เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2545

ระหว่างวันที่ ๒๗–๒๙ มีนาคม ๒๕๔๕ ที่ผ่านมา ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ได้จัดการประชุมประจำปีทางมานุษยวิทยาเรื่อง ฅนมองฅน: นานาชีวิตในกระแสความเปลี่ยนแปลงขึ้น การประชุมครั้งนี้อาจนับได้ว่าเป็นครั้งแรกทางวิชามานุษยวิทยาในประเทศไทย ที่มีทั้งนักมานุษยวิทยารุ่นเก่าใหม่ นักศึกษาทางวิชามานุษยวิทยาและบรรดาผู้ที่สนใจจากสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่อยู่นอกวงวิชาการที่ให้ความสนใจในวิชานี้ ได้เข้ามาร่วมประชุมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความมุ่งหมายที่สำคัญของการประชุมก็คือ ต้องการแสดงให้เห็นถึงเนื้อหาสาระ ความหมาย และทิศทางของวิชามานุษยวิทยา ที่บรรดานักวิชาการที่เป็นคนไทยได้ทำการศึกษามาทั้งในอดีตและปัจจุบัน นับเป็นการมองวิชามานุษยวิทยาในมิติของการเปลี่ยนแปลงจากแนวคิดทฤษฎีและวิธีการ ที่เปลี่ยนแปลงจากอดีตที่เคยมีผู้รู้และผู้สนใจน้อย มาเป็นความเติบโตที่หลากหลายที่ผสมผสานด้วยวิธีคิด และวิธีการที่ทำให้มีการรับฟังและถกเถียงกันอย่างสนุก ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับวงการมานุษยวิทยาเป็นอย่างยิ่ง
ที่ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีก็เพราะผู้ที่เข้ามาร่วมประชุมเกือบทั้งหมดมีความคิดและการแสดงออกที่ไม่เหมือนแต่ก่อน ที่มาฟังแล้วไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นในเชิงถกเถียงและคัดค้าน มักเชื่อหรือคล้อยตามวิทยากรที่เป็นนักวิชาการที่อาวุโสหรือมีชื่อเสียงไปเรื่อย ๆ แต่มาครั้งนี้คนเป็นจำนวนมากทั้งผู้มีอาวุโสน้อยและผู้มีอาวุโสมาก ต่างมีคำถามและความคิดเห็นทั้งในลักษณะเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับบรรดาผลงานศึกษาค้นคว้าที่มีผู้นำมาเสนอ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นการพูดคุยและวิพากษ์วิจารณ์กันในกลุ่มเล็ก ๆ เวลาพักรับประทานอาหารทั้งอาหารกลางวันและอาหารว่าง แต่ที่สำคัญต่างกระตือรือร้นที่จะแสดงออกในเวลาที่เปิดให้มีการอภิปรายในชั่วโมงสุดท้ายของการประชุม สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจและสะใจมากก็คือ มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่าหัวข้อของการประชุมที่คณะผู้จัดการประชุมตั้งใจว่าเป็นเรื่องของ “คนมองคน” นั้นมันกลับกลายเป็นเรื่องของการ “เห็นคำมากกว่าเห็นคน” ไป ข้าพเจ้าคิดว่าในสายตาและความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ ๆ ที่สนใจวิชามานุษยวิทยาแต่ไม่ได้เล่าเรียนมาทางนี้นั้น วิชามานุษยวิทยากำลังกลายเป็นจำเลย ที่ตกเป็นจำเลยก็เพราะการเติบโตและเปลี่ยนแปลงในเรื่องแนวคิดทฤษฎีรวมทั้งวิธีการทางมานุษยวิทยา ที่แลเห็นได้จากผลงานและการแสดงออกในความรู้สึกนึกคิดของนักมานุษยวิทยาเอง โดยเฉพาะนักมานุษยวิทยารุ่นเก่าที่กลายพันธุ์และนักมานุษยวิทยาพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ให้ความสนใจและติดตามการเปลี่ยนแปลงทางแนวคิดทฤษฎีที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ในด้านหนึ่งของความคิดข้าพเจ้าชื่นชมและประทับใจในความรอบรู้ที่ทันโลกของนักวิชาการเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีความรู้ดีในเรื่องภาษา อ่านตำราต่างประเทศแตกฉานจนสามารถนำมาอธิบายและวิเคราะห์ตีความให้เป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่คนไทยโดยทั่วไปได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งของความคิด ข้าพเจ้าแลเห็นความเก่งที่กลายเป็นความหลงของคนเหล่านี้ไป สิ่งนี้แหละคือที่มาของการท้วงติงที่ว่า “เห็นคำมากกว่าเห็นคน”
จากที่ประชุม ข้าพเจ้าแลเห็นนักมานุษยวิทยารุ่นเก่าที่กำลังกลายพันธุ์ และนักมานุษยวิทยาพันธุ์ใหม่ได้คิดและกำลังคิดว่าแนวคิด ทฤษฎี และวิธีการของนักมานุษยวิทยาพันธุ์เก่า ที่ยึดมั่นอยู่กับแนวคิดทางโครงสร้างและหน้าที่กับการต้องออกไปปฏิบัติงานสนามด้วยวิธีการเก็บข้อมูลที่เรียกว่า ชาติพันธุ์ศึกษา (ethnography) นั้น ล้าหลังและคับแคบ ไม่อาจอธิบายสภาวะความเป็นมนุษย์ในโลกที่เปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์ได้ จำเป็นต้องหันมาแต่งงานกับความคิดและวิธีการของพวกโพสท์โมเดิร์นเพื่อความอยู่รอด การกลายพันธุ์และการเป็นพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นก็คือการทิ้งความสำคัญของเรื่องโครงสร้าง-หน้าที่ และงานสนามทางด้านชาติพันธุ์ศึกษานั่นเอง แล้วหันมาเน้นแนวคิดและวิธีการของพวกโพสท์โมเดิร์นแทน เพราะพวกโพสท์โมเดิร์นนั้นคือพวกที่มีความคิดเป็นปรปักษ์กับพวกโครงสร้าง-หน้าที่ของพวกนักมานุษยวิทยาพันธุ์เก่านั่นเอง สิ่งใดที่เป็นเรื่องของโครงสร้างก็ต้องรื้อเสีย แต่ก็หาได้สร้างโครงสร้างอะไร ใหม่ ๆ ขึ้นมาแทน แต่สิ่งที่ดูเหมือนฮิตกันของพวกโพสท์โมเดิร์นก็คือ เรื่องตัวตน อัตลักษณ์ และวาทกรรม โดยเฉพาะเรื่องวาทกรรมนั้นก็คือเรื่องของ “คำ” นั่นเอง
ในฐานะที่เป็นนักศึกษามานุษยวิทยาพันธุ์เก่าที่ไม่สามารถกลายพันธุ์ได้ ข้าพเจ้าค่อนข้างเห็นคล้อยตามกับผู้ร่วมประชุมที่วิพากษ์ว่าเป็นการเห็นคำมากกว่าเห็นคน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการมองวัฒนธรรมอย่างไม่สนใจบริบททางสังคมนั่นเอง วัฒนธรรมในความคิดของนักมานุษยวิทยาพันธุ์เก่าก็คือ สิ่งที่มนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มทางสังคมสร้างขึ้นเพื่อการมีชีวิตและความเป็นอยู่ร่วมกัน เมื่อตัดบริบททางสังคมออกไปจึงอยู่ลอย ๆ และไม่เห็นคน เรื่องของวาทกรรมก็คือเรื่องของวัฒนธรรมที่เป็นคำแต่ไม่เห็นคนนั่นเอง ในขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็แลเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับคำว่า ตัวตน และอัตลักษณ์ อีกไม่น้อย ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าทั้งสองคำนี้มีความหมายเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ เพราะดูใช้กันอย่างพร่ำเพรื่ออันเนื่องมาจากไม่มีบริบท แต่ในประสบการณ์ของข้าพเจ้า คำว่า ตัวตน ก็คืออัตตาของปัจเจกบุคคลเป็นสิ่งที่นักศึกษาวิชามานุษยวิทยาสมัยข้าพเจ้ามักถูกพร่ำสอนให้ทำลายเสียในช่วงเวลาของการออกไปทำงานสนาม เหตุนี้ครูทางมานุษยวิทยาบางท่านจึงถือว่าการทำงานสนามนั้น คือกระบวนการเรียนรู้ที่เปลี่ยนคนดิบให้เป็นคนสุก หรืออย่างในสังคมไทยก็เหมือนกับการออกบวชนั่นเอง แต่สิ่งนี้ก็ดูเป็นอุดมคติเพราะมีนักมานุษยวิทยาอีกเป็นจำนวนมากกลับพบตัวตนหรืออัตตาแรงกล้ากว่าเก่า พวกนี้มักจะมีการแสดงออกทั้งทางความคิดและกริยาท่าทางที่รวมไปถึงการแต่งเนื้อแต่งตัวที่ผิดแผกไปจากคนอื่น ๆ จะเป็น “คนใน” ก็ไม่เชิงหรือจะเป็น “คนนอก” ก็ไม่ใช่ แต่ความเป็นจริงแล้วก็คือรู้จักว่าตัว “เขื่อง” ในขณะที่คนอื่น ๆ เขาเห็นว่า “บวม ๆ” ต่างหาก ในสมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นนักศึกษาอยู่พบเห็นตัวตนเช่นนี้ของเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นฝรั่งและคนเอเชียบ่อย ๆ ขณะที่เรียนอยู่ก่อนออกไปทำงานสนามก็ดูดี แต่พอกลับมาจากงานสนามแล้วหลายคนดูเพี้ยนไป ที่ดูเป็นแบบเหมือน ๆ กันอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็คือชอบไว้หนวดเคราหรือไม่ก็แต่งตัวแบบง่าย ๆ และสกปรก อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าการมีตัวตนที่พูดกันในการประชุมวิชาการทางมานุษยวิทยาครั้งนี้จะเป็นอย่างที่ว่านี้หรือเปล่า แต่ในที่อื่น ๆ มักพบคนไทยที่คลั่งไคล้กับความคิดและวิธีการของพวกโพสท์โมเดิร์น มักมีอาการ “เขื่อง” แบบนี้ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่สุดโต่งไปถึงเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวแบบบ้า ๆ บวม ๆ ก็ตาม แต่มักแสดงออกจากการพูดอะไรที่คนอื่นไม่รู้เรื่องและตามไม่ทัน หลาย ๆ คนมักบ่นกับข้าพเจ้าว่า เขากลายเป็นคนโง่ไปเลยก็มี ข้าพเจ้าเองก็มีความรู้สึกบ่อย ๆ ว่า ตัวเองก็เป็นเช่นนี้และคิดว่าคำบางคำที่อ้างว่าเป็นวาทกรรมนั้นดูคล้าย ๆ กับคำที่ในภาษาอังกฤษเรียก “จาร์กอน” (jargon) คือคำแปลก ๆ ที่คนในหมู่นักวิชาการสร้างขึ้น แต่สื่อความหมายไปให้คนข้างนอกไม่รู้เรื่อง
ในส่วนเรื่องของอัตลักษณ์ ก็เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นความเป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มคนหรือเปล่า ถ้าเป็นก็ดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนักศึกษามานุษยวิทยาพันธุ์เก่าแบบข้าพเจ้า เพราะเป็นลักษณะที่แสดงออกของกลุ่มเขากลุ่มเราอย่างธรรมดานี่เอง และจะเห็นสิ่งนี้ได้ก็ต่อเมื่อการที่คนต่างกลุ่มมาปะทะสังสรรค์กัน อย่างเช่นในงานประเพณีท้องถิ่นในสังคมชนบทของไทย คนจากหลาย ๆ บ้าน (ชุมชน)มาพบปะกัน ต่างคนก็มักจะรู้จักกันว่าคนนี้หรือคนนั้นเป็นคนบ้านใด เป็นต้น ลักษณะเฉพาะกลุ่มเช่นนี้ถ้าเป็นสมัยก่อน ๆ อาจเห็นได้ง่ายจากการแสดงออกถึงการแต่งเนื้อแต่งตัว อย่างเช่นการแต่งกายของพวกผู้ไทยกับพวกกะเหรี่ยงอะไรทำนองนั้น แต่สิ่งที่นักมานุษยวิทยาสนใจก็คือ สิ่งที่อยู่ภายในที่แสดงออกในเรื่องของความคิดร่วมกันที่มีทั้งการปรับเปลี่ยน การสร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง วิชามานุษยวิทยาในความคิดและประสบการณ์ของข้าพเจ้าก็คือ วิชาที่ต้องมีการปฏิบัติงานภาคสนาม เช่นออกไปท้องถิ่นพบปะสังสรรค์กับผู้คนที่อยู่ต่างกลุ่มกับตน จึงจะเห็นคนก่อนที่จะเห็นคำ แต่ก็ต้องออกไปโดยได้รับแนะนำความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ และวิธีการเก็บข้อมูลที่เรียกว่า ชาติพันธุ์ศึกษา (ethnography) เป็นสำคัญ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments