เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2549

ชายฝั่งปะนาเระ เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันการทำประมงชายฝั่งประสบปัญหามาก ทั้งการกัดเซาะของชายฝั่งทำให้หมู่บ้านชาวประมงหายไป ผู้ที่เคยอยู่อาศัยต้องเข้ามาอยู่ภายใน ทำให้เกิดความแออัดหนาแน่นของบ้านเรือนอย่างมาก
จากประสบการณ์ภาคสนามและรายงานของนักวิจัยที่เป็นคนท้องถิ่นในเขตจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่ง มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้มีส่วนร่วมในการวิจัยทางสังคมและวัฒนธรรมร่วมกับสถาบันวิจัยที่เกี่ยวข้องในระยะรอบปีที่ผ่านมา ได้พบข้อเท็จจริงพื้นฐานที่ทำให้น่าเป็นห่วงว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดภาคใต้ในขณะนี้ เป็นสิ่งยากที่จะยุติหรือบรรเทาลงได้
การโต้ตอบกันด้วยความรุนแรงจากฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบที่ถือว่าผิดกฎหมายกับฝ่ายรัฐที่อ้างว่าถูกกฎหมายมีพระราชกำหนดรองรับนั้น มีแต่จะทวีความเคียดแค้นและการฆ่ากันจนเป็นเหตุให้คนบริสุทธิ์เป็นจำนวนมากต้องล้มตายแทบทุกวัน
แม้แต่วิธีการแก้ปัญหาของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ก็คงเป็นได้แต่เพียงจินตนาการทางอุดมคติเท่านั้น เพราะคิดว่า สันติวิธีและสันติสุข เป็นได้แค่เพียงความเพ้อเจ้อของคนจากภายนอกมากกว่าความต้องการและความเข้าใจของคนภายใน ตราบใดที่ยังไม่มีการทำความเข้าใจ ปรับความเข้าใจระหว่างกันของกลุ่มของการขัดแย้งต่างๆ ในลักษณะที่พบกันครึ่งทาง หรือประนีประนอมกันอย่างสมานฉันท์แล้ว คำว่า “สันติสุข” ก็เป็นเพียงแค่ “วจีบริการ” [Lip Service] เท่านั้น
ที่แล้วมา รัฐและสื่อมวลชนมักเสนอข่าวของความรุนแรงให้กับสังคมมหาชนทั้งประเทศเห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพราะเนื่องมาจากการปฏิบัติการของกลุ่มคนที่จะแบ่งแยกดินแดนไปจากประเทศไทย ซึ่งเท่ากับเป็นการขัดแย้งกันระหว่างคนในสังคมใหญ่ภายนอกที่นับถือพุทธศาสนากับคนในสังคมมุสลิมที่เป็นชนกลุ่มน้อย ทั้ง ๆ ที่งานวิจัยและความคิดเห็นของผู้รู้ที่มีประสบการณ์เป็นจำนวนมากได้แสดงออกอย่างต่อเนื่องว่า คนมุสลิมส่วนใหญ่หาได้มีความคิดที่จะแบ่งแยกดินแดนไม่ หากมีความรู้สึกว่าทางรัฐและสังคมมหาชนต่างหากที่ไม่เคยให้ความสนใจในการให้ความเป็นธรรมและความเสมอภาคแก่เขา ทั้ง ๆ ที่ในอดีตรัฐปัตตานีอันเป็นมาตุภูมิเคยเป็นรัฐอิสระที่มีความเจริญทางอารยธรรมเป็นที่สุดรัฐหนึ่งในบรรดารัฐมุสลิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เกิดสำนึกการเป็นประชาชนคนไทยชั้นที่สองอยู่ตลอดเวลา
ข้าพเจ้าคิดเสมอว่าความไม่เสมอภาคดังกล่าวนี้ นำไปสู่ความไม่เข้าใจในเรื่องสังคมและวัฒนธรรมของคนมุสลิมในกระแสการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองของรัฐ ตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา เกิดความขัดแย้งในเรื่องการใช้ความรุนแรงและทัศนคติที่ไม่เป็นธรรมแก่คนมุสลิมเสมอ จึงเกิดการต่อต้านอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ไม่นับได้ว่าเป็นการโต้ตอบด้วยความรุนแรงถึงขนาดการฆ่าฟันกันมากมายอย่างในขณะนี้ เพราะดูเป็นการขัดขืนและต่อรองเสียมากกว่า หากแต่รัฐและทางบ้านเมืองไม่ให้ความสนใจเลย แถมยังเข้าใจผิดคิดไปว่าคนมุสลิมมีวัฒนธรรมที่บ้าวัตถุนิยมแบบคนไทยในปัจจุบันทั่วไป ซึ่งตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวจนทำให้สังคมมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้ปรับตัวไม่ทัน จนเกิด ความล้าหลังทางวัฒนธรรม [Culture Lag]
กระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองของรัฐโดยเฉพาะสภาพัฒนาเศรษฐกิจ (และสังคม) แห่งชาตินั้น เป็นการพัฒนาแบบโลกวิสัย [Secularization] แบบตะวันตก เป็นการพัฒนาแบบไร้มิติทางจิตวิญญาณโดยแท้ นั่นคือขาดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะความสำคัญของศาสนา ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญในทางความเป็นมนุษย์และศีลธรรม
อันที่จริงความล้าหลังทางวัฒนธรรมแบบนี้หาได้เกิดกับสังคมมุสลิมที่เดียวไม่ เกิดขึ้นกับสังคมชาวนา [Peasant Society] ในชนบทของประเทศไทยทั่วไปเหมือนกัน ซึ่งก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในแต่ละสังคมชาวพุทธและมุสลิมเหมือนกัน ต่างกันเพียงสังคมชาวนาที่เป็นพุทธมีวัฒนธรรมที่อ่อนแอกว่าจึงถูกครอบงำและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย จนถูกทำลายอย่างยับเยินมาจนถึงทุกวันนี้
ในทำนองตรงข้าม วัฒนธรรมของคนมุสลิมมีความเข้มแข็งกว่า เพราะศาสนายังมีความเป็นวิถีชีวิต [Way of life] อยู่ ดังเช่นการต้องทำพิธีละหมาด ๕ ครั้งต่อวัน เป็นต้น สังคมชาวนาของคนพุทธกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมเมืองและอุตสาหกรรม [Urbanization กับ Industrialization] อย่างรวดเร็ว แต่สังคมมุสลิมเชื่องช้าและปรับตัวยากกว่า โดยเฉพาะการรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่มากับกระบวนการอุตสาหกรรมและการเป็นเมือง
เมื่อ ๒ ปีที่แล้วมา ข้าพเจ้าและคณะทำงานวิจัยทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยให้ความสำคัญกับการสร้างนักวิจัยจากภายในให้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลพื้นฐาน และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม และลดบทบาทนักวิจัยจากภายนอกให้มาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงและผู้ประสานงานแทน ผลงานวิจัยครั้งนั้น ทำให้แลเห็นความเป็นสังคมชาวนามุสลิมที่มีอาชีพหลักเป็นชาวประมง ความสำคัญของกูโบร์หรือสถานที่ฝังศพ และปอเนาะซึ่งเป็นสถาบันในการอบรมศาสนาและการศึกษาแบบดั้งเดิมของคนมุสลิม ได้แลเห็นความรู้สึกนึกคิดของคนมุสลิมชาวบ้านและคนรุ่นเก่า ๆ ที่รักสงบ เสียดายอดีต รักถิ่นกำเนิดและธรรมชาติแวดล้อมอย่างไม่คิดที่จะแบ่งแยกดินแดนแต่อย่างใด
ในขณะเดียวกันก็เห็นความสำคัญของสถาบันปอเนาะที่นับเป็นอัตลักษณ์ของคนปัตตานี ร่วมทั้งโต๊ะครูหรือบาบอที่เป็นเจ้าสำนัก ว่าไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการอบรมการบ้านการเมืองให้เป็นผู้ผิดศีลธรรมและใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะโต๊ะครูหลายท่านในอดีตได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ในระดับที่เหนือกว่าคนที่เป็นเจ้าเมืองและเจ้านายเสียด้วยซ้ำ
แต่จุดอ่อนของการวิจัยครั้งนั้นอยู่ที่การให้ความสำคัญกับคนรุ่นเก่าจนเกินไป จึงแลไม่เห็นความขัดแย้งภายในที่เป็นสิ่งธรรมดาของสังคมมนุษย์ในชุมชนทุกหมู่เหล่า แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่มัสยิดกรือเซะที่มีเด็กและคนวัยรุ่นมุสลิมถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมากในฐานะการก่อความไม่สงบและทำร้ายผู้คนและเจ้าหน้าที่ จึงได้เห็นจุดอ่อนของงานวิจัยว่าเน้นแต่เพียงกลุ่มทางสังคมที่เป็นพื้นฐานของสังคมชาวนาจนเกินไป จนไม่เห็น ช่องว่างระหว่างวัย [Generation Gap]อันเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านทางสังคมและวัฒนธรรม

บ้านไม่มั่นคงที่ปะนาเระ ชาวบ้านที่ไม่มีที่ดินอยู่อาศัย ต้องปลูกเพิงที่พักอาศัยในที่ดินของผู้อื่น
ข้าพเจ้าได้ตั้งคำถามไปยังบรรดานักวิจัยที่เป็นผู้คนในพื้นที่ว่าเด็กและวัยรุ่นที่ตายเหล่านั้นเป็นใครมาจากไหน เป็นคนในชุมชนหมู่บ้านท้องถิ่น [Village] หรือไม่ และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเด็ก ๆ กับผู้ใหญ่ในครอบครัวเป็นอย่างไร คำตอบที่ได้รับก็คือ คนส่วนใหญ่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่วัยรุ่นนั้น ไม่ใช่คนในท้องถิ่น มาจากที่อื่น ส่วนเรื่องเด็กกับผู้ใหญ่ในครอบครัวนั้น ปัจจุบันพ่อแม่และผู้ใหญ่ ไม่ใคร่รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กๆ ของตนว่าไปทำอะไร เพียงแต่รู้ว่าในยามเย็นและค่ำ พวกเด็กผู้ชายและวัยรุ่น มักไปพบกันตามโรงน้ำชา เรื่องโรงน้ำชาจึงเป็นสิ่งใหม่ที่ข้าพเจ้ารับรู้ เพราะเท่าที่เห็นมาในที่อื่น เช่นในบรรดาคนมุสลิมในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชมักเห็นในตอนเช้าซึ่งมักเป็นคนรุ่นผู้ใหญ่ ไปนั่งกินอาหารและพบปะคุยกัน เช่นสิ่งที่เรียกว่าบรรดาร้านกาแฟในสังคมทั่วไปของคนพุทธ ร้านน้ำชาของคนมุสลิมนั้นต่างไปจากร้านกาแฟของคนพุทธ คือ ไม่ใช่เป็นที่กินเหล้าและสูบบุหรี่เพราะขัดกับหลักศาสนา ผู้ใหญ่จึงแลเห็นว่าเด็กคงไม่ไปกินเหล้าสูบบุหรี่และไม่รู้ว่าไปพบปะพูดคุยอะไรกัน
แต่สิ่งที่สะกิดใจอย่างหนึ่งเมื่อทบทวนข้อมูลจากการวิจัยก็พบว่า เมื่อตอนประกาศกฎอัยการศึกนั้น เกิดการแพร่หลายของยาเสพย์ติดมากกว่าเดิม และในเหตุการณ์ที่กรือเซะมีรายงานของเจ้าหน้าที่รัฐว่า สอบถามเด็กที่จับได้ก็ระบุว่ามีบุคคลสอนศาสนาแบบใหม่ รวมทั้งมีพิธีกรรมให้สาบานและดื่มน้ำสาบานที่มีสีผิดแผกไปจากน้ำธรรมดา ซึ่งก็เชื่อว่าน่าจะเจือปนด้วยยาเสพย์ติดที่ปรุงให้เป็นยากล่อมประสาท เพื่อให้เกิดความเคลิ้มและลืมตัวจนเป็นทาสของคำสั่งที่ผิด ๆ ได้
ข้าพเจ้าจึงได้ให้ช่วยกันหาข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องช่องว่างระหว่างวัย [Generation Gap] ก็ทำให้ได้เรื่องราวเกี่ยวกับพวกโรงน้ำชาเพิ่มเติมก็ได้ความว่า เกิดขึ้นมากมายหลายแห่งทั้งริมถนนใหญ่ ในหมู่บ้าน และตามชุมชนระดับเมือง ดูเป็นสถานที่เพื่อตอบความทันสมัยของคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นไปในทางบันเทิงและประโลมโลก ซึ่งแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกันกับยาเสพย์ติดด้วย เป็นรูปแบบใหม่ ๆ ไม่มีบทบัญญัติในศาสนา ปัญหาจึงต้องถามว่าเด็กและวัยรุ่นเหล่านั้น เอาเงินมาจากไหน เพราะดูเกินฐานะทางเศรษฐกิจของคนในสังคมชาวนารุ่นพ่อรุ่นแม่จะหามาได้
การเก็บข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคมของคนในรุ่นใหม่จึงเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างใหญ่ เท่าที่รับทราบมาในขณะนี้ก็ได้ภาพรวม ๆ ทางเพศสภาพ คือ พวกผู้ชายทั้งคนรุ่นเก่าและใหม่ บทบาทและสถานภาพลดน้อยลง เพราะอาชีพเดิมทั้งการประมงและเกษตรกรรมมีรายได้น้อยลง อย่างเช่นการประมงนั้น การรุกล้ำของเรือประมงขนาดใหญ่จากภายนอกทั้งอวนรุนและอวนลาก ตลอดการให้สิทธิแก่นายทุนในการสัมปทานพื้นที่ทางน้ำ ทำให้บรรดา กุ้ง หอย ปู ปลา ที่ชาวบ้านจับด้วยเครื่องมือแบบดั้งเดิมไม่ได้ผลดี เพราะจำนวนสัตว์น้ำลดลง ในขณะเดียวกันการรุกล้ำของนากุ้งและอุตสาหกรรมได้แย่งพื้นที่ทำกินไปเกือบหมด ทำให้ความเป็นอิสระในแบบหากินอย่างพอเพียงและยั่งยืนหมดไป
ผลที่ตามมาก็คือ ผู้หญิงต้องหารายได้แทนเพิ่มขึ้น ทั้งการผลิตของในท้องถิ่น เช่น ทำข้าวเกรียบปลาและการไปขายของในหมู่บ้านและในตลาด รวมทั้งออกไปรับจ้างเป็นแรงงานทางอุตสาหกรรม เพราะฉะนั้น ผู้หญิงจึงไม่อยู่แต่ภายในชุมชนท้องถิ่นอย่างแต่เดิม อีกทั้งยังมีการเดินทางไปทำงานในประเทศมาเลเซียร่วมกับผู้ชายด้วย
แต่ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ผู้หญิงมีการศึกษาดีขึ้น ออกไปเรียนในมหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาคเพิ่มขึ้น จนเกิดการกล่าวอ้างถึงบ่อย ๆ ว่า นักศึกษาหญิงเป็นจำนวนมากได้ขายบริการ ในทำนองเดียวกันกับพวกนักศึกษาชายที่ติดยาเสพย์ติด
ส่วนทำนองตรงข้าม บรรดาผู้ชายมีบทบาทน้อยลงในการทำมาหากินเพราะจับปลาไม่ได้อย่างที่เคยเป็นมา อีกทั้งระดับการศึกษาต่ำ โอกาสที่จะทำงานได้ดีก็เป็นเพียงแค่แรงงานจ้างตามโรงงานอุตสาหกรรมและออกไปหางานทำในประเทศมาเลเซีย ผลที่ตามมาของผู้คนในสังคมมุสลิมซึ่งอยู่ในลักษณะที่เสียดุลยภาพทั้งสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม ที่นำไปสู่ปัญหาทางวัฒนธรรม การเสียดุลยภาพที่นับวันมีแต่เพิ่มขึ้นเมื่อถูกกระหน่ำโดยการเข้ามาของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐและธุรกิจเอกชน ทำให้มีคนจากภายนอกเข้ามาตั้งถิ่นฐานแย่งทรัพยากรและมีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองเหนือผู้คนแต่เดิมในท้องถิ่น
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นจึงไม่เพียงแต่ระหว่างข้างในกับข้างนอกเหมือนอย่างที่ผู้คนในสังคมมหาชนได้รับข้อมูลจากสื่อ ว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดน หากเป็นการขัดแย้งภายในสังคมมุสลิมเองซึ่งนับวันก็ดูยิ่งรุนแรงขึ้น
ในปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้หนึ่งในคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์ (กอส.) ได้มีโอกาสร่วมประชุมและร่วมออกไปสังเกตการณ์ในพื้นที่พอสมควร นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีในการนำมาวิเคราะห์เพิ่มเติมกับงานวิจัยภาคสนามกับนักวิจัยของท้องถิ่นที่ทำร่วมกันมาก่อน
ส่วนดีและความสำคัญของ กอส. นั้น ทำให้เข้าถึงและเข้าใจปัญหาได้ชัดเจน และสามารถแก้ไขผ่อนคลายอะไรต่ออะไรได้ในระดับหนึ่ง แต่จุดอ่อนหรือส่วนอ่อนก็คือ ยังเข้าถึงข้อมูลภายในที่เป็นปัญหาความขัดแย้งในสังคมมุสลิมไม่ได้ดี อันเนื่องมาจากการมีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในแนวคิดทฤษฎีจากภายนอกมากเกินไปนั่นเอง จากประสบการณ์ในการเป็นกรรมการ กอส. ทำให้ข้าพเจ้าแลเห็นความขัดแย้งภายในที่นำไปสู่ความรุนแรงที่นับวันจะทวีคูณขึ้น นั่นคือ ความขัดแย้งในเรื่องของชนชั้น หาใช่เป็นแต่เพียงช่องว่างระหว่างวัยแต่อย่างเดียวไม่
ในคณะกรรมการ กอส. ได้เชิญคนมุสลิมมาเป็นกรรมการร่วมเหมือนกัน เช่น บรรดาโต๊ะครูอันเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนในสังคม ซึ่งก็ทำให้แลเห็นชัดเจนว่าท่านเหล่านี้ล้วนเป็นผู้รู้และทรงคุณธรรม แต่ท่านเป็นชนชั้นสูงตามสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ หาได้มีคนชั้นอื่น เช่น ชนชั้นกลางและชนชั้นล่างในท้องถิ่นเข้ามาร่วมไม่
ข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องชนชั้นในสังคมมุสลิมของภาคใต้นี้มาก่อน แต่ข้อมูลที่ได้มาในตอนหลังจากการพูดคุยและสังเกตการณ์ก็พบว่ามีเรื่องชนชั้นจริง ๆ คือ ชนชั้นสูง ที่แม้ว่าจะไม่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ร่ำรวยจนเกินไป แต่ก็เป็นสถานภาพทางสังคม เช่น พวกโต๊ะครูและผู้นำทางการเมือง คนเหล่านี้แม้มีลูกมากก็สามารถให้การเลี้ยงดูส่งเสียให้เรียนในระดับสูงทั้งในและนอกประเทศได้ ดูไม่มีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ ชนชั้นกลาง มีทั้งรวยและจนแต่ลูกน้อยสามารถดำรงชีวิตได้สบาย แต่ว่าไม่พอใจและคับแค้นใจในเรื่องของสถานภาพทางสังคมและโอกาสที่ด้อยกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ ที่เป็นคนจีนและคนพุทธ โดยเฉพาะคนชั้นกลางที่เป็นครูสอนศาสนาและครูสอนหนังสือตามโรงเรียน
ส่วนชนชั้นล่าง ก็คือพวกชาวบ้านและพวกที่เป็นแรงงานรับจ้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจนที่มีลูกมากจึงไม่สามารถเลี้ยงดูลูกเต้าให้ได้รับการศึกษาและความเป็นอยู่ที่ดีได้ เรื่องนี้เห็นประจักษ์จากการเข้าไปสืบเหตุการณ์ พบว่าพวกเด็กและคนรุ่นหนุ่มในชุมชนที่เป็นมุสลิมนั้น ไม่ไปไหนจับกลุ่มกันอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งแตกต่างไปจากชุมชนของคนพุทธและคนจีนที่เด็ก ๆ และคนรุ่นใหม่ไม่ใคร่มีเพราะออกไปทำงานข้างนอกหมด
กล่าวโดยสรุปคือ คนมุสลิมมีการศึกษาน้อยทำให้ออกไปหางานทำข้างนอกไม่ได้ ดูเหมือนแหล่งที่จะออกไปหางานทำได้ดีก็คือ ไปทำงานในมาเลเซียเพราะสามารถเก็บเงินมาให้ทางบ้านได้ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น ก็เกิดการเข้มงวดในเรื่องคนสองสัญชาติที่ผ่านข้ามเขตแดนไปมา จึงกลายเป็นอุปสรรคไป กระนั้นก็ดีก็ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ออกไปทำงานที่มาเลเซียแล้วไปร่ำรวยกลับมา เช่น พวกที่ไปทำร้านอาหารต้มยำ คนที่รวยเหล่านี้เอาเงินกลับมาปลูกสร้างบ้านและซื้อรถยนต์ ยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจให้เป็นคนชั้นกลางที่มีเงินท่ามกลางสภาพแวดล้อมของคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนจน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
สภาพสังคมของคนมุสลิมจึงอยู่ในลักษณะที่เหลื่อมล้ำและไม่พอดี ชนชั้นล่างที่เป็นคนจนลูกมากเดือดร้อน ในขณะที่คนชั้นกลางลูกน้อยแต่ไม่พอใจในสถานภาพทางสังคมและโอกาส เมื่อเปรียบเทียบกับคนพุทธและคนจีน
คนกลุ่มหนึ่งในบรรดาชนชั้นกลางที่มีความคับแค้นและขัดเคืองก็คือ คนที่เป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาที่เห็นได้บ่อย ๆ จากการจับกุมและสอบสวนของเจ้าหน้าที่ของรัฐเมื่อเวลามีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเช่นนี้ได้นำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมและวัฒนธรรมในสังคมมุสลิมเอง อย่างเช่น การขาดความเชื่อถือและเชื่อมั่นในพวกคนชั้นล่างที่เคยเป็นที่เคารพและเชื่อฟัง รวมทั้งความเชื่อมั่นและเลื่อมใสในศาสนาแบบประเพณีที่เคยมีมา ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะสนใจและเชื่อฟังเพราะสังคมมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้หาได้ปิดตัวเองจากการติดต่อกับโลกมุสลิมข้างนอกไม่ มีคนรุ่นใหม่ ๆ ที่ออกไปศึกษาศาสนาและลัทธิประเพณีใหม่ ๆ กลับมามากมาย ซึ่งก็แลเห็นได้จากการเคลื่อนไหวทางศาสนาของคนรุ่นใหม่ในขณะนี้ บางกลุ่มก็รักสันติแต่บางกลุ่มก็เป็นส่วนในการกระตุ้นเร่งเร้าให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ความรุนแรงที่ทำให้เกิดการฆ่ากันอย่างมากมายในหมู่บ้านมุสลิมด้วยกัน ดังเห็นได้ชัดจากสถิติที่มีคนมุสลิมถูกฆ่ามากกว่าคนที่เป็นพุทธ

ปอเนาะร้างที่ปะนาเระ ชาวบ้านที่เคยอาศัยอยู่ใต้ใบบุญของปอเนาะเมื่อหลังจากโต๊ะครูเสียชีวิต
ก็เหมือนแพแตก ชาวบ้านในพื้นที่เตรียมตัวย้ายทุกเมื่อหากถูกขับไล่
ความขัดแย้งภายในทำให้คนมุสลิมสับสนและหวาดระแวงกันเองและความสัมพันธ์กับรัฐและคนภายนอกในทางลบ จึงกลายเป็นเหยื่อของความชั่วร้ายที่รุมล้อมเข้ามาจากอมนุษย์หลาย ๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพวกค้ายาเสพย์ติด ของเถื่อน นายทุน นักการเมือง พ่อค้าและนโยบายทางเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์ที่มาจากรัฐบาล จนปัจจุบันไม่มีใครแยกแยะออกว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นมีเหตุมาจากใดแน่ สมดังที่คนมุสลิมอาวุโสท่านหนึ่งที่เป็นกรรมการ กอส.ร่วมกับข้าพเจ้าบอกว่า “เหมือนข้าวยำ”
แต่ท่ามกลางความเป็นข้าวยำที่มนุษย์ไม่ควรกินทั้งหลาย ก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็นผลงานของนักวิจัยท้องถิ่นในทีมงานวิจัยของ สกว. และภาคี ก็คือ คนมุสลิมที่เป็นคนจนทั้งหลายนั้น นอกจากลูกหลานไม่มีงานทำหรือหางานทำไม่ได้แล้ว ยังอยู่ในสภาพที่ถูกบรรดาอมนุษย์ทั้งภายในและภายนอกโกงและยึดครองที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกินและพื้นที่ธรรมชาติที่เป็นสาธารณะ แหล่งอาหาร และยารักษาโรคอยู่ตลอดเวลา ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยคิดเห็นอย่างตื้น ๆ ตามสิ่งที่แลเห็น เช่น การมีนาร้าง สวนร้าง และพื้นที่ทางการเกษตรมากมาย แต่ทำไมไม่มีการสนับสนุนกระตุ้นให้คนด้อยโอกาสทั้งหลายหันไปประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่เป็นอาชีพพื้นฐานแต่เดิม
แล้วก็ได้พบความจริงจากการกลับไปพื้นที่ว่า บรรดาพื้นที่ทำกินเหล่านั้นรวมทั้งพื้นที่สาธารณะเป็นจำนวนมากได้ถูกยึดครองโดยบรรดานายทุนทั้งจากภายนอกและภายในเรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งพื้นที่อยู่อาศัยของคนในอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่เคยทำหลักฐานทางกรรมสิทธิ์อย่างมั่นคง ก็กำลังถูกหลอกลวงปลิ้นปล้อนจากบรรดาเดรัจฉานทางวัตถุนิยมทั้งหลาย คนมุสลิมทั่วไปที่ยึดมั่นในพระศาสนาถือว่าที่ดินที่อยู่อาศัยและทำกินเป็นของพระเจ้า ก็ดูคล้าย ๆ กับความคิดของคนไทยแต่โบราณที่ถือว่าที่ดินเป็นของพระมหากษัตริย์จึงเรียกว่า “พระเจ้าแผ่นดิน” แต่ในโลกทุนนิยมเสรีของเดรัจฉาน ที่ดินถือกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลที่อาจเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ซื้อขายได้ จึงเกิดกระบวนการซื้อที่ดินแย่งกรรมสิทธิ์และยึดครองพื้นที่สาธารณะที่เพิ่มไปเติมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย
สภาพเลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วในบรรดาผู้คนที่อยู่ชายฝั่งทะเลอันดามันที่บ้านเรือนทรัพย์สินถูกทำลายโดยคลื่นยักษ์สึนามิอย่างเช่น คนชาวเล เป็นต้น ที่แม้แต่ที่ฝังศพของชุมชนยังถูกยึดครอง แต่นั่นก็เป็นเพราะสังคมของคนชาวเลมีความอ่อนแอทางวัฒนธรรม ถ้าหากทางรัฐและบ้านเมืองไม่คิดแก้ไขยังขืนปล่อยให้มีการกระทำกับคนมุสลิมแล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าไฟใต้จะดับ อีกทั้งยังอาจลุกลามไปทั้งแผ่นดินไทย เพราะคนไทยที่เป็นรากหญ้าแต่ไม่กินหญ้าในขณะนี้กำลังแลเห็นแล้วว่า คนไทยคงไม่ต้องถอยไปไหนให้ตกทะเลตายหรอก แต่เพียงเปลี่ยนสถานภาพของการเป็นคนไทยที่แปลว่า “อิสระ” มาเป็น “ทาส” ติดที่ดินเท่านั้นแหละ
ข้าพเจ้าไม่เคยได้เห็นหรือได้ยินบรรดานักการเมืองไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านยุคใดที่เคยคิดจะนำเอาเรื่องสิทธิของประชาชนในด้านกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยที่ทำกินและการรุกล้ำทรัพยากรท้องถิ่นจากเดรัจฉานทุนนิยมมาเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแย่ ๆ ที่บรรดานักวิชาการต่าง ๆ ของรัฐชอบออกมาพูดคุยหวังเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ นานาในเรื่อง “ความมั่นคงของมนุษย์”
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments