top of page

เหนือในหลวงยังมีพระแก้วมรกต

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 9 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2555


ท่ามกลางความขัดแย้งทางความคิดในเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ รวมทั้งการแตกแยกทางสังคม เกิดการแบ่งกลุ่มออกเป็นหลายฝักฝ่าย [Factions] ที่ต่างก็มุ่งหวังประโยชน์ของส่วนตนและพวกพ้องที่กำลังนำไปสู่ความเกลียดชังและความแค้น อันจะทำให้เกิดการกระทำที่รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้น แต่ละกลุ่มที่เกี่ยวข้องมักโต้ตอบกันด้วยวาทกรรมในเรื่องการต่อสู้เพื่อความเป็นประชาธิปไตยแบบฝรั่งตะวันตก เช่น อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส และการลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ด้วยการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๑๒ อันเกี่ยวกับความมั่นคงของพระมหากษัตริย์



ก็ได้มีนักวิชาการหัวนอกที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศกลุ่มหนึ่งที่ถูกบรรดาอาจารย์ฝรั่งอบรมให้ไม่เอาเจ้าและล้มเจ้าขึ้นมาแสดงความกล้าหาญทางวิชาการแบบไม่มีกาลเทศะอย่างทะลึ่งและลำพองว่า จะต้องให้พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนเองต่อรัฐสภาจึงจะเกิดภาวะความเป็นธรรมทางสังคมในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้ เพราะเท่าที่เป็นอยู่นั้น ไม่ใช่เป็นประชาธิปไตย หากเพราะอำนาจอยู่ในหมู่อำมาตย์ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข


แต่ในช่วงเวลาที่นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยออกมาแสดงการคุกคามต่อพระมหากษัตริย์ (ตามความรู้สึกของข้าพเจ้า) ก็มีสถานีวิทยุโทรทัศน์หลายช่องได้นำเทปวีดีโอเรื่อง “จิตวิญญาณของประเทศชาติ” [Soul of a Nation] ที่สถานี BBC ของอังกฤษทำไว้และเผยแพร่เมื่อราว ๒๐ ปีที่แล้วมา อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ ๙ และพระราชจริยวัตรของพระองค์ในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ในการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญของการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขออกมาแพร่ภาพ


ทำให้ข้าพเจ้าพอฟื้นความจำได้เพราะอายุเข้ามาค่อนศตวรรษแล้ว นับเป็นยุคสมัยที่บรรดานักวิชาการหัวนอกรุ่นใหม่ ๆ ที่แสดงการก้าวร้าวนั้น อาจจะยังไม่เกิดหรือไม่ก็เป็นทารกที่ไร้เดียงสาอยู่ก็ว่าได้ เพราะภาพที่แพร่หลายในโทรทัศน์ที่จัดทำโดยสารคดี BBC นี้ เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกในเรื่องสถานภาพและบทบาทของพระมหากษัตริย์ไทย ภายใต้การปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญเป็นอย่างดี อีกทั้งแสดงให้เห็นถึงการบำเพ็ญพระบารมีที่ได้เสด็จไปช่วยเหลือและเยี่ยมเยียนอาณาประชาราษฎร์อย่างสม่ำเสมอและสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักศึกษาที่มีความต่อเนื่อง คือนำความรู้ทางวิชาการที่ทรงศึกษามา และความรู้ข้อเท็จจริงใหม่ ๆ จากการเสด็จออกไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตั้งคำถามและหาแนวทางที่สามารถปฏิบัติได้และควบคุมได้มาช่วยเหลือราษฎรที่ประสบปัญหาในการทำมาหาเลี้ยงชีพในการเกษตรให้สามารถฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ในท้องถิ่นได้ดีตามอัตภาพ จนมีผู้รู้ทั้งภายในและนอกประเทศมักกล่าวขวัญให้ฟังว่า พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์เพื่อการเกษตรในสังคมเกษตรกรรมโดยแท้ เหตุที่เป็นเช่นนี้ทรงตระหนักดีถึงรากเหง้าทางสังคมและวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่เป็นสังคมเกษตรกรรมแบบยั่งยืนมาแต่ดำบรรพ์ และความขัดแย้งที่เดือดร้อนที่เกิดขึ้นในประเทศชาติก็คือ การที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยในระบอบรัฐธรรมนูญนั้น พยายามทำให้สังคมไทยเป็นสังคมอุตสาหกรรมเยี่ยงประเทศทางตะวันตกนั่นเอง


พฤติกรรมที่ก้าวร้าวและทะลึ่งของนักวิชาการเด็กทารกที่แสดงออกที่สถานการศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่เรียกร้องให้พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนต่อรัฐบาลนั้น ข้าพเจ้ายอมรับไม่ได้ในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่งภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข


ได้สะกิดใจให้เห็นภาพที่แพร่อยู่ในโทรทัศน์ที่สถานี BBC ของอังกฤษตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงนำบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อยในคณะรัฐบาลสาบานตนต่อพระแก้วมรกต โดยที่พระองค์เองก็ทรงเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสาบานเช่นคนอื่น ๆ เลยทำให้ต้องขอบคุณนักวิชาการเด็กทารกนั้นที่ทำให้ได้เข้าใจว่า ขณะที่ใคร ๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ๆ ที่คิดว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดนั้น


แท้จริงแล้วเหนือพระองค์ท่านยังมีอำนาจสูงสุดขึ้นไปอีก คืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือธรรมชาติและเหนือความเป็นพระสมมติเทวราช


อำนาจของกฎหมายรัฐธรรมนูญแบบตะวันตกนั้น คนตะวันออกเห็นว่าเป็นอำนาจสาธารณ์ที่สามารถแก้ไข โต้แย้งได้ด้วยการขึ้นโรงขึ้นศาลที่ไม่มีทางทำให้เกิดสำนึกในสิ่งที่เป็นมโนธรรมได้ ยิ่งในปัจจุบันในประเทศไทยหรือสยามประเทศด้วยแล้ว อำนาจรัฐธรรมนูญในขณะนี้เป็นยิ่งกว่า “อำนาจสาธารณ์” กลับกลายเป็น “อำนาจสามานย์” ที่บรรดานักการเมือง นักวิชาการ และข้าราชการใช้เป็นเครื่องมือให้แสวงหาความมั่งคั่งทางทรัพย์สินและเงินทองเพื่อตนเองและพรรคพวก จนเกิดความขัดแย้งและความรุนแรงดังเช่นทุกวันนี้


ในฐานะของคนค่อนศตวรรษเช่นข้าพเจ้า ได้รับการอบรมและบอกห้ามมาแต่เล็ก ๆ ว่าจะสาบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็ตาม แต่อย่าได้สาบานต่อพระแก้วมรกตอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าเป็นการโกหกแล้วจะมีการเป็นไปไม่ช้าก็เร็ว คนรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้าหลายคนที่เป็นคนกรุงเทพฯ ก็ได้รับการอบรมเช่นนี้มาเช่นกัน เคยจำได้ว่ามีนักการเมืองที่เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง เคยสบถสาบานต่อพระแก้วมรกตในยามที่มีความขัดแย้งกันทางการเมือง นักการเมืองท่านนั้นคือ คุณสมัคร สุนทรเวช ที่ต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนที่จะถึงแก่อนิจกรรม คุณสมัครเป็นคนที่ชอบสาบานอยู่เนือง ๆ แม้ตอนขึ้นศาลก่อนที่จะถูกตัดสินให้แพ้คดีความก็ได้สบถสาบานเช่นกัน


คุณสมัครสิ้นชีวิตด้วยโรคมะเร็งเช่นเดียวกันกับนักการเมืองอีกหลายคนที่เคยเป็นใหญ่เป็นโต ซึ่งผู้รู้หลายคนวิจารณ์ให้ข้าพเจ้าฟังว่า น่าจะเกี่ยวข้องถึงการไปสาบานตนก่อนเข้าตำแหน่งต่อหน้าพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศชาติเข้า


ความเชื่อในเรื่องการโกหกและผิดสาบานดังกล่าวนี้ ถ้าย้อนหลังไปถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วก็จะเกี่ยวข้องกับการที่ขุนนาง ข้าราชการ ที่เข้ามารับใช้พระมหากษัตริย์และพระเทศชาตินั้นจะต้องเข้าพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อหน้าพระแก้วมรกตและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของราชอาณาจักรที่มีขึ้นในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในลักษณะเช่นเดียวกันกับพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในพระวิหารวัดพระศรีสรรเพชญดาญาณครั้งกรุงศรีอยุธยา พระราชพิธีนี้กระทำต่อหน้าพระศรีสรรเพชญดาญาณอันเป็นพระพุทธรูปประธานในพระวิหารเช่นกัน


พระราชพิธีถือน้ําพระพิพัฒน์สัตยาหรือพระพิพัฒน์สัจจา เป็นพิธีสาบานตนในการรับราชการว่าจะซื่อตรงต่อแผ่นดินและปกป้องชาติ บ้านเมืองให้เกิดความสงบสุข โดยข้าราชการทั้งหลายจะต้องดื่มน้ําสาบานตนจําเพาะพระพักตร์ พระมหากษัตริย์และส่ิงศักดิ์สิทธ์ิท้ังปวง


พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยานี้หลายท่านให้ความเห็นว่ามีที่มาจากประเพณีของเมืองพระนคร แต่ข้าพเจ้าได้หลักฐานว่ามีมาแต่รัฐศรีวิชัยในเกาะสุมาตราแล้ว นับเป็นโบราณราชประเพณีของบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริง


ความเชื่อในเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณนี้ยังมีผลมาถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัย พ.ศ. ๒๔๗๕ เช่นกัน เพราะมีผู้กล่าวอ้างบ่อย ๆ ทั้งจากการเล่าขานและการตีพิมพ์เป็นบทความว่า คณะราษฏรที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นล้วนมีอันเป็นไปแทบทุกคน โดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่ตายในต่างประเทศ


ปัจจุบัน แม้ว่าการถือน้ำพิพัฒน์สัตยาคลายความสำคัญไป แต่ประเพณีการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของราชอาณาจักรก่อนที่ผู้ได้รับตำแหน่งและแต่งตั้งให้รับราชการก็ยังดำรงอยู่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มักทรงเตือนให้ผู้เข้ารับตำแหน่งดำรงตำแหน่งสำคัญเหล่านั้นต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงตามที่ได้สาบานไว้เสมอ


สิ่งนี้นับเป็นการอบรมทางศีลธรรมและจริยธรรมแก่บรรดาขุนนางข้าราชการอย่างแท้จริง เพราะเป็นการควบคุมในจิตสำนึกและมโนธรรมได้เป็นอย่างดี และดูเป็นพระราชภารกิจที่สำคัญในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้การปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญด้วย


เพราะฉะนั้น ภาพที่ปรากฏในสื่อโทรทัศน์ของสถานี BBC ที่กล่าวมาแล้วแต่ข้างต้น ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ยังต้องทรงสาบานต่อพระแก้วมรกตร่วมกันกับหมู่ข้าราชการนั้น ย่อมสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่า เหนือในหลวงก็ยังมีพระแก้วมรกต ในการจรรโลงศีลธรรมและจริยธรรมของผู้ที่มีหน้าที่ในการปกครองและบริหารบ้านเมือง


การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย เช่นในสังคมตะวันตกโดยเฉพาะเช่นอเมริกานั้น มาถึงทุกวันนี้นับเวลาได้ ๘๐ ปีแล้ว แต่ความเป็นประชาธิปไตยที่ได้มาก็เหมือนลม ๆ แล้ง ๆ หาใกล้เคียงกับอุดมคติไม่


อันเนื่องเป็นประชาธิปไตยจากข้างบน [Top down] มากกว่าเป็นการเพรียกร้องจากเบื้องล่าง เพราะคณะราษฎรที่ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นล้วนแต่เป็นขุนนางข้าราชการรุ่นใหม่ที่ยังเป็นระดับชนชั้นปกครองทั้งนั้น ทั้งทหารและพลเรือน โครงสร้างทั้งการเมืองและการบริหารยังมีลักษณะรวมศูนย์เหมือนกันกับสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช หาได้มีการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงลงมายังข้างล่างในระดับท้องถิ่นไม่


จึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการปกครองท้องถิ่น [Local government] มีแต่การบริหารส่วนท้องถิ่น [Local administration] เป็นสำคัญ ผลของการปกครองแบบรวมศูนย์ที่ทำให้เกิดความลดหลั่นและเหลื่อมล้ำในเรื่องอำนาจจากบนลงล่างเป็นแนวตั้งที่ธำรงค่านิยมในเรื่องสถานภาพทางสังคมนี้ เหลื่อมล้ำกันจนไม่เกิดสำนึกในเรื่องความเสมอภาคของมนุษย์ตามอุดมคติประชาธิปไตยได้


ทั้งประเทศอาจแบ่งออกได้เป็นกลุ่มคนชั้นปกครอง เช่นพวกทหารและข้าราชการที่มีชั้นและรูปแบบในความดำรงชีวิต กับชนชั้นที่ถูกปกครองคือราษฎร หรือในสมัยก่อนเรียกว่าไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน


ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงมาเป็นระบอบประชาธิปไตยแต่ พ.ศ.๒๔๗๐ จึงดูดีอยู่ในระยะต้น ๆ พอถึงสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ประชาธิปไตยแทบไม่มีเหลือ กลายเป็นเผด็จการในนามของประชาธิปไตยระบอบรัฐธรรมนูญไป สมัยต่อจากจอมพล ป. ก็มีการปฏิวัติรัฐประหารและแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญบ่อย ๆ และการปกครองก็ยังมีลักษณะเผด็จการอยู่ดี


หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ไม่มีการจัดพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาอีก จนกระทั่ง พ.ศ.๒๕๑๒ ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาตามแบบโบราณราชประเพณีผนวกเป็นการเดียวกันกับพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง “ประกอบพิธีสาบานตนต่อหน้าพระแก้วมรกต” วัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วย


ผู้ก่อการปฏิวัติและรัฐประหารต่างก็อ้างว่าทำเพื่อความเป็นประชาธิปไตย แต่โดยปฏิบัติก็คือเผด็จการที่เปลี่ยนแปลงจากขุนศึกมาเป็นนายทุน ซึ่งปัจจุบันผู้มีอำนาจของรัฐบาลคือพวกนักธุรกิจ นายทุนที่ส่วนใหญ่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรเป็นเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา และแต่งตั้งพรรคพวกตนเป็นรัฐบาล กลายเป็นเผด็จการรัฐสภาในลักษณะที่เป็นธนาธิปไตยแทนประชาธิปไตย เพราะใช้เงินอันเป็นรายได้ของรัฐทั้งแจกและซื้อ


การยอมรับและการสนับสนุนจากคนเบื้องล่างที่ไม่เคยได้รับการอบรมและอธิบายว่าประชาธิปไตยคืออะไร เมื่อใดที่ผู้นำของกลุ่มทรราชเหล่านี้ต้องการในสิ่งใด ๆ ก็ตามที่เป็นประโยชน์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองของพวกตน ก็มักจะใช้เงินมอมเมาผู้คนจากเบื้องล่างให้เข้ามาเคลื่อนไหว กดดันทั้งรัฐและสังคมให้ยอมตนเอยู่เสมอ


ดูเหมือนความเลวร้ายของการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นประชาธิปไตย ในทุกวันนี้ รุนแรงกว่าสมัยใด ๆ ที่ผ่านมา เพราะกลุ่มทรราชธนาธิปไตยซื้อได้ทั้งอำนาจการบริหารในรัฐบาล และอำนาจนิติบัญญัติในรัฐสภา ยังอยู่เพียงอำนาจตุลาการเพียงโสดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสภาพง่อนแง่นและอ่อนล้า อันเกิดจากการถูกตามด้วยอำนาจการซื้อด้วยเงินของฝ่ายทรราชย์ ทำให้ความอยากและความปรารถนาที่จะเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็นนั้น เป็นเพียงแสงริบหรี่ที่กำลังจะดับสนิทในไม่ช้า


อนิจจาแปดสิบปีประชาธิปไตยในสยามประเทศ


อคติในปัจฉิมลิขิตของบทความนี้ของข้าพเจ้าก็คือ ทุกวันนี้คนไทยเป็นคนไร้พรมแดน ความเป็นไทยไม่ใช่อิสรเสรี หากมีแต่ความเป็นข้า คือข้าทาสติดที่ดินของคนอเมริกัน คนอังกฤษ คนฝรั่งเศส คนสิงคโปร์ คนเกาหลี คนญี่ปุ่น ซึ่งรวมทั้งคนมลายู คนฟิลิปปินส์ คนไต้หวัน คนจีน คนฮ่องกง คนเวียดนามและอื่น ๆ ยกเว้นคนเขมรที่เป็นผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขได้ในอนาคต


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


Comentarios


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page