top of page

เอ็มโอยู ๔๓ กับมรดกโลก–มรดกโลภ

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 1 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2553



เรื่องร้อนทางเศรษฐกิจ-การเมืองในเมืองไทยที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนในภาคประชาสังคมกับคนของรัฐในช่วงเวลานี้ก็คือ การขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ซึ่งคณะกรรมการมรดกโลกขององค์การยูเนสโกมีความโน้มเอียงที่จะขึ้นทะเบียนให้เป็นเอกสิทธิของกัมพูชา ทั้ง ๆ ที่พื้นที่โดยรอบของตัวปราสาทนั้นทางประเทศไทยยืนยันอ้างสิทธิตามสันปันน้ำในการตกลงปักปันเขตแดนกับฝรั่งเศสแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อ ค.ศ.๑๙๐๔ แต่การดำเนินการปักปันเขตแดนที่สืบต่อมาจนเสร็จสิ้นใน ค.ศ.๑๙๐๗ นั้น ฝรั่งเศสโกงอย่างหน้าด้าน ๆ ด้วยการถืออำนาจดังประเทศมหาอำนาจ สร้างแผนที่ ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ด้วยการขีดเส้นเขตแดนลงบนแผนที่อย่างไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในเรื่องสันปันน้ำ เลยทำให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ในเขตแดนประเทศเขมร ซึ่งเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านมาถึงสมัยสงครามอินโดจีนในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ไทยก็อ้างสิทธิในการครอบครองดินแดนเสียมเรียบและพระตะบองในกัมพูชามาอยู่ในเขตแดนประเทศไทยอีกวาระหนึ่ง ครั้งเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ไทยก็จำต้องคืนดินแดนกลับคืนไปให้ฝรั่งเศสอีก แต่ก็ยังครอบครองพื้นที่บนเทือกเขาพนมดงเร็กแทบทั้งหมดไว้ ซึ่งรวมทั้งปราสาทพระวิหารที่ฝรั่งเศสโกงเอาไปด้วย


เหตุที่ไทยอ้างสิทธิเช่นนี้ก็เพราะพื้นที่ในบริเวณสันปันน้ำแทบทั้งหมดอยู่บนที่ราบสูงโคราชในเขตไทย คนท้องถิ่นที่มีหลายชาติพันธุ์ซึ่งอาศัยตั้งถิ่นฐานชุมชนและแหล่งทำมาหากินในป่าและเขาก็ล้วนเป็นคนในพื้นที่ราบสูงโคราชแทบทั้งนั้น โดยผู้คนเหล่านี้มีการติดต่อกับคนในที่ราบต่ำเขมรโดยช่องเขาต่างๆ ในเทือกพนมดงเร็ก โดยไปมาหาสู่แลกเปลี่ยนสิ่งของและสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติ โดยเฉพาะการกินดองกันทางการแต่งงาน รวมทั้งการเข้ามาใช้พื้นที่สาธารณะตามป่าเขาทั้งสองฟากของสันปันน้ำในการหาของป่า ทำมาหากินร่วมกัน คนทั้งสองฟากเขามักมีแหล่งศักดิ์สิทธิ์ในระบบความเชื่อมาประกอบพิธีกรรมด้วยกันควบคูไปกับพื้นที่ย่านตลาดและแหล่งที่อยู่อาศัยในลักษณะที่เป็นชุมชนร่วมกันตามช่องเขาต่าง ๆ อันเป็นเส้นทางขึ้นลงระหว่างที่ราบสูงโคราชและที่ราบเขมรต่ำ


พื้นที่บนสันปันน้ำที่มีคนท้องถิ่นทั้งสองดินแดนใช้ร่วมกันมาอย่างไม่มีความขัดแย้งใด ๆ นั้น เริ่มกระทบกระเทือนขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่รัฐบาลเขมรของสมเด็จพระนโรดมสีหนุ ฟ้องศาลโลกอ้างสิทธิครอบครองปราสาทพระวิหารที่อยู่ในเขตสันปันน้ำของไทย โดยอาศัยสนธิสัญญาในการแบ่งเขตแดนที่ฝรั่งเศสทำกับไทยในปี ค.ศ. ๑๙๐๗ ครั้งเขมรยังเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่สัมพันธ์กับแผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่ฝรั่งเศสทำไว้และบีบให้ไทยยอมรับในสมัยรัชกาลที่ ๕


ในความจริง สนธิสัญญาและแผนที่ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่แสนชั่วของฝรั่งถ่อยนั้น ควรสิ้นสุดลงแล้วเมื่อเขมรเป็นเอกราช รวมทั้งไทยเองก็ไม่ควรรับมาพิจารณาและไปอ้างสิทธิเหนือบริเวณเสียมเรียบและพระตะบอง ดังเช่นรัฐบาลไทยสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นด้วย


แต่เจ้าสีหนุนั้นกลับอ้างสนธิสัญญาและแผนที่สมัยอาณานิคมมาแสดง ดุจดังเคยเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสเช่นเดิม ซึ่งก็ดูน่าประหลาดเป็นนักหนา


ในการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมทางมนุษย์วิทยาชาติพันธุ์ของข้าพเจ้าที่เกี่ยวกับที่ราบสูงโคราช และเขมรต่ำในลุ่มทะเลสาบนั้น ข้าพเจ้าพบว่าประชาชนที่อยู่ในประเทศกัมพูชา ประกอบด้วยคนสองกลุ่มในสองพื้นที่มาช้านาน คือ คนที่อยู่บนพื้นที่สูงและพื้นที่ชายทะเล พวกที่อยู่ในที่สูงเป็นมนุษย์ในตระกูลมอญ-เขมร อันเป็นตระกูลภาษาย่อย ๆ ของตระกูลใหญ่ที่เรียกว่า ออสโตร-เอเชียติก [Austro-Asiatic] คนเหล่านี้กระจายอยู่บนที่ราบสูงโคราชอันเป็นอนุภาคหนึ่งของลุ่มน้ำโขงตอนกลาง และที่ราบลุ่มรอบ ๆ ทะเลสาบเขมร ในจดหมายเหตุจีนเรียกคนเหล่านี้ว่า เจนละบก


ส่วนคนที่อยู่ทางชายฝั่งทะเลคือแถวลุ่มน้ำโขงตอนล่างที่เป็นดินดอนสามเหลี่ยม [Mekong Delta] เป็นมนุษย์ในตระกูลมาเลย์-จาม ซึ่งเป็นตระกูลย่อยของตระกูลภาษาใหญ่ที่เรียกว่า ออสโตรนีเซียน [Austronesian] หรือ มาลาโยโพลีนีเซียน [Malayo Polynesian] คนพวกนี้หากินตามชายทะเลและบนท้องทะเล เป็น นักเดินทางทะเลระยะไกลที่เก่ง [Seafarer] มาแต่สมัยโลหะในยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือ แต่ราว ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาลลงมา


ราวต้นคริสตกาลการค้าระยะไกลทางทะเลระหว่างอินเดียและตะวันออกกลางกับจีนทางตะวันออกไกล ได้ทำให้เกิดกลุ่มรัฐชายทะเล [Port Polity] และ กลุ่มรัฐภายใน [Hinterland Polity] ขึ้น อันเนื่องมาจากการแลกเปลี่ยนสินค้าที่เป็นของป่า [Jungle products] และโลหะธาตุ [Mineral resource] ของดินแดนภายในกับผู้คนที่ทำการค้าขายทางชายฝั่งทะเล เป็นเหตุให้มีการแพร่อารยธรรมอินเดียและอารยธรรมจีนเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นเมือง โดยเฉพาะอารยธรรมอินเดียนั้น มีผลให้เกิดนครรัฐที่มีศาสนาการเมืองในระบบกษัตริย์แบบจักรพรรดิราชในศาสนาพุทธ ฮินดูและพุทธมหายานขึ้น


ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ หรือคริสต์ศตวรรษที่ ๖-๗ เกิดกลุ่มนครรัฐที่มีลัทธิศาสนาทางราชการที่เป็นพุทธเถรวาท พุทธมหายาน และฮินดูขึ้นมาตามดินแดนต่าง ๆ ทั้งชายทะเลและภายใน ในเดลต้าแม่น้ำโขง มี รัฐฟูนัน อันเป็นรัฐของคนมาเลย์-จาม รวมสมัยกับรัฐจามปาทางเวียดนามกลาง รัฐเจนละ ที่อยู่ในที่ราบสูงโคราช รัฐทวารวดีและรัฐนครชัยศรี ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาของประเทศไทย กินไปถึง รัฐศรีเกษตร ของชนชาติ พะยู่ หรือ ผิ่ว ในแอ่งอิระวดีของพม่า


ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ เป็นต้นมา การเติบโตของการค้าระยะไกลทางทะเลมากขึ้น เกิดบ้านเมืองใหญ่ ๆ และรัฐใหม่ ๆ ที่เป็นนครรัฐมากมาย มีทั้งแยกอยู่อย่างเป็นเอกเทศ มีทั้งการรวมกับรัฐเก่าเป็นรัฐใหม่ขึ้นมา ในดินแดนเดลต้าของแม่น้ำโขงที่ที่ราบสูงโคราช การแผ่ขายของคนกลุ่มที่เรียกว่ามอญ-เขมร ลงมาทางเดลต้าแม่น้ำโขง ทำให้รัฐฟูนันหมดความสำคัญไป เกิดรัฐใหม่ขึ้นมาแทนที่คนจีนเรียกว่า รัฐเจนละน้ำ


ทำให้เจนละแต่เดิมที่แบ่งออกเป็นสองเจนละคือ เจนละบก มีเมืองสำคัญอยู่ที่ เชิงเขาวัดพู ริมฝั่งแม่น้ำโขงในแคว้นจำปาสักของลาว กับ รัฐเจนละน้ำ ที่มีเมืองสำคัญอยู่ที่ เมืองสมโบร์ไพรกุก ในลุ่มน้ำโขงในเขตแขวงกัมปงจามในปัจจุบัน


บริเวณที่เป็นเจนละน้ำเริ่มแต่ชายทะเลมาถึงพนมเปญและเรื่อยขึ้นไปตามลำน้ำโขงจนถึง สตึงเตรง นั้น เป็นพื้นที่ของการผสมผสานของชนกลุ่มมอญ-เขมรกับกลุ่มจาม-มาเลย์ มีความเชื่อและวัฒนธรรมแตกต่างไปจากพวกเจนละบกที่ขยายตัวจากที่ราบสูงโคราชลงมายังลุ่มทะเลสาบในเขตเสียมเรียบและพระตะบอง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ลงมา เจนละน้ำมักมีการขัดแย้งกับพวกจามที่ถ่อยร่นขึ้นไปรวมอยู่ทางตอนกลางของเวียดนามเป็นประจำ เกิดสงครามกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองเกิดขึ้น คือ เกิดนครรัฐของพวกเจนละบกขึ้นมาใหม่ที่ริมของทะเลสาบ โดยอาศัย เขาพนมกุเลน เป็นศูนย์กลางของจักรวาล มี ลำน้ำโรราส และ ลำน้ำเสียมเรียบ ที่ไหลลงจากเขาพนมกุเลนหล่อเลี้ยง


การสร้างบ้านแปงเมืองในบริเวณนี้ รัฐใหม่ที่เกิดขึ้นคือรัฐเมืองพระนครที่มีเมืองยโสธรปุระเป็นศูนย์กลางทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ การเกิดรัฐเมืองพระนครที่มีเมืองยโสธรปุระเป็นศูนย์กลางนี้ ดูคล้าย ๆ กับพระนครศรีอยุธยาที่ทำให้บรรดานครรัฐในเครือข่ายทั้งในพื้นที่เจนละบกในที่ราบสูงโคราช กับเจนละน้ำที่อยู่ทางเดลต้าแม่น้ำโขง พยายามแย่งชิงกันเข้ามาปกครองอยู่เนือง ๆ เกิดกษัตริย์ใหญ่ ๆ ที่พยายามบูรณาการรัฐและผู้คนทั้งสองเขตให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการปกครองและวัฒนธรรม


ความเป็นหนึ่งเดียวของเมืองพระนครคือทั้งเจนละบกและเจนละน้ำนั้น เห็นเป็นรูปธรรมขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เมื่อพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ผู้มีเชื้อสายจาม-มาเลย์จากเจนละน้ำ เข้ามามีอำนาจในเมืองพระนคร ได้แบ่งวัฒนธรรมฮินดูของเมืองพระนครขึ้นไปยังดินแดนที่ราบสูงโคราช ทำให้เกิดปราสาทขอมในศิลปะแบบปาปวนขึ้นทั่วไป


ทำให้ความคล้ายคลึงกันทางรูปแบบศิลปวัฒนธรรมกลายเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นอำนาจทางการเมืองไป ทั้งๆ ที่นัยซ่อนเร้นทางการเมืองนั้นน่าจะเป็นพระเจ้าสุริยวรมันต้องการสร้างความสัมพันธ์ในด้านกำลังคนจากที่ราบสูงโคราชเพื่อต่อต้านกับการรุกรามของพวกจามจากเวียดนามกลางมากกว่า รวมทั้งการที่ใช้เมืองพระนครที่อยู่ริมทะเลสาบเป็นที่มั่นในการสู้รบกับพวกจามด้วย


แต่กระนั้นก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีและจู่โจมจากพวกจามได้ เพราะหลังรัชกาลสุริยวรมันที่ ๑ แล้ว อาณาจักรเมืองพระนครปั่นป่วนและแตกแยก เปิดโอกาสให้พวกเจนละบกในที่ราบสูงโคราชที่มีนครรัฐอยู่ที่พิมาย-พนมรุ้ง ในบริเวณที่เรียกว่า มูละเทศะ แต่เดิมเข้ามามีอำนาจแทน คือกษัตริย์ในราชวงศ์มหิธระปุระที่ทรงพระนามว่า สุริยวรมันที่ ๒ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๗


พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ คือผู้ที่สร้างปราสาทนครวัดที่มีชื่อเรียกในศิลาจารึกว่า วิษณุโลก เป็นสถานที่เพื่อการพระบรมศพของพระองค์ที่มีพระนามคล้ายพระวิษณุ (แต่ไม่เหมือน) ว่า พระบรมวิษณุโลก ภาพสลักในพระราชพิธีสนาม ก็คือการสวนสนามแสดงแสนยานุภาพของกองทัพขอมในระเบียงคด ปราสาทนครวัด ที่ประกอบด้วยกองทัพจากบรรดาเมืองขึ้นและเมืองที่เป็นพันธมิตรมากมายที่อยู่ในที่ราบสูงโคราชและกินมาถึงแคว้นสยามและละโว้ของสยามประเทศในลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้วย


พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ สร้างเมืองนครธมทับที่เมืองพระนครเก่าขึ้นมาโดยมีป้อมปราการแข็งแรงก่อด้วยศิลาแลง พร้อมกันก็สร้างปราสาทบายนขึ้นเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธมหายานของราชอาณาจักร แล้วทรงเชื่อมความสัมพันธ์อันดีของเมืองพระนครไปตามบ้านเมืองต่าง ๆ ทั้งในที่ราบสูงโคราชและที่ราบลุ่มทะเลสาบเลยไปจนถึงลุ่มน้ำโขงในเขตแคว้นที่แต่เดิมเป็นเจนละน้ำ


เป็นการบูรณาการบ้านเมืองที่ต่างภูมิภาคและชาติพันธุ์เข้าไว้เป็นอันหนึ่งเดียวกันในอาณาจักรเมืองพระนคร แต่ว่าการรวมกันทั้งการเมือง วัฒนธรรมและเศรษฐกิจดังกล่าวนี้ก็ไปได้พักหนึ่ง เพราะเมืองสิ้นรัชกาลแล้ว บ้านเมืองก็แตกแยก กษัตริย์เมืองพระนครหลังรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ หันมานับถือและอุปถัมภ์ศาสนาฮินดูแล้วทำลายล้างพุทธมหายานของชัยวรมันที่ ๗ ในที่สุดอาณาจักรเมืองพระนครก็แตกแยก พุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์จากรัฐในประเทศสยามแพร่เข้ามาเป็นศาสนาราชการใหม่


ในยุคนี้ศูนย์กลางความเจริญใหม่เช่นอยุธยาก็เข้ามาแทนที่ ทางอยุธยาขยายอำนาจมาผนวกเจนละบกที่เป็นคนชาติพันธุ์เดียวกันกับคนบนที่ราบสูงโคราชให้อยู่ภายในราชอาณาจักร โดยเฉพาะการตีเมืองพระนครหลวงและกวาดต้อนครัวเขมรมาเป็นคนสยามในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ เจ้าสามพระยานั้น ได้ทำให้ความสำคัญของรัฐกัมพูชาเคลื่อนจากริมทะเลสาบไปยังพื้นที่เจนละน้ำในบริเวณจัตุรมุข อันเป็นแหล่งสบกันของแม่น้ำ ทะเลสาบ คือ แม่น้ำบาสัคและแม่น้ำโขง เกิดเมืองสำคัญขึ้นมาแทนที่ ตั้งแต่เมืองอุดงมีชัย อันลองเวงและพนมเปญตามลำดับ


ความเป็นหนึ่งเดียวของกัมพูชาแต่สมัยเมืองพระนครก็สิ้นสุดลง เข้าสู่สมัยหลังเมืองพระนครที่กัมพูชาแบ่งออกเป็นเจนละบกและเจนละน้ำเหมือนเดิม


เจนละน้ำมีความเจริญกว่า เพราะอยู่ใกล้ทะเลมีพ่อค้าและชนต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีนเข้ามาค้าขายตั้งหลักแหล่งรวมทั้งมีชนจามมุสลิมและอื่น ๆ ที่เข้ามาทางทะเลเป็นที่รู้จักรับรู้ของคนภายนอกทั่วไป ในทำนองตรงข้ามพวกเจนละบกที่เมืองพระนคร กลับไม่มีใครรู้จักและเชื่อว่าสูญหายไปหลังจากกองทัพไทยตีเมืองพระนครและกวาดต้อนผู้คนกลับไปเมืองไทย ก็เลยเป็นโอกาสของพวกฝรั่งเศสนักสำรวจล่าอาณานิคม เช่น อองเดร มูโอต์ อ้างตัวว่าเป็นผู้ค้นพบเมืองพระนครให้ทั่วโลกได้รับรู้


เรื่องเช่นนี้ถ้าเป็นคนท้องถิ่นที่อยู่กับความจริงแล้วก็คงนึกสมเพศในความโอ้อวดของฝรั่งที่พยายามแสดงตัวเองเป็นผู้ปลดปล่อยเสมอ ทั้งๆ ที่มีจิตใจที่โหดอำมหิตเสมอมา คนท้องถิ่นที่เป็นเจนละบกรู้ดีว่าแม้เมืองพระนครจะโรยร้างไปเช่นเดียวกับพระนครศรีอยุธยานั้นก็เพียงแต่สิ่งก่อสร้างปราสาทราชวัง แต่ประชาชนที่เป็นคนเมืองนั้นยังอยู่อย่างสืบเนื่อง เพียงเคลื่อนย้ายแหล่งที่อยู่อาศัยมาสองฝั่งของลำน้ำเสียมเรียบลงไปจนถึงทะเลสาบ เพราะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและทำกิน ทำนา จับปลาอยู่แล้ว เมืองเก่าและศาสนสถานหลายแห่งก็ยังคงมีการดูแลอยู่ ดังเห็นจากหลักฐานทางโบราณคดีสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมา ว่าปราสาทหลายแห่งถูกแปลงให้เป็นพุทธสถาน รวมทั้งมีการสร้างพระอุโบสถ สร้างพระสถูปเจดีย์ อันแสดงให้เห็นความเป็นวัดวาอารามในทางพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์อย่างแจ่มแจ้ง โดยเฉพาะปราสาทนครวัดเองนั้น คนไทยสยามและพุทธศาสนิกชนอื่นๆ ก็รู้จักในนามของนครวัดแทนชื่อเก่าที่เรียกว่า วิษณุโลก มีการสร้างพระสถูปและปรับเปลี่ยนพื้นที่ห้องปราสาทและระเบียงคดให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนับเนื่องกันไปหมดมีหลายยุคหลายสมัย เพราะการสร้างพระพุทธรูปถวายวัดนั้นเป็นการทำบุญที่สำคัญในการสืบพระศาสนา


นครวัดนั้นหาได้เป็นที่รู้จักกันแต่เพียงคนในเสียมเรียบเท่านั้น หากแทบทุกสารทิศ เพราะเป็นแหล่งจาริกแสวงบุญของคนทั่วภูมิภาค มีการสร้างตำนานขึ้นมาอธิบายต่าง ๆ นานา ยกเว้นไอ้พวกฝรั่งถ่อย ๆ เท่านั้นที่มองไม่เห็น พระมหากษัตริย์แห่งพระนครศรีอยุธยาเองก็หาได้ลืมนครวัดนครธมไม่ ยังคงเห็นว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่มีอิทธิพลในทางศิลปวัฒนธรรมเสมอมา ดังเช่นสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงตั้งชื่อเมืองสองแควอันเป็นเมืองสำคัญบนฝั่งน้ำน่านของสุโขทัยว่า “พิษณุโลก” ตามชื่อเมืองพระนครที่ชื่อ “วิษณุโลก” เป็นเมืองที่ประทับเกือบตลอดรัชกาล การสร้างพระบรมมหาราชวังและสถานที่สำคัญ ครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในสมัยอยุธยาตอนกลางมาจนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองในยุคอยุธยาตอนปลาย ก็ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสถาปัตยกรรมเมืองพระนคร โดยมีการรับช่างและผู้รู้ไปถ่ายแบบมาปรับปรุงตลอดเวลา


คนเจนละบกเองก็มีการขยับขายแหล่งที่อยู่อาศัยขึ้นมายังที่ราบสูงโคราชโดยข้ามเทือกพนมดงเร็กมาตามช่องเขาต่าง ๆ เข้ามาหาถึงถิ่นฐานสัมพันธ์กับพวกญาติพี่น้องในเขตจังหวัดโคราช บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ จนแยกไม่ออกในด้านชาติพันธุ์ของคนสองฟากเขาพนมดงเร็กทั้งฟากไทยและกัมพูชา


ดูเหมือนการดำรงอยู่อย่างสืบเนื่องของคนเจนละบกนั้นเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันว่าคนเสียมเรียบ ที่แตกต่างจากพวกเขมรพนมเปญ ความแตกต่างกันนี้คนสยามในแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมารู้เป็นอย่างดี ดังเห็นจากการกล่าวถึงในตำนานพงศาวดารว่า ขอมแปรพักตร์ เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างอยุธยากับเมืองพระนครนั้น คือ ทางไทยเรียกคนเสียมเรียบว่าเป็น ขอม ส่วนคำว่าเขมรนั้นปรากฏในเอกสารว่าเกิดขึ้นแต่สมัยกัมพูชาย้ายเมืองสำคัญมาอยู่ที่อุดงมีชัย และต่อมาละแวกเมื่อเกิดสงครามขึ้นระหว่างอยุธยากับกัมพูชา คนไทยสยามจะเรียกคนที่อยู่ทางเมืองละแวกหรือต่อมาคือพนมเปญว่าเป็นพวก เขมร


คนเหล่านี้แต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา คือพวกเขมรน้ำที่สืบถิ่นฐานมาจากเจนละน้ำ เป็นกลุ่มชนที่ผสมผสานกันของคนหลายชาติพันธุ์ทั้งจาม จีนและอื่น ๆ เพราะเป็นพื้นที่ซึ่งใกล้ทะเลติดต่อกับภายนอก มีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ จนมีความสำคัญทั้งการเมือง เศรษฐกิจล้ำหน้าพวกเขมรบก หรือเสียมเรียบ ทำให้พวกเสียมเรียบเกือบถูกลืมไปพร้อม ๆ กับความรุ่งเรืองทางอารยธรรมในสมัยเมืองพระนคร


ข้าพเจ้าได้รับความกระจ่างแจ้งในเรื่องนี้จากนักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ล่วงลับไปแล้ว คือศาสตราจารย์ เยเนโอะ อิชิอิ ครั้งพบกันในการประชุมสัมมนาได้บอกว่า พบเอกสารของชาวเสปนที่เข้าไปในกัมพูชาราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ซึ่งระบุว่า กัมพูชาในช่วงเวลานั้นมีกษัตริย์ปกครองสองถิ่น คือ กษัตริย์ของกลุ่มคนที่อยู่ทางภูเขา [King of the mountain] กับ กษัตริย์ของคนที่อยู่ทางทะเล [King of the sea] ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างกันระหว่างเขมรเสียมเรียบกับเขมรพนมเปญดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เขมรทั้งสองพวก สองถิ่นนี้ยังมีความแตกต่างกันสืบมาจนปัจจุบันก็ว่าได้ เพราะอาจสังเกตได้โดยไม่ยากสำหรับผู้ที่สนใจในทางชาติพันธุ์ของคนกัมพูชาในปัจจุบัน


โดยเหตุที่ยังมีความแตกต่างกันเช่นนี้ จึงเป็นความพยายามของผู้นำทางการเมืองที่มีอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่พนมเปญในเขตเขมรน้ำที่จะสร้างการยอมรับอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของทางพนมเปญ ความต้องการเช่นนี้เห็นได้จากการกระทำของเจ้าสีหนุแต่สมัยกัมพูชาเป็นเอกราชจากฝรั่งเศส ได้ใช้การอ้างสิทธิในปราสาทพระวิหารเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์เขมรโบราณว่าเหนือดินแดนประเทศไทยเพื่อสร้างความภักดีจากคนเสียมเรียบต่อพนมเปญ มาครั้งนี้ในกรณีมรดกโลกก็เช่นเดียวกัน นายกรัฐมนตรีฮุนเซนก็ต้องการเอาชนะใจคนเสียมเรียบและหาเสียงเพื่อสยบนักการเมืองฝ่ายค้านด้วยการประกาศศักดิ์ศรีในอดีตที่สูญหายไปแล้วของกัมพูชาเหนือดินแดนที่ราบสูงโคราชของประเทศไทยโดยอาศัยช่องว่างทางการเมือง-เศรษฐกิจในเรื่องเส้นแบ่งเขตแดน ซึ่งก็นับว่าได้ผลดี อันมาจากความไม่เอาใจใส่ของรัฐบาลและความไม่เอาไหนของหน่วยราชการที่รับผิดชอบอันได้แก่กระทรวงการต่างประเทศ และกรมแผนที่ทหารในปี ..๒๕๔๓


รัฐบาลที่ว่านี้คือรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ อันมีนายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ ซึ่งเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการไปร่วมเซ็น MOU. ในการปันเส้นเขตแดนกับประเทศกัมพูชา ความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่ไม่น่าให้อภัยในการเซ็น MOU. ครั้งนี้ก็คือการไปยอมรับข้อเสนอของทางฝ่ายกัมพูชาในการใช้แผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ แนบท้ายในการแบ่งเส้นเขตแดน


เรื่องการใช้แผนที่นั้นเป็นเรื่องทางเทคนิค เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบอย่างจริงจังก็คือ กรมแผนที่ทหารและหน่วยงานในกิจการด้านดินแดนของกระทรวงการต่างประเทศ หาได้เอาใจใส่อย่างรอบคอบแต่อย่างใดไม่ กลับทำความผิดพลาด ทำนองเดียวกันกับสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อครั้งมีข้อพิพาทขึ้นศาลโลกกับกัมพูชาเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารในปี พ.ศ.๒๕๐๕ เพราะครั้งนั้นก็ยอมรับในการใช้แผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ในการแบ่งเขตแดนที่ฝรั่งเศสทำขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๕๐ (ค.ศ.๑๙๐๗) ซึ่งฝรั่งเศสขีดเส้นเขตแดนที่มีปราสาทพระวิหารเข้าไปอยู่ในเขตแดนกัมพูชาแล้ว


ทั้งแผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ และเส้นเขตแดนนั้นคือ ของการโกงที่ชั่วร้ายของฝรั่งเศส แต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดันไปยอมรับแล้วยอมขึ้นศาลโลก ดังเป็นเรื่องที่มั่นใจว่าจะชนะกระมัง เพราะทางไทยมีทนายความที่ดีระดับโลก เรียนจบมาแต่ฝรั่งเศส จึงลงเอยด้วยการแพ้และเสียปราสาทพระวิหาร ซึ่งครั้งนั้นก็นับว่าทางฝ่ายทหารของรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ก็ยังไม่ยอมเสียดินแดนภายในเขตสันปันน้ำ เพราะถือว่าเขตแดนยังเป็นของไทย ซึ่งศาลโลกเองก็หาได้ระบุถึงพื้นที่รอบพระปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชาแต่อย่างใด ข้อบกพร่องอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญของรัฐบาลและกรมแผนที่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ก็คือไม่คิดจะใช้แผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ เป็นหลักฐานสำคัญในการกำหนดเขตแดน เพราะครั้งนั้นแผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ ก็มีใช้กันอยู่แล้วเป็นแผนที่ซึ่งทหารอเมริกันทำขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นั่นหมายถึงแผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ควรเป็นของล้าสมัยในความถูกต้องและชัดเจนไปแล้ว


ความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ตัวได้โดยวิธีการอันใดก็ตาม ก็คือการเซ็น MOU. ๔๓ โดยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็ยังตะแบงใช้แผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ อย่างมองไม่ออกว่า เป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากเส้นเขตแดนครั้งที่ฝรั่งเศสทำไว้แต่ดึกดำบรรพ์อย่างไร ก็เลยเข้าทางเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของรัฐบาลยุคพ่อค้าข้ามชาติ ครองแผ่นดินในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี


ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้ยินมาจากนายทหารรักชาติตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่พวกนายพลข้ามชาติ ว่ารัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้วางแผนร่วมกันในการประชุมกัน เข้าใจว่าที่อุบลราชธานีในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจในบริเวณตะเข็บชายแดนบนเทือกพนมดงเร็ก แต่อุบลราชธานีที่มีเรื่อง สามเหลี่ยมมรกต ผ่านเขาพระวิหารและช่องเขาต่าง ๆ ลงไปถึงเขตชายทะเลเช่นถึงเกาะกง เป็นต้น เล่าว่าผู้เข้าร่วมประชุมก็มีทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทางรัฐบาล เช่น กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม เป็นต้น นัยว่าเป็นการประชุมลับเสียด้วย เขาพระวิหารและปราสาทพระวิหารนับเนื่องเป็นแหล่งสำคัญแหล่งหนึ่ง ซึ่งต่อมารัฐบาลกัมพูชาภายใต้จอมทรราชฮุนเซน หักหลังไปสมรู้ร่วมคิดกับคณะกรรมการมรดกโลกในการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว


ในเรื่องนี้เห็นอย่างโล่งโจ้งจากขั้นตอนขึ้นทะเบียนที่ยอมขึ้นตัวปราสาทพระวิหารก่อน ทั้ง ๆ ที่ความจริงในหลักการปกติเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีทางสมบูรณ์แบบ แต่คณะกรรมการมรดกโลกนั้นคาดผิด เพราะเคยชินต่อการจะเสนอแนะอะไรแล้วทางรัฐบาลไทยมักจะยอมตามตลอดเวลา โดยเฉพาะในด้านวิชาการที่บรรดานักวิชาการฝ่ายไทยยอมเป็นลูกไล่ฝรั่งแสมอมา


นี่ถ้าหากไม่มีการที่ทางภาคประชาสังคมออกมาโวยวายต่อต้านกันอย่างต่อเนื่อง ดังเห็นกันในทุกวันนี้ แหล่งมรดกโลกพระวิหารก็คงเกิดขึ้นภายใต้คำว่า แหล่งมรดกโลกพระวิเหียร อันเป็นคำในภาษาเขมร ที่ศักดิ์ศรีอยู่ที่คนกัมพูชา ในขณะที่คนไทยเสียทั้งอำนาจอธิปไตยในเรื่องดินแดน ไร้ศักดิ์ศรีและผลประโยชน์


ส่วนผู้ที่มีส่วนได้ผลประโยชน์อย่างแท้จริงก็คือ กลุ่มคนข้ามชาติที่มีทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง นักวิชาการข้ามชาติและข้ามเพศ ทั้งที่เป็นคนไทย คนเขมรและคนฝรั่ง คนจีน คนญี่ปุ่นและอื่นๆ หาใช่คนไทยในท้องถิ่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และคนเขมรเสียมเรียบที่ควรจะเป็นผู้มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริง [Local stakeholder]


ในที่สุดความเป็นมรดกโลกอย่างแท้จริงก็คงหาบังเกิดไม่ แต่จะกลายเป็นมรดกโลกของคนข้ามชาติที่ทำให้เป็นมรดกแค้นที่นำไปสู่ความเป็นศัตรูกัน ระหว่างคนสองชาติคือ ไทยและเขมรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


ในบทความนี้ ข้าพเจ้าไม่คิดเรียกร้องขออะไรจากรัฐบาลซื่อบื้อที่ปกครองบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้ เพราะสิ่งที่แถลงมาในเรื่องการไม่ยกเลิกแผนที่มาตรา ๑: ๒๐๐,๐๐๐ ที่เป็นหลักฐานสนับสนุนเส้นเขตแดนที่ฝรั่งเศสทำไว้แต่ปางก่อนนั้น คือการแก้ตัวที่ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม คงจะต้องหันมายังภาคประชาชนที่ต้องรวมพลังกันอย่างมหาศาลในการยกเลิก MOU. อัปยศที่จะนำมาซึ่งความฉิบหายอย่างผ่อนส่งกับประเทศชาติในด้านดินแดน อำนาจอธิปไตย ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งบนบกและในทะเลในช่วงเวลาที่ไม่นานเกินรอนี้


เมื่อมาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็ใคร่เสนอข้อคิดใหม่ว่า ทำไมพวกเราที่เป็นคนไทยอันเป็นคนตะวันออกที่ก็นับว่ามีสติปัญญา มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ทัดเทียมกันกับคนตะวันตก ไม่ลองตั้งสติและทบทวนด้วยปัญญาแล้วพิจารณาว่า


มรดกโลกที่กำลังเป็นมรดกโลภ และเส้นแบ่งเขตแดนที่เกี่ยวข้องกับ MOU. ๔๓ นั้น เนื้อแท้ก็เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากสติปัญญาที่ฉ้อฉลของคนตะวันตกทั้งสิ้น เป็นอกุศลกรรม กลลวงที่ทำให้คนในท้องถิ่นทั้งคนไทยในที่ราบสูงโคราช และคนเสียมเรียนในพื้นที่เขมรต่ำ เกิดความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรงอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้


ซึ่งผิดกับแต่ก่อน ๆ ที่เคยอยู่กันอย่างเป็นญาติพี่น้อง เป็นเสี่ยว เป็นสหายกัน คนทั้งสองฝ่ายต่างมีส่วนได้เสียในพื้นที่แห่งการเปลี่ยนผ่าน เช่น บริเวณสันปันน้ำ บริเวณท้องน้ำเช่นแม่น้ำโขงร่วมกัน แล้วยกให้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งสองฝ่ายช่วยกันสร้างขึ้น เช่นปราสาทพระวิหารบนเทือกพนมดงเร็ก พระบรมธาตุพนม ที่แม่น้ำโขงให้เป็นที่ซึ่งคนทั้งสองฝ่าย และคนภายนอกที่มาจากที่อื่น ๆ ประเทศอื่น ๆ ได้มาสักการะ และมาเที่ยวมาชมมาพักแรม มาซื้อขายสิ่งของที่เป็นผลิตผลที่เกิดจากชีวิตวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น อันนับเป็นการฟื้นฟูแหล่งประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เช่นปราสาทพระวิหาร พระบรมธาตุพนมให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่มีชีวิตขึ้นมา แทนที่การเป็นมรดกโลก-มรดกโลภ บ้า ๆ บอ ๆ ของไอ้พวกฝรั่งตะวันตกที่ไม่มีประโยชน์อันใดแก่คนท้องถิ่นที่เป็นเจ้าของร่วมกันเลย


เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นว่า เส้นแบ่งเขตแดนก็ดี มรดกโลกก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นให้เป็นเครื่องมือของนักธุรกิจการเมืองข้ามชาติที่ตอบสนองโดยรัฐบาลทรราชจากกรุงเทพฯ และกัมพูชา โดยมีบรรดานักวิชาการไม่มีชาติที่ชอบตามฝรั่งหมาไม่กัดเป็นพวกสนับสนุน อ้างความชอบธรรมในการแย่งชิงพื้นที่และทรัพยากรของคนท้องถิ่นของทั้งสองประเทศ


ที่กล่าวมานี้ก็เพื่อที่จะเสนอว่า ควรรวมพลังกันเลิกทั้ง MOU. ๔๓ ที่เป็นเรื่องของเขตแดน และแหล่งมรดกโลก ปราสาทพระวิหารเสีย แล้วคิดใหม่ทำใหม่ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นทั้งสองชายแดนร่วมกัน


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:




Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page