เผยแพร่ครั้งแรก 18 ธ.ค. 2557
ทุกวันนี้มีการพูดถึงการปฏิรูปการศึกษากันบ่อยและทำมาหลายรัฐบาลแล้ว โดยเฉพาะรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ดูจะให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่เท่าที่ติดตามดูยังไม่เห็นเป็นผลแต่อย่างใด เพราะพูดกันและคิดกันแต่ในเรื่องแนวคิด ทฤษฎี และเทคนิคในลักษณะที่เป็น WHY คือทำไมมากกว่า HOW คืออย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องของการดำเนินการและปฏิบัติให้ได้ผลดีแก่ผู้มีส่วนได้เสียคือนักเรียน นักศึกษา


การจัดแสดงแบบจำลองการก่อสร้างอาคารโรงเรียนนารรีรัตน์ จังหวัดแพร่ อันเป็นการสร้างโรงเรียนประจำจังหวัดมาแต่เดิม โดยมีชาวบ้านจากท้องถิ่นต่าง ๆ ข้าราชการ พ่อค้า กลุ่มองค์กรธุรกิจให้การสนับสนุนจนกลายเป็นอาคารโรงเรียนที่สร้างความรู้สึกร่วมในการเป็นเจ้าของและกลายเป็นอาคารอันควรแค่แก่การอนุรักษ์และมีความหมายอย่างยิ่งจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้เพราะในการวางแผนและการจัดการมักกระทำในหมู่ของผู้ที่เป็นนักวิชาการ แม้ว่าจะหลากหลายในความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการศึกษาก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงพวก Technocrats ที่ทำอะไรในการเชื่อมโยงและบูรณาการไม่เป็น แถมยังไม่เห็นถึงความสำคัญและบทบาทของบรรดานักปฏิบัติที่เป็นครูผู้สอน ผู้ปกครอง นักเรียน และผู้รู้ในชุมชน
ข้าพเจ้ามักได้ยินอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ ที่นักการศึกษา นักวิชาการของรัฐโดยเฉพาะจากทางกระทรวงศึกษาและสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยพูดถึงเรื่องต้องจัดการเรียนการสอนให้มีเด็กเป็นศูนย์กลาง [Child center] หรือครูเป็นศูนย์กลาง ต้องจัดให้มีการสอนวิชาประวัติศาสตร์บ้าง จัดให้เด็กได้ใช้แท็บเลตบ้าง รวมไปถึงการยุบโรงเรียนเล็กๆ ที่เป็นโรงเรียนชุมชนให้มาเข้าสังกัดในการดูแลของกระทรวงบ้าง โดยไม่ใยดีต่อการเคลื่อนไหวคัดค้านของบรรดาโรงเรียนเอกชน โรงเรียนชุมชน ครูบาอาจารย์ และผู้รู้ผู้ปกครองที่เป็นคนในชุมชนแต่อย่างใด
ข้าพเจ้าเคยมีส่วนร่วมกับสภาการศึกษาทางเลือกและสมาคมโรงเรียนราษฎร์ ในการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการครั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยให้ “ยุติการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนของชุมชนและในชุมชนซึ่งคนในชุมชนดูแลกันเอง ให้มารวมกับโรงเรียนใหญ่ในเขตการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับและยินยอมแต่อย่างใด อย่างดีก็ผลัดกันและโยนความรับผิดชอบและการตัดสินใจกันไปมาระหว่างคนในรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น
พอมาถึงรัฐบาลปัจจุบันคือรัฐบาล คสช. ที่มีอำนาจเผด็จการเพียงพอที่จะไม่ต้องทำอะไรแบบงี่เง่า เต็มไปด้วยกฎระเบียบข้อบังคับแบบเดิมได้ แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะเท่าที่มีการแถลงงานออกมาแต่ละคราวก็ดูไม่มีอะไรใหม่ในเรื่องกระจายอำนาจความรับผิดชอบให้กับโรงเรียนและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่น โดยเฉพาะกับชาวบ้านชาวเมืองที่อยู่ในชุมชนซึ่งเรียกรวม ๆ คนในชุมชนท้องถิ่น เพราะแนวคิดและวิธีการในการจัดการศึกษาแต่ละท้องถิ่นนั้นล้วนมาจากคนนอกท้องถิ่นแทบทั้งสิ้น
สิ่งที่น่าขบขันเป็นอย่างยิ่งของทางกระทรวงศึกษาธิการและผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาที่มักจะพร่ำพูดเสมอ ๆ และบ่อย ๆ ถึงเรื่อง “บวร” ซึ่งหมายถึง “ความสัมพันธ์ระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน” โดยหาได้สังวรว่า ลึก ๆ แล้วหมายถึงอะไร คงหมายถึงชุมชน [Community] ซึ่งดูแล้วไม่ใช่ เพราะแลไม่เห็นโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนที่อยู่ร่วมกันมาหลายชั่วคนภายในพื้นที่วัฒนธรรมที่มีสำนึกร่วมในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากเป็นแต่เพียงพื้นที่ในการบริหารของทางรัฐบาลและหน่วยราชการเช่นกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการ ที่ทางกระทรวงทบวงกรมเข้าไปจัดการเรื่องการศึกษาในรูปแบบของโรงเรียน
ดูเป็นคนละเรื่องกับ วัด โรงเรียนและชุมชนท้องถิ่นอย่างที่เคยมีมาแต่โบราณที่ประกอบด้วย “บ้านกับวัด” บ้านคือพื้นที่ทางวัฒนธรรมของคนที่อยู่รวมกันมานานไม่ต่ำกว่า ๓ ชั่วคน คือ ปู่ ย่า ตายาย พ่อ แม่และลูกหลาน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางทางสังคมและวัฒนธรรม
โดยทั่วไปชื่อของชุมชนกับชื่อวัดนั้นเป็นชื่อเดียวกัน และความสัมพันธ์ของทั้งสองสถาบันนี้แยกกันไม่ออก ถ้ามีเฉพาะบ้านแต่ไม่มีวัด ก็ไม่มีชุมชน
ชุมชนบ้านเป็นชุมชนระดับเล็กที่สุดของสังคมมนุษย์ ภาวะความเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์นั้นในเบื้องต้นต้องอยู่รวมกันเป็นครอบครัวและกลุ่มเครือญาติที่เกิดจากความสัมพันธ์กันทางสายเลือด หรือกินดองกันในการแต่งงาน เหนือระดับครอบครัวและกลุ่มเครือญาติก็คือชุมชนบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่สร้างขึ้นโดยคนในชุมชนที่มีความหลากหลายของครอบครัวและเครือญาติโยกย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เดียวกัน และสร้างวัดให้เป็นศูนย์กลางชุมชนที่คนในทุกคนมาใช้ร่วมกันในกิจกรรมต่าง ๆ ทางวัฒนธรรม
ซึ่งก็เพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกันใน ๓ มิติของความเป็นมนุษยชาติคือ “ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน” ที่ทำให้เกิดองค์กรการปกครองและบริหารของชุมชนโดยคนในชุมชน โดยเฉพาะการเลือกผู้ที่เป็นหัวหน้าของชุมชนเช่นผู้ใหญ่บ้านนั้นคือ “คนใน” ที่คนในชุมชนเลือกเห็นว่าเหมาะสม ซึ่งภายในองค์กรนี้ก็มีผู้นำทางศีลธรรม เช่น พระสงฆ์ ผู้อาวุโส คนที่เป็นครู และบุคคลที่มีความสามารถเฉพาะทางในการดำเนินการของชุมชน “ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ” ที่เกิดจากการเรียนรู้ร่วมกันในเรื่องการตั้งที่อยู่อาศัย การทำมาหากิน อาหาร และยารักษาโรคที่มาจากความหลากหลายทางชีวภาพในสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น และ “ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ” ซึ่งเป็นเรื่องของระบบความเชื่อทางศาสนาและไสยศาสตร์
ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ วัดคือสถาบันการศึกษาที่ไม่เพียงแต่สอนให้คนรู้หนังสือและอ่านออกเขียนได้เท่านั้น หากยังเป็นสถานที่อบรมให้ผู้คนในชุมชนได้เรียนรู้ทางศาสนา จริยธรรม การงาน การช่าง ศิลปและวิชาชีพเพื่อการดำรงชีวิตในลักษณะที่เป็นองค์รวม ซึ่งก็พอสรุปได้ว่า เป็นการสอนและอบรมให้คนเป็นคนที่จะอยู่ร่วมกับมนุษย์ ธรรมชาติ และสิ่งเหนือธรรมชาติได้
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการตั้งโรงเรียนขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางของประเทศแบบตะวันตก โรงเรียนก็กลายเป็นสถานที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ของวัด และกำหนดให้มีครูทำหน้าที่รับผิดชอบและสอนหนังสือเป็นอาชีพ มีเงินเดือนประจำเช่นเดียวกันกับพวกข้าราชการ
ครูโรงเรียนวัดเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็คือคนในชุมชนท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น เป็นญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านที่ทำให้คนที่เป็นครูเท่ากับเป็นตัวแทนของพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่สามารถอบรมสั่งสอนสิ่งต่าง ๆ ในเรื่องสภาพแวดล้อมวัฒนธรรมและแนวทางในการดำรงชีพอย่างเหมาะสมแก่เด็กนักเรียนได้
อนึ่ง การที่โรงเรียนยังอยู่ในเขตวัดก็ยังคงสภาพความสัมพันธ์กับวัดและพระภิกษุสงฆ์ในเรื่องความรู้ทางศาสนาศีลธรรม รวมทั้งความคุ้นเคยได้แลเห็นบรรดาประเพณี พิธีกรรมที่เกิดขึ้นที่วัด ทั้งบรรดาประเพณีเกี่ยวกับชีวิตประเพณีทางศาสนา และประเพณีเกี่ยวกับการเกษตรกรรมที่เกิดขึ้นในรอบปี
สรุปแล้วก็คือ การศึกษาเล่าเรียนที่เกิดขึ้นในโรงเรียนวัดประจำชุมชนนั้น ทำให้เด็กได้มีชีวิตอยู่ในชุมชนอย่างเต็มที่ ไม่มีความเดือดร้อนในเรื่องการเดินทางออกไปห่างไกลจากบ้านแต่อย่างใด เด็กที่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้วัดใกล้โรงเรียนสามารถเดินทางไปกลับจากโรงเรียนมากินข้าวกลางวันที่บ้านตนเองได้
แต่ที่สำคัญก็คือเด็กได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเทคโนโลยีพื้นบ้านจากญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านและผู้รู้ผู้อาวุโสที่เป็นภูมิปัญญาในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำรงชีพไม่ว่าการทำนา ทำไร่ อาหารยารักษาโรค ตลอดจนดินฟ้าอากาศ น้ำท่า น้ำฝนตามฤดูกาลทั้งในฤดูน้ำและฤดูแล้ง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการน้ำที่เป็นการร่วมมือกันของทุกคนในท้องถิ่น
สมัยเด็กข้าพเจ้าย้ายตามพ่อไปอยู่ที่อยุธยา เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งของจังหวัด มีเพียงเด็กนักเรียนท้องถิ่นที่เรียนโรงเรียนวัดของชุมชน สังเกตว่าครูโรงเรียนวัดนั้นส่วนมากเป็นครูที่มีอายุ ในท้องถิ่นไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาที่จบหลักสูตรการศึกษาได้ใบประกาศปริญญาจากรัฐบาล แต่ก็สอนให้เด็กได้อ่านออกเขียนได้ดี รวมทั้งคิดเลขผานาทีเป็น และใช้ภาษาได้ดีเพราะมีการท่องอ่านอาขยานและวรรณคดีไทยที่เป็นบทกลอน ซึ่งนับว่าเป็นพื้นฐานการศึกษาสำคัญของโรงเรียนวัดและเทศบาลที่สอนในระดับประถมศึกษาจากประถมปีที่ ๑ ถึงประถม ๔
การศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเด็กดูใช้ความจำและท่องจำเป็นสำคัญ ไม่ค่อยมีโอกาสที่เด็กจะได้คิดและตั้งคำถามด้วยตัวเอง ซึ่งก็เหมือนกันกับเด็กของโรงเรียนรัฐบาลโดยทั่วไป แต่เด็กโรงเรียนวัดมักมีโอกาสเพราะมีการศึกษาทางเลือกอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คิดเป็นและค้นคว้าหาคำตอบเป็น ซึ่งก็อาจกล่าวได้ว่าฉลาดกว่าเด็กโรงเรียนรัฐบาล
การศึกษาทางเลือกที่ทำให้คิดเป็น ตั้งคำถามเป็น และค้นคว้าเป็นดังกล่าวนี้คือการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นจากครูและผู้รู้ในชุมชนที่มีความรู้ในด้านต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตนั่นเอง เด็กในชุมชนในชนบทส่วนใหญ่เรียนจบแค่ ป.๔ ก็ออกมาทำมาหากินได้ ประกอบอาชีพจนเป็นคนมีเงินมีทองได้ ผิดกับเด็กที่เรียนในโรงเรียนรัฐบาลที่ทำอะไรไม่เป็น ต้องเรียนต่อเรียนเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ หลายคนเรียนจบมหาวิทยาลัยก็คิดอะไรไม่เป็น ที่เจ็บปวดก็คือบางคนได้คะแนนดี ได้เกียรตินิยมแต่ก็ได้มาจากการท่องจำมากกว่าการใช้ความคิด นี้คือส่วนของเด็กนักเรียนที่เล่าเรียนตามหลักสูตรกระทรวง
ทีนี้มาถึงส่วนคนที่เป็นครูบ้าง ครูโรงเรียนรัฐบาลสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษานั้นส่วนมากเป็นคนนอกชุมชนที่ทางราชการส่งเข้ามา หรือไม่ก็ย้ายตามสามีหรือภรรยาเข้ามา คนเหล่านี้ไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคมกับครอบครัวของเด็กและคนในชุมชน เป็นเสมือนคนอื่นที่ทำหน้าที่ไปตามอาชีพที่เป็น “คนนอก” ไม่ใช่ “คนใน” เช่นครูที่อยู่ในชุมชนที่แลเห็นเด็กเหมือนลูกหลาน
มาถึงสมัยนี้ที่ข้าพเจ้าอายุเข้าค่อนศตวรรษแล้วพบว่า มีเพื่อนร่วมรุ่นของข้าพเจ้าที่เป็นเด็กวัดในโรงเรียนชุมชนหลายคนกลายเป็นคนใหญ่คนโตในวงราชการ หรือไม่ก็เป็นพ่อค้านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เมื่อพบปะสังสรรค์ปรารภกันถึงการศึกษาเล่าเรียนของคนรุ่นลูกหลานแล้วก็เห็นพ้องกันว่า
การศึกษาของโรงเรียนรัฐบาลทั้งระดับประถมและมัธยมเป็นการศึกษาตามสั่ง ที่มีกรอบกฎเกณฑ์และหลักสูตรที่มีการปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมอยู่เรื่อย เสมือนกับทำให้เด็กนักเรียนเป็นหนูทดลอง มีเนื้อหาและวิธีการที่หลากหลายแออัดจนเด็กแทบไม่มีเวลาว่างพอที่จะคิดอะไรได้
แต่ที่สำคัญเป็นการเรียนแต่สิ่งที่ไกลตัวที่ไม่แลเห็นได้และปฏิบัติได้ นอกจากการอ่านหนังสือและจากสื่อทางวีดีทัศน์ ซึ่งเป็นเรื่องเสมือนจริง เด็กจึงคิดอะไรไม่เป็น นอกจากอ่านและจดจำจากคำสอนคำบรรยายของครู อาจารย์และวิทยากร
เด็กที่เรียนดี เรียนเก่งกลายเป็นเด็กโง่ เพราะคิดอะไรไม่เป็น ไม่มีเวลาคิด ต้องท่องต้องจำจนไม่มีเวลาคิด ต้องแข่งขันกันสอบให้ได้คะแนนดีเพราะเป็นหนทางเดียวที่จะวัดได้ว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง จนกลายเป็นค่านิยมที่พ่อแม่และผู้ปกครองเด็กถือว่าจะทำให้มีหน้ามีตานำไปโอ่อ้างได้
ความโง่ของเด็กยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเมื่อมีการกวดวิชาเพิ่มขึ้น เพราะทำให้เด็กไม่มีเวลาและเครียด การกวดวิชากลายเป็นประเพณีที่มาจากการเห็นพ้องกับทั้งพ่อแม่เด็กและผู้ปกครองกับครูผู้สอน ฝ่ายผู้ปกครองก็อยากให้เด็กเรียนเก่งได้คะแนนดีเป็นที่หนึ่งที่สอง ส่วนครูผู้สอนก็ยินดีเพราะต้องการได้เงินเพิ่มจากรายได้ประจำ เลยกลายเป็นสัมโมทนียนัยกถาธรรมสวัสดิ์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
แต่เด็กแย่ เพราะแทบไม่มีเวลาว่างที่จะพักผ่อนสมอง การกวดวิชานั้นเริ่มมาแต่สมัยข้าพเจ้าเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมที่ ๑ ในโรงเรียนในเมืองของชนชั้นกลาง ต่อมาได้บานปลายไปใหญ่โตจนถึงกวดวิชาเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้ครูกวดวิชารวยกว่าครูประจำหลายเท่า กวดวิชากลายเป็นประเพณีจนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสมัยหนึ่งที่ฉลาดแกมโกงไร้สามัญสำนึกกล่าวว่า “การกวดวิชาเป็นธรรมชาติ”
อีกสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ ปรารภกันก็คือสมัยที่เราเรียนกันในโรงเรียนมัธยมนั้น ยังไม่มีระบบการเรียนการสอนแบบปรนัย [Objective] ที่เวลาสอบใช้วิธีเลือกขีดถูกขีดผิดในคำตอบที่ผู้ออกข้อสอบเตรียมไว้แล้ว โดยไม่ต้องเขียนตอบและอธิบายในลักษณะที่ ๑ เป็นอัตนัย [Subjective] เลย
การเปลี่ยนวิธีการสอนและการสอบมาเป็นปรนัยนี้มีข้ออ้างว่า ถ้าเรียนและสอบแบบเดิมเกิดความล่าช้าเพราะจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น ทั้งอีกเป็นแบบอย่างที่ประเทศที่ก้าวหน้าในสังคมโลกเขาทำกัน ผลที่ตามมาก็คือเด็กนักเรียนเริ่มเรียนอะไรที่เป็นเรื่อง ๆ เป็นชิ้น ๆ ที่เชื่อมโยงอะไรไม่ได้ อ่านหลายอย่างหลายสิ่งแล้วจำเอา เวลาสอบก็เพียงเลือกข้อถูกและผิดเท่านั้น เลยเขียนคำตอบในเชิงพรรณาและบรรยายไม่เป็น
ต่างกันกับการเรียนแบบอัตนัยที่นักเรียนรู้สิ่งที่เป็นชิ้นเป็นอัน และสามารถเรียบเรียงเชื่อมโยงเป็นถ้อยคำเป็นเรื่องราวได้ นักเรียนในสมัยข้าพเจ้าถูกสอนให้เขียนเรียงความซึ่งทำให้เขียนหนังสือเป็นเรื่องราวได้ แต่ปัจจุบันเด็กนักเรียนเขียนภาษาไทยเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เชื่อมโยงความคิดและวิเคราะห์แล้วร้อยเป็นเรียงความไม่ได้
สิ่งที่น่าขบขันอย่างหนึ่งก็คือ เวลาครูอาจารย์หรือใคร ๆ ที่เป็นผู้รู้บอกว่า ต้องสอนให้นักเรียนรู้จัก การบูรณาการและองค์รวม แต่แทบไม่เห็นเลยว่าเด็กนักเรียนรุ่นใหม่ ๆ นี้จะทำได้ เพราะการเรียนแต่สิ่งที่เป็นเรื่อง ๆ แยกส่วนนั้น ไม่มีทางที่จะวิเคราะห์และเชื่อมโยงได้ เมื่อเชื่อมโยงไม่ได้ก็บูรณาการให้เห็นเป็นองค์รวมไม่ได้ จนกลายเป็นคนดีแต่พูดพร่อย ๆ แบบคนอวดรู้แต่ทำไม่ได้เท่านั้นเอง
ความต่างกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือของระบบการเรียนแบบปรนัยกับอัตนัยนั้น แบบแรกให้ความสำคัญอยู่ที่เทคนิคและวิธีการที่บรรดานักการศึกษาถนัดในการไปลอกเลียนจากต่างประเทศ ในขณะที่แบบอัตนัยเน้นความสำคัญที่เนื้อหาและความหมายซึ่งเป็นระบบการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติโดยให้ความสำคัญทางเทคนิคและวิธีการเป็นเรื่องรองลงมา
เหตุที่พรรณนาสรรพคุณของโรงเรียนวัดมาอย่างยืดยาวนี้ นักการศึกษาและครูสมัยใหม่ก็คงเยาะเย้ยได้ว่าเป็นการโหยหาอดีตในลักษณะที่ถอยหลังเข้าคลองแบบอนุรักษ์นิยม ก็ต้องขอตอบว่า อดีตนั้นไม่มีทางหวนกลับไปได้ดอก แต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้ความหมายของโรงเรียนวัดนั้นคือ การเป็นโรงเรียนของชุมชน [Community] ชุมชนคือความเป็นมนุษย์ในฐานะเป็นสัตว์สังคม [Social animal] การปฏิรูปการศึกษานั้นหาใช่ดูแต่เทคนิค วิธีการ ทฤษฎีและหลักสูตรแต่เพียงอย่างเดียวไม่ ต้องเข้าใจว่าจะไปสอนใครที่ไหนเมื่อใดในลักษณะปัจเจกหาได้ไม่ ต้องเข้าถึงคนและเด็กที่มีชีวิตร่วมกันอยู่ในชุมชนจึงจะกำหนดเนื้อหา วิธีการ และหลักสูตรได้เหมาะสม
ข้าพเจ้าได้ความคิดเมื่อครั้งเป็นกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ที่มีคุณอนันต์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อหาแนวทางแก้ไขความขัดแย้งและความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ประมาณ ๑๐ ปีมาแล้ว เมื่อสอบถามความเห็นของคนมุสลิมที่เป็นปราชญ์ของท้องถิ่นก็ได้คำตอบของท่านเหล่านั้นว่า “อยากได้ซูรอกลับคืนมา” ซูรอคือองค์กรของชุมชนบ้านที่มีมัสยิดเป็นศูนย์กลางเช่นเดียวกับองค์กรประชาคมของชาวบ้านที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง เป็นองค์กรทางภาคประชาสังคม [Civil society]
ข้าพเจ้าเลยถึงบางอ้อในเรื่องที่หาคำอธิบายว่า ทำไมผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ชอบเผาโรงเรียนที่รัฐบาลจัดตั้งบ่อย ๆ แต่ในระยะแรกก็เพียงเผาทำลายโดยไม่ปรากฏมีการทำร้ายผู้คนถึงแก่ชีวิตเช่นในปัจจุบัน การศึกษาของคนมุสลิมในสามจังหวัดนั้น ถ้าเป็นเด็กเล็กของคนในชุมชนก็เรื่องโรงเรียนตาดีกาที่อยู่ในบริเวณมัสยิดที่มีโต๊ะอิหม่ามเป็นผู้ปกครอง เด็กโตก็เรียนที่ปอเนาะอันเป็นโรงเรียนที่มีผู้รู้เป็นปราชญ์เป็นโต๊ะครูจัดตั้งขึ้น การเรียนการสอนมีลักษณะเป็นองค์รวมที่มีเรื่องศาสนาเป็นหลัก คือเด็กนักเรียนต้องเรียนรู้คัมภีร์อัลกุรอาน ถัดมาก็เป็นวิชาชีพที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในวิถีชีวิตของชุมชนชาวบ้านชาวเมือง ทั้งโรงเรียนตาดีกาและโรงเรียนปอเนาะเป็นโรงเรียนชุมชนที่เนื้อหาของการเรียนการสอนเป็นสิ่งกำหนดโดยคนในท้องถิ่นและชุมชน
เหตุที่มีการเผาโรงเรียนนั้นพูดอย่างคร่าว ๆ ได้ว่า ก็เพราะรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการเข้าไปเกี่ยวข้องยุบโรงเรียนชุมชนหรือไม่ก็จำกัดสิทธิในการเรียนการสอนของคนมุสลิมแล้วพยายามนำโรงเรียนแบบกระทรวงศึกษาธิการที่เป็นทางโลกมากกว่าทางธรรมเข้าไปแทนที่ นำเรื่องราวหลักฐานและวิธีการแบบสากลตามฉบับกระทรวงศึกษาเข้าไปใช้ และที่สำคัญจัดตั้งโรงเรียนของรัฐที่ล้วนแต่เป็นครูของรัฐของกระทรวงศึกษาเข้าแทนที่ หรือไม่ก็จำกัดสิทธิและโอกาสของครูท้องถิ่นแต่เดิมจึงเป็นเรื่องขึ้นและบานปลาย
วิธีการจัดการศึกษาของรัฐบาลนั้น คือกระบวนการทำลายโรงเรียนชุมชนท้องถิ่นอย่างชัดเจน และไม่ได้กระทำเพียงกับคนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้แต่เพียงเท่านั้น หากเป็นมาพร้อม ๆ กับบรรดาโรงเรียนชุมชนท้องถิ่นในทุกภูมิภาคของประเทศ เพียงแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อต้านออกมาเท่านั้น
โรงเรียนชุมชนที่รัฐบาลโดยผ่านกระทรวงศึกษาธิการได้ทำมากว่าครึ่งศตวรรษแล้วก็คือ “โรงเรียนวัด” นั่นเอง ความต่างกันบางอย่างกับโรงเรียนชุมชนและคนมุสลิมก็คือ ความเป็นชุมชนของคนไทยได้ล่มสลายไปพร้อม ๆ กับโรงเรียนวัดด้วย เพราะรัฐไทยเป็นรัฐประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นต้นมา
อำนาจในการจัดการศึกษาและวัฒนธรรมถูกดึงเข้าสู่ศูนย์กลางให้ไปรวมอยู่ที่กระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษา กระทรวงวัฒนธรรม และกรมศิลปากร เป็นต้น
ชุมชนบ้านและเมืองที่เคยมีอิสระในการปกครองตนเองจัดการศึกษาและวัฒนธรรมของตนเอง โดยเฉพาะองค์กรชุมชน เช่นซูรอของคนมุสลิมก็ถูกทำให้หมดความสำคัญไป พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่รองรับความเป็นชุมชนแต่เดิมก็ล่มสลายและถูกแทนที่ด้วยพื้นที่ทางการบริหาร เช่น หมู่บ้าน ตำบล อำเภอที่มีการปกครองดูแล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่รัฐแต่งตั้งเข้ามา
ยิ่งมาถึงสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นต้นมา มีการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองให้สังคมไทยเปลี่ยนเป็นสังคมอุตสาหกรรม พื้นที่วัฒนธรรมท้องถิ่น บ้าน และเมืองก็ยิ่งถูกล่มหายไปด้วยกระบวนการทำให้เป็นเมือง [Urbanization] การสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมและการขนส่งคมนาคมก็ทำให้บรรดาชุมชนมนุษย์ที่เคยมีมาก่อนหมดสิ้นไป ถูกแทนที่ด้วยบ้านจัดสรร คอนโดมีเนียม ทาวเฮ้าส์อะไรทำนองนั้น ซึ่งล้วนเป็นสถานที่อยู่อาศัยที่ยังไม่มีความเป็นชุมชนแต่อย่างใด ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ล้วนทำให้โรงเรียนชุมชนเช่นโรงเรียนวัดหมดไปด้วย
เมื่อมาถึงตรงนี้ก็อาจมีคนคัดค้านได้ว่า ปัจจุบันโรงเรียนวัดก็ยังมีอยู่แถมยังได้รับการพัฒนาจากรัฐบาลให้เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ เป็นโรงเรียนมัธยมหรือสถาบันการศึกษาในด้านต่าง ๆ มากมาย ข้าพเจ้าก็ไม่เพียงแต่ขอตั้งคำถามว่าโรงเรียนเหล่านั้นเป็นโรงเรียนของชุมชนที่คนในชุมชนเกี่ยวข้องและจัดการได้ดังเดิมหรือไม่
อนึ่ง ต้องเข้าใจด้วยว่าแม้แต่วัดเองก็หาได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่คนในชุมชนถือว่าเป็นของคนเช่นเดิมหรือไม่ เท่าที่เห็นเป็นส่วนมากวัดกลายเป็นสิทธิ์ของเจ้าอาวาสตามกฎหมาย จะนำพื้นที่ของวัดอันเป็นพื้นที่วัฒนธรรมของชุมชนไปทำกิจการอื่น ๆ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไม่เกิดประโยชน์แก่คนในชุมชนแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นยังแถมใช้สิทธิ์ทางกฎหมายปัจจุบันไล่รื้อโรงเรียนที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน และสิ่งที่เคยเป็นโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่เคยมีมาแต่เดิมดังเป็นเรื่องเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ ในปัจจุบัน
จากประสบการณ์ของข้าพเจ้าในเรื่องความสำคัญของโรงเรียนชุมชนกับการพัฒนาการศึกษานั้น อยากจะอ้างประเทศเวียดนามเป็นตัวอย่าง เมื่อ ๒๐ ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าไปเวียดนามซึ่งในขณะนั้นอยู่สภาพที่ถูกมหาอสุรกายอเมริกันระเบิดทำลายบ้านเมืองเสียเรียบเป็นหน้ากลอง คนเวียดนามมีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบากและขัดสนในเรื่องอาหารการกินและที่อยู่อาศัย แต่ความเป็นครัวเรือน ครอบครัวและชุมชนยังคงอยู่ เพราะเป็นฐานของพลังประชาชนที่ขับเคลื่อนไปสู่การต่อสู้เพื่อการอยู่รอดในความเป็นมนุษย์
คนเวียดนามฟื้นตัวเองจากระดับครัวเรือน ครอบครัว และชุมชน โดยใช้พื้นที่ภายในบ้านและรอบบ้านเลี้ยงสัตว์ ปลูกผักสวนครัวเพื่อการกินอยู่ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งร่วมแรงกับเครือญาติและพี่น้องร่วมบ้านในการเพาะปลูก ทำไร่ทำนาบนพื้นที่แปลงเล็ก ๆ ไม่กี่ไร่ โดยปลูกพืชพันธ์หลาย ๆ ชนิดตามความเหมาะสมของพื้นดินจนแทบจะหาพื้นที่ว่างไม่ได้
ผลผลิตที่ได้มากินกันก่อนในครอบครัวและผู้เกี่ยวข้องในชุมชน ส่วนที่เหลือก็เอาไปขายในตลาดของชุมชนท้องถิ่น ทำให้ไม่ช้าก็เกิดตลาดสดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีสินค้าเกษตรมากมายหลายชนิดที่ส่วนใหญ่มาจากสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่เป็นทุ่งเป็นนาเป็นป่า หนองน้ำ ลำคลอง
เท่าที่ได้สังเกตคนเวียดนามให้ความสนใจกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นและเรียนรู้ร่วมกันในการจัดการให้เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการน้ำธรรมชาติไม่ว่าลำห้วย ลำคลองและลำน้ำจะไม่ทำลายหรือจัดการให้มีโครงสร้างใหญ่ อย่างเช่นการสร้างเขื่อนชลประทานและอ่างน้ำขนาดใหญ่ หากเน้นขนาดเล็กที่พอเหมาะพอดีกับผู้คนในชุมชนท้องถิ่น โดยที่มีการศึกษาเรียนรู้สร้างขึ้นเป็นภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่
เหนือระดับครอบครัวและกลุ่มเครือญาติก็เป็นชุมชนที่มีวัดหรือโบสถ์คาทอลิคหรือมัสยิดเป็นศูนย์กลาง มีตลาดสด และมีโรงเรียน และป่าช้าเป็นโครงสร้างกายภาพของชุมชน โดยเฉพาะโรงเรียนนั้นสังคมและรัฐให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในกระบวนการฟื้นฟูประเทศชาติ บ้านเมือง โรงเรียนกลายเป็นโครงสร้างหลักของชุมชนท้องถิ่นในสมัยหลังสงครามกับอเมริกัน สร้างให้มีขนาดใหญ่กว่าแต่เดิมมากจากอาคารชั้นเดียวมาเป็นสองชั้น ขนาดใหญ่กว่าบรรดาอาคารของสถานที่ทำการรัฐบาลแทบทุกแห่ง สะท้อนให้เห็นถึงคนรุ่นใหม่เข้ามาอยู่ในชุมชนมากกว่าเดิม ซึ่งก็หมายถึงการรวมคนที่บ้านแตกสาแหรกขาดในสงครามกลับเข้ามาในชุมชน ทำให้เด็กรุ่นใหม่ที่หลากหลายในเรื่องความเป็นมามีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกันอย่างเสมอภาค
การสอนการเรียนก็ยกระดับให้ดีกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะการมีเครื่องมือเครื่องใช้และอุปกรณ์การสอนที่เป็นไอทีด้วยที่มีราคาแพงแต่ถูกนำให้ใช้ร่วมกันอย่างเสมอภาค ความเป็นโรงเรียนชุมชนนั้นไม่มีหอพักไม่มีสถานที่อยู่อื่น ๆ ให้กับเด็กจากภายนอก เพราะมุ่งเพื่อเด็กภายในที่สามารถเดินมาเรียนได้ ขี่รถจักรยานก็มาเรียนได้ ซึ่งเด็กบางคนสามารถเดินทางจากโรงเรียนมากินอาหารกลางวันที่บ้านและกลับไปเรียนทันในเวลาบ่าย
แต่ที่สำคัญที่สุดของโรงเรียนชุมชนท้องถิ่นของเวียดนามก็คือ ทั้งนักเรียนและครูผู้สอนส่วนใหญ่เป็นคนในชุมชนเดียวกันที่มีวัฒนธรรมเดียวกัน และเรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวเองทั้งในและโดยรอบของชุมชนร่วมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน ทำให้นักเรียนสร้างการเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มได้ โดยเฉพาะเวลาเรียนที่เกี่ยวกับเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น อันเป็นวิชาที่ต่างคนต่างช่วยกันตั้งคำถามและแบ่งงานกันทำเป็นกลุ่ม ๆ ตามสิ่งที่ถนัด แล้วนำผลงานมาเชื่อมโยงให้เห็นผลงานร่วมกันในที่สุด
การศึกษาเล่าเรียนที่แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ เรียนร่วมกัน และทำงานร่วมกันดังกล่าวนี้ แตกต่างจากการเรียนแบบเป็นปัจเจกของเด็กนักเรียนในโรงเรียนของรัฐไทยที่วัดจากความเก่งและความสำเร็จในการศึกษาจากการสอบได้คะแนนดีที่มาจากการท่องจำและคิดอะไรไม่เป็น
อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญของโรงเรียนชุมชนในเวียดนามหลังสงครามกับอสุรกายอเมริกันก็คือ การให้เด็กนักเรียนของชุมชนได้เรียนประวัติศาสตร์ที่จะสร้างสำนึกในความรักประเทศชาติบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น ประวัติศาสตร์ที่ว่านี้หาใช่ประวัติศาสตร์การเมือง การปกครองในอดีตที่ห่างไกลไม่ หากเป็น “ประวัติศาสตร์สังคม” ที่เน้นเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่ห่างไกลและใกล้ตัว หากเป็นอดีตที่ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนรุ่นปู่ย่าตายายที่สามารถถ่ายทอดให้รับรู้ได้อย่างใกล้ความจริงและเป็นรูปธรรม นั่นคือ “เหตุการณ์สงครามกับอเมริกัน” ที่เป็นผลให้บ้านเมือง ผู้คนถูกทำลายนับเป็นล้าน ๆ คนเพื่อปลูกฝังให้เกิดสำนึกที่ว่านี้ ทางรัฐบาลเวียดนามได้สร้างอนุสาวรีย์วีรชนขึ้นในแทบทุกท้องถิ่นให้มีลักษณะเป็นโครงสร้างทางกายภาพอย่างหนึ่งของชุมชนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างท่ามกลางบรรดาหลุมศพของผู้คนที่ร่วมกันต่อสู้กับอสุรกายอเมริกันจนเสียชีวิต คนเหล่านั้นคือผู้คนในท้องถิ่นที่ไม่จำกัดว่าเป็นคนนับถือศาสนาใดและชาติพันธุ์ใด หากเป็นคนเวียดนามเหมือนกันที่ตายเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน
ข้าพเจ้าได้รับคำอธิบายจากผู้รู้ของเวียดนามที่ทำนายว่า รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งกำหนดให้เด็กนักเรียนและครูในโรงเรียนชุมชนดูแลอนุสาวรีย์วีรชนดังกล่าวนี้ โดยให้มีวันและเวลาว่างที่เด็กนักเรียนและครูไปช่วยทำความสะอาดบรรดาหลุมศพของวีรชนด้วยการขัดชื่อและคำจารึกของผู้ตายให้เด่นชัดและไม่หมอง
ทุกวันนี้ผู้ที่เข้าไปท่องเที่ยวเวียดนามอาจแลเห็นอนุสาวรีย์ที่มีฐานสูงเทิดดวงสีแดงไว้บนยอด ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในสมัยโบราณได้อย่างเด่นชัด
ข้าพเจ้าเลยอดนึกไปถึงไม่ได้ว่า ที่ทางรัฐบาลไทยหลายสมัยและพรรคการเมืองต่างพ่นออกมาเป็นวาทะเดียวกันว่า โรงเรียนต้องสอนประวัติศาสตร์ให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ แต่ไม่เคยวิสัชนาว่าประวัติศาสตร์ที่เด็กต้องเรียนรู้นั้นคืออย่างไร
เพราะประวัติศาสตร์หลายเรื่องที่เด็กรับรู้กันในทุกวันนี้ส่วนมากเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์เสียส่วนมาก ทั้งนี้โดยไม่ต้องมโนว่าจะสอนกันอย่างไรด้วย
Comments