เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2550
เหตุอย่างหนึ่งของรากเหง้าความขัดแย้งในสังคมไทยทุกวันนี้ก็คือเรื่อง ความเป็นคนไทย ที่มักใช้เป็นข้ออ้างในเรื่องสิทธิของการเป็นประชาชนชั้นที่หนึ่ง เพื่อเอารัดเอาเปรียบคนด้อยโอกาสในเรื่องการแย่งชิงทรัพยากรและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ความเป็นคนไทยทุกวันนี้มีฐานของคำอธิบายจากประวัติศาสตร์รัฐ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์แนวตั้งและเชิงเดี่ยวที่เจ๊กกบฏผู้เป็นกุนซือของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นเผด็จการทางวัฒนธรรมแต่งขึ้น ใช้เล่นละครปลุกกระแสชาตินิยมและกำหนดให้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนจนถึงชั้นอุดมศึกษาของประเทศที่ยังทรงอิทธิพลมาจนทุกวันนี้

ตราประจำตัวสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ตราสุริยมณฑลแบบไทย
การเป็นประวัติศาสตร์แนวตั้งและเชิงเดี่ยวเช่นนี้ ความสำคัญอยู่ที่การกำหนดความเป็นคนไทยจากชาติพันธุ์เดียว [Ethnicity] ในลักษณะที่เป็นเชื้อชาติ [Race] คือ ชาติพันธุ์ที่สืบเชื้อสายกันมาจากสายเลือดที่ผิดความเป็นมนุษย์ในทางวิทยาศาสตร์ เพราะในพัฒนาการทางสังคมของมนุษยชาตินั้น การสืบเนื่องของความเป็นคนที่เป็นสัตว์สังคมนั้นหาได้มาจากสายพันธุ์เดียวไม่ หากเกิดจากทั้งการสืบสายเลือด [Blood Tie] หรือ [Agnatic Relationship] กับการดองกันทางการแต่งงาน [Affiant Tie] หรือ [Cognatic Relationship] โดยเฉพาะความสัมพันธ์จากการกินดอง [Cognatic Relationship] นี้ ทำให้การแต่งงานเป็นสถาบันสากลของมนุษยชาติ การแต่งงานเป็นกิจกรรมทางสังคมที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ที่มีแต่การสมสู่และสำส่อนอย่างเช่นคนไทยรุ่นใหม่ประพฤติกันในทุกวันนี้
ประวัติศาสตร์แนวตั้งและเชิงเดี่ยวที่กล่าวมาแล้วได้กลายเป็นตำนานที่คนส่วนใหญ่ในชาติ เชื่อว่าเป็นจริง และใช้อ้างอิงในการอธิบายความเป็นคนไทยของตนเรื่อยมา พลังของประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับนโยบายเชื้อชาตินิยมในการเปลี่ยนชื่อ ประเทศสยาม ที่เคยมีมาแต่เดิมเป็น ประเทศไทย เพราะเอาชาติพันธุ์เดียว คือ ไท เป็นตัวกำหนด แตกต่างไปจากสมัยก่อนที่มีมาแต่สังคมศักดินาสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มองคนกับดินแดนเป็นสำคัญ ทำให้ผู้คนในประเทศที่หลากหลายทางชาติพันธุ์มีสำนึกร่วมของการอยู่ในแผ่นดินเดียวกันในนามของชนชาติสยาม
สยามเทศะมีมาแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ เพื่อแสดงให้เห็นถึงพื้นที่ทางการปกครองและวัฒนธรรม ท่ามกลางความหลากหลายของดินแดนที่เป็นบ้านเมืองอื่นๆ เช่น รามัญเทศะ กัมพูชาเทศะ ชวา มลายู และอื่น ๆ อย่างไรก็ตามความต่างกันของคนกับดินแดนในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง
รากฐานของการมีผู้คนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์อยู่รวมกันในประเทศเดียวก็คือ ประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และพม่า ซึ่งไม่สามารถบูรณาการความเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้สนิทแน่นเท่ากับประเทศสยาม จึงมีลักษณะที่นักวิชาการประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์ยุคก่อน ๆ เรียกสังคมของประเทศเหล่านั้นว่า สังคมพหุลักษณ์ [Heterogeneous] ต่างไปจากสังคมประเทศสยามที่เป็นสังคมเอกลักษณ์ [Homogeneous] เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะประเทศที่เป็นสังคมพหุลักษณ์นั้นมักเอาชาติพันธุ์หนึ่งมากำหนดให้เป็นคนชั้นสำคัญของประเทศ เช่น อินโดนีเซียให้ความสำคัญกับชาติพันธุ์ชวามากกว่าชาติพันธุ์อื่น ๆ หรือประเทศพม่าแต่เดิมก็เน้นชาติพันธุ์พม่าเหนือชาติพันธุ์อื่นที่เป็นมอญ ไทใหญ่ กะเหรี่ยง ยะไข่ อะไรทำนองนั้น
แต่สังคมสยามได้สร้างระบบศักดินาหรือขุนนางขึ้นมาให้เป็นชาติพันธุ์พิเศษที่เรียกว่า คนไทย หาใช่ยกชาติพันธุ์ไทมาเป็นใหญ่เหนือชาติพันธุ์อื่นไม่ เข้าใจว่าการเป็นคนไทยนั้นเน้นอยู่ที่การใช้ภาษาไทเป็นภาษากลางที่สำคัญเป็นเรื่องใหญ่
ระบบศักดินา คือ แก่นแท้ของการบูรณาการคนจากชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาในสยามประเทศซึ่งสามารถทำความเจริญให้แก่บ้านเมืองได้มาเป็นขุนนาง ข้าราชการ เป็นชนชั้นผสมที่เรียกว่า คนไทย หาใช่เป็นชาติพันธุ์ ไท ไม่ นี่คือที่มาของคำว่าคนไทยที่มียอยักษ์กับคนไทที่ไม่มียอยักษ์
ความเป็นคนไทยแบบนี้มีมาแล้วแต่สมัยอยุธยาตอนปลายที่ในจดหมายเหตุของพวกฝรั่งบันทึกไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงบอกว่าพระองค์ทรงเป็นคนไทย ยิ่งกว่านั้นพวกฝรั่งยังได้บันทึกตำนานความเป็นมาของปฐมกษัตริย์ไทยที่มาจากเมืองนครไทยและเมืองเพชรบุรีไว้ด้วย ซึ่งก็แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของผู้คนระหว่างบ้านเมืองต่าง ๆ ทั้งที่มาจากภายในทางส่วนบนของประเทศและที่มาจากถิ่นฐานบ้านเมืองชายทะเล เช่น นครศรีธรรมราช กุยบุรี เพชรบุรี เป็นต้น
อันเรื่องราวของปฐมกษัตริย์ในตำนานนี้ ถ้าตีความกันทางมานุษยวิทยาก็ต้องเข้าใจว่าหาใช่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนจริงไม่ หากเป็นผู้นำวัฒนธรรมซึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อว่าเป็นจริง อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่สร้างขึ้นจากความทรงจำของคนในยุคหลังที่ไม่สามารถบ่งบอกเวลาที่แน่นอนได้ เพราะเป็นเรื่อง เล่าขาน กันลงมา ต่อเมื่อมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์ลงในสมุดข่อยหรือใบลานโดยพวกพระสงฆ์หรือผู้ที่เป็นปราชญ์แล้ว จึงได้มีการใส่เวลาวันเดือนปีกันขึ้น
เรื่องราวของผู้นำวัฒนธรรมนี้เป็นของส่วนรวม แต่มีการปรุงแต่งให้มีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามพื้นที่ พื้นถิ่น จนไม่สามารถบอกได้ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่เดิมนั้นเป็นอย่างไร
ความเป็นคนไทยนับว่าเป็นผลผลิตที่สร้างขึ้นในสังคมศักดินาที่มีมาแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นยุคที่มีการปกครองแบบรวมศูนย์เป็นราชอาณาจักรสยาม จำเป็นต้องสร้างระบบราชการ [Bureau crazy] ขึ้นมาเป็นเครื่องมือ ทำให้บุคคลที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ ทั้งสูงและต่ำต้องมีสถานภาพ ตำแหน่ง ฐานะ สิทธิ และอำนาจแน่นอนในกรอบแบบแผน บุคคลเหล่านี้นับเนื่องในชนชั้นปกครองที่ต่างไปจากประชาชนทั่วไปที่เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
ระบบราชการศักดินามีอะไรที่คล้าย ๆ กับระบบขุนนางจีนในการเลือกคนดีเข้ารับราชการ แต่ต่างกันในแง่ที่จีนมีระบบการสอบที่เรียกกันว่า จอหงวน แต่ทางอยุธยาเลือกจาก หนึ่ง คนที่ใกล้ชิดมีเทือกเถาเหล่ากอที่ไว้ใจได้กับ สอง คนที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม โดยไม่คำนึงถึงความเป็นมาทางชาติพันธุ์ โดยเหตุนี้สังคมสยามจึงมีช่องทางและบันไดที่ทำให้คนต่างชาติต่างถิ่นเข้ามาเป็นข้าราชการขุนนางในนามของคนไทยได้
ความเป็นคนไทยนี้แท้จริงแล้วมีรากเหง้ามาจากพัฒนาการทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองและผู้คนแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ ลงมา ที่เรียกรวม ๆ ว่า สมัยทวารวดี อัตลักษณ์ของสมัยทวารวดีและสังคมทวารวดีนั้น คือ การนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทหรือหินยานเป็นหลัก แม้ว่าต่อมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ เรื่อยมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จะมีศาสนาฮินดูแลพุทธมหายานตันตริกเข้ามาผสมผสานด้วยก็ตาม แต่แก่นแท้ก็ยังเป็นเถรวาทนั่นเอง ซึ่งแลเห็นได้จากพระพุทธรูปแบบทวารวดี อู่ทอง สุโขทัย เชียงแสน และอยุธยาตามลำดับ รวมทั้งคติการเป็นพระสมมุติราชของพระมหากษัตริย์ที่สะท้อนมาจากกฎหมายตราสามดวง ลิลิตโองการแช่งน้ำ ไตรภูมิ และทศชาติ เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อมีการรวมนครรัฐที่แต่ล้วนเป็นอิสระในดินแดนสยามประเทศเป็นราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ นั้น พระพุทธศาสนาเถรวาท ก็คือ ศาสนาหลักของชนชาติสยามประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือ มีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงจากเดิมสมัยทวารวดีมาเป็นพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ สำหรับผู้คนที่อยู่ในดินแดนสยามนี้ก็หาได้เป็นแบบเดิม กลุ่มเดิม ที่มีมาแต่สมัยทวารวดีไม่ หากมีกลุ่มใหม่หลายชาติพันธุ์และถิ่นฐานเคลื่อนย้ายเข้ามา
ทว่า ท่ามกลางความหลากหลายทางชาติพันธุ์ดังกล่าวนี้ ผู้คนในสยามประเทศเลือกใช้ภาษาไทเป็นฐานในการสร้างภาษากลางเพื่อสื่อสารกันเองและรวมไปถึงการสังสรรค์กับคนภายนอกด้วย ทั้งพุทธเถรวาท ทั้งภาษาไท และระบบศักดินา ทั้งหลายอย่างนี้คือ สิ่งที่ทำให้ผู้คนมีการผสมผสานและบูรณาการความเป็นไทยขึ้น
ดังนั้น หากพูดกันถึงความเป็น คนไทย แล้ว ก็จะต้องมองไปในเรื่องบูรณาการอันเกิดจากพระพุทธศาสนาเถรวาทที่มีมาแต่สมัยนครปฐมทวารวดี การใช้ภาษาไทเป็นภาษากลางที่ผู้คนในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ เกือบทั้งประเทศใช้สื่อสารกัน และสุดท้าย คือ ระบบศักดินาที่มีมาแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง คือ ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
คำว่า “ไทย” มีปรากฏในจารึกสุโขทัยแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ในลิลิตยวนพ่าย พุทธศตวรรษที่ ๒๑ และในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๓ คือ สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ก็มีปรากฏในเอกสารบันทึกของชาวฝรั่งเศสและบันทึกของโกษาปานตอนไปฝรั่งเศสที่พูดถึงกรุงไทยและพระมหากษัตริย์ไทย ความเป็นคนไทยดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในดินแดนสยามประเทศที่เป็นมาตุภูมิ ที่แม้จะมีคนต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อมาอยู่รวมกันตั้งแต่สามชั่วคนขึ้นไป เกิดลูกหลานเป็นเหล่าเป็นกอแล้ว
ความเป็นคนไทยก็เกิดขึ้นในสำนึก ครั้นถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย ราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๓ ลงมา บ้านเมืองรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติ มีชนต่างชาติหลากหลายเผ่าพันธุ์เข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานเป็นแผ่นดินเกิดของลูกหลาน พระมหากษัตริย์และสังคมสยามก็หารังเกียจไม่ ยินดีที่จะให้ความสะดวกสบายและต้อนรับให้เป็นประชาชนพลเมือง
ดังที่ ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. อคิน รพีพัฒน์ นักมานุษยวิทยาอาวุโสได้อธิบายไว้ว่าสังคมไทยสมัยก่อนต้องการคนจากถิ่นต่าง ๆ เพื่อเอามาเป็นพลเมือง การมีกำลังคนมาก คือ สิ่งที่รัฐต้องการ แต่รัฐสยามก็มองอะไรสูงกว่านั้นก็คือ การเลือกเฟ้นและต้อนรับคนต่างชาติต่างถิ่นที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ มาช่วยราชการหน้าเมือง เหตุนี้จึงมีบรรดาขุนนางข้าราชการที่เป็นคนต่างชาติเข้ามาเป็นขุนนางดำรงตำแหน่งทั้งสูงและต่ำมากมาย คนเหล่านี้และลูกหลานก็คือ คนไทยนั่นเอง

สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่
สภาพของสังคมไทยสมัยอยุธยาตอนปลายนี้ยังแตกต่างไปจากสมัยก่อน ๆ โดยสิ้นเชิง เพราะมีจำนวนประชากรมากขึ้นอันเนื่องจากมีคนกลุ่มใหม่ ๆ ย้ายเข้ามาผสมผสาน มีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ การค้าขายทางทะเลที่ทำให้วิถีชีวิตและรูปแบบของการเป็นอยู่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่ง อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ให้ภาพรวม ๆ ว่าเป็น วัฒนธรรมกฎุมพี คือ เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นแทนที่จะมีเพียงชนชั้นปกครองและชนชั้นผู้ถูกปกครองเหมือนแต่เดิม มามีชนชั้นกฎุมพีแทรกอยู่ระหว่างกลางในลักษณะที่ผสมผสานกับทั้งทางชนชั้นล่างและชั้นบน ชนชั้นกฎุมพีนี้คือ ที่มาของชนชั้นกลางที่ปรากฏตัวอย่างเห็นชัดแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา
ข้าพเจ้าคิดว่าชนชั้นกฎุมพีนี่แหละคือ คนไทย และบรรดาขุนนาง ข้าราชการที่เป็นเจ้าขุนมูลนายเป็นจำนวนมากก็คือ ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ชาวต่างชาติที่ดำรงตำแหน่งสูง ๆ และสำคัญของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นแขก เจ๊กจีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น ชวา มลายู อะไรต่าง ๆ หลายคนกลายเป็นต้นโคตรหรือผีเก๊าของตระกูลขุนนางสำคัญ ๆ ที่นับชื่อเสียงเรียงนามอย่างสืบเนื่องในสังคมสมัยรัตนโกสินทร์
ตระกูลขุนนางที่สำคัญและมีอำนาจและบารมียิ่งใหญ่ของกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ ลงมาจนถึงรัชกาลที่ ๕ คงไม่มีใครเกิน ตระกูลบุนนาค ซึ่งในปัจจุบันมีประวัติและตำนานการสืบเชื้อสายกันมานาน กล่าวได้ว่ามีลักษณะเป็น โคตรวงศ์

สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย
คำว่าโคตรวงศ์นี้เปรียบคล้ายๆ กับคำว่า “แซ่” [Clan] ในสังคมจีนที่อ้างถึงการสืบเชื้อสายมาจากต้นโคตร ซึ่งสามารถสืบเชื้อสายทางฝ่ายพ่อแต่ละรุ่นแต่ละยุคสมัยได้อย่างค่อนข้างชัดเจน แต่ของคนไทยในสังคมกฎุมพีนั้น คนที่เป็นต้นโคตรถึงแม้ว่าจะมีตัวตนจริงแต่การสืบเชื้อสายนั้นไม่ชัดเจน เพราะอาจจะนับทางฝ่ายพ่อหรือแม่ก็ได้ อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างตัวโคตรกับบุคคลที่เป็นต้นตระกูลนั้นไม่ชัดเจนและเล่าผ่านคำบอกเล่าที่เป็นตำนาน
ในกรณีตระกูลบุนนาคนั้น เชื่อว่าต้นโคตร คือ ท่านเฉกอะหมัดหรือเจ้าพระยาบวรราชนายก อัครเสนาบดีสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นแขกเปอร์เซียที่เป็นพ่อค้ามาค้าขายที่กรุงศรีอยุธยา ได้เข้ามารับราชการดำรงตำแหน่งสำคัญในเรื่องการค้าทางทะเลและการเมืองการปกครองในเขตหัวเมืองชายทะเลไปจนถึงภาคใต้
โดยย่อก็คือเป็นขุนนางคนสำคัญที่คุมกำลังคนและกิจการต่าง ๆ ทางกลาโหมและกรมท่า ที่มีลูกหลานสืบเชื้อสายกันต่อมา คนหนึ่งในเชื้อสายของท่านเฉกอะหมัดก็คือ นายบุนนาค ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับนายบุญมา ผู้มีตำแหน่งเป็นนายสุดจินดา หุ้มแพร มหาดเล็กของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศและเป็นสามีของท่านนวลผู้เป็นน้องสาวของท่านนาค ภริยาของนายทองด้วงผู้มีตำแหน่งเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ในสมัยรัชกาลที่ ๑ นายบุญมาก็คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท และนายทองด้วงก็คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และนายบุนนาคก็คือ เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา สมุหพระกลาโหม ผู้ควบคุมทั้งการค้าทางทะเลและการทหาร การปกครองทางหัวเมืองชายทะเลและภาคใต้ นับเป็นต้นตระกูลบุนนาค ลูกหลานของเจ้าพระยาอรรคมหาเสนาจึงมีฐานะเป็นราชินิกุลเป็นที่สนิทชิดเชื้อกับพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ ได้รับใช้และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งขุนนางสำคัญของแผ่นดินเรื่อยมา
จากเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) มาถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ เชื้อสายของตระกูลบุนนาคสองท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็น สมเด็จเจ้าพระยาฯ สองท่านที่นับเป็นตำแหน่งขุนนางที่สูงสุดในแผ่นดิน คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ อนุสรณ์สำคัญของสมเด็จเจ้าพระยาทั้ง ๒ ท่านนี้ก็คือ วัดประยูรวงศ์และวัดพิชัยญาติ ที่เป็นวัดสำคัญสร้างในย่านที่อยู่อาศัยของคนในตระกูลบุนนาคตรงปากคลองบางหลวงและคลองสาน ฝั่งธนบุรี
ในเรื่องเล่าขานกันในตระกูลบุนนาคยุคนี้แยกออกเป็น ๒ วงศ์คือ สุริยวงศ์ ของสมเด็จเจ้าพระยาองค์พี่และ จันทรวงศ์ ของสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อง ครั้นตอนปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ ต้นรัชกาลที่ ๕ ก็เกิดสมเด็จเจ้าพระยาอีกท่านหนึ่งคือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้เป็นบุตรชายของสมเด็จเจ้าพระยาองค์พี่
ตอนปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ ตระกูลบุนนาคมีบทบาทสำคัญที่สุดทางการเมืองในการสืบราชบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์ อันเนื่องมาจากกลุ่มอำนาจในแผ่นดินแยกออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มวังหลวงของรัชกาลที่ ๓ กลุ่มของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ และกลุ่มบุนนาคของสมเด็จเจ้าพระยาสองพี่น้อง กลุ่มตระกูลบุนนาค คือ ผู้ที่ดำเนินการทั้งการขจัดความขัดแย้งที่จะทำให้เกิดความรุนแรงและในขณะเดียวกันก็รักษาอำนาจของตนเองไว้ ด้วยการเป็นผู้ทูลเชิญสมเด็จเจ้าฟ้ามหามงกุฎ ซึ่งผนวชเป็นพระสงฆ์ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๔ และประนีประนอมกับกลุ่มของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ด้วยการยอพระยศเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒ มีวังหน้าเป็นพระราชสถาน
ทั้งวังหน้าและวังหลวงต่างก็มีความสัมพันธ์กินดองเป็นเครือญาติกับตระกูลบุนนาคด้วยกัน โดยเฉพาะทางวังหลวงนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงขอท่านเจ้าคุณแพ ผู้เป็นหลานสาวของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ให้เป็นพระชายาองค์แรกของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจุฬาลงกรณ์พระบรมราชโอรส ผู้ต่อมาเสวยราชเป็นรัชกาลที่ ๕ ท่านเจ้าคุณแพก็ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ เจ้าจอมองค์แรกของรัชกาลที่ ๕ ในขณะที่ทางวังหน้า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงสนิทสนมกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นพิเศษ ถึงกับทรงให้พระราชโอรสองค์โต คือ พระองค์เจ้ายอร์จวอชิงตัน มาเรียนฝึกราชการกับสมเด็จเจ้าพระยา
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคตได้ทรงตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพราะสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจุฬาลงกรณ์ผู้เสวยราชสมบัติยังทรงมีพระชันษาน้อยอยู่ เพื่อขจัดความขัดแย้งระหว่างวังหน้ากับวังหลวง สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้ทูลเสนอให้แต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่งปิโยรสหรือยอร์จวอชิงตัน พระโอรสในสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ดำรงตำแหน่งเป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ก็ดูไม่เป็นที่สบอารมณ์ของพวกวังหลวง เพราะแลเห็นว่าทางวังหน้าต่ำศักดิ์กว่า ทำให้สมเด็จเจ้าพระยาฯ ต้องแสดงอำนาจเด็ดขาดด้วยการปราม จึงสงบไป แต่ความรู้สึกขัดเคืองก็ยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นการขัดแย้งทั้งในเรื่องอำนาจและความคิดที่เป็นช่องว่างระหว่างวัย [Generation Gap]
สมเด็จเจ้าพระยาฯ นั้น นับเป็นผลผลิตของคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าที่พยายามเรียนรู้วิชาการทางตะวันตกในด้านต่างๆ ไม่ว่าการต่อเรือ การสร้างถนน การขุดคลอง และกิจกรรมทางพาณิชย์ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการขุดคลอง การสร้างถนน สถานที่ทำการรัฐบาล วังและวัดในจังหวัดราชบุรีและอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองการปกครองแบบตะวันตก สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็เรียนรู้แบบที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่า ให้เรียนรู้เข้าใจแต่อย่าเลื่อมใส ตรงนี้เองที่ทำให้คนรุ่นสมเด็จเจ้าพระยาฯ แตกต่างไปจากคนรุ่นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะคนรุ่นหลังนี้ดูเหมือนหายใจเข้าออกเป็นตะวันตกไปหมด
ขุนนางและเจ้านายที่เป็นคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะฝายวังหลวงนี้เองที่ทำให้ความขัดแย้งกับวังหน้าและกับสมเด็จเจ้าพระยาฯ บานปลาย เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในวังหลวง ทางวังหน้าต้องเข้ามาช่วยดับไฟ เพราะกองกำลังต่าง ๆ ในการป้องกันพระนครนั้นอยู่ที่วังหน้า สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ เสด็จคุมกองกำลังมาช่วยดับไฟ แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏเพื่อเข้ามายึดอำนาจ ทำให้ในที่สุด กรมพระราชวังบวรฯ ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ในสถานทูตฝรั่ง เลยทำให้สมจริงกับคำกล่าวหาและข่าวลือ ซึ่งทางวังหลวงก็ทำอะไรไม่ได้ ในที่สุดรัชกาลที่ ๕ ต้องเชิญสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ทางวังหน้าเคารพนับถือมาช่วยไกล่เกลี่ย เหตุการณ์จึงสงบได้
อันความขัดแย้งระหว่างวังหน้าและวังหลวงเช่นนี้ ถ้าหากสมเด็จเจ้าพระยาฯไม่รับช่วย และหาโอกาสซ้ำเติมเพื่อประโยชน์ของท่านเองแล้ว ก็คงจะบานปลายเป็นผลร้ายแก่บ้านเมืองเป็นแน่แท้ เพราะถ้าเอาเข้าจริง ๆ กองกำลังของทางวังหลวงคงไม่อาจเอาชนะกำลังข้างฝ่ายวังหน้าและฝ่ายตระกูลบุนนาคได้ นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณธรรมของสมเด็จเจ้าพระยาฯ เองที่แลเห็นประโยชน์และความสุขของส่วนรวมในฐานะที่ท่านเป็นคนไทย
ตระกูลบุนนาคนั้นเมื่อนับย้อนหลังไปถึงเจ้าโคตร คือ ท่านเฉกอะหมัด แล้วก็หาใช่คนไทยไม่ หากเป็นแขกที่มาจากเปอร์เซีย มีเชื้อสายสืบมาหลายสาย บางสายยังนับถือศาสนาอิสลามอยู่แต่สายที่มาเป็นตระกูลบุนนาคได้ นั่นคือ พวกที่เข้ามารับราชการเป็นขุนนางและเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา เรานับเป็นตระกูลหนึ่งที่มีบทบาทในการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างสำคัญด้วย แต่ความเป็นคนไทยของคนในตระกูลบุนนาคนั้นก็หาได้เป็นอยู่เพียงตระกูลเดียวไม่ หากยังมีตระกูลอื่น ๆ ที่เป็นขุนนางที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าโคตรที่เป็นเจ๊ก ฝรั่ง ญวน ลาว และเขมร แม้แต่สมัยรัชกาลที่ ๖ เอง การที่คนต่างชาติกลายเป็นคนไทยดังกล่าวนี้ก็มีอยู่ อย่างเช่นในครอบครัวของเจ๊กหลาย ๆ ครอบครัวที่มีลูกหลายคน ลูกคนที่เข้ารับราชการมักได้รับการยกย่องว่าเป็นคนไทย แต่คนอื่นที่ไม่เป็นข้าราชการก็มักเรียกเจ๊กกันอยู่ ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ ลูกเจ๊กหลานเจ๊กมากมาย เรียนสูง เรียนนอก เข้ารับราชการเป็นเจ้ากระทรวง ทบวง กรม ก็มาก กลายเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี และนักธุรกิจใหญ่ ๆ ก็มาก กลายเป็นคนไทยไปหมด ดังเห็นได้จากเปลี่ยนชื่อแซ่มาใช้นามสกุลที่มีภาษาบาลีสันสกฤต สมาสกันเป็นวลียาว ๆ บุคคลเหล่านี้ที่ดีมีคุณธรรมก็มาก แต่ที่เลวเป็นพวกเจ๊กกบฏก็มาก เพราะหาได้เป็นคนไทยแบบสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์แห่งตระกูลบุนนาคไม่ ที่มองเห็นความสำคัญของส่วนรวมของประเทศชาติมากกว่าผล
ประโยชน์ส่วนตัวและของพรรคพวกพี่น้อง ข้าพเจ้ามีความสะใจเป็นอย่างมากที่มีการยุบพรรคการเมืองที่เคยเป็นใหญ่ในแผ่นดินเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพราะมีนักการเมืองเป็นจำนวนมากที่เป็นเจ๊กกบฏที่หวังส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม
ศรีศักร วัลลิโภดม
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments