของคนในสังคมไทย อำนาจเงินตราธนสาร คือ อำนาจที่ชอบธรรมอันอยู่เหนืออำนาจและบารมีทางคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมในมิติทางจิตวิญญาณ ดังเห็นได้จากบทบาทของหน่วยราชการหรือสภาต่าง ๆ ของรัฐ ที่พัฒนาเศรษฐกิจอย่างไม่มีมิติของสังคม (ความเป็นมนุษย์) กับมิติของศาสนาและศีลธรรมในทุกวันนี้
เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่เป็นปรัชญานั้น เข้ากันไม่ได้กับโครงสร้างแบบเดรัจฉานของภาคธุรกิจและโครงสร้างของข้าราชการที่มีอำนาจรัฐ แต่อยู่ใต้อิทธิพลของบรรดานักธุรกิจการเมือง เศรษฐกิจพอเพียงน่าจะเป็นผลดีได้แต่เพียงเป็นการเตือนสติปัญญาบุคคลบางคนเท่านั้น ให้รู้จักความพอดีในทางจิตใจและหวนกลับมาทบทวนความเป็นมนุษยชาติที่ต้องอยู่รอดร่วมกันเป็นกลุ่มเหล่า แทนการแข่งกันกินและกัดกันเยี่ยงเดรัจฉานเช่นทุกวันนี้
ความหวังที่จะเป็นไปได้ในเรื่องเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั้น อาจดำรงอยู่และฟื้นฟูได้ในภาคประชาชนทั่วไปที่ยังรักษาโครงสร้างความสัมพันธ์ของการเป็นมนุษย์ในระดับสังคมท้องถิ่นซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายของชุมชนที่มีความแตกต่างกันในด้านประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ แต่อยู่ในท้องถิ่นหรือพื้นที่เดียวกัน ใช้พื้นที่สาธารณะที่เป็นป่าเขา แม่น้ำลำคลอง ทุ่งราบ หนองบึงร่วมกัน ในการดำรงชีวิตจนเกิดประวัติศาสตร์ท้องถิ่น วัฒนธรรมท้องถิ่น เศรษฐกิจท้องถิ่น และจารีตประเพณีทางศาสนาและความเชื่อร่วมกัน
สถาบันความเชื่อเช่นวัดและผี ตลอดจนตำนานและประวัติของผู้นำทางวัฒนธรรม คือ สิ่งที่อบรมสั่งสอนคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมเพื่อการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคและเอื้ออาทรต่อกัน โดยเฉพาะการปลูกฝังในด้าน ”ทานและการเสียสละ” ในประเพณีพิธีกรรมบุญพระเวสน์ คือตัวอย่างในเรื่องการบำเพ็ญทานบารมีเรื่องการให้ [Given Gift] อันมีลักษณะตรงข้ามกับการเอา [Take] ที่เป็นอัตลักษณ์ของปัจเจกบุคคล หรือเดรัจฉานในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี

ซะกาต คุณธรรมที่จรรโลงความเป็นมนุษย์ให้สามารถอยู่รอดร่วมกัน
ที่แล้วมาก่อนจะมีพระราชดำรัสในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงนำร่องแล้วอย่างเป็นรูปธรรม เห็นได้จากการเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรและทรงให้มีการจัดการแหล่งน้ำและพื้นที่ทำกินร่วมกันในการเกษตร อีกทั้งทรงแนะแนวทางและสั่งสอนให้ชาวบ้านชาวถิ่นทั่วไปได้รู้จักการทำมาหากินและพึ่งตนเอง ในลักษณะที่ไม่ต้องมาแบมือขอความช่วยเหลืออะไรต่ออะไรจากทางราชการแต่ฝ่ายเดียว เป็นลักษณะที่ตรงข้ามกับเดรัจฉานในภาครัฐและภาคธุรกิจ ที่มองเศรษฐกิจพอเพียงในลักษณะที่เอาเงินของรัฐและเงินช่วยเหลือเงินกู้จากภายนอกมาแจกจ่ายเพื่อหาเสียงและเปิดช่องให้เกิดคนฉลาดแบบโกง ไร้คุณธรรมเข้าไปลงทุนเหนือความทุกข์ยากและเดือดร้อนของคนที่ด้อยโอกาส ซึ่งเป็นทั้งญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมบ้านร่วมท้องถิ่น นับแต่สมัยรัฐบาล ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นต้นมา จนเข้มข้นขึ้นในสมัยรัฐบาลที่แล้วก็เกิดเงินกองทุนช่วยแบบเดรัจฉาน ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนรวยเพราะโกงกับคนที่ถูกโกง ถูกหลอกแพร่ไปทั่วทุกท้องถิ่น มีหลาย ๆ แห่งที่คนรวยแต่โกงได้ดิบได้ดีจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ซื้อเสียงมาเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต., อบจ. และสมาชิกรัฐสภาในรูปของ ส.ส. และ ส.ว. กันมากมาย จนเป็นผลให้เกิดความล่มสลายของโครงสร้างที่เสมอภาคและเอื้ออาทรระหว่างกันอย่างสิ้นเชิง
ข้าพเจ้าคิดว่าเศรษฐกิจพอเพียงที่สัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมในท้องถิ่นแบบเสมอภาคและมีมาแต่โบราณกาลนั้น น่าจะเป็นทั้งปรัชญา กลไกและวิธีการสำคัญยิ่งในการฟื้นฟูชีวิตวัฒนธรรม และความมั่นคงของมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพในการสร้างดุลและต่อรองกับบรรดาเดรัจฉานนายทุนคนโกง ในโครงสร้างระดับกลางและระดับบนของบ้านเมืองทุกวันนี้
ที่ว่าต้องต่อรอง ก็เพราะต้องยอมรับว่าในการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและการเมืองของโลกปัจจุบัน เราไม่อาจขาดโครงสร้างเดรัจฉานแบบทุนนิยมเสรีให้หมดไปได้ แต่ไม่ควรปล่อยให้ครอบงำและทำลาย ต้องหาทางควบคุมและต่อรองจึงจะทำได้ สิ่งที่แก้ยากและควบคุมยากก็คือ ในช่วงเวลา ๔๐ ปีที่ผ่านมา คนไทยเกิดขึ้นใหม่อย่างน้อยสองรุ่น คือ รุ่นพ่อแม่กับรุ่นลูก ที่ได้รับการปลูกฝังให้นิยมความคิดแบบวัตถุนิยมในลักษณะที่เป็นโลกานุวัตรจนเคยชิน และลืมสิ่งต่าง ๆ ทั้งโครงสร้างและจิตวิญญาณแบบตะวันออกแต่เดิมอย่างสิ้นเชิง จนยอมรับให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองแบบเดรัจฉาน มีอำนาจในทางรัฐและราชการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
กฎหมายและระเบียบแบบแผนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ นานา ล้วนถูกกำหนดโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง ที่บรรดาสมาชิกรัฐสภา วุฒิสภาและคณะรัฐบาลสร้างความชอบธรรมโดยมาจากการเลือกตั้ง เป็นเหตุให้นักการเมืองที่เป็นเดรัจฉานสามารถใช้กระบวนการหาเสียงซื้อเสียงได้รับเข้ามาบริหารและปกครองประเทศ โครงสร้างเดรัจฉานจึงเป็นโครงสร้างที่ชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย โดยมีภาคธุรกิจเอกชนมีอิทธิพลครอบงำและกดโครงสร้างราชการและโครงสร้างสังคมของภาคประชาชนไว้
ภาคราชการและโครงสร้างแบบราชการนั้นไม่มีน้ำยาที่จะโต้แย้งและต่อรองแต่อย่างใดกับพวกนักธุรกิจการเมือง มีแต่ยอมถวายหัวให้จนยอมรับการคอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตก็ว่าได้ คงมีแต่ภาคประชาชนเท่านั้นพอมีช่องทาง เพราะเกิดการเคลื่อนไหวของปัญญาชนในการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนที่ดีและด้อยโอกาสมานานแล้ว จนมีผลให้การเขียนรัฐธรรมนูญฉบับปี ๔๐ ที่แล้วมา ระบุสิทธิของชุมชนในด้านการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรและมรดกทางวัฒนธรรมได้พอสมควร แต่ส่วนใหญ่อยู่ในกฎหมายแม่ แต่ไม่มีลูก เพราะได้ถูกรัฐบาลประชานิยมแบบอุดหนุนคนให้เป็นขอทานบดบังไว้ด้วยการเที่ยวเดินแจกเงินภาษีอากรของคนในชาติทั้งหมด เพื่อการหาเสียงในรูปกองทุนและเงินช่วยเหลือต่าง ๆ
ผลที่ตามมาก็คือ ความแตกแยกของผู้คนท้องถิ่นในภาคประชาชน เกิดกลุ่มนายทุนท้องถิ่นที่เข้ามามีอำนาจทางเศรษฐกิจ-การเมืองในคราบของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และอบจ. ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งจากการเลือกตั้ง คนเหล่านี้ไม่มีทางที่จะเกิดสำนึกในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงได้ รังแต่จะทำให้เกิดการแบ่งแยกเกิดฝักฝ่าย [Fractions] เป็นเจ้าพ่อกลุ่มต่าง ๆ ขัดแย้งชิงอำนาจและผลประโยชน์ระหว่างกัน
แต่เศรษฐกิจพอเพียงในลักษณะที่เป็นปรัชญานั้น ประการแรกน่าจะปลุกประกายและสร้างสำนึกที่ดีให้แก่บรรดากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. หรืออบจ. ได้ หากว่าบุคคลเหล่านั้นคือคนในท้องถิ่นที่ยังมีสำนึกเป็นคนภายในอยู่ ซึ่งอยู่ในหลายท้องถิ่น โดยเฉพาะในหมู่คนมุสลิมในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทยที่เข้ามารับตำแหน่งและทำงานให้เกิดความก้าวหน้าและราบรื่นได้ แต่ก็เป็นเรื่องเฉพาะตนซึ่งเป็นปัจเจก ยากแก่การทำอะไรให้เหมือนกันได้
เศรษฐกิจพอเพียงมีศักยภาพที่จะทำให้โครงสร้างสังคมแบบเสมอภาคที่มีอยู่ในสังคมเกษตรกรรมชาวนา [Peasant Society] แต่เดิมให้กลับคืนมาในลักษณะที่ไม่เป็นการถอยหลังเข้าคลองหรือปฏิเสธโครงสร้างเดรัจฉานที่เน้นความเป็นปัจเจกของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี เพราะโครงสร้างแบบเสมอภาคแต่เดิมมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นวิถีชีวิตนั่นเอง
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอาจทำให้คนในท้องถิ่นที่เตลิดไปกับทุนนิยมและวัตถุนิยม ยั้งคิดและทบทวนใหม่ เพราะเศรษฐกิจทุนนิยมแบบปัจเจกนั้น เป็นสิ่งที่นอกจากควบคุมทุน ปัจจัยการผลิต ตลาด และอะไรต่ออะไรไม่ได้แล้ว ยังควบคุมจิตใจให้เกิดความพอหรือความพอดี ไม่เครียดไม่ได้ เป็นสิ่งที่นำไปสู่ความไม่มั่นคงในทางจิตใจ ดังเช่นเมื่อเกิดความกลัวแล้วหันไปหาความเชื่อทางไสยศาสตร์ วัตถุมงคลเครื่องรางของขลังแทน ทิ้งศาสนาเพราะศาสดาของศาสนาไม่เคยสอนให้คนไม่พอดี
ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจแบบเดรัจฉานที่เห็นได้จากพ่อค้า นายทุน คนดังเป็นจำนวนมากฆ่าตัวตาย ฆ่าลูก ฆ่าเมียตายอยู่บ่อย ทิ้งไว้ให้เห็นคือซากของความโลภ ความอยาก เช่น คฤหาสน์ใหญ่โต ที่ดิน รถราคาแพงและสมบัติพัสถานนานาชนิดที่ต้องถูกยึดและขายทอดตลาดต่อไป หรือบุคคลที่เคยมีอำนาจทางการเมือง-เศรษฐกิจอย่างล้นฟ้าของประเทศ เมื่อหมดอำนาจไปแล้วก็ยังหยุดใจที่จะให้เกิดความพอเพียงไม่ได้ คงต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสีในต่างแดนจนในที่สุดอาจไม่มีปฐพีให้อาศัยก็ได้
ในสังคมที่มีเศรษฐกิจพอเพียงแบบชาวนาทั้งการทำประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อและโครงสร้างสังคมที่สามารถจรรโลงความพอเพียง ซึ่งทั้งทำให้เกิดความมั่นใจและควบคุมอะไรต่ออะไรได้มาช้านานนับพันปี เพราะมีทั้งองค์กรชุมชนและสภาท้องถิ่นที่คนภายในชุมชนท้องถิ่นเองเลือกสรรขึ้นมาเป็นตัวแทนในการจัดการท้องถิ่นคือชุมชนทางจินตนาการ เพราะเน้นพื้นที่ผืนใหญ่ที่มีคนหลายกลุ่มเหล่าอยู่รวมกัน ทั้งในด้านพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน พื้นที่ทางทรัพยากร เช่น ป่า เขา หนอง บึง แม่น้ำ ลำน้ำ ท้องทุ่ง ในขณะที่แต่ละกลุ่มเหล่าคือ ชุมชนหมู่บ้านที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมกันทางระบบเครือญาติ ทั้งทางสายเลือดและกินดองทางการแต่งงาน
ชุมชนเล็ก ๆ ระดับหมู่บ้านที่เป็นชุมชนที่เป็นจริง ไม่ใช่จินตนาการ แต่ละชุมชนหมู่บ้าน [Village] ต่างก็เลือกตัวแทนที่เห็นว่ามีความเหมาะสมในด้านต่างๆ ขึ้นมาเป็นองค์กรในการจัดการความเป็นอยู่ร่วมกัน องค์กรแบบนี้ก็คือองค์กรที่คนมุสลิมเรียกว่า ซูรอ และต้องการที่จะฟื้นฟูกลับมา นับเป็นองค์กรธรรมชาติในการอยู่รวมกันเป็นสังคมของมนุษย์ องค์กรนี้ได้ถูกถอนรากถอนโคนไปด้วยการจัดตั้งหมู่บ้านที่มีผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งทางราชการกำหนดให้เลือกตั้งและกำหนดความเป็นชุมชนจากจำนวนครัวเรือน พร้อมกับให้ความสำคัญในเรื่องอำนาจการตัดสินใจไปอยู่ที่ผู้ใหญ่บ้าน ขณะที่สภาท้องถิ่นหมายถึงการที่ชุมชนหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในท้องถิ่นเดียวกัน จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นที่พบปะสังสรรค์ของตัวแทนจากแต่ละชุมชนหมู่บ้าน ในเรื่องการจัดการความเป็นอยู่ร่วมกัน เช่น การใช้ทรัพยากรร่วมกัน การจัดการปัญหาความขัดแย้งระหว่างกัน รวมทั้งการร่วมมือกันในการจรรโลงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของท้องถิ่น
แต่ก่อนนี้ทั้งองค์กรชุมชนและสภาท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดการปกครองและบริหาร โดยมีรัฐเป็นผู้สนับสนุน ดังเช่นกฎหมายมังรายของล้านนา สนับสนุนการจัดการเหมืองฝายเพื่อการชลประทานและเกษตรของแก่เหมืองแก่ฝายของสภาท้องถิ่น เป็นต้น แต่ปัจจุบันสภาท้องถิ่นถูกแทนโดยตำบลและอำเภอที่เป็นพื้นที่การบริหารการปกครอง โดยมีกำนันและอบต. ที่มาจากการเลือกตั้งตามกฎหมายของรัฐ เปิดโอกาสให้คนจากภายนอกหรือคนจากภายในที่ขาดสำนึกความเป็นคนท้องถิ่น ไร้จริยธรรม ศีลธรรม ที่มาจากโครงสร้างเดรัจฉาน รับเลือกตั้งขึ้นมามีอำนาจการปกครองจัดการและบริหาร เศรษฐกิจพอเพียงจึงหมดไป พร้อม ๆ กับความพินาศของความเป็นมนุษย์ในหลาย ๆ อย่าง
ข้าพเจ้าไม่โหยหาหรือต้องการที่จะให้โครงสร้างของผู้ใหญ่บ้าน กำนัน หรืออบต. ต้องหมดไป แล้วเอาโครงสร้างเดิมขึ้นมาแทน แต่เพียงให้มีการฟื้นฟูองค์กรธรรมชาติและสภาธรรมชาติซึ่งบรรดาตัวแทนมาจากการเลือกของคนภายในชุมชนและท้องถิ่นอยู่ในโครงสร้างสังคม ที่บอกได้ว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม มีวุฒิ ความสามารถเป็นอย่างไร ผู้ที่เป็นคนดีเหล่านี้ คือ คนที่มีบารมีเป็นที่ยอมรับและรู้จักกันดี ไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยของโครงสร้างเดรัจฉาน
การเกิดขึ้นขององค์กรบ้านและสภาท้องถิ่นนั้น ไม่ต้องมีร่างทางกฎหมายแบบกำนันผู้ใหญ่บ้าน หรืออบต. ก็ได้ แต่มีอำนาจในการตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์และโต้แย้งหรือสนับสนุนในลักษณะที่เป็นการ Sanction มากกว่า ให้เป็นการต่อรองและถ่วงดุลให้เกิดดุลยภาพและการรักษาสิทธิของชุมชนซึ่งจำเป็นต้องนำไปเสนอเพิ่มเติมและแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้เกิดความสำคัญ [Empower] ของภาคประชาชนขึ้น ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกัน รวมทั้งการร่วมกันในการ
ศรีศักร วัลลิโภดม
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments