เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2537
ในการรับรู้ของข้าพเจ้า การสำรวจศึกษาโบราณคดีในพื้นที่ซึ่งจะถูกเปลี่ยนแปลง ที่ในต่างประเทศเรียกกันว่า “โครงการโบราณคดีกู้ภัย” [Salvage Archaeology] นั้น มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญสองอย่าง คือ

ศาสตราจารย์ วิลเฮล์ม จี. โซลไฮล์ม
อย่างแรก เพื่อศึกษาคนกับสภาพแวดล้อม โดยเอาประโยชน์ของคนเป็นที่ตั้ง นั่นก็คือในบริเวณที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงนั้น มีสภาพแวดล้มอย่างไร มีคนอยู่มานานแล้วเท่าใดและคนเหล่านั้นปรับตัวเองเข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างในด้านการตั้งแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัยและการทำมาหากินอย่างสืบเนื่อง จนเกิดรูปแบบในการดำรงชีวิตร่วมกันที่เรียกว่า “วัฒนธรรม” ขึ้น และวัฒนธรรมดังกล่าวนี้ มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วกี่ยุคกี่สมัย มีอะไรที่สะท้อนให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันหรือต่างกันกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในชุมชนที่อยู่ในท้องถิ่นนั้นในปัจจุบันบ้าง
คนในปัจจุบันมีชีวิตความเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นใด และความเคยชินนี้จะมีผลเป็นอย่างใด ถ้าหากจำเป็นต้องโยกย้ายคนเหล่านไปอยู่ในที่อื่น จะต้องจัดให้อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนจึงจะดำรงชีวิตได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งและความเดือดร้อน เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ วิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมกับสภาพแวดล้อมจึงเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก และวัตถุประสงค์ในการทำโบราณคดีกู้ภัยก็คือการช่วยเหลือคนในพื้นที่ไม่ให้เดือดร้อนนั่นเอง
ส่วนวัตถุประสงค์อย่างที่สองรองลงมา ก็คือการเน้นที่หลักฐานทางโบราณคดี ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่แล้ว จำเป็นต้องมีการสำรวจ ขุดค้นและศึกษาหลักฐานทางโบราณคดีก่อน เพื่อให้รู้ถึงความเป็นมาทางวัฒนธรรมและอารยธรรมในอดีต จำเป็นที่จะต้องขุดค้นหลักฐานที่สำคัญมาเก็บรักษาไว้ แต่ถ้าหากแหล่งโบราณคดีนั้นมีค่าควรแก่การอนุรักษ์ไว้ในถิ่นเดิม ก็ต้องหาทางเลี่ยงเสียโดยไม่ทำลาย ซึ่งก็มีหลายๆ ประเทศทีเดียวในปัจจุบัน ที่เห็นประโยชน์จากการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ว่าจะทำรายได้มาสู่คนในท้องถิ่นและบ้านเมือง จึงมักมีการทบทวนในเรื่องการสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำเพื่อการเกษตรอุตสาหกรรม หันมาทำการอนุรักษ์และปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมแทน ซึ่งก็นับเป็นการรักษาสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมที่มีประสิทธิภาพอย่างหนึ่งทีเดียว
จากวัตถุประสงค์ทั้งสองอย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ จะเห็นได้ว่างานโบราณคดีกู้ภัยมีลักษณะที่มีความสำคัญในตัวเอง ที่ไม่ใช่เพียงเรื่องที่บรรดาบริษัทที่ปรึกษาโครงการด้านพัฒนาต่างๆ มองเห็นเป็นเรื่องเล็กและเจียดงบประมาณเพียงน้อยนิดให้มีการสำรวจศึกษากันอย่างผิวเผิน
การดำเนินงานอย่างเสียไม่ได้เช่นนี้ ในหมู่คนไทยได้ทำมาแล้วอย่างสม่ำเสมอและสร้างความเสียหายอย่างนับไม่ถ้วน ที่เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมในขณะนี้ก็คือโครงการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำแควน้อยในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ที่ร่องรอยของเส้นทางคมนาคมและการเดินทัพ รวมทั้งบ้านเมืองและวัฒนธรรมโบราณต้องสูญหายไปโดยไม่มีการศึกษาและบันทึกไว้อย่างมีระบบที่เหมาะสม กลับมีแต่เพียงรายงานการสำรวจขุดค้นหรือขุดแต่งทางโบราณคดีที่เป็นชิ้นเป็นเสี่ยง ยากที่จะสร้างความสัมพันธ์เชิงบูรณาการกับข้อมูลทางชาติพันธุ์และประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดความรู้ความเข้าใจทางสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นประโยชน์แก่คนในปัจจุบันได้
ทำนองตรงข้าม โครงการโบราณคดีกู้ภัยที่เคยทำอย่างได้ผลดีมาแล้วในประเทศไทยก็คือการเข้ามาสำรวจและขุดค้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ศาสตราจารย์ วิลเฮล์ม จี. โซลไฮล์ม จากมหาวิทยาลัยฮาไวอิ เมื่อประมาณสามสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้น ทางองค์การสหประชาชาติมีนโยบายสนับสนุนให้มีการสร้างเขื่อนในภูมิภาคนี้ เพื่อสัมพันธ์กับโครงการพัฒนาลุ่มน้ำโขงอันเป็นโครงการใหญ่ การสำรวจและขุดค้นของโซลไฮม ทำให้ค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์และอารยธรรมยุคสำริดและเหล็กที่โด่งดังไปทั่วโลก เช่น วัฒนธรรมบ้านเชียง เป็นต้น อีกทั้งทำให้มีการศึกษาโบราณคดีที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและชุมชนอย่างสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน
ดังนั้น การศึกษาผลกระทบด้านโบราณคดี ศิลปะและวัฒนธรรมในพื้นที่ซึ่งจะถูกเปลี่ยนแปลงนั้น จะต้องขยายเครือข่ายงานในด้านการสำรวจศึกษาให้กว้างขวางกว่าแต่เดิม ซึ่งจำกัดอยู่แต่เพียงให้นักโบราณคดีมาทำการสำรวจแหล่งโบราณคดีอย่างคร่าวๆ เท่านั้น มาเป็นงานที่จะต้องร่วมกันศึกษาและวิเคราะห์ ระหว่างนักมานุษยวิทยาที่เก็บข้อมูลทางด้านชาติพันธุ์วรรณา [Ethnography] นักโบราณคดีทั้งด้านก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติสาสตร์ รวมทั้งนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
เพื่อให้สามารถเข้าใจถึง “ความสัมพันธ์ระหว่างหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ กับรูปแบบการดำรงชีวิต ศิลปะ และวัฒนธรรมของประชาชน ตลอดจนภูมิปัญญาชาวบ้านในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน” นั่นเอง
ศรีศักร วัลลิโภดม : บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๒ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๓๗)
Comments