top of page

โบราณคดีเหนือบึงบอระเพ็ด

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

อัปเดตเมื่อ 5 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2543


บริเวณเหนือบึงบอระเพ็ดเป็นที่ลุ่มต่ำ มีลำน้ำหลายสายและเต็มไปด้วยเส้นทางน้ำเก่าที่เป็นกุดน้ำหรือบึงน้ำรูปแอกวัวซึ่งเกิดจากลำน้ำเปลี่ยนเส้นทาง ในบริเวณนี้เป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำไปยังหัวเมืองฝ่ายเหนือต่างๆ เช่น พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย สวรรคโลก เป็นต้น อาชีพของชาวบ้านนอกจากการทำประมงแล้ว การทำนาปลูกข้าวมักได้รับความเสียหายอยู่เสมอ ทำให้มีการอยู่อาศัยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันไม่หนาแน่นเท่าใดนัก


อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีชุมชนโบราณอยู่อาศัยอย่างชัดเจน แต่ก็พบโบราณวัตถุและโบราณสถานที่มีความสำคัญแก่การกล่าวถึง ได้แก่


บริเวณที่ตั้งของวัดเกยไชยเหนือ ปากน้ำเกยไชย บริเวณที่สบกันของแม่น้ำน่านและแม่น้ำยม


ธรรมจักรแห่งเสาหิน สมัยทวารวดีที่วัดท่าไม้


ชาวประมงไปพบธรรมจักรพร้อมเสาจมอยู่ในท้องน้ำที่คุ้งน้ำอันคดโค้งของแม่น้ำยม แล้วนำมาเก็บรักษาไว้ที่วัดท่าไม้ ตำบลท่าไม้ อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ วัดท่าไม้อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยม อยู่เหนือปากน้ำเกยไชยที่แม่น้ำยมมาสบกับแม่น้ำน่านราว ๕ กิโลเมตรโดยประมาณ เวลาที่พบแน่นอนไม่สามารถสืบทราบได้ แต่คงไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปีมาแล้ว ธรรมจักรศิลาเป็นศิลปะสมัยทวารวดี มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๔๐ นิ้ว วงล้อทำเป็นแผ่นทึบ วิวัฒนาการของลวดลายสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๓ (พิริยะ ไกรฤกษ์ ๒๕๒๘) ส่วนเสาเป็นเสาแปดเหลี่ยม ไม่มีจารึกแต่อย่างใด


การพบธรรมจักรในท้องน้ำของแม่น้ำยมนับเป็นเรื่องแปลก เพราะไม่พบว่ามีชุมชนสมัยทวารวดีอยู่ในเขตที่ลุ่มน้ำท่วมนี้ อาจสันนิษฐานได้หลายทาง เช่น มีการนำขึ้นเรือมาในเวลาร่วมสมัยกับการสร้างธรรมจักรนั้น หรืออาจนำมาภายหลังในฐานะที่เป็นโบราณวัตถุ


บริเวณนครสวรรค์ มีชุมชนสมัยทวารวดีอยู่หลายแห่ง แต่มักมีหลักแหล่งอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขาหรือที่ราบลอนลูกคลื่นซึ่งเป็นที่ดอน เช่น ทางด้านทิศเหนือขึ้นไปแถวบ้านคลองเดื่อและทับคล้อ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นชุมชนสมัยทวารวดีที่ถูกทำลายไปเกือบหมดแล้ว ทางตะวันออกคือ “เมืองดอยคา” บริเวณที่ราบลอนลูกคลื่นต่อเนื่องกับเขตเพชรบูรณ์ ในอำเภอท่าตะโก ทางด้านใต้มี “เมืองบน” ที่โคกไม้เดน ในอำเภอพยุหะคีรี และ “เมืองทัพชุมพล” ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกทางด้านตะวันออกที่ดงแม่นางเมืองใกล้แม่น้ำปิง อำเภอบรรพตพิสัย การขนส่งทางน้ำบริเวณนี้ก็อาจเป็นเรื่องที่ทำได้เพราะมีชุมชนสมัยทวารวดีรายรอบพื้นที่ลุ่มแห่งนี้ในรัศมีที่สามารถเดินทางถึงอยู่ทุกด้าน


ใบเสมาที่วัดเกยไชยเหนือ


ปรากฏชื่อเกยไชยในแผนที่ยุทธศาสตร์ครั้งรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ซึ่งอยู่ในระหว่างเส้นทางน้ำที่แยกออกจากนครสวรรค์ต่อเนื่องขึ้นไปถึงปากพิง เมืองพิจิตร และท่าฬ่อ ทำให้ทราบว่าเส้นทางน้ำแถบแควใหญ่หรือแม่น้ำน่านและแม่น้ำยม เป็นเส้นทางสำคัญที่จะขึ้นไปรับศึกทางหัวเมืองฝ่ายเหนือในสมัยอยุธยา


นอกจากนี้ เกยไชยยังมีชื่อในเรื่องที่มีจระเข้ดุร้ายตามเรื่องเล่าภายในท้องถิ่นและเป็นที่รับรู้กันทั่วไป คือเรื่องของไอ้ด่างเกยไชย เล่ากันว่า ที่เกยไชยมีวังตะกอนหรือปากแม่น้ำที่มีความลึกมาก มีจระเข้ชุกชุม เรียกกันว่าวังไอ้เข้ ชาวบ้าจะลงอาบน้ำแต่ละครั้งต้องเอาไม้ปักทำรั้วเพื่อป้องกันจระเข้ จระเข้ชื่อดังตัวหนึ่งคือไอ้ด่างเกยไชย ผู้เดินทางไปมาหรือพวกหาปลาจะถูกไอ้ด่างอาละวาดเป็นประจำ เล่ากันว่ามีคนขี้เมาคนหนึ่งใช้เรือท้องแหลม (ชาวจีนเรียกว่าเรือไหหลำ) บรรทุกข้าวมาท้าทาย ไอ้ด่างหนุนเรือข้าวจนเรือคว่ำ แต่คนขี้เมาใช้หอกแทงจนเป็นแผลตามตัวมากมาย ไอ้ด่างทนไม่ได้จึงเอาหัวมาเกยหาดหน้าวังตะกอนแล้วถูกยิงซ้ำจนตาย ชาวบ้านทำการผ่าท้องไอ้ด่าง พบของมีค่ามากมาย จึงเอาหัวไอ้ด่างไปไว้ที่ศาลเจ้าพ่อจุ๊ยที่ตั้งอยู่ตรงวังตะกอนบริเวณปากน้ำ ชาวเกยไชยนับถือกันมาก


ลวดลายที่กึ่งกลางใบเสมาที่วัดเกยไชเหนือ สอบถามจากผู้ศึกษาเรื่องวิวัฒนาการลวดลายแล้ว

ให้อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑


วัดเกยไชยเหนือ ตั้งอยู่ที่ปากน้ำระหว่างแม่น้ำน่านและแม่น้ำยม มีเรื่องเล่าในท้องถิ่นว่าพระเจ้าเสือได้ยกขบวนประกอบด้วยช่างฝีมือจำนวนมากจะไปสร้างวัดโพธิ์ประทับช้าง โดยเสด็จทางชลมารค ขบวนเรือไม่สามารถไปได้ เพราะเรือเกยน้ำตื้นของแม่น้ำยม ส่วนแม่น้ำน่านในสมัยนั้นก็เป็นเพียงลำคลองเล็ก ชาวบ้านเรียกว่า คลองเรียง จึงได้สั่งพักพลริมแม่น้ำฝั่งตะวันตกสถานที่ตั้งวัดในปัจจุบัน แล้วให้ไพร่พลสร้างพระเจดีย์และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ ณ องค์พระเจดีย์ ประชาชนจึงเรียกพระเจดีย์นี้ว่าพระบรมธาตุ จึงเรียกชื่อวัดนี้ตามชื่อของเจดีย์ว่า “วัดบรมธาตุ”


ภายในวัดพระบรมธาตุ มีสิ่งที่น่าสนใจคือ เจดีย์พระบรมธาตุซึ่งได้รับการซ่อมแซมอยู่ตลอดมา และใบเสมาทำจากหินชนวนปักไว้โดยรอบพระอุโบสถ นับว่าเป็นร่องรอยทางศิลปกรรมที่สำคัญเมื่อพิจารณาจากลวดลายที่อยู่กึ่งกลางเสมา ศ.ดร.สันติ เล็กสุขุม ให้ความเห็นว่า เป็นลวดลายที่มีลักษณะเฉพาะและยังไม่มีระเบียบแบบแผนที่สมดุล แต่ละใบมีการใส่ลวดลายที่ไม่เหมือนกัน เช่นลายเทพนมเหนือดอกบัว ลายกนกผสมกับลายพันธุ์พฤกษาที่ได้รับอิทธิพลจากลวดลายจีนซึ่งพบมากในศิลปะล้านนา อีกทั้งมีความคล้ายคลึงกับลวดลายบนลายสลักหินที่พบจากใต้ฐานชุกชีวิหารหลวงวัดมหาธาตุอยุธยา หากใช้การประมาณอายุด้วยวิธีพิจารณาจากวิวัฒนาการลวดลาย กลุ่มลายเหล่านี้น่าจะมีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑


ในโบสถ์วัดเกยไชยเหนือมีการเก็บรักษาโบราณวัตถุ บางส่วนได้จากบริเวณวัดและท้องน้ำหน้าวัด เป็นพวกเครื่องถ้วยจีนและไทยสมัยอยุธยาทั้งสิ้น


โบราณสถานที่พันลาน


บริเวณบ้านพันลานพบโบราณสถานที่ยังไม่เป็นที่รู้จักนัก ในบริเวณสำนักสงฆ์เป็นพระปรางค์ ห่างจากริมแม่น้ำน่านหรือแควใหญ่มาทางฝั่งตะวันออกราว ๕๐๐ เมตร ก่อนถึงวัดพันลานเล็กน้อย และต่ำกว่าปากน้ำเกยไชยราว ๗-๘ กิโลเมตร


ตัวโบราณสถานจากสภาพเท่าที่เห็น ฐานที่น่าจะเป็นตัวปรางค์หรือเจดีย์ก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นฐานเขียงที่ไม่มีการลดชั้นหรือย่อมุม ต่อด้วยอาคารก่ออิฐซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีการก่ออิฐปิดต่อกับตัวฐานเจดีย์หรือปรางค์ มีการขุดฐานอาคารบริเวณนี้พบว่าเป็นการก่อปิดเชื่อมต่อกันภายหลัง ส่วนด้านบนของเจดีย์หรือปรางค์มีการขุดกรุภายใน ทำให้เห็นว่าฐานเดิมก่อด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่แล้ว จึงมีการก่ออิฐปิดในภายหลัง นับว่าเป็นรูปแบบอาคารที่แปลกและสันนิษฐานรูปแบบและการใช้งานได้ยาก นอกจากจะทำการขุดแต่งศึกษากันอย่างจริงจัง


พบโบราณวัตถุที่ได้จากกรุอาคารด้านในที่ทำจากศิลาแลงคือพระพุทธรูปที่เป็นพระพิมพ์ และชิ้นส่วนของสถาปัตยกรรมที่ตกอยู่ภายนอกโบราณสถานคือ ปรางค์จำลองทำจากหินทราย ส่วนใหญ่พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นที่สถานพระนารายณ์ จังหวัดนครราชสีมา และพบที่ปราสาทเมืองแขก อำเภอสูงเนิน และพบที่วัดหนองปรือ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และที่กู่พระโกนา อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นต้น ปรางค์จำลองเป็นส่วนที่ใช้ประดับสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จะมีอายุน้อยกว่าพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ขึ้นไป


นอกจากนี้ยังมีชิ้นส่วนประดับสถาปัตยกรรมหินทรายสลักลวดลายคล้ายเป็นชิ้นส่วนของทับหลัง ชิ้นส่วนกลีบบัว เป็นตัน และยังได้พบเศษเครื่องถ้วยที่เป็นเครื่องเคลือบจากแหล่งเตาศรีสัชนาลัยและสุโขทัยด้วย


ศาสนสถานที่พันลาน ในบริเวณสำนักสงฆ์เนินพระปรางค์ บ้านพันลาน อำเภอชุมแสง


บริเวณบ้านพันลานสามารถติดต่อกับชุมชนสมัยทวารวดีและลพบุรี เช่นที่ดอนคา ทางพื้นที่ในเขตอำเภอท่าตะโกตลอดจนถึงไพศาลี และชุมชนในเขตลพบุรีและเพชรบูรณ์ ซึ่งติดต่อกับแอ่งอีสานได้ การที่พบชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมในศิลปะที่มีอิทธิพลของขอมในบริเวณนี้จึงยืนยันถึงการติดต่อระหว่างภูมิภาคในเขตภาคกลางและในภาคอีสาน


สำหรับช่วงเวลาการติดต่อนั้น น่าจะนำมาจากแหล่งที่อีสานหลังจากพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นต้นไป และน่าจะร่วมสมัยกับชุมชนในสมัยสุโขทัยจนถึงอยุธยาตอนต้น เมื่อพิจารณาจากบริบทแวดล้อมทั้งหลาย


 

บรรณานุกรม


พิริยะ ไกรฤกษ์. “ศิลปะโบราณวัตถุพบที่จังหวัดนครสวรรค์ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙” ใน นครสวรรค์: รัฐกึ่งกลาง.

สุภรณ์ โอเจริญ บรรณาธิการ, กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๘

วิเชียร อชิโนบุญวัฒน์. ภูมินามจังหวัดนครสวรรค์, นครสวรรค์: สวรรค์วิถีการพิมพ์, ๒๕๓๖.







留言


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page