เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2551
“โอ้พสุธาหนาแน่นเป็นแผ่นพื้น ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร
เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย
ล้วนหนาวเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา”
(นิราศภูเขาทอง)

ข้าพเจ้าคิดว่าคำกลอนที่ยกมาอันนี้คือความเจ็บปวดและคับแค้นใจของ คนสยาม ในแผ่นดินที่เรียกว่าประเทศไทยในขณะนี้ เพราะเต็มไปด้วยผู้มีอภิสิทธิ์ที่เรียกตนว่า คนไทย ทั้งสิ้น ผู้ล้วนเป็นชาติพันธุ์ที่สูงส่ง ฟ้าประทานให้มาเกิดแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้คนสยามที่หลากหลายไปด้วยชาติพันธุ์นานาทั้งเก่าและใหม่เคลื่อนย้ายกันมาอยู่อย่างสมานฉันท์ในดินแดนที่เรียกว่าสยามประเทศ อันมีมานับพันปีต้องกลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก เพราะโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ-การเมืองของรัฐบาลแต่ละชุดแต่ละสมัยนั้น ล้วนแต่มาจากการใส่แว่นตาเหยี่ยว ตาแร้ง และนกอินทรีย์แทบทั้งสิ้น เพราะบรรดาสัตว์กินเนื้อจากเบื้องบนเหล่านี้ล้วนมองอะไรแต่เฉพาะที่จะเป็นอาหารที่แย่งกินได้ ทึ้งได้ และโกงได้เพื่อการอยู่รอดของคนและพรรคพวกทั้งสิ้น หาเข้าใจถึงการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนและสมานฉันท์ของสัตว์บนพื้นพิภพ ซึ่งเป็นหนอน ไส้เดือน และกิ้งกือไม่ คนสยามก็คือประเภทไส้เดือน กิ้งกือและตัวหนอนเช่นนี้แหละ ที่มีอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ คนไทยไม่เคยรู้จักคนสยาม เพราะเรียนรู้ความเป็นมาของชาติโดยประวัติศาสตร์ของรัฐที่สร้างโดยเจ๊กขบถที่ให้สถาบันการศึกษาทั้งโรงเรียน และมหาวิทยาลัยทำหน้าที่สอนให้เชื่อว่า คนไทยเป็นเชื้อชาติที่สืบกันมาอย่างไม่มีการเจือปนกับคืนอื่นแต่เพียงอย่างเดียว จะคัดค้านหรือซักถามก็ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่คนสยามนั้นเต็มไปด้วยชาติพันธุ์ทั้งใหม่และเก่าเช่น เจ๊ก แขก ไท ลาว ญวน เขมร พม่า มาเลย์ รวมทั้งฝรั่งผิวขาวดำแดง เต็มไปหมด
วิถีทางของประวัติศาสตร์ไทยอันเป็นเรื่องของการบังคับให้เชื่อฟังนั้น คือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม การเมืองและเศรษฐกิจที่มาจากเบื้องบน จากรัฐและจากภายนอกที่ไม่อาจแลเห็นและเข้าใจผู้คนภายในท้องถิ่นแต่ละแห่งแต่ละกลุ่มเหล่าได้ ทั้ง ๆ ที่ผู้คนแต่ละท้องถิ่นก็ล้วนมีประวัติศาสตร์ของตนเหมือนกัน คือการเรียนรู้และแลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมจากภายใน นับแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ราว พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต้นมา ก็เกิดประวัติศาสตร์รัฐยุคใหม่ขึ้น คือประวัติศาสตร์ของการพัฒนาเศรษฐกิจการเมือง พัฒนาหมายถึงการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก โดยเฉพาะจากทางรัฐในรูปของโครงการนานาชนิดที่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการให้ความรู้ใหม่ ๆ เทคโนโลยีใหม่ ๆ และความคิดใหม่ ๆ ที่มาจากตะวันตก ในการจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่เคยมีมาแต่เดิมให้เปลี่ยนแปลงไปแบบมั่วภายใต้คำว่า ถูกต้องทางวิชาการเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โครงการของการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกจากรัฐบาลดังนี้ ไม่เคยมีพื้นที่ใด ๆ ที่จะแลเห็นหรือเข้าใจการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกของคนหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในแต่ละท้องถิ่นแม้แต่น้อย เพราะคนเหล่านั้นเป็นแค่ไส้เดือนและกิ้งกือเท่านั้น จึงเท่ากับเป็นการเบียดบังให้คนที่อยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ กลายเป็นคนชายขอบที่ด้อยโอกาส (marginalization) เพราะไม่สามารถจะแสดงตัวตนอย่างมีความรู้ความเข้าใจและจัดการใด ๆ ด้วยศักยภาพของความเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญาและภูมิปัญญาของตนได้ ดังนั้นการจัดการใด ๆ ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต จึงเป็นเรื่องที่มาจากภายนอก คนนอกที่ทำให้คนในรู้สึกว่าตนเองเป็นคนโง่อยู่ร่ำไป แต่ที่น่าทึ่งแถมสองเพศในขณะนี้ก็คือบรรดานักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญการวิจัยเพื่อการพัฒนาจากสถาบันการศึกษาและกองทุนต่าง ๆ มักพร่ำเพ้อแต่คำว่าจะต้องสร้างความเข้มแข็งและพลังชุมชนขึ้น (empowerment) เหมือนกับคาถากันผี แต่การดำเนินการใด ๆ ก็มักจะมาจากการชี้แนะและริเริ่มควบคุม (โดยเฉพาะเงินทุน) จากคนนอกทุกทีไป
สิ่งที่น่าเศร้าใจในขณะนี้ก็คือ พอเปลี่ยนรัฐบาลทีก็มีการทำโครงการพัฒนาที่เคยล้มเหลวและทำลายชีวิตวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นอันเป็นคนชายขอบออกมาปัดฝุ่นทุกทีไป อย่างเช่น โครงการมหาภัยใกล้วิบัติ เช่น การปราบปรามยาเสพติด และโครงการผันน้ำโขง-ชี-มูล ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และการฟื้นโครงการสร้างแอ่งเสือเต้น เป็นต้น โครงการปราบยาเสพติดแบบเด็ดขาดนั้น จะไม่กล่าวถึงในบทความนี้ เพราะเห็นประจักษ์กันทั่วไปเกี่ยวกับความรุนแรงในภาคใต้ที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน จนนานาชาติต่างประณาม แต่จะพูดเฉพาะโครงการผันน้ำโขง-ชี-มูลเป็นสำคัญ ความคิดเรื่องการเอาน้ำโขงมาใช้นั้น มีประวัติของความล้มเหลวมาตั้งแต่โครงการสร้างเขื่อน และโครงการขององค์การแม่น้ำโขงสหประชาชาติ แม้ว่าจะถูกต้องกับทฤษฎีในการผันน้ำจากที่สูงเข้าสู่ที่ราบลุ่มของภาคอีสานแบบคุ้มทุนก็ตาม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะประเทศลาวไม่ร่วมมือด้วย ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า การเอาน้ำจากแม่น้ำนานาชาติมาใช้นั้น ย่อมมีปัญหาทางการเมืองแน่ โครงการแบบซื่อบื้อผันน้ำโขง-ชี-มูล นั้นก็คงไม่คุ้มทุนจากการใช้พลังงานไฟฟ้าสูบน้ำจากแม่น้ำโขงที่มีตลิ่งสูงกว่าระดับน้ำกว่า ๒๐ เมตรในฤดูแล้ง แต่ที่เสียหายอย่างแน่ชัดเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนตามท้องถิ่นที่ท่อน้ำ หรือคลองส่งน้ำต้องผ่านไปก็คือ บรรดาทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่อยู่ในสิทธิของคนท้องถิ่นต้องเสียหาย ซึ่งจะมีผลนำไปสู่ความเป็นบ้านแตกสาแหรกขาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชีวิตความเป็นอยู่ในระดับครอบครัวและชุมชนจะไม่มีอะไรเหลือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ถูกเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจไม่ว่าโรงงาน โรงแรม คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ และที่พักของคนงาน เพื่อคนเข้ามาใหม่เป็นจำนวนมากที่ไม่มีหัวนอนปลายตีน ซึ่งทุกวันนี้ก็แลเห็นอยู่แล้วหลายแห่งที่มีเหมือนรังผึ้ง รังต่อแตนและคอกสัตว์ที่อยู่กันอย่างปัจเจก ไม่มีโครงสร้างความสัมพันธ์กันอย่างมนุษย์ เช่นครอบครัวและชุมชนได้
ภาคอีสานนั้นเป็นพื้นที่กึ่งแห้งแล้งและชุ่มชื้น ที่คนจากภายนอกแลเห็นว่าเป็นพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นพื้นที่มีความเหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของมนุษย์ที่มีร่องรอยของอารยธรรมมาแต่โบราณกว่า ๒,๕๐๐ ปี อารยธรรมที่ว่านี้ก็คือการจัดดการน้ำ (water management) ที่แลเห็นได้จากแบบแผนของการตั้งชุมชนหลายยุคหลายสมัย เช่นแรกเริ่มมักอยู่ชายขอบที่สูงอันเป็นป่าโคก และใกล้พื้นที่ลุ่มที่เป็นแอ่งหรือหนองน้ำ หรือกุด (ลำน้ำด้วน) อันเป็นที่กักเก็บน้ำได้ เมื่อเกิดเป็นชุมชนใหญ่ที่อยู่กันอย่างหนาแน่นก็มีการขุดสระน้ำล้อมรอบชุมชน ที่ทำให้คนปัจจุบันแลเห็นว่าเป็นเมืองไปก็มี ดูแตกต่างจากชุมชนเมืองในที่อื่น ๆ เช่นในพม่าที่มีลักษณะเป็นกำแพงล้อมรอบมากกว่าการขุดคูเมืองให้กว้างใหญ่ ยิ่งในสมัยหลังลงมาก็มีพัฒนาการขุดอ่างเก็บน้ำที่เรียกว่า บาราย ขึ้น ให้เป็นอ่างน้ำศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนที่เป็นเมือง อันมีศาสนสถานที่มีกำแพงล้อม (ปุระ) เป็นเครื่องบ่งบอก ยิ่งในสมัย หลัง ๆ ลงมาจนปัจจุบันก็มีการกักเก็บน้ำในอ่างน้ำขนาดใหญ่โดยกรมชลประทาน และการขุดอ่างเก็บน้ำเล็ก ๆ สำหรับชุมชนที่เกิดใหม่แทบทุกชุมชน ซึ่งก็ทำให้สระน้ำ (ตระพัง) คือสัญลักษณ์ของชุมชนบ้าน และชุมชนอ่างเก็บน้ำ (tank) เป็นสัญลักษณ์ของชุมชนเมือง เพราะที่ใดมีอ่างน้ำหรือสระน้ำย่อมมีชุมชน นับเป็นอัตลักษณ์สำคัญของสังคมน้ำ ทั้งในภาคอีสานที่แตกต่างไปจากสังคมน้ำไหลที่อาศัยแม่น้ำลำคลองและคลองชลประทานเป็นโครงสร้างในการจัดการน้ำ
ระบบการจัดการน้ำของอีสานแต่โบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ในหลาย ๆ ท้องถิ่นนั้นเป็นการจัดการภายในนิเวศธรรมชาติของแต่ละท้องถิ่นไป โดยใช้ระบบบังคับน้ำจากทางลาดหรือที่สูงเข้ามากักเก็บไว้ในที่ต่ำ (gravity) ที่มาของน้ำที่สำคัญคือ (๑) มาจากป่าโคกซึ่งเป็นที่สูง มักเป็นป่าโปร่งที่มีพืชพันธุ์ ต้นไม้และสัตว์นานาชนิดที่คนได้พึ่งพาในการหาอยู่หากิน ป่าโคกเหล่านี้จะไม่โดนทำลาย เป็นที่ซึ่งมีอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่นผีดูแล เช่น ผีปู่ตา เป็นต้น คนอีสานส่วนใหญ่อาศัยน้ำจากฟ้า คือในฤดูฝน ฝนตกผ่านที่สูงจากเทือกเขา เขาและป่าโคกลงสู่ที่ราบลุ่ม น้ำจะไหลลงมา (๑) ตามร่องน้ำหรือลำห้วย และ (๒) ไหลแผ่กันลงมาเป็นบริเวณกว้างก็จะใช้คันดิน และทำการชักน้ำ เบนน้ำและกันน้ำเข้าไว้ในพื้นที่ทำการเพาะปลูก หรือพื้นที่ซึ่งเป็นสระหรืออ่างเก็บน้ำ เช่นในการทำนาได้อาศัยน้ำไหลแผ่ลงมาจากที่สูง เข้าเก็บไว้ในบิ้งนา หรือคันนารูปสี่เหลี่ยม เมื่อน้ำเต็มทีแล้วก็ปล่อยผ่านรูพักช่องทางเล็ก ๆ ลงสู่บิ้งนาในระดับต่ำต่อไป แต่ถ้าบริเวณพื้นที่ลุ่มทำการเพาะปลูกกว้างใหญ่ก็จะทำทำนบขวางทางน้ำเพื่อชะลอน้ำ และกระจายน้ำเข้าสู่ที่นา โดยไม่ปล่อยให้ไหลลงหนองบึง หรือลำน้ำอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการชะลอน้ำนั้นมักจะทำกันในตอนใกล้สิ้นฤดูน้ำ เมื่อน้ำที่ไหลเร็วเจิ่งนองไหลกลับคือสู่หนองบึงและลำน้ำ ทำนบดังกล่าวจะช่วยชะลอน้ำที่จะใช้ในการปลูกข้าวต่อไป นับเป็นการทำนาแบบนาทามนั่นเอง แนวทำนบที่ทำหน้าที่กั้นน้ำ ขวางน้ำ ชะลอน้ำและเบนน้ำดังกล่าวนี้มักถูกเรียกโดยคนปัจจุบันว่า ถนนโบราณ จนมักมีการศึกษาและตีความไปต่าง ๆ นานา เช่นว่า เป็นถนนหลวงจากษัตริย์ของเมืองนครธม หรือนครหลวงจากกัมพูชาเข้ามาเมืองไทย เป็นต้น ในท้องถิ่นหลาย ๆ แห่งที่เป็นเมืองก็มักมีการขุดอ่างเก็บน้ำแบบบาราย กักน้ำจากทำนบหรือจากลำน้ำ ร่องน้ำให้เพียงพอแล้วก็ปล่อยให้ไหลลงไปยังท้องถิ่นอื่นต่อไป วิธีการกักน้ำระบบบาราย (tank) ตามลำน้ำเช่นนี้ เป็นชลประทานราษฎร์ที่พบมากมายในศรีลังกา ต่างกันแต่ว่า อ่างเก็บน้ำของทางศรีลังกาเป็นการกักน้ำเพื่อการเพาะปลูกให้ได้สัดส่วนกับจำนวนครัวเรือนและพื้นที่การเพาะปลูกของชุมชน แต่ของทางอีสานไม่มุ่งหวังในการเพาะปลูก หากเก็บไว้ใช้เพื่อการบริโภคอุปโภคเป็นสำคัญ ดินแดนอีสานส่วนใหญ่ขาดน้ำใต้ดิน อีกทั้งข้างล่างเป็นหินเกลือ จึงมักเก็บน้ำบนผิวดินด้วยการยกขอบเขื่อนของอ่างเก็บน้ำให้สูง จึงเรียกว่า บาราย อันเป็นภาษาสันสกฤตที่แปลว่า ยกให้สูง บารายเป็นอ่างเก็บน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนจะเอาวัวควายลงไปอาบกินไม่ได้ เพราะมุ่งหวังให้เป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้ในการดำรงชีวิต เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่าหัวใจของการจัดการน้ำที่สำคัญของคนอีสานแต่โบราณ หรือ อาจจะกล่าวว่าของทุกท้องถิ่นละถิ่นฐานบ้านเมืองก็ได้ คือการจัดการน้ำกินน้ำใช้ หาใช่เพื่อการเกษตรกรรมไม่ แม้กระทั่งน้ำในแม่น้ำลำน้ำใหญ่ ๆ ก็ไม่นำมาใช้ทั้งการอุปโภคบริโภค ยกเว้นพื้นที่บางแห่งในบริเวณที่สูงเท่านั้นที่มีการใช้ระหัดชักน้ำที่เรียกว่าพัด หรือ หลุก ตักน้ำเข้าไปใช้ในแปลงนา เช่นที่พบในต้นน้ำลำตะคองในเขตนครราชสีมา ต้นน้ำชีในเขตชัยภูมิ และลำน้ำหมันในเขตอำเภอด่านช้าง จังหวัดเลย
ทุกอย่างในการจัดการน้ำกินน้ำใช้ของคนอีสานนั้น เป็นระบบที่สัมพันธ์กับลำน้ำธรรมชาติที่มีต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำทั้งสิ้น โดยมีอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ผี พระ และเทพ เป็นเจ้าของที่คุมกติกาในการใช้น้ำร่วมกัน แต่โครงการผันน้ำโขง-ชี-มูล นั้นเป็นโครงการผันน้ำเพื่อการเกษตรมารับใช้ การเกษตรอุตสาหกรรมเพื่อบรรดาเหยี่ยว กา นก แร้ง และนกอินทรีเป็นทั้งสาธารณ์ที่ทำความพินาศวอดวายมาให้กับแหล่งน้ำธรรมชาติย่อมนำไปสู่การทำลายนิเวศธรรมชาติ และระบบทางวัฒนธรรมของผู้คนตามท้องถิ่นต่าง ๆ ของอีสานอย่างไม่มีทางกู่ให้กลับ นับเป็นการเชื้อเชิญความวิบัติอย่างใหญ่หลวงมาสู่ชีวิตคนพอ ๆ หรือมากกว่าโครงการเหมืองโปแตสอุบาทว์ในพื้นที่รอบ ๆ หนองหานกุมภวาปี จังหวัดอุดร และโครงการโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กในเขตอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมไปกับโครงการแก่งเสือเต้นที่มาจากอเวจีด้วย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments