เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2548

การเสนอรายงานวิจัยของชาวบ้านจากอำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๗
เมื่อวันอังคารที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๗ ที่แล้วมา ข้าพเจ้าและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้มีส่วนร่วมในเวทีการเสวนาเรื่อง “ทุกข์ของคนตานี” ที่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นการให้บรรดานักวิจัยจากภายในท้องถิ่นนำข้อมูลและความรู้ที่ศึกษาได้จากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในท้องถิ่นของตนมาพูดคุยให้กับผู้สนใจจากภายนอกฟัง ก็นับเป็นความคิดริเริ่มสำคัญของ สกว. ที่ได้ขยายการให้ทุนวิจัยมาให้คนในท้องถิ่นได้ทำการศึกษาวิจัยบ้าง เพราะแต่ก่อนการวิจัยและการให้ทุนวิจัยมักเป็นการให้กับคนจาก “ภายนอก” เท่านั้น หาได้ใส่ใจกับคน “ภายใน” ไม่ ทั้งนี้เพราะคุ้นอยู่กับความคิดความเชื่อที่ว่า การวิจัยเป็นสิ่งที่ต้องมีการศึกษาและฝึกอบรมตามหลักสูตร คนที่จะทำการวิจัยได้ต้องเป็นคนที่เรียนรู้มากก่อน จึงกลายเป็นเรื่องของการให้ทุนหรือสนับสนุนให้คนจากภายนอกเข้าไป ดังตัวอย่างเช่น การให้ทุนแก่นักศึกษา นักวิชาการ รวมทั้งการจ้างบริษัทที่ปรึกษาต่าง ๆ นานา ดังนั้น เมื่อมีการพูดถึงเรื่องทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของผู้คนภายในท้องถิ่นแล้วจึงกลับกลายเป็นเรื่องของคนจากภายนอกพูดและให้ความคิดเห็นทุกทีไป สิ่งที่เห็นทนโท่ที่สำคัญคือ การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมที่รัฐทำแผนมาแต่แผนแรกจนปัจจุบันที่อ้างว่าจะเปิดโอกาสให้คนภายในท้องถิ่นมีส่วนร่วมนั้น ก็ยังคงเป็นเรื่องของการเอาความรู้ ความคิด และความเห็นจากคนภายนอก โดยเฉพาะผู้ที่ถูกอุปโลกให้เป็นนักวิชาการใหญ่ ๆ มาจัดการทั้งสิ้น
ตัวอย่างสำคัญที่กำลังเป็นปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในขณะนี้ก็คือ ปัญหาความเดือดร้อนและความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสังคมมุสลิม รัฐและสังคมมหาชนล้วนได้รับข้อมูลและความรู้ความคิดจากคนภายนอกที่เปรียบได้เสมือน นก ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเหยี่ยวหรือพิราบก็เป็นนก ก็เลยเห็นความจริงที่สังคมมหาชนได้รับรู้และบริโภคล้วนเป็นสิ่งที่มาจาก นก ทั้งนั้น นับเป็นความจริงที่คร่าว ๆ และขัดแย้ง เพราะนกล้วนมองจากที่สูงและมองได้อย่างกว้าง ๆ หาแลเห็นสิ่งที่เป็นรายละเอียดที่ละเอียดอ่อนไม่ ดังเห็นได้ว่าเวลาจะพูดอะไร เสนออะไรก็พูดได้รวม ๆ และหยิบยกสิ่งเด่น ๆ มาอย่างมีการวิเคราะห์ตีความด้วยกรอบความรู้และแนวคิดทฤษฎี ผลการศึกษาวิจัยที่เกิดขึ้นจึงควบคุมไม่ได้ทั้งพื้นที่ เวลา และกลุ่มชนที่มีความสำคัญในเรื่องความจริงและความรู้ของผู้คนภายในเป็นอย่างยิ่ง
แต่การเสวนาในวันที่ ๑๔ ธันวาคมที่แล้วมาให้โอกาสกับนักวิจัยภายในท้องถิ่นมาพูดนั้น อาจกล่าวได้ว่า นับเป็นครั้งแรกที่เป็นการเสนอข้อมูลที่เป็นความรู้และความจริงของนักวิจัยซึ่งไม่ใช่ประเภท นก หากเป็นประเภท หนอน นั่นคือ จากบุคคลที่อยู่ในพื้นที่ทางวัฒนธรรมอันเป็นแผ่นดินเกิดมาแต่เล็กจนโต อยู่กันอย่างเป็นกลุ่มก้อน เป็นชุมชนที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่ทำให้เกิดบ้านช่องที่อยู่อาศัย การทำมาหากินร่วมกันในระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และมีสถาบันทางศาสนาทางความเชื่อและการศึกษา เช่น ปอเนาะและมัสยิดอบรมขัดเกลาให้เกิดสำนึกร่วมและอยู่ร่วมกันอย่างมีจารีตประเพณี อันเป็นกฏเกณฑ์และกติกาของการอยู่ร่วมกันในนิเวศวัฒนธรรมเดียวกัน
ความมุ่งหมายในการแสวงหาก็เพื่อที่จะให้นักวิจัยประเภทหนอนเหล่านี้ ได้นำความขัดแย้งและปัญหาเดือดร้อนจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของท้องถิ่นอันเกิดจากการขยายตัวและรุกล้ำทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มาจากภายนอกให้คนในสังคมใหญ่ได้รับรู้ โดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องของการแบ่งแยกดินแดนและการก่อการร้ายที่เป็นเหตุการณ์อยู่ทุกวันนี้ เพราะหวังว่าความรู้จากภายในที่เป็นผลการวิจัยนี้ จะเป็นสิ่งที่เติมเต็มช่องว่างในเรื่องความรู้ความจริงของสถานการณ์ในภาคใต้ไม่มากก็น้อย

อาจารย์มูฮัมมัด อาดำ โต๊ะครูปอเนาะภูมี
ข้าพเจ้าคิดว่าการเข้าถึงความจริงจากภายในท้องถิ่นที่รับรู้กันในทุกวันนี้เกี่ยวกับสามจังหวัดภาคใต้นั้นยังไม่ชัดเจนและมีลักษณะสับสนอยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งแยกดินแดนซึ่งดูเหมือนทางรัฐมีความเชื่อมั่นว่าเป็นจริงและพยายามตอกย้ำความเชื่ออันนี้ให้สังคมมหาชนรับรู้และเชื่อตลอดเวลา แต่ว่าอยู่ในระดับไหน ถ้าหากว่าเป็นความจริงในคนกลุ่มหนึ่งหรือประเภทหนึ่งของคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เป็นได้ และอาจจะเป็นจริงในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศก็ได้ เพราะคนไม่พอใจเช่นนี้ก็มีอยู่ทั่วไป แต่ถ้าหากว่าเป็นความจริงที่คนส่วนใหญ่ของสามจังหวัดภาคใต้อันเป็นสังคมมุสลิมต้องการแบ่งแยกดินแดนแล้ว จำเป็นต้องพิสูจน์ให้แลเห็นความชัดเจนมากกว่านี้หลายเท่า
จากสถานการณ์ในขณะนี้อาจวิเคราะห์ผู้คนที่เกี่ยวข้องเป็นสามพวก พวกแรกคือ พวกคนในเมืองที่มีทั้งพ่อค้า ข้าราชการ นักการเมืองที่มีผลประโยชน์ คนเหล่านี้มีที่มาที่หลากหลาย คือ อาจเป็นคนมีพื้นเพในท้องถิ่นมาแต่เดิมหรือเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่นมาทำมาหากินจนร่ำรวย พวกที่สองคือพวกชาวบ้านคนมุสลิมที่อยู่ในชุมชนตามท้องถิ่นต่าง ๆ และเป็นคนหมู่มากในสังคม ส่วนพวกที่สามคือ กลุ่มคนที่สร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นจนทางรัฐต้องใช้กำลังปราบปราม
ข้าพเจ้าคิดว่าในขณะนี้ทั้งรัฐและคนส่วนใหญ่ในสังคมมหาชนเพ่งเล็งไปที่คนพวกแรกและพวกที่สามเป็นสำคัญ อย่างเช่น มีการสงสัยและกล่าวว่า คนพวกแรกคือพวกที่เสียผลประโยชน์จึงได้กระทำการยุแยกและสนับสนุนการกระทำที่ผิดกฏหมายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนขึ้น พวกนี้อาจรวมไปถึงนักการเมืองที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนด้วย ส่วนพวกที่สามคือพวกที่เป็นตัวก่อความรุนแรงที่ถูกกระตุ้นโดยเรื่องทางศาสนาและการเมือง พวกนี้อาจสัมพันธ์กับพวกแรกในการสร้างสถานการณ์ขึ้นได้ หรือพวกคนรุ่นใหม่ที่เกลียดชังรัฐบาลอันเนื่องมาจากการได้รับการกระทำที่ไม่เป็นธรรมมาเป็นเวลาช้านาน
แต่ทั้งสองพวกนี้ยากแก่การกำหนดความชัดเจนว่าเป็นใคร มีการรวมกลุ่มกันอย่างใด เวลาใด และอยู่ที่ไหนแน่นอน พอมีเหตุการณ์และเรื่องราวขึ้นมาก็สืบหาหลักฐานอะไรที่เป็นเสี่ยง ๆ เพียงเล็กน้อยแล้วมาเชื่อมโยงและตีความว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดนไป
คนทั้งสองพวกที่ไม่อาจกำหนดกลุ่ม เวลา และสถานที่ได้ดังกล่าวนี้ เป็นกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับการวิจัยทางสังคมและวัฒนธรรมของ สกว. ที่นำผลการวิจัยมาเสนอในครั้งนี้
กลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายของโครงการวิจัยจึงเป็นกลุ่มคนพวกที่สอง ซึ่งเป็นคนที่กำหนดความเป็นกลุ่ม เป็นชุมชน พื้นที่ และเวลาได้ชัดเจน สกว.ได้ให้ทุนวิจัยแก่นักวิจัยที่เป็นคนในพื้นที่นี้โดยมีนักวิจัยอาวุโสและนักวิจัยพี่เลี้ยงจากภายนอกมาให้คำแนะนำและอบรมแนวคิดและแนวทางในการวิจัยให้ เพื่อให้ไปทำการรวบรวมข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและชีวิตวัฒนธรรมของท้องถิ่นของคนอยู่อาศัยมาประมวลเป็นความรู้พื้นฐาน ซึ่งจะนำไปใช้ในการตั้งคำถามเพื่อศึกษาให้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมที่ว่านี้ก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน นั่นก็คือ เป็นการจำกัดอยู่ในพื้นที่กลุ่มชนและเวลาในระบบนิเวศวัฒนธรรมอันเป็นจุลภาคของแต่ละท้องถิ่น ไม่อาจนำมาอธิบายภาพรวมในระดับมหภาคซึ่งเป็นภาพรวมของทั้งสามจังหวัดได้ ซึ่งถ้าหากจะทำให้แลเห็นภาพรวมในลักษณะที่กว้างและลุ่มลึกได้นั้น ก็จำเป็นต้องกระจายการวิจัยในลักษณะนี้ไปในหลาย ๆ ท้องถิ่นหรือพื้นที่ของภูมิภาค
บัดนี้การวิจัยที่ให้นักวิจัยจากภายในท้องถิ่นแห่งหนึ่งในบริเวณรอบอ่าวปัตตานีได้สิ้นสุดลง จึงเปิดโอกาสให้นักวิจัยที่เป็นตัวหนอนนำเอาความรู้และความจริงที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในท้องถิ่นของตนมาเสนอ ทำให้เห็นได้ว่าคนในสังคมท้องถิ่นที่ทำการศึกษานั้น ไม่มีอะไรที่นึกคิดไปเกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดนแต่อย่างใด เพราะไม่สนใจที่จะคิดอะไรที่ออกไปนอกบริเวณที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนเช่นไปรวมกับมาเลเซียหรือแบ่งแยกดินแดนประเทศไทย หากพอใจกับการมีชีวิตแบบเรียบง่ายและสงบอย่างที่มีมาแต่เดิม เป็นชีวิตที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าที่เชื่อมโยงด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ
แต่ปัจจุบันความมั่นคงทางสังคมที่เกิดจากความสัมพันธ์ทั้งสามมิตินี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่เกิดความขัดแย้งและเดือดร้อน อันเนื่องมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากภายนอก สาระสำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนที่นักวิจัยตัวหนอนเพรียกร้องออกมาสรุปได้เป็นสองเรื่อง ซึ่งล้วนเป็นเรื่องใกล้ตัวทั้งสิ้นคือ การเปลี่ยนแปลงในเรื่องนิเวศวัฒนธรรมที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและชีวิตวัฒนธรรม กับ การเหยียดหยามสถาบันปอเนาะอันเป็นสถาบันทางการศึกษาและศีลธรรมที่มีความหมายต่อความเป็นมนุษย์ในสังคมมุสลิม

มะรอนิง สาและ ชาวบ้านบ้านดาโต๊ะ
เรื่องการเปลี่ยนแปลงนิเวศทางวัฒนธรรมที่ทำให้เกิดทุกข์ยากก็คือ การที่อ่าวปัตตานีที่เคยมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วย หอย ปู ปลานานาชนิด ที่คนตานีจับกินจับขายอย่างพอมีพอกินมาเป็นเวลาหลายศตวรรษนั้น บัดนี้ได้ถูกคนต่างถิ่นที่มีกำลังทางเศรษฐกิจเหนือกว่าเข้ามาแย่งชิง คนตานีจับปลาด้วยเรือประมงขนาดเล็กที่เรียกว่าเรือกอและ และใช้เครื่องมือแบบง่ายๆ หาปลาได้วันละไม่กี่สิบกิโลกรัมก็เพียงพอ แต่คนต่างถิ่นมาพร้อมด้วยเรืออวนรุนอวนลากจับปลาลำหนึ่ง ๆ ได้เป็นสิบตันขึ้นไป นอกจากนั้น ยังเข้าผูกขาดยึดครองพื้นที่ท้องน้ำซึ่งเคยเป็นของส่วนรวมของคนตานีมาเป็นเขตกรรมสิทธิ์ของพวกตน พื้นที่ของอ่าวด้านหนึ่งที่เคยอุดมไปด้วยสัตว์น้ำถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นแหล่งอุตสาหกรรม ซึ่งก็กลายเป็นการลงทุนของคนที่มาจากภายนอกเช่นกัน คนตานีเข้าไปเกี่ยวข้องก็แต่เพียงเป็นแรงงานลูกจ้างไปวันหนึ่งๆ เท่านั้นเอง ยิ่งกว่านั้นการขยายตัวทางอุตสาหกรรมทำให้มีการถมอ่าวเพื่อสร้างโรงงานและสถานที่ประกอบการก็กำลังทำให้อ่าวปัตตานีตื้นเขินและจะปิดเป็นทะเลปิดไปในไม่ช้า นับเป็นการล่มสลายของนิเวศตามธรรมชาติที่เคยเลี้ยงคนตานีมาเป็นเวลานานหลายศตวรรษ
เรื่องที่สองคือเรื่องสถาบันปอเนาะอันเป็นสถาบันทางการศึกษาศาสนาที่เป็นอัตลักษณ์ของคนตานีถูกมองอย่างเข้าใจผิด ถูกดูหมิ่นดูแคลนและรบกวนจากอำนาจจากภายนอกว่าเป็นแหล่งกิจการร้ายที่จะต้องมีการปราบปรามและปรับเปลี่ยน ความเดือดร้อนดังกล่าวนี้มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางศีลธรรมและจิตวิญญาณของคนตานีอย่างเหลือพรรณนา
ความเดือดร้อนและทุกข์ยากของคนตานีที่เพรียกร้องออกมานี้ ไม่เคยมีอะไรบ่งบอกถึงความคิดที่แบ่งแยกดินแดนแม้แต่น้อย ดูเหมือนรัฐและสังคมมหาชนไม่เคยใส่ใจ มีแต่เพ่งประเด็นไปถึงเรื่องการก่อเหตุร้ายแรงฆ่าฟันกัน อันเป็นผลการกระทำของคนกลุ่มอื่นที่ยังไม่อาจกำหนดแน่ชัดว่าเป็นใครกันแน่ แต่เหตุไฉนจึงไม่ให้ความสนใจแก่คนตานีส่วนใหญ่ที่ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายและเปิดเผยบ้าง
ได้มีผู้รู้และผู้หวังดีจากในประเทศและนอกประเทศเสนอให้มีการจัดการชีวิตความเป็นอยู่ของคนตานีให้อยู่ในพื้นที่เขตปกครองพิเศษเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ก็ดูเหมือนได้รับแต่การปฏิเสธ พร้อมทั้งยกการแบ่งแยกดินแดนและการเสียดินแดนมาอธิบายตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ผู้เสนอความคิดในเรื่องเขตปกครองพิเศษเหล่านั้นหาได้พูดถึงการแบ่งแยกดินแดนไม่ เพราะการเป็นเขตปกครองพิเศษนั้นก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลแห่งประเทศสยามในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชได้เคยปฏิบัติมาแล้วกับคนตานี
ข้าพเจ้าคิดว่ารัฐไทยสมัยนี้ยอมไม่ได้ก็เพราะ ถ้าปล่อยให้เป็นเขตปกครองพิเศษที่คนตานีมีสิทธิในการดูแลและจัดการทรัพยากรธรรมชาติแบบที่เคยเป็นมาแล้วแต่อดีตนั้น บรรดานักธุรกิจ นายทุน นักการเมืองที่มีผลประโยชน์ในการแย่งทรัพยากรในพื้นที่ซึ่งเป็นมาตุภูมิของคนตานีย่อมยอมไม่ได้ ดังนั้น ข้อกล่าวหาว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดนก็คือสิ่งที่แสดงความชอบธรรมของเหล่าอมนุษย์เหล่านี้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comentarios