top of page

พบ 220 รายการ

  • เห็นเวียดนามผ่านกบฏชาวนา กว่างจุง [QUANG TRUNG] วีรบุรุษผู้รวมชาติ

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2548 การเห็นประวัติศาสตร์จากภายในกลายเป็นเรื่องสำคัญของการศึกษาสังคมข้ามวัฒนธรรมหรือสังคมอื่นอย่างจำเป็น เวียดนามสำหรับคนไทย การรับรู้ทางประวัติศาสตร์ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องกบฏไต้เซินซึ่งเป็นเหตุให้องเชียงสือพร้อมครัวญวนต้องหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ที่กรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง ได้รับพระราชทานกองทัพไปตีเมืองไซ่ง่อนครั้งหนึ่ง  ใช้เวลากว่า ๕ ปีก็ลอบกลับบ้านกลับเมืองไปโดยไม่บอกให้ใครรู้ เป็นเหตุให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทขุ่นเคืองและไม่ไว้ใจทัพญวนทางทะเล จนเป็นเหตุให้มีพระราชประสงค์ให้สร้างเมืองพระประแดงพร้อมป้อมขึ้นใหม่เพื่อเป็นเมืองด่านป้องกันศึกทางปากน้ำ องเชียงสือและกบฏไต้เซินคือภาพของ ผู้ทรยศและกบฏ  ในสายตาของคนไทยและประวัติศาสตร์ไทย แต่สำหรับชาวเวียดนาม ประวัติศาสตร์ที่ฝากร่องรอยและความทรงจำแห่งสงครามอย่างยาวนานและไม่ว่างเว้น กบฏไต้เซิน  คือวีรบุรุษสามัญชนผู้รวบรวมกองกำลังชาวนาเพื่อปลดแอกจากระบบภาษีที่เอาเปรียบรวมชาติเหนือและใต้ให้เป็นแผ่นดินเดียว ชาวเวียดนามเรียนรู้และซึมซับ ความรักชาติ  [Patriotism] จากวีรกรรมของพี่น้องตระกูลเหวียนแห่งหมู่บ้านไต้เซินในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของประวัติศาสตร์เวียดนามยุคหนึ่ง และไม่เคยมีคำว่าผู้ทรยศสำหรับ องเชียงสือ ที่ต่อมาคือ จักรพรรดิญาลอง ปฐมกษัตริย์ผู้สร้างพระราชวังเมืองเว้และปกครองบ้านเมืองในฐานะ “เวียดนามประเทศ” ได้เป็นครั้งแรก แท้จริงแล้ว สำหรับ   กษัตริย์กว่างจุง [QUANG TRUNG] หรือ [Nguyen Hue] (พ.ศ.๒๒๙๕-๒๓๓๕) ผู้เติบโตที่หมู่บ้านไต้เซิน ในจังหวัดเหงีย บินห์ ทางภาคกลางของเวียดนามเป็นพี่ชายคนที่สองของสามพี่น้องคือ  เหวียน ธัค, เหวียน เว้ และเหวียน ลู  ซึ่งเป็นหญิง [Nguyen Nhac, Nguyen Hue, and Nguyen Lu] ผู้นำในการปฏิวัติจากราชวงศ์เหวียนผู้ครอบครองแผ่นดินทางตอนใต้ของเวียดนาม ในปี พ.ศ.๒๓๒๘ ซึ่งเทียบได้กับช่วงเริ่มราชวงศ์จักรีที่กรุงเทพฯ พี่น้องไต้เซินเข้ายึดเมืองหลวงไซ่ง่อนและเริ่มการต่อต้านกลุ่มราชวงศ์ตรินห์ซึ่งครอบครองแผ่นดินทางเหนือ เหวียน เว้ มีคำขวัญเพื่อต่อสู้คือ ฟื้นฟูราชวงศ์ลี ทำลายราชวงศ์ตรินห์  ภายหลังขึ้นครองราชย์ในชื่อ กว่างจุง ตั้งเมืองหลวงที่เว้และส่งบรรณาการให้จีน ทำให้รัฐเป็นปึกแผ่น ปรับปรุงการทหาร ปฏิรูปที่ดิน และเปิดความสัมพันธ์ทางการค้ากับตะวันตก ฟื้นความรู้สึกรักชาติเป็นอิสระ วางแผนประเพณีราชสำนักแทนที่แบบจีนฮั่น แต่เขาตายอย่างกะทันหันใน พ.ศ.๒๓๓๕ ขณะมีอายุเพียง ๓๙ ปี ลูกชายที่มีอายุเพียงสิบขวบจึงไม่สามารถรักษาบัลลังก์ไว้ได้ รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นจัดสร้าง  พิพิธภัณฑ์กว่างจุง ที่หมู่บ้านไต้เซิน บ้านเกิดของพี่น้องตระกูลเหวียน พิพิธภัณฑ์สร้างในปี พ.ศ.๒๕๒๒ จัดแสดงร่องรอยของชีวิตและผลงานกษัตริย์กว่างจุงเมื่อเกิดกระแสการลุกขึ้นสู้ของชาวนาที่ไต้เซินและพื้นที่ใกล้เคียง วีรกรรมการสู้รบของเหวียน เว้และพี่น้อง รวมทั้งภาพจิตรกรรมชิ้นหนึ่งที่ถือว่าเป็นวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ของสองประเทศคือสยามและเวียดนามเป็นภาพเรือพายอนันตนาคราชซึ่งเสมือนสัญลักษณ์ของกรุงสยาม ที่เรารับรู้กันว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ส่งทัพเรือไปช่วยรบ ถูกกองเรือท้องถิ่นตีแตกพ่ายทำลายในน่านน้ำทะเลเวียดนาม  อันเป็นการบ่งถึงประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของผู้เฝ้ามองจากภายในซึ่งอาจจะผิดหรือถูกในข้อเท็จจริงก็ได้ แต่ที่สำคัญคือ ภาพเขียนเหล่านั้นได้ทำหน้าที่แสดงออกอย่างเงียบ ๆ ในการกระตุ้นความรักชาติให้ก่อเกิดแก่ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ชาวเวียดนามทั้งหลายแล้ว นอกจากนี้ พื้นที่บริเวณโดยรอบนอกจากอนุสาวรีย์กษัตริย์กว่างจุงนำทัพซึ่งอยู่ด้านหน้าแล้ว ข้าง ๆ อาคารพิพิธภัณฑ์คือศาลเจ้าของตระกูลเหวียนและอนุสรณ์ที่รำลึกอื่น ๆ เช่น ต้นมะขามอายุกว่าสามร้อยปี บ่อน้ำ สวนส้มของเหวียน เว้ เป็นต้น สิ่งเหล่านั้นไม่ต้องใช้การจัดแสดงแต่อย่างใด ความหมายที่แฝงเร้นอยู่ก็เพื่อให้เห็นชีวิตคนธรรมดาที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีอภินิหารเหนือมนุษย์ เพราะนี่คือกษัตริย์ชาวบ้านที่แข็งแกร่งพอจะเป็นผู้นำการปลดปล่อยชาวนาที่ทุกข์ยากซึ่งเป็นผู้คนพื้นฐานของประเทศและสามารถรวมชาติเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว การยึดครองเวียดนามจนกลายเป็น “อินโดจีนของฝรั่งเศส” ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๐๑ - ๒๔๘๓ และการเข้ายึดครองโดยญี่ปุ่นระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกว่า ๕ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ - ๒๔๘๘ จนกระทั่งเกิด “สงครามอินโดจีน” เพื่อต่อต้านการกลับเข้ามาของฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ.๒๔๘๘ - ๒๔๙๙ ทำให้เวียดนามต้องกลายเป็นบ้านเป็นเมืองที่มีสงครามยืดเยื้อยาวนานและไม่จบสิ้น การเอาชนะฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟูสำเร็จนำไปสู่การเจรจาสงบศึก จากสงครามนี้เวียดนามถูกแบ่งแยกออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ที่บริเวณเส้นขนานที่ ๑๗ องศาเหนือ ผู้นำสำคัญอีกท่านหนึ่งของเวียดนามคือ “โฮจิมินห์” เลือกที่จะใช้ระบบสังคมนิยมแก่เวียดนามเหนือหรือเวียดมินห์ ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่พยายามทำอย่างเดียวกับกษัตริย์กว่างจุง นั่นคือการรวมเวียดนามและสิ่งที่ประสงค์ที่สุดคือ “เวียดนามต้องเป็นหนึ่งเดียว”  ความพยายามรวมชาติของ “ลุงโฮ” ยังไม่เป็นผลสำเร็จ จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาขยายการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชีย สงครามเวียดนามจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หนักหนาและปวดร้าวเกินกว่ามนุษย์จะกระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน  เมื่ออเมริกาแพ้สงครามถอนทัพกลับไป เวียดนามยังคงทำสงครามเพื่อต่อต้านการเข้ามาของเขมรแดงตามแนวชายแดนจึงมีการบุกเข้าไปในกัมพูชา จนถึงปัจจุบัน เวียดนามเริ่มฟื้นจากสงครามอันยาวนาน พยายามสร้างความปรองดองทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหลากหลายแก่ผู้คนมากกว่า ๕๐ ชาติพันธุ์ และในที่สุดก็เริ่มรับระบบและค่านิยมบางอย่างจากตะวันตกอย่างช้า ๆ  อนุสาวรีย์กษัตริย์กว่างจุงหน้าพิพิธภัณฑ์ ภาพเรือที่แสดงสัญลักษณ์เมืองสยามถูกตีโต้จากทัพเรือเวียดนาม ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของเวียดนาม กษัตริย์กว่างจุง ผู้นำกบฏไต้เซินคือวีรบุรุษชาวนาผู้รวมประเทศเวียดนามได้ครั้งแรกอย่างแท้จริง ส่วนลุงโฮ หรือโฮจิมินห์ ผู้ที่ชาวเวียดนามทุกคนต้องมีรูปท่านประดับบ้านไว้เสมอคือผู้พยายามรวมชาติเวียดนามคนต่อมา จากประสบการณ์ของการถูกกดขี่และความแตกแยกภายในชาติโดยถูกรุกรานจากผู้อื่น สิ่งที่ชาวเวียดนามตระหนักก็คือ วีรบุรุษย่อมคู่กับความรักชาติเสมอ  และวีรบุรุษของเวียดนามนั้นแสวงหา “อิสรภาพ เสรีภาพ และความสุข” เป็นอุดมคติอันสูงสุด วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • มะละกา พหุลักษณ์ทางสังคมแห่งเมืองท่า

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ส.ค. 2549 แผนที่เก่าแสดงที่ตั้งของเมืองท่ามะละกาซึ่งเป็นเมืองสำคัญบริเวณช่องแคบ มัสยิดและย่านตลาดจีนอยู่ในบริเวณเดียวกัน มะละกาเป็นเมืองท่าเก่าแก่และมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของคาบสมุทรมลายู เป็นเมืองท่าตั้งอยู่บริเวณช่องแคบระหว่างคาบสมุทรมาลายาและเกาะสุมาตราในทะเลอันดามัน ที่เรียกว่า “ช่องแคบมะละกา” ก่อนหน้านั้นมีเมืองท่าที่สำคัญบนเกาะสุมาตรา เช่น อูรู เปเดร์ และปาไซ พ่อค้ามุสลิมจากแอฟริกา อาหรับ อินเดีย จีน ญี่ปุ่น จึงรู้จักกันดี เพราะเป็นเส้นทางผ่านไปสู่เอเชียตะวันออกโดยเฉพาะเมืองจีน  เมืองท่าริมชายฝั่งแห่งนี้กำเนิดขึ้นจากกษัตริย์ “ปรเมศวร” หรือราชาอีสกันดาร์ที่กล่าวกันว่าสืบเชื้อสายมาจาก “อเล็กซานเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่” [Alexander the Great] ผู้ครอบครองนครเทมาเสกหรือเกาะสิงคโปร์คนสุดท้ายในปี พ.ศ. ๑๙๓๙  ปรเมศวรเป็นผู้นับถือฮินดูจากเกาะชวา  ตำนานเล่าว่า “ปรเมศวร” ประพาสล่าสัตว์ในแถบนี้ เมื่อพักเหนื่อยอยู่ใต้ต้นมะละกาใกล้กับแม่น้ำมะละกาปัจจุบัน กวางวิ่งออกมาทำให้หมาไล่เนื้อตกใจจนตกลงไปในแม่น้ำ จึงเห็นว่าสิ่งนี้เป็นสัญญาณที่ดี เมื่อความอ่อนแอสามารถเอาชนะความเข้มแข็งได้ จึงตั้งเมืองในบริเวณนี้  ส่วนอีกทางหนึ่งกล่าวว่า “มะละกา” มาจากคำในภาษาอาหรับ Malakat ที่แปลว่า ตลาด มะละกาเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามอย่างเป็นทางการเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ และกลายเป็นศูนย์กลางเมืองท่าริมชายฝั่งในช่องแคบของคนทุกเชื้อชาติและศาสนา หลังจากการเดินเรือที่ยิ่งใหญ่ของเจิ้งเหอ เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เพื่อได้รับการปกป้องจากการโจมตีของอยุธยา มะละกาจึงเป็นรัฐในอารักขาของราชวงศ์หมิง สุลต่านแห่งสมุทร-ปาไซเป็นผู้ก่อตั้งรัฐอิสลาม มีการกล่าวว่าแต่งงานกับเจ้าสาวจากราชวงศ์หมิงด้วย ต่อมา โปรตุเกส ดัตช์หรือเนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ต่างแย่งชิงเมืองท่าแห่งนี้ในยุคการค้ากันเป็นลำดับ มะละกาเข้าสู่ยุคอาณานิคมโดยตกเป็นของโปรตุเกสเมื่อ พ.ศ.๒๐๕๔ พวกดัตช์แย่งชิงมาด้วยการโจมตีเมื่อ พ.ศ. ๒๑๙๔ หลังจากนั้นมากกว่าศตวรรษ เมื่อเกิดสงครามนโปเลียน พ.ศ.๒๓๓๘ ดัตช์มอบมะละกาให้อังกฤษเพื่อเป็นกันชนแก่ฝรั่งเศส ก่อนจะถูกส่งกลับคืนและนำมาแลกกับ “บังกาลูลู” ในเกาะสุมาตรา เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๙ เป็นต้นมา บริษัทอิสต์อินเดียของอังกฤษปกครองฝั่งตะวันตกของมาลายาตั้งแต่เกาะสิงคโปร์ไปจนถึงปีนัง โดยอยู่ภายใต้การบริหารงานอาณานิคมที่กัลกัตตา ศูนย์กลางอาณานิคมใหญ่ของอังกฤษที่อินเดีย ดัตช์ที่ปกครองมะละกาอยู่กว่าร้อยห้าสิบปี สร้างอาคารจำนวนมากที่ยังคงหลงเหลืออยู่ใกล้เขามะละกาหรือเขาเซนต์ปอล ย่านนี้เป็นแหล่งที่เป็นศูนย์รวมของอาคารจากยุคอาณานิคมที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวในปัจจุบัน  มีอาคารที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เมืองมะละกา ตึก Stadthuys ซึ่งเป็นอาคารที่เก่าที่สุดในอาณานิคมฝั่งเอเชียอยู่ที่นี่ สร้างตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.๒๑๙๓ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำการของผู้ปกครองอาณานิคมชาวดัตช์ ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ [Museum of History and Ethnography ] จัดแสดงเรื่องราวของเมืองประวัติศาสตร์มะละกาและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ทั้งเชื้อสายจีน อินเดีย โปรตุเกส และมลายู อยู่ในย่านที่เรียกว่า จัตุรัสแดง ในท่ามกลางความเป็นเมืองเก่า เมืองใหม่ที่เป็นคอนโดมิเนียมชายทะเลถูกปลูกสร้างอยู่อีกส่วนหนึ่ง แม่น้ำมะละกา ทั้งย่านร้านค้า โบสถ์คาทอลิก มัสยิด และโกดังสินค้า แสดงถึงความเป็นเมืองท่าอันหลากหลายวัฒนธรรม ในย่านจัตุรัสแดง นอกจากตึกที่เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ ซึ่งยังแบ่งย่อยออกเป็นพิพิธภัณฑ์ทางวรรณคดี พิพิธภัณฑ์ของการประกาศเอกราช มีโบสถ์ที่สร้างด้วยอิฐสีชมพูจากเนเธอร์แลนด์ มีลานน้ำพุที่สร้างเลียนแบบดัตช์ บนยอดเขามีโบสถ์เซนต์ปอลตั้งอยู่ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยโปรตุเกสปกครองในปี พ.ศ. ๒๐๖๔ และกลายมาเป็นป้อมมะละกา พ.ศ. ๒๒๑๐ และ พ.ศ. ๒๒๓๙ ก็ตกเป็นของดัตช์ ที่ก่อนหน้านั้นเป็นสถานที่ฝังศพ ซึ่งยังคงเห็นหลุมฝังศพอยู่บริเวณแนวรั้วอีกด้านหนึ่งของเนินเขา มีพิพิธภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่เคยเป็นสวนและวังของสุลต่านแห่งมะละกา เมืองมะละกายังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์แห่งชาติมาเลเซีย หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ต่อต้านอาณานิคมกระจายไปทั่วในกลุ่มผู้รักชาติ เมืองมะละกาเป็นที่ประกาศเอกราชของนายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย ตนกู อับดุล มารัน ปุตรา ที่บันดาร์ฮิเลร์ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๙ การเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสในช่วงต้นศตวรรษที่ ๑๖ ทำให้ส่งต่อวัฒนธรรมการทำอาหารพวกขนมอบ ขนมที่ปรับมาจากแบบจีน โปรตุเกส และมาเลย์ ทำให้อาหารที่มะละกามีชื่อว่าอร่อยและผสมผสานต่างวัฒนธรรมมากที่สุด อาหารอร่อยของมะละกา คือ อาหารจีนแบบลูกครึ่งที่รวมเอาอาหารแบบจีนและมาเลย์ที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศรสจัดและความจัดเจนในการปรุงอาหารแบบคนจีน มะละกาจึงเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมแบบเปอระนะกัน [Peranakan Culture] เพราะเมื่อคนจีนยุคแรก ๆ มาถึงมะละกาเพื่อเป็นคนงานในเหมืองและแต่งงานกับเจ้าสาวชาวมลายูก็ปรับรับเอาวัฒนธรรมแบบท้องถิ่นมาใช้ ผลก็คือ เป็นวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างมลายูและจีน ผู้ชายเรียกกันว่า บาบ๊า [Baba] และผู้หญิงก็เรียกว่า นันย๊า [Nonya] มีบ้านเรือนแบบตึกที่อาศัยเป็นที่ค้าขายไปด้วย เราเรียกกันในปัจจุบันว่าตึกแบบสมัยโคโลนีหรือตึกแบบสมัยอาณานิคม หลุมฝังศพจีนบนเนินเขาจีนในมะละกา เป็นแหล่งฝังศพชาวจีนโพ้นทะเลที่ใหญ่ที่สุดย้อนกลับไปได้ถึงราวปลายสมัยราชวงศ์หมิง แต่หลายพื้นที่ถูกขุดไปในช่วงที่อังกฤษปกครอง เป็นสถานที่ซึ่งชาวบ้านในปัจจุบันนิยมไปวิ่งออกกำลังกายและมองเห็นวิวของเมืองได้ทั้งหมด เชิงเขามีวัด Poh San Teng ลูกหลานของผู้ที่มีฝรั่งโปรตุเกสเป็นบรรพบุรุษยังคงพูดภาษาแบบลูกครึ่งที่เป็นเอกลักษณ์รู้จักกันในชื่อ คริสตัง Cristão or Kristang. และประเพณีแบบโปรตุเกสที่ยังคงสืบทอดและส่งผ่านมาสู่กลุ่มลูกหลานชาวโปรตุเกสในปัจจุบันก็คือ เทศกาลน้ำ Intrudu หรือการถือบวชของชาวคาทอลิก เทศกาลเต้นรำ Branyu  เทศกาลเฉลิมฉลองตามถนนวันเทศกาลประจำปีซานตาครูซ Santa Cruz  ย่านค้าขาย ร้านขายผ้าของชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย มะละกาคือสังคมพหุลักษณ์อย่างแท้จริง เป็นสังคมที่คนไทยควรไปท่องเที่ยว และเรียนรู้เอกลักษณ์บนความหลากหลายอย่างเร่งด่วน เมืองมะละกาปัจจุบัน นอกจากจะมีเรื่องของการท่องเที่ยวที่เป็นหลักเป็นฐานแล้ว ในพื้นที่ของเมืองที่ขยับขยายและวางผังเองอย่างชัดเจน เขตชายทะเลเป็นส่วนที่เป็นเมืองตากอากาศ มีตึกและคอนโดมิเนียมสำหรับคนมาเลเซียในพื้นที่อื่น ๆ ซื้อไว้สำหรับพักผ่อน เขตรอบนอกมีย่านอุตสาหกรรมกว่า ๒๓ แห่ง และโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า ๕๐๐ โรงงานจากประเทศต่าง ๆ เชื่อมด้วยทางด่วนสายสำคัญจากเหนือลงใต้ จากประเทศไทยจนถึงสิงคโปร์ เป็นทางด่วนในการติดต่อต่อเนื่องกับรัฐต่าง ๆ ย่านฝั่งตะวันตกและเมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์ มะละกาจึงเป็นเมืองสำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์และทางเศรษฐกิจของประเทศมาเลเซียอย่างยิ่ง ในย่านเก่าที่เป็นตลาดตั้งแต่ยุคอาณานิคม ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ภูเขามะละกาหรือเขาเซนต์ปอล ย่านเก่าทั้งสองฝั่งแม่น้ำมะละกาเป็นตึกยุคโคโลนียังคงมีชีวิตชีวา เพราะการทำมาค้าขายของร้านค้าต่าง ๆ ทั้งคนเชื้อสายจีน อินเดีย มาเลย์ ต่างทำกินกันอย่างคึกคักและเป็นธรรมชาติ แม้เราจะเห็นว่าในเมืองเก่าและอาคารเก่าเหล่านี้จะถูก “จัดวาง” อย่างเรียบร้อยแล้ว ถูกคุมในเรื่องสภาพแวดล้อมของการเป็นเมืองเก่าอย่างเข้มงวด แต่ชีวิตที่นี่ยังมีสีสัน เพราะบริเวณกว้างขวางเหล่านี้คือ ตัวอย่างอันน่าตื่นตาตื่นใจของผู้มาเยือนที่จะเรียนรู้ลักษณะของ “ความเป็นสังคมพหุลักษณ์” ที่ประกอบไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา อยู่ร่วมกันอย่างสงบและไม่เบียดเบียนจนมีเหตุร้ายให้เห็นดังเช่น ในสามจังหวัดภาคใต้ของเราเผชิญอยู่ในขณะนี้ ในเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของคนมาเลเซียเชื้อสายจีนหรือกลุ่มบาบ๊าที่พูดได้ทั้งภาษามาเลย์และภาษาอังกฤษในยามเย็นเมื่อตะวันเริ่มพลบค่ำ การออกมานอกชายคาเพื่อพูดคุยของกลุ่มคนสูงอายุพบเห็นตามถนนได้ทั่วไปในตลาดจีน นักท่องเที่ยวชาวดัตช์นั่งดื่มเบียร์ในร้านที่แยกออกไปจากเขตการค้าของชาวมุสลิม เสียงเรียกเพื่อทำละหมาดยามเย็นก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ เป็นกิจวัตรของคนต่างศาสนาที่เป็น “เรื่องปกติ” ในมะละกา วลัยลักษณ์  ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • เศรษฐกิจพอเพียงกับโครงสร้างสังคม

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.พ. 2550 องค์กรชุมชนที่มีส่วนร่วมในการจัดการพื้นที่ทางทรัพยากร ถ้ามองตามแนวคิดแบบโพสต์โมเดิร์นที่กำลังฮิตกันในหมู่นักวิชาการทั้งสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ขณะนี้   คำว่า   เศรษฐกิจพอเพียง   ก็คือวาทกรรมชุดใหม่ที่ตอบโต้เศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ครอบงำสังคมไทยและสังคมโลกส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั่นเอง    ข้าพเจ้าแลเห็นคำ แต่ไม่เห็นโครงสร้าง เพราะสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รับสั่งนั้นอยู่ในระดับปรัชญาที่ตอบคำถามว่า  Why  เท่านั้น  เลยกลายเป็นหน้าที่ของบรรดานักวิชาการและผู้รู้จำนวนมากออกมาแสดงความคิดชี้แนะและสอนสิ่งในลักษณะที่เป็น  How  กันมากมาย ข้าพเจ้าเป็นคนที่ล้าหลัง เพราะตามไม่ทันในเรื่องโพสต์โมเดิร์น จึงติดกับเรื่องของ “โครงสร้าง”   โดยเฉพาะโครงสร้างสังคมอยู่ร่ำไป ความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย   จึงใคร่จะเสนอมุมมองแบบขี้เท่อไว้บ้างในที่นี้ นั่นคือ สังคมไทยในส่วนรวมมีพัฒนาการที่ค่อนข้างก้าวกระโดด จากโครงสร้างแบบประเพณีของสังคมชาวนามาเป็นสังคมอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว เลยทำให้เกิดความซับซ้อนและขัดแย้งกันระหว่างโครงสร้าง “สาม” ระดับ คือ ระดับล่าง  ระดับกลาง และระดับบน ระดับล่าง  คือ โครงสร้างแบบเดิมของชุมชนในระดับบ้านและเมืองตามท้องถิ่นต่าง ๆ ที่เน้นความเท่าเทียมและเสมอภาค แม้ว่าจะมีสูงต่ำในเรื่องวัยวุฒิและคุณวุฒิอยู่บ้างก็ตาม โครงสร้างแบบนี้ไม่ค่อยมีความเหลื่อมล้ำและชนชั้นเท่าใด   ระดับกลางและระดับบน  คือ โครงสร้างทางราชการ มีความเหลื่อมล้ำและความแตกต่างทางชนชั้น ที่สนับสนุนการรวมศูนย์อำนาจในการบริหารของข้าราชการ  พัฒนาการของสังคมไทยที่แล้วมาคือการอยู่รวมอย่างสัมพันธ์กับของโครงสร้างสองระดับนี้ในลักษณะอุปถัมภ์โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ทรงมีทั้งพระราชอำนาจและพระบารมีในการปกครองเต็มที่   สังคมทั้งสองระดับนี้ดำรงอยู่ในลักษณะปฏิสัมพันธ์ ชนชั้นผู้อยู่ภายใต้การปกครอง คือพวกไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินกับพวกเจ้าขุนมูลนายในระบบราชการที่เป็นชนชั้นปกครอง ซึ่งยังไม่มีชนชั้นกลาง คือ พวกพ่อค้านักธุรกิจที่ปรากฏตัวอย่างเด่นชัด ยังคงเป็นเรื่องของคนรวยกับคนจนที่ยังไม่แลเห็นสถานภาพสูงต่ำ   ชนชั้นกลางเริ่มปรากฏตัวอย่างเต็มที่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา แต่ก็ยังไม่เป็นอิสระจากการครอบงำของขุนนางข้าราชการ  ตราบจนสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรี การพัฒนาเศรษฐกิจ-การเมืองแบบตะวันตกเติบโตอย่างรวดเร็ว จนถึงการสิ้นสุดรัฐบาลของพลเอกเปรม  ติณสูลานนท์ พวกพ่อค้าและนักธุรกิจมีอิสระและมีอิทธิพลเหนือบรรดาประชาชนและข้าราชการ อันเนื่องมาจากการใช้ช่องว่างของประชาธิปไตยแบบการเลือกตั้งซื้อเสียงหาเสียงเข้ามาเป็นนักการเมือง   การเติบโตและครอบงำของบรรดาพ่อค้านักธุรกิจทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมนี้ ทำให้แลเห็นบทบาทและอิทธิพลของภาคธุรกิจซึ่งครอบงำภาครัฐหรือข้าราชการ กับภาคสังคมของคนธรรมดาทั่วไปในลักษณะที่เป็น โครงสร้างเดรัจฉาน   ที่ถูกผลักดันด้วยสำนึกและอุดมคติทางปัจเจกบุคคลอันเป็นอิทธิพลจากระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่เป็นวัตถุนิยม ซึ่งเป็นกระแสหลักของโลกาภิวัตน์ในทุกวันนี้   สำนึกและความคิดแบบปัจเจกนี้ได้กลายเป็นคุณค่า ค่านิยมการมองโลก และอุดมการณ์ที่เข้าไปทำลายระบบคุณค่าและคุณธรรมทั้งหลาย ซึ่งเคยจรรโลงความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่รอดร่วมกัน ซึ่งมีอยู่ในโครงสร้างของชนชั้นล่างที่เป็นชาวบ้านและพลเมืองกับชนชั้นปกครองที่เป็นขุนนาง ข้าราชการอย่างสิ้นเชิง  ผลที่ตามมาก็คือการเกิดคอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวงในลักษณะที่เป็นนิสัยชอบและวิถีชีวิตของคนในสังคมไทย   อำนาจเงินตราธนสาร คือ อำนาจที่ชอบธรรมอันอยู่เหนืออำนาจและบารมีทางคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมในมิติทางจิตวิญญาณ  ดังเห็นได้จากบทบาทของหน่วยราชการหรือสภาต่าง ๆ ของรัฐ ที่พัฒนาเศรษฐกิจอย่างไม่มีมิติของสังคม (ความเป็นมนุษย์) กับมิติของศาสนาและศีลธรรมในทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่เป็นปรัชญานั้น เข้ากันไม่ได้กับโครงสร้างแบบเดรัจฉานของภาคธุรกิจและโครงสร้างของข้าราชการที่มีอำนาจรัฐ แต่อยู่ใต้อิทธิพลของบรรดานักธุรกิจการเมือง  เศรษฐกิจพอเพียงน่าจะเป็นผลดีได้แต่เพียงเป็นการเตือนสติปัญญาบุคคลบางคนเท่านั้น ให้รู้จักความพอดีในทางจิตใจและหวนกลับมาทบทวนความเป็นมนุษยชาติที่ต้องอยู่รอดร่วมกันเป็นกลุ่มเหล่า แทนการแข่งกันกินและกัดกันเยี่ยงเดรัจฉานเช่นทุกวันนี้    ความหวังที่จะเป็นไปได้ในเรื่องเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั้น อาจดำรงอยู่และฟื้นฟูได้ในภาคประชาชนทั่วไปที่ยังรักษาโครงสร้างความสัมพันธ์ของการเป็นมนุษย์ในระดับสังคมท้องถิ่นซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายของชุมชนที่มีความแตกต่างกันในด้านประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ แต่อยู่ในท้องถิ่นหรือพื้นที่เดียวกัน ใช้พื้นที่สาธารณะที่เป็นป่าเขา แม่น้ำลำคลอง ทุ่งราบ หนองบึงร่วมกัน ในการดำรงชีวิตจนเกิดประวัติศาสตร์ท้องถิ่น วัฒนธรรมท้องถิ่น เศรษฐกิจท้องถิ่น และจารีตประเพณีทางศาสนาและความเชื่อร่วมกัน   สถาบันความเชื่อเช่นวัดและผี ตลอดจนตำนานและประวัติของผู้นำทางวัฒนธรรม คือ  สิ่งที่อบรมสั่งสอนคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมเพื่อการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคและเอื้ออาทรต่อกัน โดยเฉพาะการปลูกฝังในด้าน ”ทานและการเสียสละ” ในประเพณีพิธีกรรมบุญพระเวสน์ คือตัวอย่างในเรื่องการบำเพ็ญทานบารมีเรื่องการให้ [Given Gift] อันมีลักษณะตรงข้ามกับการเอา [Take] ที่เป็นอัตลักษณ์ของปัจเจกบุคคล หรือเดรัจฉานในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี ซะกาต คุณธรรมที่จรรโลงความเป็นมนุษย์ให้สามารถอยู่รอดร่วมกัน ที่แล้วมาก่อนจะมีพระราชดำรัสในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงนำร่องแล้วอย่างเป็นรูปธรรม เห็นได้จากการเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรและทรงให้มีการจัดการแหล่งน้ำและพื้นที่ทำกินร่วมกันในการเกษตร อีกทั้งทรงแนะแนวทางและสั่งสอนให้ชาวบ้านชาวถิ่นทั่วไปได้รู้จักการทำมาหากินและพึ่งตนเอง ในลักษณะที่ไม่ต้องมาแบมือขอความช่วยเหลืออะไรต่ออะไรจากทางราชการแต่ฝ่ายเดียว เป็นลักษณะที่ตรงข้ามกับเดรัจฉานในภาครัฐและภาคธุรกิจ ที่มองเศรษฐกิจพอเพียงในลักษณะที่เอาเงินของรัฐและเงินช่วยเหลือเงินกู้จากภายนอกมาแจกจ่ายเพื่อหาเสียงและเปิดช่องให้เกิดคนฉลาดแบบโกง ไร้คุณธรรมเข้าไปลงทุนเหนือความทุกข์ยากและเดือดร้อนของคนที่ด้อยโอกาส ซึ่งเป็นทั้งญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมบ้านร่วมท้องถิ่น  นับแต่สมัยรัฐบาล ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นต้นมา จนเข้มข้นขึ้นในสมัยรัฐบาลที่แล้วก็เกิดเงินกองทุนช่วยแบบเดรัจฉาน ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนรวยเพราะโกงกับคนที่ถูกโกง ถูกหลอกแพร่ไปทั่วทุกท้องถิ่น มีหลาย ๆ แห่งที่คนรวยแต่โกงได้ดิบได้ดีจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ซื้อเสียงมาเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต., อบจ. และสมาชิกรัฐสภาในรูปของ ส.ส. และ ส.ว. กันมากมาย จนเป็นผลให้เกิดความล่มสลายของโครงสร้างที่เสมอภาคและเอื้ออาทรระหว่างกันอย่างสิ้นเชิง   ข้าพเจ้าคิดว่าเศรษฐกิจพอเพียงที่สัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมในท้องถิ่นแบบเสมอภาคและมีมาแต่โบราณกาลนั้น   น่าจะเป็นทั้งปรัชญา   กลไกและวิธีการสำคัญยิ่งในการฟื้นฟูชีวิตวัฒนธรรม   และความมั่นคงของมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพในการสร้างดุลและต่อรองกับบรรดาเดรัจฉานนายทุนคนโกง   ในโครงสร้างระดับกลางและระดับบนของบ้านเมืองทุกวันนี้   ที่ว่าต้องต่อรอง ก็เพราะต้องยอมรับว่าในการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและการเมืองของโลกปัจจุบัน เราไม่อาจขาดโครงสร้างเดรัจฉานแบบทุนนิยมเสรีให้หมดไปได้ แต่ไม่ควรปล่อยให้ครอบงำและทำลาย ต้องหาทางควบคุมและต่อรองจึงจะทำได้ สิ่งที่แก้ยากและควบคุมยากก็คือ ในช่วงเวลา ๔๐ ปีที่ผ่านมา คนไทยเกิดขึ้นใหม่อย่างน้อยสองรุ่น คือ รุ่นพ่อแม่กับรุ่นลูก ที่ได้รับการปลูกฝังให้นิยมความคิดแบบวัตถุนิยมในลักษณะที่เป็นโลกานุวัตรจนเคยชิน และลืมสิ่งต่าง ๆ ทั้งโครงสร้างและจิตวิญญาณแบบตะวันออกแต่เดิมอย่างสิ้นเชิง จนยอมรับให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองแบบเดรัจฉาน มีอำนาจในทางรัฐและราชการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  กฎหมายและระเบียบแบบแผนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ นานา ล้วนถูกกำหนดโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง ที่บรรดาสมาชิกรัฐสภา วุฒิสภาและคณะรัฐบาลสร้างความชอบธรรมโดยมาจากการเลือกตั้ง เป็นเหตุให้นักการเมืองที่เป็นเดรัจฉานสามารถใช้กระบวนการหาเสียงซื้อเสียงได้รับเข้ามาบริหารและปกครองประเทศ  โครงสร้างเดรัจฉานจึงเป็นโครงสร้างที่ชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย  โดยมีภาคธุรกิจเอกชนมีอิทธิพลครอบงำและกดโครงสร้างราชการและโครงสร้างสังคมของภาคประชาชนไว้  ภาคราชการและโครงสร้างแบบราชการนั้นไม่มีน้ำยาที่จะโต้แย้งและต่อรองแต่อย่างใดกับพวกนักธุรกิจการเมือง มีแต่ยอมถวายหัวให้จนยอมรับการคอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตก็ว่าได้ คงมีแต่ภาคประชาชนเท่านั้นพอมีช่องทาง เพราะเกิดการเคลื่อนไหวของปัญญาชนในการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนที่ดีและด้อยโอกาสมานานแล้ว จนมีผลให้การเขียนรัฐธรรมนูญฉบับปี ๔๐ ที่แล้วมา ระบุสิทธิของชุมชนในด้านการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรและมรดกทางวัฒนธรรมได้พอสมควร แต่ส่วนใหญ่อยู่ในกฎหมายแม่ แต่ไม่มีลูก เพราะได้ถูกรัฐบาลประชานิยมแบบอุดหนุนคนให้เป็นขอทานบดบังไว้ด้วยการเที่ยวเดินแจกเงินภาษีอากรของคนในชาติทั้งหมด เพื่อการหาเสียงในรูปกองทุนและเงินช่วยเหลือต่าง ๆ  ผลที่ตามมาก็คือ ความแตกแยกของผู้คนท้องถิ่นในภาคประชาชน เกิดกลุ่มนายทุนท้องถิ่นที่เข้ามามีอำนาจทางเศรษฐกิจ-การเมืองในคราบของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และอบจ. ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งจากการเลือกตั้ง คนเหล่านี้ไม่มีทางที่จะเกิดสำนึกในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงได้ รังแต่จะทำให้เกิดการแบ่งแยกเกิดฝักฝ่าย [Fractions] เป็นเจ้าพ่อกลุ่มต่าง ๆ ขัดแย้งชิงอำนาจและผลประโยชน์ระหว่างกัน แต่เศรษฐกิจพอเพียงในลักษณะที่เป็นปรัชญานั้น ประการแรกน่าจะปลุกประกายและสร้างสำนึกที่ดีให้แก่บรรดากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. หรืออบจ. ได้ หากว่าบุคคลเหล่านั้นคือคนในท้องถิ่นที่ยังมีสำนึกเป็นคนภายในอยู่ ซึ่งอยู่ในหลายท้องถิ่น โดยเฉพาะในหมู่คนมุสลิมในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทยที่เข้ามารับตำแหน่งและทำงานให้เกิดความก้าวหน้าและราบรื่นได้ แต่ก็เป็นเรื่องเฉพาะตนซึ่งเป็นปัจเจก ยากแก่การทำอะไรให้เหมือนกันได้  เศรษฐกิจพอเพียงมีศักยภาพที่จะทำให้โครงสร้างสังคมแบบเสมอภาคที่มีอยู่ในสังคมเกษตรกรรมชาวนา [Peasant Society] แต่เดิมให้กลับคืนมาในลักษณะที่ไม่เป็นการถอยหลังเข้าคลองหรือปฏิเสธโครงสร้างเดรัจฉานที่เน้นความเป็นปัจเจกของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี เพราะโครงสร้างแบบเสมอภาคแต่เดิมมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นวิถีชีวิตนั่นเอง  ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอาจทำให้คนในท้องถิ่นที่เตลิดไปกับทุนนิยมและวัตถุนิยม ยั้งคิดและทบทวนใหม่ เพราะเศรษฐกิจทุนนิยมแบบปัจเจกนั้น เป็นสิ่งที่นอกจากควบคุมทุน ปัจจัยการผลิต ตลาด และอะไรต่ออะไรไม่ได้แล้ว ยังควบคุมจิตใจให้เกิดความพอหรือความพอดี ไม่เครียดไม่ได้ เป็นสิ่งที่นำไปสู่ความไม่มั่นคงในทางจิตใจ ดังเช่นเมื่อเกิดความกลัวแล้วหันไปหาความเชื่อทางไสยศาสตร์ วัตถุมงคลเครื่องรางของขลังแทน ทิ้งศาสนาเพราะศาสดาของศาสนาไม่เคยสอนให้คนไม่พอดี  ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจแบบเดรัจฉานที่เห็นได้จากพ่อค้า นายทุน คนดังเป็นจำนวนมากฆ่าตัวตาย ฆ่าลูก ฆ่าเมียตายอยู่บ่อย ทิ้งไว้ให้เห็นคือซากของความโลภ ความอยาก เช่น  คฤหาสน์ใหญ่โต ที่ดิน รถราคาแพงและสมบัติพัสถานนานาชนิดที่ต้องถูกยึดและขายทอดตลาดต่อไป หรือบุคคลที่เคยมีอำนาจทางการเมือง-เศรษฐกิจอย่างล้นฟ้าของประเทศ เมื่อหมดอำนาจไปแล้วก็ยังหยุดใจที่จะให้เกิดความพอเพียงไม่ได้ คงต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสีในต่างแดนจนในที่สุดอาจไม่มีปฐพีให้อาศัยก็ได้ ในสังคมที่มีเศรษฐกิจพอเพียงแบบชาวนาทั้งการทำประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อและโครงสร้างสังคมที่สามารถจรรโลงความพอเพียง ซึ่งทั้งทำให้เกิดความมั่นใจและควบคุมอะไรต่ออะไรได้มาช้านานนับพันปี เพราะมีทั้งองค์กรชุมชนและสภาท้องถิ่นที่คนภายในชุมชนท้องถิ่นเองเลือกสรรขึ้นมาเป็นตัวแทนในการจัดการท้องถิ่นคือชุมชนทางจินตนาการ เพราะเน้นพื้นที่ผืนใหญ่ที่มีคนหลายกลุ่มเหล่าอยู่รวมกัน ทั้งในด้านพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน พื้นที่ทางทรัพยากร เช่น ป่า เขา หนอง บึง แม่น้ำ ลำน้ำ ท้องทุ่ง ในขณะที่แต่ละกลุ่มเหล่าคือ ชุมชนหมู่บ้านที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมกันทางระบบเครือญาติ ทั้งทางสายเลือดและกินดองทางการแต่งงาน   ชุมชนเล็ก ๆ ระดับหมู่บ้านที่เป็นชุมชนที่เป็นจริง ไม่ใช่จินตนาการ แต่ละชุมชนหมู่บ้าน [Village] ต่างก็เลือกตัวแทนที่เห็นว่ามีความเหมาะสมในด้านต่างๆ ขึ้นมาเป็นองค์กรในการจัดการความเป็นอยู่ร่วมกัน องค์กรแบบนี้ก็คือองค์กรที่คนมุสลิมเรียกว่า ซูรอ และต้องการที่จะฟื้นฟูกลับมา นับเป็นองค์กรธรรมชาติในการอยู่รวมกันเป็นสังคมของมนุษย์ องค์กรนี้ได้ถูกถอนรากถอนโคนไปด้วยการจัดตั้งหมู่บ้านที่มีผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งทางราชการกำหนดให้เลือกตั้งและกำหนดความเป็นชุมชนจากจำนวนครัวเรือน พร้อมกับให้ความสำคัญในเรื่องอำนาจการตัดสินใจไปอยู่ที่ผู้ใหญ่บ้าน  ขณะที่สภาท้องถิ่นหมายถึงการที่ชุมชนหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในท้องถิ่นเดียวกัน จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นที่พบปะสังสรรค์ของตัวแทนจากแต่ละชุมชนหมู่บ้าน ในเรื่องการจัดการความเป็นอยู่ร่วมกัน เช่น การใช้ทรัพยากรร่วมกัน การจัดการปัญหาความขัดแย้งระหว่างกัน รวมทั้งการร่วมมือกันในการจรรโลงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของท้องถิ่น   แต่ก่อนนี้ทั้งองค์กรชุมชนและสภาท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดการปกครองและบริหาร โดยมีรัฐเป็นผู้สนับสนุน ดังเช่นกฎหมายมังรายของล้านนา สนับสนุนการจัดการเหมืองฝายเพื่อการชลประทานและเกษตรของแก่เหมืองแก่ฝายของสภาท้องถิ่น เป็นต้น แต่ปัจจุบันสภาท้องถิ่นถูกแทนโดยตำบลและอำเภอที่เป็นพื้นที่การบริหารการปกครอง โดยมีกำนันและอบต. ที่มาจากการเลือกตั้งตามกฎหมายของรัฐ เปิดโอกาสให้คนจากภายนอกหรือคนจากภายในที่ขาดสำนึกความเป็นคนท้องถิ่น ไร้จริยธรรม  ศีลธรรม ที่มาจากโครงสร้างเดรัจฉาน รับเลือกตั้งขึ้นมามีอำนาจการปกครองจัดการและบริหาร เศรษฐกิจพอเพียงจึงหมดไป พร้อม ๆ กับความพินาศของความเป็นมนุษย์ในหลาย ๆ อย่าง  ข้าพเจ้าไม่โหยหาหรือต้องการที่จะให้โครงสร้างของผู้ใหญ่บ้าน กำนัน หรืออบต. ต้องหมดไป แล้วเอาโครงสร้างเดิมขึ้นมาแทน แต่เพียงให้มีการฟื้นฟูองค์กรธรรมชาติและสภาธรรมชาติซึ่งบรรดาตัวแทนมาจากการเลือกของคนภายในชุมชนและท้องถิ่นอยู่ในโครงสร้างสังคม ที่บอกได้ว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม มีวุฒิ ความสามารถเป็นอย่างไร  ผู้ที่เป็นคนดีเหล่านี้ คือ คนที่มีบารมีเป็นที่ยอมรับและรู้จักกันดี ไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยของโครงสร้างเดรัจฉาน การเกิดขึ้นขององค์กรบ้านและสภาท้องถิ่นนั้น ไม่ต้องมีร่างทางกฎหมายแบบกำนันผู้ใหญ่บ้าน หรืออบต. ก็ได้ แต่มีอำนาจในการตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์และโต้แย้งหรือสนับสนุนในลักษณะที่เป็นการ Sanction มากกว่า ให้เป็นการต่อรองและถ่วงดุลให้เกิดดุลยภาพและการรักษาสิทธิของชุมชนซึ่งจำเป็นต้องนำไปเสนอเพิ่มเติมและแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้เกิดความสำคัญ [Empower] ของภาคประชาชนขึ้น ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกัน รวมทั้งการร่วมกันในการ ศรีศักร วัลลิโภดม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ประเพณีสืบสานเล่าขานมอญ/เม็ง

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.พ. 2550 คนมอญหาได้มีอาศัยอยู่แต่เฉพาะภาคกลางของประเทศไทยเท่านั้น ที่นี่...สองฝั่งริมน้ำปิง ทั้งที่บ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาว ตำบลบ้านเรือน อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน และฝั่งตรงกันข้ามบ้านกอโชค-บ้านหนองครอบ ตำบลแม่ก๊า  อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ หากแต่มอญทางตอนเหนือจะถูกเรียกกันว่า “เม็ง” (ในอดีตหากพูดคำว่าเม็งแก่ชาวมอญจะถือว่าเป็นการดูถูก) เม็งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยในพื้นที่ภาคเหนือมาเป็นเวลาช้านาน ชุมชนเม็งทั้ง ๔ หมู่บ้านดังกล่าว ใน ๒ หมู่บ้านหลังที่ตั้งอยู่ทางฝั่งสันป่าตองหรือฝั่งตะวันตกของน้ำปิงนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นชุมชนที่รักษาเอกลักษณ์ทางภาษา ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมมอญไว้ได้น้อยกว่า ๒ หมู่บ้านทางฝั่งป่าซางหรือฝั่งตะวันออกของน้ำปิง ทั้งนี้เนื่องด้วยเหตุผลการถูกกลืนให้เป็นคนเมืองหรือคนท้องถิ่นเป็นสำคัญ ประวัติความเป็นมาของเม็งในพื้นที่หนองดู่-บ่อคาว และกอโชค-หนองครอบ จากการบอกเล่าของพ่อหนานบุญมี ศรีสถิตย์ธรรม ปราชญ์ชาวบ้านทั้งทางวัฒนธรรมและภาษามอญ ได้อธิบายว่า เม็งที่หนองดู่-บ่อคาว และกอโชค-หนองครอบ เป็นชุมชนมอญที่อาศัยอยู่ที่นี้ (ริมฝั่งน้ำปิง) มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ทั้งยังได้มีคนมอญ/เม็งจากที่อื่นๆ เดินทางเข้ามาอาศัยกับคนเม็งที่อยู่เดิม โดยอาจจะเป็นญาติ หรือเป็นคนเม็งเช่นเดียวกัน ต่อมาจึงทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นชุมชนคนเม็งไปโดยปริยาย จากการให้ข้อมูลของพ่อหนานบุญมีนั้น ได้สอดคล้องกับการเสด็จล่องลำน้ำปิงของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ที่ได้ทรงแวะบ้านมอญหนองดู่  “ได้ออกเรือแวะบ้านหนองดู่ เป็นบ้านมอญ ได้ความว่าอพยพขึ้นมาจากทางใต้ได้สัก ๓ ชั่วคน เดี๋ยวนี้มีมอญประมาณ ๑๒๐ คน  มีวัดโบราณ ๒ วัด  วัดดอนเรียกว่า วัดเดิม มีพระเจดีย์ก่ออิฐฐานสี่มุม พระเจดีย์กลมลายปั้นงาม ทำนองจะเป็นวัดหลวง อีกวัดอยู่ริมแม่น้ำเป็นวัดเก่าปฏิสังขรณ์ใหม่...บ้านหนองดู่มีนิทานเล่ากันว่าเป็นบ้านเศรษฐี ซึ่งเป็นบิดาของนางจามเทวี เดิมจะยกนางจามเทวีให้แก่บุตรเศรษฐีบ้านหนองเหวี่ยงแต่ทีหลังกลับคำ เพราะเห็นบุตรเศรษฐีบ้านหนองเหวี่ยงรูปชั่ว บิดาทั้งสองฝ่ายจึงวิวาทกัน...พระอินทร์จึงให้พระวิสุกรรมมารับนางไปถวายพระฤๅษีวาสุเทพ พระฤๅษีจึงชุบนางให้งามยิ่งขึ้น แล้วส่งไปถวายเป็นธิดาเจ้ากรุงละโว้” การฟ้อนผีเม็ง หนึ่งในพิธีกรรมของคนมอญ ซึ่งแสดงถึงความเคารพต่อผีบรรพบุรุษ (ผีปู่ย่า) ในการฟ้อนผีเม็งจะมีวงปี่พาทย์บรรเลงประกอบอยู่ตลอดเวลา ในส่วนของชาวบ้านต่างเชื่อว่า ที่ชุมชนบ่อคาวเป็นสถานที่ประสูติของพระนางจามเทวี (ปฐมกษัตรีย์แห่งนครหริภุญชัย หรือลำพูน) และเป็นบ้านเศรษฐีอินตา บิดาของพระนาง ดังจะเห็นได้จากการที่มีโบราณสถานภายในชุมชนหนองดู่-บ่อคาว รวมถึงภายในวัดเกาะกลางด้วย ประกอบกับตำนานจามเทวีวงศ์ที่กล่าวถึงเมืองหริภุญชัย ว่าประมาณสมัยพระยาจุเลระราช (๑๕๙๐-จ.ศ.๓๐๙) ได้เกิดอหิวาตกโรค ชาวเม็งจึงได้ลี้ภัยไปอยู่ที่สะเทิมและหงสาวดี หลังจากโรคร้ายสงบ จึงได้กลับมาหริภุญชัยตามเดิม  ซึ่งในเนื้อหาตำนานจามเทวีวงศ์ ก็ยิ่งตอกย้ำทำให้คนเม็งในชุมชนดังกล่าว เชื่อว่าตนเองเป็นเม็งที่มีเชื้อสายมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี และอยู่ที่นี่มาช้านาน ด้วยปัจจัยเหล่านี้ชาวเม็งจึงได้นำเอาพระนางจามเทวีมาเป็นบรรพบุรุษของตน จากความเป็นมาของเม็งหนองดู่-บ่อคาวทั้งที่พ่อหนานบุญมี ชาวบ้านและเอกสารต่างๆ ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่มาที่แน่นอนของคนเม็งในพื้นที่ดังกล่าวได้   หากอาจจะกล่าวในภาพรวมว่าเป็นคนเม็งที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมานานเป็นสำคัญ การสอนภาษามอญให้กับเยาวชนมอญในพื้นที่ โดยพ่อหนานบุญมี ศรีสถิตย์ธรรม  ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากชาวเม็งและหลวงพ่ออวยชัย สิทธิชโย (รักษาการเจ้าอาวาสวัดเกาะกลาง) ซึ่งเป็นชาวมอญในพื้นที่ จากการที่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นเวลานาน  ทั้งยังเป็นชุมชนเม็งที่แวดล้อมไปด้วยคนยอง และคนเมือง จึงเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ความเป็นเม็ง ซึ่งแต่เดิมมีให้เห็นกันมากได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าในเรื่องของวัฒนธรรม การแต่งกาย ภาษา อาหาร เป็นต้น ทั้งนี้ในการเปลี่ยนแปลง ย่อมที่จะต้องมีสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมตกค้างสืบต่อกันมาถึงปัจจุบันเป็นแน่  ชุมชนเม็งหนองดู่-บ่อคาว ยังคงพยายามที่จะอนุรักษ์ และสืบสานประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ ของเม็งไว้ให้มากที่สุด ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ในปัจจุบันอาจจะถูกลดความสำคัญลงไปบ้าง ทั้งนี้ก็เนื่องจากพลวัตรการเปลี่ยนแปลงในสังคมเป็นเหตุ   ความเป็นเม็งสิ่งแรกที่เดินทางมาถึงในชุมชน นั่นก็คือ วัด กล่าวคือ วัดในชุมชนเม็งหนองดู่-บ่อคาว มีอยู่ ๒ วัดด้วยกัน คือ วัดหนองดู่ ตั้งใกล้ริมฝั่งน้ำปิง และวัดเกาะกลาง อยู่ในพื้นที่บ้านบ่อคาว โดยวัดหนองดู่เปลี่ยนจากนิกายเถรวาทมาเป็นธรรมยุตในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ส่วนวัดเกาะกลาง เดิมเป็นวัดร้างตั้งแต่สมัยโบราณ เมื่อมีพระภิกษุเข้าจำพรรษา จึงปรับมาเป็นธรรมยุติกนิกายในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ พระภิกษุที่จำพรรษาในวัดส่วนใหญ่จะเป็นคนเม็งในพื้นที่ หรือไม่ก็เป็นพระสายธรรมยุตเป็นสำคัญ และสัญลักษณ์ที่สำคัญของวัดมอญ ก็คือ การมีเสาหงส์หน้าวิหาร เพราะชาวเม็งโดยทั่วไปเชื่อกันว่า หงส์ คือสัญลักษณ์ของพวกตน ทั้งวัดหนองดู่ และวัดเกาะกลาง ถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมทั้งจิตใจ และกิจกรรมประเพณีต่าง ๆ ของเม็งไว้ทั้งสิ้น  นอกจากวัดจะเป็นสัญลักษณ์ภาพรวมที่บ่งบอกถึงความเป็นเม็งได้ในจุดหนึ่งแล้ว วัฒนธรรมประเพณี ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะเป็นตัวอธิบายความเป็นมอญได้ดียิ่งขึ้น  ทั้งนี้ประเพณีมอญที่ชาวเม็งหนองดู่-บ่อคาวยังคงพยายามปฏิบัติ เพื่อต้องการอนุรักษ์ไว้ คือ การบวงสรวงพระแม่จามเทวี ได้มีการกล่าวสวดทั้งภาษาไทยและมอญ  อีกทั้งในการแสดงมหรสพของมอญ แทบทุกงานจะต้องมีวงปี่พาทย์ร่วมบรรเลง การบวงสรวงเจ้าแม่จามเทวี  ในพิธีการบวงสรวงเจ้าแม่จามเทวีนั้น ชาวเม็งในพื้นที่กล่าวว่าจะมีการบวงสรวงภายในเดือน ๔ ของมอญ (ปอน) เดือน ๕ ของเหนือ/คนเมือง หรือเดือน ๒ (กุมภาพันธ์)ของไทย เป็นประจำทุกปี  ในส่วนของวันบวงสรวงจะไม่เจาะจง เพราะแล้วแต่ความสะดวกของคนในชุมชนเป็นที่ตั้ง เหตุที่มีการบวงสรวงก็เนื่องจากเป็นการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษของตน ทั้งนี้เพราะชาวบ้านเชื่อว่าพระนางจามเทวีเป็นบรรพบุรุษของคนเม็งที่หนองดู่-บ่อคาว ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว การบวงสรวงจะทำกันที่บริเวณลานเจ้าแม่จามเทวี ในตัวอำเภอเมืองลำพูน ซึ่งกลุ่มคนที่เป็นคนเม็งที่เข้าร่วมในพิธีดังกล่าว ไม่ใช่เฉพาะเม็งที่หนองดู่-บ่อคาว แต่ยังหมายรวมถึงชาวเม็งที่อยู่กระจัดกระจายในพื้นที่ลำพูน-เชียงใหม่อีกด้วย ในด้านการอำนวยความสะดวกในเรื่องสถานที่และการจัดงานนั้น ได้รับการสนับสนุนและร่วมมือจากองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเรือน อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน แทบทุกปี เพราะในส่วนของ อบต.บ้านเรือน ก็ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ประเพณีของเม็งไว้ให้คงอยู่เช่นเดียวกัน การฟ้อนผีเม็ง  ประเพณีนี้ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของคนเม็ง ที่เป็นชื่อเสียงของพวกเขา การฟ้อนผีเม็งนั้นเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมที่ลูกหลานจะแสดงความเคารพต่อผีบรรพบุรุษของตน (ผีปู่ย่า) โดยการฟ้อนจะทำขึ้นในช่วงเดือน ๘ ของมอญ(หจาม) เดือน ๙ ของเหนือ/คนเมือง หรือเดือน ๖ (เดือนมิถุนายน)ของไทย ทั้งนี้ประเพณีการฟ้อนผีเม็ง หาได้ทำกันเป็นประจำทุกปีไม่ แต่อาจจะทำกันเป็นประจำ ๓ ปีต่อครั้ง หรือในกรณีที่มีคนเจ็บป่วยไม่สบายแล้วทำการบนบานศาลกล่าวแก่ผีบรรพบุรุษของตน เหตุที่นาน ๆ จึงจะทำ เนื่องจากในการฟ้อนผีเม็งมีค่าใช้จ่ายมาก  การฟ้อนผีเม็งจะเป็นพิธีกรรมที่มากด้วยเนื้อหารายละเอียด ซึ่งก็เป็นเรื่องราวของวิถีชีวิตของคนเม็งแทบทั้งสิ้น การฟ้อนมีขั้นตอน คร่าว ๆ คือ ในช่วงเช้าของการฟ้อนผีเม็ง อันดับแรก คือ การทำพิธียกครู โดยที่วงปี่พาทย์มอญจะบรรเลงอยู่ตลอดเวลา ต่อมาประธานในการฟ้อนจะเอาของที่เตรียมไว้มาวางที่ฮ้าน(โต๊ะบูชา) และทำการฟ้อนดาบเพื่อทำพิธีต่อ จากนั้นประธานการฟ้อนและลูกเจ้าบ้าน(ลูกของคนที่บนบาน)จะทำพิธีสระสรงต้นกล้วย เพื่อฟันต้นกล้วยไว้ยำกินในตอนเย็น ต่อมาจะเป็นการฟ้อนอาบน้ำและแต่งตัวให้เจ้าของบ้านที่ป่วย จากนั้นประธานนำเทียน ๗ เล่มที่จุดแล้วมาที่เจ้าบ้านเพื่อทำพิธี โดยทำการเชิญ ๓ ครั้ง จากนั้นทำการใส่บาตร โดยแกว่งตะกร้าของบูชา ๓ ครั้ง ถัดจากนั้นให้ผู้ป่วยจับผ้าขาว เพื่อที่จะให้ผีเข้า และทำการฟ้อนต่อไป หลังจากนั้นจึงมีการฟ้อนดูไก่ คือ เอาไก่ต้มมาดู ถ้าขาไก่งุ้มเข้าเสมอกันก็แปลว่าลูกในบ้านรักกันดี ถ้ามีนิ้วไหนชี้ออกมา แสดงว่าพี่น้องแตกแยกกัน ส่วนฟ้อนผีกุลา จะใช้กะละมังที่มีปลา กล้วย ขนม และจะนำดาบมาเสียบเล่นซึ่งใช้เวลานานมาก  ฟ้อนกาบปลา คือ คาบปลาแห้ง โดยประธานการฟ้อนจะคาบปลาแห้งไปให้ลูกเจ้าบ้านคาบต่อ แล้ววางไว้ (ซึ่งจะเก็บเอาไว้ยำผักบุ้งตอนเสร็จพิธี ซึ่งถือเป็นยาบำรุง)  ฟ้อนแอ่วเป่าป่อน คือ เที่ยวหนุ่มเที่ยวสาวเล่นน้ำปีใหม่  ฟ้อนผีคนตก หรือขันโตก จะบูชาโดยมีขันโตก ๕ ใบ มะพร้าว ๑๕ ลูก กล้วย ๑๕ หวี และดอกไม้ ขนม  และประมาณ ๓ โมงเย็นทำการเอาผีมอญขึ้นหอ ต่อด้วยการฟ้อนจิบอกไฟ (จิ-บอก-ไฟ) คือ การนำประทัดมาวางที่ต้นกล้วยที่ได้ฟันก่อนหน้านี้ แล้วทำการจุดไฟ โดยจะทำประมาณช่วง ๔ โมงเย็น พอประมาณเกือบ ๕ โมงเย็นก็ฟ้อนถ่อเรือถ่อแพ กระทั่งคว่ำเรือถือเป็นอันเสร็จพิธีการฟ้อนเม็ง ในส่วนของผาม หรือปะรำในพิธีนั้น ชาวบ้านจะต้องช่วยกันสร้างให้เสร็จในวันเดียว ก่อนที่จะมีงาน ผามจะเป็นเต็มผาม หรือครึ่งผาม สุดแท้แต่เจ้าของบ้านว่าจะฟ้อนทั้งวัด (เต็มผาม) หรือฟ้อนครึ่งวัน (ครึ่งผาม) ในชุมชนเม็งหนองดู่-บ่อคาว มีป้าเป็ง สมพันธุ์ เป็นเก๊าหรือประธานการฟ้อนผีที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน  จากการบวงสรวงพระแม่จามเทวี และการฟ้อนผีเม็งนี้ ถือเป็นความเชื่อที่เกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ยากแก่การอธิบาย เพราะเป็นสิ่งที่ชาวเม็งรับรู้และเชื่อตั้งแต่อดีต หากแต่สิ่งเหล่านี้ยังได้ช่วยหล่อหลอมคนเม็งให้สืบความเป็นเม็งเยี่ยงอดีตและเคารพในบรรพบุรุษของตน จึงไม่น่าแปลกที่เรายังเห็นพิธีกรรมความเชื่อต่าง ๆ ดังกล่าวคงอยู่ในชุมชนหนองดู่-บ่อคาวต่อไป ลอยหะมด  หรือพิธีจ้องเกริ้ง (ลอยกระทง)เป็นประเพณีที่ทำกันในเดือน ๑ ของมอญ (มัว) เดือน ๒ ของเหนือ/คนเมือง หรือเดือน ๑๒ (พฤศจิกายน) ของไทย พิธีจ้องเกริ้ง หรือลอยหะมด เป็นภาษามอญ จ้องเกริ้ง แปลว่า การบูชาเรือสำเภา ส่วนลอยหะมด คือ การลอยไฟ ซึ่งทั้ง ๒ คำนี้ ต่างมีความหมายและที่มาเช่นเดียวกัน ที่ว่า การลอยหะมด มีความเป็นมาตั้งแต่ครั้งที่มีโรคห่ามายังเมืองหริภุญชัย จนทำให้ต้องอพยพผู้คนไปยังสะเทิมและหงสาวดี ครั้น ๖ ปีโรคห่าระงับ เม็งบางกลุ่มที่คิดถึงบ้านเมืองก็กลับมายังหริภุญชัยตามเดิม แต่บางกลุ่มก็ไม่กลับมา ครั้นเมื่อถึงหน้าเก็บเกี่ยว คนเม็งที่หริภุญชัยได้อาลัยหาญาติของตนที่หงสาวดี จึงทำการลอยข้าวของเครื่องใช้ พร้อมทั้งบูชาเทียนไปหาญาติพี่น้องเหล่านั้น ซึ่งจากเรื่องเล่าดังกล่าวก็เท่ากับว่าประเพณีลอยหะมด หรือจ้องเกริ้ง มีมาก่อนการลอยกระทงในสมัยสุโขทัย  หากแต่ในปัจจุบันการลอยหะมดถูกเชื่อมให้หมายความถึงการลอยเคราะห์เป็นสำคัญ  การลอยหะมด ถือได้ว่าเป็นพิธีที่มีความหมายไม่เพียงแต่เฉพาะบุคคล หรือครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงชุมชนเม็งหนองดู่-บ่อคาวโดยรวมด้วย เพราะในพิธีดังกล่าว ชาวเม็งทั้งหนองดู่-บ่อคาวจะช่วยกันทำ สะเปา หรือกระทงขนาดใหญ่ เพื่อไปลอยเคราะห์ร่วมกันบริเวณท่าน้ำปิง โดยลักษณะของสะเปานั้น ภายในจะมีเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียน ทั้งนี้ก่อนที่จะทำการลอยจะมีการสวดโดยมีพ่อหนานหรือปู่อาจารย์ (มัคนายกวัด) เป็นผู้กล่าวนำ  ในวันลอยหะมดนี้ ชาวเม็งหนองดู่-บ่อคาว รวมถึงชาวยองและชาวพื้นเมืองโดยรอบทั้งอำเภอป่าซาง  จะทำการก่อเจดีย์ทรายไว้หน้าบ้านของตนด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง  ในส่วนวัฒนธรรมเรื่องของอาหารนั้น ชาวเม็ง มีอาหารที่ขึ้นชื่อที่สำคัญ คือ ขนมจีน หรือขนมเส้น  อาหารดังกล่าวนี้ได้บ่งบอกถึงความเป็นอยู่ของชาวเม็งได้เป็นอย่างดี เพราะชาวเม็งมักจะอาศัยใกล้แหล่งน้ำเนื่องจากส่วนประกอบในการทำขนมจีนจะต้องใช้น้ำ ในอดีตแทบทุกบ้านจะมีการทำขนมเส้น ทั้งรับประทานเอง และไว้ขาย หากแต่ปัจจุบัน การทำขนมจีน เหลืออยู่น้อยรายมาก แต่ผู้ที่ทำนอกจากจะเป็นการประกอบอาชีพหารายได้ถึงแม้ไม่ร่ำรวยให้พวกเขาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังภูมิใจที่ยังช่วยเป็นการอนุรักษ์อาหารของคนเม็งให้คนเม็งได้ชื่นชมอีกทางหนึ่ง ซึ่งนอกจากอาหารคาว คนเม็งยังนิยมทำขนม ซึ่งขนมของคนเม็งที่เห็นและยังเป็นที่รู้จักของชุมชนในปัจจุบัน คือ ขนมปาด รวมถึงข้าวแช่  การแต่งกาย  คนเม็งจะมีการแต่งกาย คือ ผู้ชายจะใส่โสร่ง มีผ้าขาวม้าคาดบ่า เสื้อคอมน ส่วนผู้หญิงจะใส่ชุดลูกไม้สีชมพู หากแต่ปัจจุบันการแต่งกายโดยเฉพาะของผู้ชายจะมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปบ้าง คือ ใส่เสื้ออะไรก็ได้ แต่ที่ขาดไม่ได้เลย คือ โสร่ง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงก็ยังคงเป็นผ้าลูกไม้สีชมพู บ้างก็มีสีส้ม และสีขาว ทั้งนี้ในการแต่งกายแบบมอญนั้น หาได้แต่งเป็นชีวิตประจำวัน พวกเขาจะแต่งเฉพาะวัดสำคัญ หรืองานพิเศษ เช่น วันบวงสรวงเจ้าแม่จามเทวี  วันเปิงสังกรา หรือสงกรานต์ วันลอยหะมด หรือลอยกระทง พิธีการฟ้อนผี หรือกิจกรรมพิเศษที่มีในชุมชน ภาษา  เป็นหนึ่งวัฒนธรรมที่บ่งบอกถึงความมีอารยะและความเจริญในกลุ่มชนนั้นๆ เม็งก็เช่นกัน พวกเขามีภาษาที่ใช้สื่อสารเป็นของตนเอง หากแต่การที่อยู่ใกล้คนยองและคนเมือง ซึ่งมีจำนวนที่มากกว่า ภาษาเม็งที่เคยมีเคยใช้กัน มาจึงถูกลดความสำคัญลงและหายไปบ้างสำหรับคนเม็งบางกลุ่มในพื้นที่หนองดู่-บ่อคาว เพราะหากไปถามชาวเม็ง  อายุประมาณ ๓๐ ขึ้นไป พวกเขาจะพูดเป็นทำนองเดียวกันว่า “ฟังเม็งได้นะ พูดได้บ้าง แต่เขียนไม่ได้” ซึ่งเหตุที่ฟัง และพูดได้ เพราะพ่อแม่พูด เมื่อคนอายุ ๓๐ เป็นเช่นนี้กันส่วนใหญ่ แล้วเยาวชนคนเม็งจะพูดกันได้หรือไม่...แทบจะนับคน ได้เลยในชุมชนหนองดู่-บ่อคาว ที่เด็กฟังและพูดได้ จากการที่คนเม็งลืมและลดความสำคัญของภาษาซึ่งเป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมที่สำคัญ พ่อหนานบุญมี ศรีสถิตย์ธรรมจึงต้องการที่จะให้ภาษาเม็งคงอยู่คู่กับชุมชนไปอีกนาน  เมื่อประมาณ ๒ ปีที่แล้ว จึงได้ทำการแปลคำสวดจากภาษาไทยเป็นภาษาเม็งถวายพระที่วัด เพื่อใช้ในการสวดมนต์  และจากการที่เข้าร่วมกิจกรรมในวันพระที่วัด ทำให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวเม็งในเรื่องการสวดมนต์ภาษาเม็ง นอกจากนี้พ่อหนานบุญมี ยังได้ทำการสอนภาษาเม็งให้กับเยาวชนเม็งในชุมชนหนองดู่-บ่อคาวอีกด้วย  เพื่อที่เยาวชนเหล่านั้นจะได้รู้จักภาษาเม็งของพวกเขาเอง และเป็นการอนุรักษ์ภาษาซึ่งเป็นวัฒนธรรมเม็งให้มีอยู่สืบไป โดยได้รับการสนับสนุนทั้งจากหลวงพ่ออวยชัย รักษาการเจ้าอาวาสวัดเกาะกลาง และพ่อแม่ผู้ปกครองคนเม็งในชุมชน ที่เห็นถึงความสำคัญในวัฒนธรรมและรากเหง้าของตน คนเม็งที่หนองดู่-บ่อคาว และบางส่วนที่กอโชค-หนองครอบ จากการที่พวกเขามีสำนึกในความเป็นเม็ง จึงก่อให้เกิดวัฒนธรรม ประเพณี และพิธีกรรมต่าง ๆ  ขึ้นมา  และเราคนไทยก็น่าที่จะมีส่วนร่วมในการรักษาวัฒนธรรมประเพณีและพิธีกรรมของคนมอญ  ซึ่งเป็นคนกลุ่มหนึ่งในสังคมไทย ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจในความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของสังคมไทยด้วย เหมือนพิมพ์   สุวรรณกาศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • เมืองไทยทูเดย์ : ไม่มีพุทธแต่มีผีกับไสย

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2550 สิ่งที่น่าแปลกใจในทุกวันนี้ของสังคมไทยก็คือ ท่ามกลางความสับสนอลหม่านในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น   มีบุคคลพวกหนึ่งทั้งห่มผ้าเหลืองและไม่ห่มออกมาเรียกร้องให้มีการกำหนดให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในกฎหมายทางราชการ เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมา ทั้งอีกผิดเพี้ยนและขัดแย้งกับสถาบันกษัตริย์ที่มีมาแต่อดีต   นั่นก็คือพระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกที่ต้องทรงให้ความเป็นธรรมแก่ไพร่บ่าวพลเมืองที่มาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์และนับถือศาสนาต่างกัน ทั้ง ๆ ที่องค์พระมหากษัตริย์เองทรงเป็นพุทธมามกะอันเป็นสิ่งที่บ่งแสดงอยู่แล้วว่านับถือพุทธศาสนาโดยพฤตินัยและถือเป็นพระศาสนาสำคัญที่เป็นหลักของบ้านเมืองอยู่แล้ว  ม้าลาย สัตว์สัญลักษณ์ของการแก้บนในมิติใหม่ โดยประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรสยามที่มีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ศูนย์กลางนั้นได้อุบัติขึ้นตั้งแต่รัชกาลของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ได้มีการสร้างและขยายพื้นที่พระราชวังเดิมให้เป็นพระบรมมหาราชวังที่มีวัดพระศรีสรรเพชญดาญาณอยู่ภายในกำแพง เพื่อเป็นที่ทำพระราชประเพณีพิธีกรรมของราชอาณาจักร โดยเฉพาะพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในพระวิหารหลวงของวัด ซึ่งพระพุทธรูปศรีสรรเพชญเป็นพระประธานอยู่ท่ามกลางบรรดาพระพุทธรูปใหญ่น้อยที่ศักดิ์สิทธิ์ของราชอาณาจักร ท้ายจรนัมของพระมหาวิหารก็เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระอดีตมหากษัตริย์ของพระนคร พระมหาสถูปเจดีย์สามองค์อันเป็นอัตลักษณ์ของวัดก็ล้วนเป็นพระบรมธาตุเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้วทั้งสิ้น  สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นสถานภาพของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี หรือถ้าหากไม่จุใจก็อาจมองกว้างลงไปเบื้องล่าง ยังชุมชนในระดับเมืองและบ้านก็ได้ที่มีทั้งวัดมหาธาตุประจำเมืองสำคัญและมีวัดประจำหมู่บ้านแทบทุกแห่ง ซึ่งบ้านและนามวัดก็ล้วนแต่เป็นชื่อเดียวกัน  บ้านพุทธและวัดพุทธมีมากมายแทบทุกหนแห่ง มีมากในขณะที่บ้านของคนคริสต์และคนมุสลิมก็มีโบสถ์และมัสยิดเป็นศูนย์กลาง แต่มีจำนวนน้อย ซึ่งวัดและบ้านเหล่านั้นก็คือสิ่งที่พระมหากษัตริย์ที่เป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกโปรดให้สร้างหรือสร้างให้ เพื่ออยู่รวมกันในประเทศชาติอย่างเป็นสมานฉันท์  ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เห็นว่าไม่มีความจำเป็นอันใดเลย ที่จะต้องเรียกร้องให้ตราใช้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าบรรดาผู้เรียกร้องทั้งที่เป็นสงฆ์และฆราวาส ควรไตร่ตรองและทบทวนก็คือ เมืองไทยทุกวันนี้ยังเป็นเมืองพุทธที่มี   คนไทย   นับถือพุทธจริย หรือเพราะข้าพเจ้าเคยได้ยินท่านพุทธทาสเคยเทศน์ในวิทยุว่า   “สังคมไทยเดี๋ยวนี้มีแต่ไสยไม่เห็นพุทธ”   ซึ่งข้าพเจ้าใคร่เสริมท่านต่อไปอีกในที่นี้ว่า   “มีแต่ผีด้วย”    ที่ว่ามีแต่ไสยนั้น เห็นได้ชัดจากการที่วัดวาอารามเป็นจำนวนมากทั้งในเมืองและหมู่บ้านตามชนบท ต่างพากันหาเงินเข้าวัดด้วยการสร้างวัตถุมงคลที่เป็นเครื่องรางของขลังทางไสยศาสตร์ โดยผู้ประกอบพิธีกรรมก็คือบรรดาพระสงฆ์ใหญ่น้อยนั่นเอง  องค์จตุคามรามเทพที่แพร่หลายมาจากวัดมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช วัดใดที่มีพระสงฆ์เป็นเกจิอาจารย์ก็จะมีคนอื่นมาบริจาคมาก จนความสำคัญของวัดแทบหมดไป กลับไปอยู่ที่พระเกจิอาจารย์แทน ทำให้เกิดความร่ำรวยในส่วนตัวของพระรูปนั้นและพี่น้อง รวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาด้วย พระเกจิอาจารย์บางคนถึงกับต้องมีผู้จัดการดูแลทรัพย์สินและผลประโยชน์ คล้าย ๆ กับผู้จัดการนักมวยโลกก็มี  ความมั่งคั่งทางทรัพย์สินและวัดทำให้สังฆาวาสใหญ่โตนำหน้าพุทธาวาสก็แยะ โดยเฉพาะกุฏิสงฆ์ที่เป็นที่พำนักของพระเจ้าอาวาสหรือพระเกจิอาจารย์ดูโอ่โถง มีทีวี มีเครื่องประดับ และรถยนต์ราคาแพงรวมอยู่ด้วย ดูไม่ต่างกับคฤหาสน์ของพวกพ่อค้าคหบดีอะไรทำนองนั้น  แล้วไปวัดจะเห็นพุทธศาสนาได้อย่างไร  กระแสของไสยศาสตร์ที่มาแรงในขณะนี้ ก็คือการสร้าง   จตุคามรามเทพ ที่แพร่หลายมาจากวัดมหาธาตุนครศรีธรรมราช เป็นเหตุให้บรรดาวัดใหญ่น้อยแทบทุกภาคของราชอาณาจักรปลุกเสกจตุคามรามเทพกันเป็นบือไป อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสของไสยศาสตร์ที่เชี่ยวกราก ก็ยังมีสิ่งที่เป็นศาสนาอยู่  ไม่ใช่พุทธแต่เป็นผี  คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะคนในเมืองไม่รู้จักพุทธและไม่เอาพุทธ เพราะพุทธเป็นเรื่องของโลกหน้า แต่ผีสามารถตอบสนองความเป็นความตายและยากดีมีจนใน  โลกนี้   ได้ ผีจึงเกิดขึ้นเต็มเมืองมากกว่าตามหมู่บ้านในชนบท คนกราบไหว้และสวดอ้อนวอนผี บนบานผีมากกว่าพุทธ  การนับถือผีไม่มีพระแต่มีคนทรงแทน และคนทรงเป็นจำนวนมากก็เป็นหญิงมากกว่าชาย  เลยเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นหญิงมีอำนาจเหนือชายในปัจจุบัน จุดอ่อนของศาสนาผีต่างกับพุทธก็คือ ผีสามารถติดสินบนได้ คนจึงพากันไปบนขอหวยขอโชคลาภกัน แต่พุทธทำไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของโลกหน้าและกฎแห่งกรรม  สังคมไทยสมัยก่อน แม้ว่าผีกับพุทธจะอยู่ด้วยกันในพื้นที่ของวัด แต่ก็มีกาลเทศะ เช่น ศาลผีจะเข้าไปอยู่ในพุทธาวาสและสังฆาวาสไมได้ เป็นต้น อีกทั้งพุทธก็ทำให้ผีกลายเป็นสาวก รักษาพุทธศาสนา และดูแลทุกข์สุขทางโลกของผู้คน แต่ปัจจุบันผีมีน้ำยากว่าพุทธ เพราะนอกจากทำให้พระสงฆ์บางรูปกลายเป็นหมอผีหรือทำให้คนกราบไหว้พระพุทธรูปขอลาภขอยศได้เยี่ยงผีแล้ว ยังสามารถทำให้ศาสนาอื่นทั้งฮินดูและพุทธมหายานกลายเป็นผีไปด้วย ซึ่งเห็นได้จากการสร้างศาลขึ้นกราบไหว้บูชา กระจายกันไปตามถนนหนทาง และที่ต่าง ๆ แทนการสร้างตามสถานเทวาลัย ปราสาท ขึ้นตามบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของพื้นที่ต่าง ๆ ในชุมชน  อีกทั้งเป็นศาลที่ใคร ๆ ก็สร้างได้  ศาลเหล่านี้มีการสร้างรูปพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุ หรือพระพิฆเนศ แต่มีการกราบไหว้บนบานแบบที่ทำกับผี รวมทั้งมีคนทรงหมีแดง หมีเขียว หมีขาว ทำหน้าที่สื่อกับพระเป็นเจ้าเยี่ยงเดียวกับสื่อกับผี แต่ที่น่าตกใจทางราชการก็เอากับเขาด้วย ที่ตามโรงเรียนหรือสถานที่ราชการดัดจริตสร้างหอพระขึ้นมาอย่างโดด ๆ ให้คนกราบไหว้ ซึ่งดูไม่ต่างอะไรกับคนผีและไหว้ผีเลย อันพระเป็นเจ้าและเทพที่ใหญ่และสูงสุดทั้งฮินดูและพุทธมหายานนั้น กล่าวตามประเพณีการเคารพบูชาแล้ว การจะติดต่อสื่อสารก็ด้วยการกราบไหว้ อ้อนวอน และบำเพ็ญตบะบารมีต้องใช้เวลานานกว่าจะมีปรากฏการณ์ออกมา หาใช่สื่อกันกับผีเช่นนี้ไม่  เพราะฉะนั้น เมื่อมองภาพรวมแล้วก็จะแลเห็นว่า ปัจจุบันในเขตเมืองเล็กและใหญ่ ทั้งราชอาณาจักร ล้วนมีคนผีกระจายกันอยู่แทบทุกระแหง มีทั้งคนใหญ่ คนเล็ก มีทั้งมีที่สร้างขึ้นใหม่และนำเข้ามาจากภายนอก ข้าพเจ้าคิดว่า เหตุใหญ่ที่ทำให้ศาสนาผีครองเมืองนั้น อยู่ที่การดำเนินงานของรัฐเอง ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา   มีการเคลื่อนไหวที่ทำให้พระพุทธศาสนาบริสุทธิ์ ด้วยการเน้นการสอนและเผยแพร่ไปในทางที่เป็นปรัชญาจนเกินไป จนบดบังความสำคัญของศาสนาอันเป็นเรื่องของความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ  การเน้นพุทธในทำนองที่เป็นปรัชญานั้น จะเป็นผลสำเร็จได้ก็เฉพาะกลุ่มชนที่มีการศึกษาและมีปัญญาเท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับคนส่วนใหญ่ในสังคมของประเทศ เพราะคนส่วนใหญ่ก็ยังมองพุทธเป็นเรื่องของความเชื่อที่เกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติอยู่ จึงเข้าทางของศาสนาผีที่ไม่เน้นในเรื่องปรัชญา แต่เน้นความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติในทางประเพณีพิธีกรรมที่มักเป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ เลยทำให้ผีกับไสยศาสตร์ไปกันได้ แต่พุทธไปไม่ได้  ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของศาสนาผีที่ติดอันดับอยู่ในขณะนี้ก็คือ  จตุคามรามเทพ  ที่อาจเป็นได้ทั้งศาสนาและไสยศาสตร์ในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเอารูปจตุคามรามเทพมาบูชาหรือมาห้อยคอ ในความเชื่อที่ว่า  “มีกูมึงไม่จน”   แล้ว ก็คือไสยศาสตร์ เพราะเป็นการสนองตัณหาความอยากที่เป็นปัจเจกบุคคลนิยม แต่ถ้าหาก  “มีกูมึงไม่โกง”  แล้ว ก็คือความเชื่อทางศาสนา เพราะอ้างอิงอำนาจเหนือธรรมชาติให้มาดูแลในเรื่องทางศีลธรรม เพื่อการอยู่ร่วมกันของคนที่เป็นหมู่เหล่าในชุมชน  จตุคามรามเทพเป็นปรากฏการณ์ของศาสนาผีที่แพร่หลายไปทั่วประเทศ แต่ในกรุงเทพฯ มีปรากฏการณ์อีกมากมายหลายผีเกิดขึ้นอย่างซับซ้อน เช่น กรณีการบูชาและบนบาน  หลวงปู่จันดี  มีมากับการขยายตัวของถนนหนทางที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุและภัยบนท้องถนนเป็นประจำ ชาวบ้านชาวเมืองจึงพากันสร้างศาลหลวงปู่จันดีขึ้นในหลาย ๆ แห่ง แล้วพากันถวาย  ม้าลาย   ให้เป็นพาหนะ เพื่อใช้สอยในการแก้บน  ม้าลายกลายเป็นสัญลักษณ์ของความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะถ้าจะปลอดภัยก็ต้องข้ามถนนที่ทางม้าลาย ม้าลายเลยกลายเป็นสัตว์สัญลักษณ์เพื่อการแก้บนในมิติใหม่แทนการใช้รูปสัตว์ที่เป็นช้าง ม้า หรือสัตว์อื่น ๆ ที่เคยมีแต่เดิม ศาลหลวงปู่จันดีแต่ละแห่ง มีรูปปั้นม้าลายเป็นบริวารและสัตว์เลี้ยงเป็นร้อยเป็นพันก็มี เมื่อพูดถึงม้าลายแล้วก็ขอเลยเถิดไปยังสัตว์สัญลักษณ์อื่นในระบบความเชื่อที่เป็นศาสนาผีต่อ คือ  ไก่ชน  ที่มีการทำรูปปั้นทั้งขนาดใหญ่และเล็กไปเซ่น หรือแก้บนตามศาลเจ้าที่สำคัญ โดยเฉพาะศาลสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเจ้าตากสิน  เริ่มตั้งแต่ศาลสมเด็จพระนเรศวรที่เมืองพิษณุโลกก่อน ไก่ชนมีอยู่ในพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวร เมื่อครั้งเป็นเชลยอยู่ที่เมืองหงสาวดี ทำให้เกิดตำราไก่ชนสมเด็จพระนเรศวรขึ้น แล้วต่อมาก็มีนายทหารผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้คิดและสนับสนุนให้ทำรูปไก่ชนไปแก้บนที่ศาล ภายหลังจึงแพร่หลายไปทั่วถึงศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน และศาลเจ้าสำคัญอื่น ๆ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าในสังคมไทยปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่มองทุกสิ่งทุกอย่างเพียงแต่   โลกนี้   ความมั่นคงในชีวิตอยู่เพียงแค่โลกนี้   โลกหน้าเป็นเรื่องไร้สาระ   พุทธจึงสู้ผีไม่ได้  ผีเป็นศาสนาคู่บ้านคู่เมืองมาก่อนพุทธ แล้วทำไมไม่มีการเสนอให้ผีเป็นศาสนาหลักในกฎหมายรัฐธรรมนูญบ้างล่ะ ทุกวันนี้ก็มีพุทธอยู่บ้าง แต่เป็นการเคลื่อนไหวอย่างเงียบ ๆ ของคนกลุ่มน้อยมากกว่า คือ บรรดาคนแก่หญิงและเด็กที่เข้าหาสำนักวิปัสสนากรรมฐานที่มีอยู่ในวัดพุทธเพียงเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่กระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ตามเอกเทศ  พุทธศาสนาเถรวาทจะสืบเนื่องต่อไปได้ก็เพียงการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้แหละ ศรีศักร  วัลลิโภดม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ป่าซาง ถิ่นผ้าฝ้ายทอมือ หรือชู้สาวงาม

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2550 หากย้อนกลับไปเมื่อ ๔๐ กว่าปีก่อน เสียงเพลงครวญหาสาวงาม  “ป่าซาง”  และธรรมชาติแห่งมนต์เมืองเหนือช่างเป็นดินแดนแสนงามแห่งความใฝ่ฝันของนักเดินทาง  เมื่อมาเยือนก็ยากที่จะลืมเลือน คนผ่านป่าซางต้องแวะซื้อผ้าฝ้ายพื้นเมืองและชื่นชมสาวงามป่าซางไปพร้อม ๆ กัน ป่าซาง ถือเป็นถิ่นที่มีการทำผ้าฝ้ายทอมือที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ซึ่งผ้าฝ้ายทอมือดังกล่าวเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของป่าซาง เนื่องจากกลุ่มที่ทำการทอผ้าฝ้ายทอมือนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวยอง โดยแต่เดิมพวกเขาทำการทอเพื่อใช้กันเองอยู่ที่บ้านหรือไม่ก็นำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งของที่ตนเองต้องการ ไม่ได้ทอเพื่อทำการซื้อขายแต่อย่างใด  การทอผ้าของชาวยองป่าซางในอดีต จะเป็นการทอผ้าฝ้ายไม่ใช่ผ้าไหมเหมือนในตัวเมืองลำพูนหรือป่าซางในปัจจุบัน  ในอดีตเป็นการทอที่เรียบง่ายไม่มีลวดลายที่สลับซับซ้อนหรือมีความวิจิตรแต่อย่างใด เพราะทำเพียงเพื่อใช้สอยเท่านั้น กระทั่งพระชายาเจ้าดารารัศมีได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องการทอผ้าไหมยกดอกที่พระองค์ได้เรียนรู้มาจากภาคกลาง ให้แก่เจ้าหญิงส่วนบุญ พระชายาเจ้าจักรคำขจรศักดิ์  และเจ้าหญิงลำเจียก ธิดาในเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ให้เป็นผู้เริ่มทำภายในคุ้มก่อน ต่อมาการทอผ้าไหมยกดอกจึงเริ่มแพร่หลายไปสู่สาธารณชนทั่วไป ทางป่าซางจึงหันมาปรับเปลี่ยนรูปแบบการทอผ้าให้มีความวิจิตรมากขึ้นด้วยเช่นกัน นั่นคือเริ่มมีการทอผ้าฝ้ายเป็นลายยกดอกนั่นเอง   โรงงานผ้าฝ้ายทอมือในป่าซาง เมื่อครั้งอดีตที่ปากบ่องยังเป็นอำเภอก่อนที่จะเป็นอำเภอป่าซาง เมื่อเวลาเปลี่ยนผ่านไป ความเจริญที่มีเข้ามาในป่าซางมีมากขึ้น กลุ่มชาวยองแถบป่าซาง ได้อาศัยประสบการณ์จากการที่เคยมีโอกาสติดต่อค้าขายในเส้นทางทั้งการค้าทางน้ำกับกลุ่มพ่อค้าชาวจีนที่มาจากกรุงเทพฯ ปากน้ำโพ เมืองระแหง และเส้นทางการค้าทางบกกับกลุ่มพ่อค้าไทยใหญ่ พ่อค้าจีนฮ่อที่มาจากเมืองทางตอนบน สามารถสะสมทุนจนสามารถพัฒนาไปสู่การเป็นเจ้าของกิจการการค้าอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะการผลิตและการค้าผ้า เช่น ตระกูลนันทขว้าง ตระกูลอุนจะนำ และตระกูลอังกะสิทธิ์  ตระกูลต่าง ๆ เหล่านี้จึงได้เข้ามารับซื้อผ้าที่ชาวบ้านทอถึงในหมู่บ้านแทบทุกที่ในป่าซาง ไม่ว่าจะเป็นหนองเงือก บ้านดอน บ้านกองงาม ฯลฯ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะนำไปขายริมถนนพหลโยธินในเขตเมืองป่าซาง ที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗  เชื่อมระหว่างกรุงเทพฯ กับเชียงใหม่ ตัดผ่านเถิน ลี้ บ้านโฮ่ง ป่าซาง และลำพูน การสร้างถนนสายดังกล่าวนี้เป็นไปตามแผนบูรณะประเทศในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม  จากการที่มีถนนพหลโยธิน สาย ๑๐๖ ดังกล่าว ทำให้เศรษฐกิจป่าซางเติบโตสูงสุด ทั้งการเปลี่ยนอำเภอจากที่ปากบ่อง มาเป็นตลาดป่าซาง รวมไปถึงการเกิดเป็นศูนย์กลางการค้าทางบก และกลายเป็นจุดแวะพักการเดินทางระหว่างเชียงใหม่ถึงกรุงเทพฯ ซึ่งการเป็นศูนย์กลางดังกล่าวได้มีการขายสินค้าของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าพื้นเมือง โดยเฉพาะผ้าฝ้ายทอมือซึ่งมีเป็นจำนวนมาก   การทอผ้าฝ้าย หนึ่งในวิถีชีวิตของชาวป่าซาง ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน  ที่ป่าซางเมื่อครั้งที่เจริญเติบโตสูงสุด ช่วงประมาณปี ๒๔๙๕-๒๕๒๐ นั้น ได้มีการค้าขายในรูปแบบห้างร้านขึ้นตามถนนในเขตตัวเมืองป่าซาง บนถนนป่าซางทั้งสองฟากฝั่งถนนจะละลานไปด้วยร้านค้าขายผ้าทอมือของชาวยอง หรือไทยใหญ่ เต็มไปด้วยรถทัวร์ที่มาจอดซื้อสินค้าและของฝากอีกเป็นจำนวนมาก ร้านค้าต่าง ๆ ในแต่ละร้าน ได้ทำการโฆษณาลูกค้าโดยการเปิดร้านโชว์การทอผ้าให้เห็นถึงกรรมวิธีการทอมือ ผู้ที่ทำการทอผ้าที่ร้านต่าง ๆ ก็คือชาวบ้านที่อยู่อาศัยตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในป่าซาง ซึ่งในอดีตครั้งที่ป่าซางรุ่งเรือง ชาวบ้านที่รับจ้างทอผ้าจะไม่มีการประจำร้านใดร้านหนึ่ง ชาวบ้านที่เป็นคนทอจะสามารถเปลี่ยนร้านทอไปแต่ละวันก็ย่อมได้ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเวลาและราคา   นางสาวสุธีรา ศรีสมบูรณ์  สาวป่าซางที่ได้รับเลือกเป็นนางสาวไทยเมื่อปี ๒๔๙๗ เป็นหนึ่งในสาวงามป่าซาง  ที่สร้างชื่อเสียงในกับป่าซาง และได้รับคำนิยามตามมาว่า “สาวงามป่าซาง” บ้านดอนหลวง ตำบลแม่แรง อำเภอป่าซาง ศูนย์กลางหัตถกรรมผ้าฝ้ายทอมือแห่งใหม่ของป่าซาง ที่มาแทนที่ตลาดสินค้าพื้นเมืองป่าซางในอดีต ส่วนวัตถุดิบ เช่น ฝ้าย นอกจากชาวบ้านจะทำการปลูกเองในพื้นที่บ้านของตน เมื่อการทอผ้ามีความสำคัญมากกว่าแค่การสวมใส่ หรือใช้ในชีวิตประจำวันเช่นอดีต ผู้ผลิตและผู้ประกอบการได้มีการสั่งซื้อฝ้ายมาจากที่ต่าง ๆ ทั้งเชียงใหม่และลำปางอีกทางหนึ่งด้วย เพื่อที่จะรองรับกับจำนวนสินค้าที่นักท่องเที่ยวต้องการในสมัยดังกล่าว  กี่ทอผ้าที่ใช้ทอจะเป็นกี่พื้นเมืองแบบกี่พุ่งกระสวย แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนเป็นกี่กระตุกบ้างเพื่อความรวดเร็ว และเพื่อให้ได้ในปริมาณที่มาก แต่การทอที่อยากจะได้ความประณีตจะต้องเป็นกี่พุ่งกระสวยเป็นสำคัญ  การที่ป่าซางในอดีตเป็นแหล่งพักของนักเดินทาง ประกอบกับการมีร้านค้าของฝาก ของที่ระลึกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผ้าฝ้ายทอมือ และมีการประกวดสาวงามลำพูนขึ้น จึงนำเอาสาวงามที่ได้รับรางวัลจากเวทีดังกล่าวมาเป็นผู้ประชาสัมพันธ์ให้กับร้านค้าที่มีมากในป่าซางขณะนั้น ไม่เพียงแต่ร้านค้าผ้าฝ้ายทอมือเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโรงแรม ร้านอาหาร ที่มีในตัวป่าซางด้วย เมื่อใครก็ตามที่เข้าไปแวะพักหรือเที่ยวชมตลาดป่าซาง ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องตลาดผ้าฝ้ายทอมือแล้ว ก็ย่อมที่จะได้ยิน ได้เห็นบรรดาสาวงามป่าซางที่เป็นประชาสัมพันธ์ในแต่ละร้าน  ความงามของสาวป่าซางโด่งดังและเป็นที่ยอมรับก็เริ่มตั้งแต่เมื่อปี ๒๔๗๘ ที่ร้านทอผ้าชื่อดัง “นันทขว้าง” ทำการส่งสาวงามเข้าประกวดสาวงามลำพูน อีกทั้งเมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๗ นางสาวสุธีรา ศรีสมบูรณ์ ซึ่งเป็นคนป่าซางได้รับเลือกเป็นนางสาวไทย จึงทำให้ความงามของสาวป่าซางเป็นที่โจษขานและมีชื่อเสียง ไม่เพียงเท่านี้จากการที่คุณสุรพล สมบัติเจริญ ได้เข้ามาเที่ยวชมป่าซาง และได้ประพันธ์เพลงถึงเสน่ห์ป่าซาง โดยเฉพาะสาวงาม ที่ว่า  “โอ โอ๊โอ ป่าซาง ดินแดนความหลังนี้ช่างมีมนต์ ใครได้ไปเยือนยากที่เลือนลืมได้สักคนคล้ายว่าป่านี้มีมนต์ดลหัวใจให้พี่ใฝ่ฝัน เพียงได้เห็นสาวเจ้าเพียงครั้งเดียว หัวใจโน้มเหนี่ยวรักเดียวแต่เจ้าเท่านั้น ยามเอ่ยอ้างน้ำคำเจ้าช่างฉ่ำหวาน นางเคยพร่ำสาบานว่าจะฮักกันบ่จืดจาง ลืมไม่ลง ลืมไม่ลง ลืมไม่ลงป่าซาง แม้นว่าดวงวิญญาณจะออกจากร่าง ถึงกายจะถูกดินฝัง ก็ลืมป่าซางไม่ลง...” และแล้วหลังปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นมา การพัฒนาทางหลวงสาย ๑๑ จากลำปางไปเชียงใหม่ หรือที่เรียกกันว่า ซุปเปอร์ไฮเวย์ ได้เสร็จสิ้นลง จึงทำให้การคมนาคมระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เปลี่ยนไปใช้ถนนสาย ๑๑ ดังกล่าวแทน โดยทั้งนี้หมายความว่ารถบัสรถทัวร์ต่าง ๆ ที่เคยวิ่งผ่านและแวะที่ป่าซาง จะไม่ได้ผ่านตัวเมืองป่าซางหรือทางหลวงสาย ๑๐๖ อีกแล้ว จึงส่งผลให้ภาวะทางเศรษฐกิจของพื้นที่ป่าซางเริ่มซบเซา มีการขยายตัวในด้านต่าง ๆ รวมถึงการทอผ้าที่ลดลง เมื่อเส้นทางเดินรถเปลี่ยนไป จึงเป็นเหตุและปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การทอผ้าในตัวป่าซางซบเซาลงด้วย และจากการที่ร้านผ้าซบเซาและลดจำนวนลง ต่างก็ส่งผลต่อบรรดาสาวงามที่อยู่ตามร้านค้าต่าง ๆ ด้วย ที่ต้องออกจากพื้นที่ป่าซางเพื่อไปหาอาชีพใหม่เลี้ยงปากท้องของตนด้วยเช่นกัน จากการที่ป่าซาง เป็นแหล่งทอผ้าฝ้ายชื่อดัง ความที่เป็นแหล่งทอผ้าดังกล่าว อาจจะลดปริมาณลงแต่กลับไม่ได้สูญหายตามกาลเวลาและความเงียบเหงาของตัวป่าซาง เพียงแต่ถูกเปลี่ยนสถานที่จากอดีตที่มีการค้าขายผ้าฝ้ายทอมือ บริเวณถนนป่าซาง ในปัจจุบันมีการก่อตั้งกลุ่มทอผ้าฝ้ายขึ้นในชุมชนบ้านดอนหลวง ตำบลแม่แรง อำเภอป่าซางแทน ลักษณะการผลิตก็เปลี่ยนไป เดิมทีจะมีการทอเป็นผืนขายในร้าน แต่ปัจจุบันนอกจะมีการทอขายเป็นผืนขนาดใหญ่แล้ว ยังมีการประดิษฐ์ให้เป็นของใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อีกด้วย เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ผ้าคลุม หมวก ฯลฯ   และในส่วนของสาวงามป่าซางนั้น ดูเหมือนปัจจุบันสิ่งดังกล่าวยังไม่เลือนไปจากใจของนักท่องเที่ยวและชาวป่าซางเมื่อหลายสิบปีก่อนนัก แต่ทว่าป่าซางในปัจจุบันมิใช่มีเพียงแต่สาวงามแต่กลับมีทั้งคนหนุ่ม คนสาว ผู้เฒ่าผู้แก่ ที่พยายามผลักดันให้ป่าซางกลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอีกครั้ง  เหมือนพิมพ์   สุวรรณกาศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • โคตรวงศ์กับความเป็นไทย กรณีตระกูลบุนนาค

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2550 เหตุอย่างหนึ่งของรากเหง้าความขัดแย้งในสังคมไทยทุกวันนี้ก็คือเรื่อง ความเป็นคนไทย ที่มักใช้เป็นข้ออ้างในเรื่องสิทธิของการเป็นประชาชนชั้นที่หนึ่ง เพื่อเอารัดเอาเปรียบคนด้อยโอกาสในเรื่องการแย่งชิงทรัพยากรและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ  ความเป็นคนไทยทุกวันนี้มีฐานของคำอธิบายจากประวัติศาสตร์รัฐ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์แนวตั้งและเชิงเดี่ยวที่เจ๊กกบฏผู้เป็นกุนซือของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นเผด็จการทางวัฒนธรรมแต่งขึ้น ใช้เล่นละครปลุกกระแสชาตินิยมและกำหนดให้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนจนถึงชั้นอุดมศึกษาของประเทศที่ยังทรงอิทธิพลมาจนทุกวันนี้  ตราประจำตัวสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ตราสุริยมณฑลแบบไทย การเป็นประวัติศาสตร์แนวตั้งและเชิงเดี่ยวเช่นนี้ ความสำคัญอยู่ที่การกำหนดความเป็นคนไทยจากชาติพันธุ์เดียว [Ethnicity] ในลักษณะที่เป็นเชื้อชาติ [Race] คือ ชาติพันธุ์ที่สืบเชื้อสายกันมาจากสายเลือดที่ผิดความเป็นมนุษย์ในทางวิทยาศาสตร์ เพราะในพัฒนาการทางสังคมของมนุษยชาตินั้น การสืบเนื่องของความเป็นคนที่เป็นสัตว์สังคมนั้นหาได้มาจากสายพันธุ์เดียวไม่ หากเกิดจากทั้งการสืบสายเลือด [Blood Tie] หรือ [Agnatic Relationship] กับการดองกันทางการแต่งงาน [Affiant Tie] หรือ [Cognatic Relationship] โดยเฉพาะความสัมพันธ์จากการกินดอง [Cognatic Relationship] นี้ ทำให้การแต่งงานเป็นสถาบันสากลของมนุษยชาติ การแต่งงานเป็นกิจกรรมทางสังคมที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ที่มีแต่การสมสู่และสำส่อนอย่างเช่นคนไทยรุ่นใหม่ประพฤติกันในทุกวันนี้ ประวัติศาสตร์แนวตั้งและเชิงเดี่ยวที่กล่าวมาแล้วได้กลายเป็นตำนานที่คนส่วนใหญ่ในชาติ เชื่อว่าเป็นจริง  และใช้อ้างอิงในการอธิบายความเป็นคนไทยของตนเรื่อยมา พลังของประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับนโยบายเชื้อชาตินิยมในการเปลี่ยนชื่อ ประเทศสยาม  ที่เคยมีมาแต่เดิมเป็น ประเทศไทย  เพราะเอาชาติพันธุ์เดียว คือ  ไท  เป็นตัวกำหนด แตกต่างไปจากสมัยก่อนที่มีมาแต่สังคมศักดินาสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มองคนกับดินแดนเป็นสำคัญ ทำให้ผู้คนในประเทศที่หลากหลายทางชาติพันธุ์มีสำนึกร่วมของการอยู่ในแผ่นดินเดียวกันในนามของชนชาติสยาม  สยามเทศะมีมาแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ เพื่อแสดงให้เห็นถึงพื้นที่ทางการปกครองและวัฒนธรรม ท่ามกลางความหลากหลายของดินแดนที่เป็นบ้านเมืองอื่นๆ เช่น รามัญเทศะ กัมพูชาเทศะ ชวา มลายู และอื่น ๆ อย่างไรก็ตามความต่างกันของคนกับดินแดนในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง  รากฐานของการมีผู้คนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์อยู่รวมกันในประเทศเดียวก็คือ ประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และพม่า ซึ่งไม่สามารถบูรณาการความเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้สนิทแน่นเท่ากับประเทศสยาม จึงมีลักษณะที่นักวิชาการประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์ยุคก่อน ๆ เรียกสังคมของประเทศเหล่านั้นว่า สังคมพหุลักษณ์ [Heterogeneous] ต่างไปจากสังคมประเทศสยามที่เป็นสังคมเอกลักษณ์ [Homogeneous] เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะประเทศที่เป็นสังคมพหุลักษณ์นั้นมักเอาชาติพันธุ์หนึ่งมากำหนดให้เป็นคนชั้นสำคัญของประเทศ เช่น อินโดนีเซียให้ความสำคัญกับชาติพันธุ์ชวามากกว่าชาติพันธุ์อื่น ๆ หรือประเทศพม่าแต่เดิมก็เน้นชาติพันธุ์พม่าเหนือชาติพันธุ์อื่นที่เป็นมอญ ไทใหญ่ กะเหรี่ยง ยะไข่ อะไรทำนองนั้น  แต่สังคมสยามได้สร้างระบบศักดินาหรือขุนนางขึ้นมาให้เป็นชาติพันธุ์พิเศษที่เรียกว่า คนไทย  หาใช่ยกชาติพันธุ์ไทมาเป็นใหญ่เหนือชาติพันธุ์อื่นไม่ เข้าใจว่าการเป็นคนไทยนั้นเน้นอยู่ที่การใช้ภาษาไทเป็นภาษากลางที่สำคัญเป็นเรื่องใหญ่ ระบบศักดินา  คือ แก่นแท้ของการบูรณาการคนจากชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาในสยามประเทศซึ่งสามารถทำความเจริญให้แก่บ้านเมืองได้มาเป็นขุนนาง ข้าราชการ เป็นชนชั้นผสมที่เรียกว่า  คนไทย  หาใช่เป็นชาติพันธุ์  ไท ไม่ นี่คือที่มาของคำว่าคนไทยที่มียอยักษ์กับคนไทที่ไม่มียอยักษ์  ความเป็นคนไทยแบบนี้มีมาแล้วแต่สมัยอยุธยาตอนปลายที่ในจดหมายเหตุของพวกฝรั่งบันทึกไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงบอกว่าพระองค์ทรงเป็นคนไทย  ยิ่งกว่านั้นพวกฝรั่งยังได้บันทึกตำนานความเป็นมาของปฐมกษัตริย์ไทยที่มาจากเมืองนครไทยและเมืองเพชรบุรีไว้ด้วย ซึ่งก็แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของผู้คนระหว่างบ้านเมืองต่าง ๆ ทั้งที่มาจากภายในทางส่วนบนของประเทศและที่มาจากถิ่นฐานบ้านเมืองชายทะเล เช่น นครศรีธรรมราช กุยบุรี เพชรบุรี เป็นต้น  อันเรื่องราวของปฐมกษัตริย์ในตำนานนี้ ถ้าตีความกันทางมานุษยวิทยาก็ต้องเข้าใจว่าหาใช่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนจริงไม่ หากเป็นผู้นำวัฒนธรรมซึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อว่าเป็นจริง อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่สร้างขึ้นจากความทรงจำของคนในยุคหลังที่ไม่สามารถบ่งบอกเวลาที่แน่นอนได้ เพราะเป็นเรื่อง เล่าขาน กันลงมา ต่อเมื่อมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์ลงในสมุดข่อยหรือใบลานโดยพวกพระสงฆ์หรือผู้ที่เป็นปราชญ์แล้ว จึงได้มีการใส่เวลาวันเดือนปีกันขึ้น  เรื่องราวของผู้นำวัฒนธรรมนี้เป็นของส่วนรวม แต่มีการปรุงแต่งให้มีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามพื้นที่ พื้นถิ่น จนไม่สามารถบอกได้ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่เดิมนั้นเป็นอย่างไร  ความเป็นคนไทยนับว่าเป็นผลผลิตที่สร้างขึ้นในสังคมศักดินาที่มีมาแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นยุคที่มีการปกครองแบบรวมศูนย์เป็นราชอาณาจักรสยาม จำเป็นต้องสร้างระบบราชการ [Bureau crazy] ขึ้นมาเป็นเครื่องมือ ทำให้บุคคลที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ ทั้งสูงและต่ำต้องมีสถานภาพ ตำแหน่ง ฐานะ สิทธิ และอำนาจแน่นอนในกรอบแบบแผน บุคคลเหล่านี้นับเนื่องในชนชั้นปกครองที่ต่างไปจากประชาชนทั่วไปที่เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน  ระบบราชการศักดินามีอะไรที่คล้าย ๆ กับระบบขุนนางจีนในการเลือกคนดีเข้ารับราชการ แต่ต่างกันในแง่ที่จีนมีระบบการสอบที่เรียกกันว่า จอหงวน  แต่ทางอยุธยาเลือกจาก หนึ่ง  คนที่ใกล้ชิดมีเทือกเถาเหล่ากอที่ไว้ใจได้กับ สอง  คนที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม โดยไม่คำนึงถึงความเป็นมาทางชาติพันธุ์ โดยเหตุนี้สังคมสยามจึงมีช่องทางและบันไดที่ทำให้คนต่างชาติต่างถิ่นเข้ามาเป็นข้าราชการขุนนางในนามของคนไทยได้ ความเป็นคนไทยนี้แท้จริงแล้วมีรากเหง้ามาจากพัฒนาการทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองและผู้คนแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ ลงมา ที่เรียกรวม ๆ ว่า สมัยทวารวดี อัตลักษณ์ของสมัยทวารวดีและสังคมทวารวดีนั้น คือ การนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทหรือหินยานเป็นหลัก แม้ว่าต่อมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ เรื่อยมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จะมีศาสนาฮินดูแลพุทธมหายานตันตริกเข้ามาผสมผสานด้วยก็ตาม แต่แก่นแท้ก็ยังเป็นเถรวาทนั่นเอง ซึ่งแลเห็นได้จากพระพุทธรูปแบบทวารวดี อู่ทอง สุโขทัย เชียงแสน และอยุธยาตามลำดับ รวมทั้งคติการเป็นพระสมมุติราชของพระมหากษัตริย์ที่สะท้อนมาจากกฎหมายตราสามดวง ลิลิตโองการแช่งน้ำ ไตรภูมิ และทศชาติ เป็นต้น  ดังนั้น เมื่อมีการรวมนครรัฐที่แต่ล้วนเป็นอิสระในดินแดนสยามประเทศเป็นราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ นั้น พระพุทธศาสนาเถรวาท ก็คือ ศาสนาหลักของชนชาติสยามประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือ มีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงจากเดิมสมัยทวารวดีมาเป็นพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ สำหรับผู้คนที่อยู่ในดินแดนสยามนี้ก็หาได้เป็นแบบเดิม กลุ่มเดิม ที่มีมาแต่สมัยทวารวดีไม่ หากมีกลุ่มใหม่หลายชาติพันธุ์และถิ่นฐานเคลื่อนย้ายเข้ามา  ทว่า ท่ามกลางความหลากหลายทางชาติพันธุ์ดังกล่าวนี้ ผู้คนในสยามประเทศเลือกใช้ภาษาไทเป็นฐานในการสร้างภาษากลางเพื่อสื่อสารกันเองและรวมไปถึงการสังสรรค์กับคนภายนอกด้วย ทั้งพุทธเถรวาท ทั้งภาษาไท และระบบศักดินา ทั้งหลายอย่างนี้คือ สิ่งที่ทำให้ผู้คนมีการผสมผสานและบูรณาการความเป็นไทยขึ้น ดังนั้น หากพูดกันถึงความเป็น  คนไทย แล้ว ก็จะต้องมองไปในเรื่องบูรณาการอันเกิดจากพระพุทธศาสนาเถรวาทที่มีมาแต่สมัยนครปฐมทวารวดี การใช้ภาษาไทเป็นภาษากลางที่ผู้คนในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ เกือบทั้งประเทศใช้สื่อสารกัน และสุดท้าย คือ ระบบศักดินาที่มีมาแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง คือ ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา  สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ คำว่า “ไทย”  มีปรากฏในจารึกสุโขทัยแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ในลิลิตยวนพ่าย พุทธศตวรรษที่ ๒๑ และในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๓ คือ สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ก็มีปรากฏในเอกสารบันทึกของชาวฝรั่งเศสและบันทึกของโกษาปานตอนไปฝรั่งเศสที่พูดถึงกรุงไทยและพระมหากษัตริย์ไทย ความเป็นคนไทยดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในดินแดนสยามประเทศที่เป็นมาตุภูมิ ที่แม้จะมีคนต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อมาอยู่รวมกันตั้งแต่สามชั่วคนขึ้นไป เกิดลูกหลานเป็นเหล่าเป็นกอแล้ว ความเป็นคนไทยก็เกิดขึ้นในสำนึก ครั้นถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย ราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๓ ลงมา บ้านเมืองรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติ มีชนต่างชาติหลากหลายเผ่าพันธุ์เข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานเป็นแผ่นดินเกิดของลูกหลาน พระมหากษัตริย์และสังคมสยามก็หารังเกียจไม่ ยินดีที่จะให้ความสะดวกสบายและต้อนรับให้เป็นประชาชนพลเมือง  ดังที่ ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. อคิน รพีพัฒน์  นักมานุษยวิทยาอาวุโสได้อธิบายไว้ว่าสังคมไทยสมัยก่อนต้องการคนจากถิ่นต่าง ๆ เพื่อเอามาเป็นพลเมือง การมีกำลังคนมาก คือ สิ่งที่รัฐต้องการ แต่รัฐสยามก็มองอะไรสูงกว่านั้นก็คือ การเลือกเฟ้นและต้อนรับคนต่างชาติต่างถิ่นที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ มาช่วยราชการหน้าเมือง เหตุนี้จึงมีบรรดาขุนนางข้าราชการที่เป็นคนต่างชาติเข้ามาเป็นขุนนางดำรงตำแหน่งทั้งสูงและต่ำมากมาย คนเหล่านี้และลูกหลานก็คือ คนไทยนั่นเอง   สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ สภาพของสังคมไทยสมัยอยุธยาตอนปลายนี้ยังแตกต่างไปจากสมัยก่อน ๆ โดยสิ้นเชิง เพราะมีจำนวนประชากรมากขึ้นอันเนื่องจากมีคนกลุ่มใหม่ ๆ ย้ายเข้ามาผสมผสาน มีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ การค้าขายทางทะเลที่ทำให้วิถีชีวิตและรูปแบบของการเป็นอยู่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่ง อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์  ให้ภาพรวม ๆ ว่าเป็น วัฒนธรรมกฎุมพี  คือ เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นแทนที่จะมีเพียงชนชั้นปกครองและชนชั้นผู้ถูกปกครองเหมือนแต่เดิม มามีชนชั้นกฎุมพีแทรกอยู่ระหว่างกลางในลักษณะที่ผสมผสานกับทั้งทางชนชั้นล่างและชั้นบน ชนชั้นกฎุมพีนี้คือ ที่มาของชนชั้นกลางที่ปรากฏตัวอย่างเห็นชัดแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา ข้าพเจ้าคิดว่าชนชั้นกฎุมพีนี่แหละคือ คนไทย  และบรรดาขุนนาง ข้าราชการที่เป็นเจ้าขุนมูลนายเป็นจำนวนมากก็คือ ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ชาวต่างชาติที่ดำรงตำแหน่งสูง ๆ และสำคัญของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นแขก เจ๊กจีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น ชวา มลายู อะไรต่าง ๆ หลายคนกลายเป็นต้นโคตรหรือผีเก๊าของตระกูลขุนนางสำคัญ ๆ ที่นับชื่อเสียงเรียงนามอย่างสืบเนื่องในสังคมสมัยรัตนโกสินทร์ ตระกูลขุนนางที่สำคัญและมีอำนาจและบารมียิ่งใหญ่ของกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ ลงมาจนถึงรัชกาลที่ ๕ คงไม่มีใครเกิน ตระกูลบุนนาค  ซึ่งในปัจจุบันมีประวัติและตำนานการสืบเชื้อสายกันมานาน กล่าวได้ว่ามีลักษณะเป็น โคตรวงศ์  สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย คำว่าโคตรวงศ์นี้เปรียบคล้ายๆ กับคำว่า “แซ่” [Clan] ในสังคมจีนที่อ้างถึงการสืบเชื้อสายมาจากต้นโคตร ซึ่งสามารถสืบเชื้อสายทางฝ่ายพ่อแต่ละรุ่นแต่ละยุคสมัยได้อย่างค่อนข้างชัดเจน แต่ของคนไทยในสังคมกฎุมพีนั้น คนที่เป็นต้นโคตรถึงแม้ว่าจะมีตัวตนจริงแต่การสืบเชื้อสายนั้นไม่ชัดเจน เพราะอาจจะนับทางฝ่ายพ่อหรือแม่ก็ได้ อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างตัวโคตรกับบุคคลที่เป็นต้นตระกูลนั้นไม่ชัดเจนและเล่าผ่านคำบอกเล่าที่เป็นตำนาน  ในกรณีตระกูลบุนนาคนั้น เชื่อว่าต้นโคตร คือ  ท่านเฉกอะหมัดหรือเจ้าพระยาบวรราชนายก  อัครเสนาบดีสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นแขกเปอร์เซียที่เป็นพ่อค้ามาค้าขายที่กรุงศรีอยุธยา ได้เข้ามารับราชการดำรงตำแหน่งสำคัญในเรื่องการค้าทางทะเลและการเมืองการปกครองในเขตหัวเมืองชายทะเลไปจนถึงภาคใต้  โดยย่อก็คือเป็นขุนนางคนสำคัญที่คุมกำลังคนและกิจการต่าง ๆ ทางกลาโหมและกรมท่า ที่มีลูกหลานสืบเชื้อสายกันต่อมา คนหนึ่งในเชื้อสายของท่านเฉกอะหมัดก็คือ นายบุนนาค ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับนายบุญมา ผู้มีตำแหน่งเป็นนายสุดจินดา หุ้มแพร มหาดเล็กของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศและเป็นสามีของท่านนวลผู้เป็นน้องสาวของท่านนาค ภริยาของนายทองด้วงผู้มีตำแหน่งเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ในสมัยรัชกาลที่ ๑ นายบุญมาก็คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท และนายทองด้วงก็คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และนายบุนนาคก็คือ เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา สมุหพระกลาโหม ผู้ควบคุมทั้งการค้าทางทะเลและการทหาร การปกครองทางหัวเมืองชายทะเลและภาคใต้ นับเป็นต้นตระกูลบุนนาค ลูกหลานของเจ้าพระยาอรรคมหาเสนาจึงมีฐานะเป็นราชินิกุลเป็นที่สนิทชิดเชื้อกับพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ ได้รับใช้และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งขุนนางสำคัญของแผ่นดินเรื่อยมา  จากเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) มาถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ เชื้อสายของตระกูลบุนนาคสองท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็น สมเด็จเจ้าพระยาฯ สองท่านที่นับเป็นตำแหน่งขุนนางที่สูงสุดในแผ่นดิน คือ  สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ อนุสรณ์สำคัญของสมเด็จเจ้าพระยาทั้ง ๒ ท่านนี้ก็คือ วัดประยูรวงศ์และวัดพิชัยญาติ  ที่เป็นวัดสำคัญสร้างในย่านที่อยู่อาศัยของคนในตระกูลบุนนาคตรงปากคลองบางหลวงและคลองสาน ฝั่งธนบุรี  ในเรื่องเล่าขานกันในตระกูลบุนนาคยุคนี้แยกออกเป็น ๒ วงศ์คือ สุริยวงศ์  ของสมเด็จเจ้าพระยาองค์พี่และ จันทรวงศ์  ของสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อง ครั้นตอนปลายสมัยรัชกาลที่ ๔  ต้นรัชกาลที่ ๕ ก็เกิดสมเด็จเจ้าพระยาอีกท่านหนึ่งคือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)  ผู้เป็นบุตรชายของสมเด็จเจ้าพระยาองค์พี่ ตอนปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ ตระกูลบุนนาคมีบทบาทสำคัญที่สุดทางการเมืองในการสืบราชบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์ อันเนื่องมาจากกลุ่มอำนาจในแผ่นดินแยกออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มวังหลวงของรัชกาลที่ ๓ กลุ่มของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ และกลุ่มบุนนาคของสมเด็จเจ้าพระยาสองพี่น้อง กลุ่มตระกูลบุนนาค คือ ผู้ที่ดำเนินการทั้งการขจัดความขัดแย้งที่จะทำให้เกิดความรุนแรงและในขณะเดียวกันก็รักษาอำนาจของตนเองไว้ ด้วยการเป็นผู้ทูลเชิญสมเด็จเจ้าฟ้ามหามงกุฎ ซึ่งผนวชเป็นพระสงฆ์ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๔ และประนีประนอมกับกลุ่มของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ด้วยการยอพระยศเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒ มีวังหน้าเป็นพระราชสถาน  ทั้งวังหน้าและวังหลวงต่างก็มีความสัมพันธ์กินดองเป็นเครือญาติกับตระกูลบุนนาคด้วยกัน โดยเฉพาะทางวังหลวงนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงขอท่านเจ้าคุณแพ ผู้เป็นหลานสาวของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ให้เป็นพระชายาองค์แรกของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจุฬาลงกรณ์พระบรมราชโอรส ผู้ต่อมาเสวยราชเป็นรัชกาลที่ ๕ ท่านเจ้าคุณแพก็ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ เจ้าจอมองค์แรกของรัชกาลที่ ๕  ในขณะที่ทางวังหน้า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงสนิทสนมกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นพิเศษ ถึงกับทรงให้พระราชโอรสองค์โต คือ พระองค์เจ้ายอร์จวอชิงตัน มาเรียนฝึกราชการกับสมเด็จเจ้าพระยา  เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคตได้ทรงตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพราะสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจุฬาลงกรณ์ผู้เสวยราชสมบัติยังทรงมีพระชันษาน้อยอยู่ เพื่อขจัดความขัดแย้งระหว่างวังหน้ากับวังหลวง สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้ทูลเสนอให้แต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่งปิโยรสหรือยอร์จวอชิงตัน พระโอรสในสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ดำรงตำแหน่งเป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ก็ดูไม่เป็นที่สบอารมณ์ของพวกวังหลวง เพราะแลเห็นว่าทางวังหน้าต่ำศักดิ์กว่า ทำให้สมเด็จเจ้าพระยาฯ ต้องแสดงอำนาจเด็ดขาดด้วยการปราม จึงสงบไป แต่ความรู้สึกขัดเคืองก็ยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นการขัดแย้งทั้งในเรื่องอำนาจและความคิดที่เป็นช่องว่างระหว่างวัย [Generation Gap]  สมเด็จเจ้าพระยาฯ นั้น นับเป็นผลผลิตของคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าที่พยายามเรียนรู้วิชาการทางตะวันตกในด้านต่างๆ ไม่ว่าการต่อเรือ การสร้างถนน การขุดคลอง และกิจกรรมทางพาณิชย์ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการขุดคลอง การสร้างถนน สถานที่ทำการรัฐบาล วังและวัดในจังหวัดราชบุรีและอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองการปกครองแบบตะวันตก สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็เรียนรู้แบบที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่า ให้เรียนรู้เข้าใจแต่อย่าเลื่อมใส ตรงนี้เองที่ทำให้คนรุ่นสมเด็จเจ้าพระยาฯ แตกต่างไปจากคนรุ่นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะคนรุ่นหลังนี้ดูเหมือนหายใจเข้าออกเป็นตะวันตกไปหมด ขุนนางและเจ้านายที่เป็นคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะฝายวังหลวงนี้เองที่ทำให้ความขัดแย้งกับวังหน้าและกับสมเด็จเจ้าพระยาฯ บานปลาย เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในวังหลวง ทางวังหน้าต้องเข้ามาช่วยดับไฟ เพราะกองกำลังต่าง ๆ ในการป้องกันพระนครนั้นอยู่ที่วังหน้า สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ เสด็จคุมกองกำลังมาช่วยดับไฟ แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏเพื่อเข้ามายึดอำนาจ ทำให้ในที่สุด กรมพระราชวังบวรฯ ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ในสถานทูตฝรั่ง เลยทำให้สมจริงกับคำกล่าวหาและข่าวลือ ซึ่งทางวังหลวงก็ทำอะไรไม่ได้ ในที่สุดรัชกาลที่ ๕ ต้องเชิญสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ทางวังหน้าเคารพนับถือมาช่วยไกล่เกลี่ย เหตุการณ์จึงสงบได้   อันความขัดแย้งระหว่างวังหน้าและวังหลวงเช่นนี้ ถ้าหากสมเด็จเจ้าพระยาฯไม่รับช่วย และหาโอกาสซ้ำเติมเพื่อประโยชน์ของท่านเองแล้ว ก็คงจะบานปลายเป็นผลร้ายแก่บ้านเมืองเป็นแน่แท้ เพราะถ้าเอาเข้าจริง ๆ กองกำลังของทางวังหลวงคงไม่อาจเอาชนะกำลังข้างฝ่ายวังหน้าและฝ่ายตระกูลบุนนาคได้ นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณธรรมของสมเด็จเจ้าพระยาฯ เองที่แลเห็นประโยชน์และความสุขของส่วนรวมในฐานะที่ท่านเป็นคนไทย ตระกูลบุนนาคนั้นเมื่อนับย้อนหลังไปถึงเจ้าโคตร คือ ท่านเฉกอะหมัด แล้วก็หาใช่คนไทยไม่ หากเป็นแขกที่มาจากเปอร์เซีย มีเชื้อสายสืบมาหลายสาย บางสายยังนับถือศาสนาอิสลามอยู่แต่สายที่มาเป็นตระกูลบุนนาคได้ นั่นคือ พวกที่เข้ามารับราชการเป็นขุนนางและเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา เรานับเป็นตระกูลหนึ่งที่มีบทบาทในการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างสำคัญด้วย  แต่ความเป็นคนไทยของคนในตระกูลบุนนาคนั้นก็หาได้เป็นอยู่เพียงตระกูลเดียวไม่ หากยังมีตระกูลอื่น ๆ ที่เป็นขุนนางที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าโคตรที่เป็นเจ๊ก ฝรั่ง ญวน ลาว และเขมร  แม้แต่สมัยรัชกาลที่ ๖ เอง การที่คนต่างชาติกลายเป็นคนไทยดังกล่าวนี้ก็มีอยู่ อย่างเช่นในครอบครัวของเจ๊กหลาย ๆ ครอบครัวที่มีลูกหลายคน ลูกคนที่เข้ารับราชการมักได้รับการยกย่องว่าเป็นคนไทย แต่คนอื่นที่ไม่เป็นข้าราชการก็มักเรียกเจ๊กกันอยู่ ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ ลูกเจ๊กหลานเจ๊กมากมาย เรียนสูง เรียนนอก เข้ารับราชการเป็นเจ้ากระทรวง ทบวง กรม ก็มาก  กลายเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี และนักธุรกิจใหญ่ ๆ ก็มาก กลายเป็นคนไทยไปหมด  ดังเห็นได้จากเปลี่ยนชื่อแซ่มาใช้นามสกุลที่มีภาษาบาลีสันสกฤต สมาสกันเป็นวลียาว ๆ บุคคลเหล่านี้ที่ดีมีคุณธรรมก็มาก แต่ที่เลวเป็นพวกเจ๊กกบฏก็มาก เพราะหาได้เป็นคนไทยแบบสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์แห่งตระกูลบุนนาคไม่ ที่มองเห็นความสำคัญของส่วนรวมของประเทศชาติมากกว่าผล ประโยชน์ส่วนตัวและของพรรคพวกพี่น้อง ข้าพเจ้ามีความสะใจเป็นอย่างมากที่มีการยุบพรรคการเมืองที่เคยเป็นใหญ่ในแผ่นดินเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพราะมีนักการเมืองเป็นจำนวนมากที่เป็นเจ๊กกบฏที่หวังส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม ศรีศักร  วัลลิโภดม อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • Desa Buntu ชุมชนในชวา

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ส.ค. 2550 Desa Buntu หมู่บ้านบนที่ราบสูงเดียง เกาะชวาในประเทศอินโดนีเซียมีลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์ซึ่งสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานและการจัดรูปแบบโครงสร้างของสังคมของผู้คนทั้งพื้นที่ราบและที่สูง เพราะในเกาะรูปทรงยาว ๆ รี ๆ นั้นมีพื้นที่สูงซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของภูเขาไฟอยู่กึ่งกลางในแนวตะวันออกและตะวันตก เป็นพื้นที่ซึ่งอ่อนไหวต่อการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และคลื่นยักษ์อย่างสึนามิ   ในความรุนแรงและโหดร้ายของธรรมชาติ อีกด้านหนึ่งแผ่นดินชวาเต็มไปด้วยแร่ธาตุและความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้ำ ทำให้มีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานปักหลักอาศัยอยู่ในเกาะชวาอย่างยาวนานและหนาแน่น จนกลายเป็นดินแดนที่มีจำนวนประชากรต่อพื้นที่แออัดมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกยุคปัจจุบัน คนไทยเราคุ้นเคยกับความเจริญทางวัฒนธรรมของชาวชวาผ่านนิทานเรื่องเล่าที่กลายมาเป็นวรรณคดีสำคัญ เช่น พระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาที่เกี่ยวกับวงศ์ [Wong] หรือกลุ่มคนตามสายตระกูลและลำดับชั้นต่าง ๆ เพลงไทยทำนองยะวาหรือชวา เสื้อและผ้านุ่งหรือโสร่งที่ทำจากผ้าบาติก ดอกไม้หอมต่าง ๆ อีกทั้งมีคำชวาที่เป็นทั้งคำชวาและสันสกฤตอยู่ในภาษาไทยอีกจำนวนไม่น้อย วัฒนธรรมชวาจึงมีรากเหง้ายาวนาน ผ่านยุครุ่งเรืองของการเป็นศูนย์กลางของเมืองท่าที่เชื่อมวัฒนธรรมทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก มีภาษาและอักษรเป็นของตัวเอง มีระบบการปกครองที่แยกออกเป็นกลุ่มอิสระมากมาย และมีโครงสร้างละเอียดซับซ้อน แม้กระทั่งโครงสร้างในระดับชุมชนหมู่บ้าน สภาพภูมิศาสตร์แบบชวานี่เองที่ทำให้ยุครุ่งเรืองทั้งอาณาจักรมัชปาหิตและมะตะรัมมีช่วงเวลาอยู่เพียงไม่นาน เพราะการรวบรวมเอาบ้านเมืองต่าง ๆ ในเกาะชวาเข้าไว้ด้วยกันกลายเป็นเรื่องยากจากการแบ่งแยกสภาพภูมิประเทศเป็นตะวันตก กลาง และตะวันออก ทั้งยังแบ่งแยกด้วยกลุ่มภูเขาไฟและเขาสูงที่มีอยู่ทั่วไป จึงเห็นได้ว่าชุมชนเก่าแก่แยกกันอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ อย่างกระจัดกระจาย ต่างไปจากเมืองศาสนสถานสำคัญของบ้านเมืองในภาคพื้นทวีป น่าเสียดาย วัฒนธรรมชั้นสูงของชวากลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมในช่วงเวลาที่ยาวนานทั้งการขยายตัวของวัฒนธรรมในศาสนาอิสลาม การเลือกเอาภาษาราชการหรือภาษากลางหลังประกาศเอกราชเป็นภาษามลายู [Bahasa Indonesia] เหตุผลทางการเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้วัฒนธรรมแบบชวาค่อย ๆ ถดถอยและปรับเปลี่ยนไปจากรากเหง้าดั้งเดิมมาก ชุมชนในเกาะชวามีความน่าสนใจเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับชุมชนในประเทศไทย โดยเฉพาะการศึกษาโครงสร้างทางสังคมของหมู่บ้าน การเปลี่ยนแปลงและการดำรงรักษารูปแบบโครงสร้างอันเก่าแก่แบบสังคมชวา ซึ่งมีระบบ กฎเกณฑ์ อย่างมั่นคง และมีการแบ่งแยกหน้าที่กันอย่างชัดเจน จนอาจกล่าวได้ว่าการศึกษาชุมชนหมู่บ้านในชวาคือหัวใจของ “ความเป็นชวา” ไม่น้อยไปกว่าอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมด้านอื่น ๆ เช่นดนตรี ศิลปะร่ายรำ วรรณคดี และการทำผ้าบาติกทีเดียว ที่ชวาภาคกลาง นอกจากเมืองย็อคยาการ์ตาที่มีศาสนสถานอันยิ่งใหญ่ทางพุทธศาสนาอย่างบูโรพุทโธและวิหารฮินดูอย่างปรัมบนัมแล้ว เมืองสำคัญและน่าศึกษาถึงชีวิตผู้คนชาวชวาที่มีสุลต่านอันเป็นเครือญาติและรุ่งเรืองควบคู่กันมากับเมืองย็อคยาการ์ตาคือสุรการ์ตาหรือโซโล ถัดไปคือเมืองลาวูที่มีศาสนสถานฮินดูแบบพื้นเมืองบนภูเขาใกล้ภูเขาไฟลาวูอย่างจันทิเซโตะและจันทิสุกุ บนพื้นที่สูงเช่นนี้การเพาะปลูกในพื้นที่ไหล่เขาและที่ราบ ตลอดจนหมู่บ้านที่ทั้งมีตลาดและไม่มีตลาดผสมผสานอยู่ร่วมกัน โดยการจัดการใช้พื้นที่อย่างละเอียดคุ้มค่า ไม่ปล่อยให้เว้นว่างแม้แต่น้อย รวมทั้งระบบชลประทานก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ว่ามีความสำคัญมากต่อการเพาะปลูกเช่นนี้ หัวหน้าหมู่บ้านบุนตูที่ได้รับตำแหน่งจากการเลือกตั้งคือคนขวา ยืนอยู่หน้าลานบ้านของตนเอง อีกด้านหนึ่งของภูเขาไฟลาวูและมาลาปีคือที่ราบสูงเดียง [Dieng Plateau] เป็นที่ราบสูงที่เกิดจากกลุ่มภูเขาไฟเดียง ตั้งอยู่ใกล้เมือง Wonosobo ซึ่งมีศาสนสถานของฮินดูอายุราวคริสต์ศตวรรษที่ ๗ และ ๘ เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในชวาตอนกลาง ความสูงไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล และบริเวณโดยรอบมีหมอกควัน กลิ่นก๊าซกำมะถัน ทะเลสาบสีเขียวมรกต ในความคิดของชาวชวาโบราณจึงเป็นสถานที่สถิตของพระเจ้ามากกว่าเป็นที่อยู่ของมนุษย์ การ เกี่ยวข้าวใช้แรงงานจำนวนมากและเครื่องมือแบบง่ายๆ แต่ใช้ระบบการชลประทานที่ดีมากบนพื้นที่ของเมืองลาวู วิหารวัชระภูมี มันดาระ ปุตรา ของชาวบ้านที่นับถือพุทธศาสนามีสัญลักษณ์บนยอดหลังคาเป็นเจดีย์ที่บูโรพุทโธ หมู่บ้านบุนตู [Desa Buntu] เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนที่สูงล้อมรอบพื้นที่เพาะปลูกบนไหล่เขาที่สูงชันและสายน้ำอุดมสมบูรณ์ บนเส้นทางก่อนจะขึ้นไปถึงยอดปากปล่องภูเขาไฟ [Crater] ที่ดับแล้ว หมู่บ้านนี้อยู่ในเมือง   Wonosobo ซึ่งอยู่ในเขตปกครอง [Regency/ Kabupaten] Wonosobo ในจังหวัดชวากลาง    การมองเห็นและพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านบุนตูพบว่าน่าสนใจมากที่ชุมชนแห่งนี้ประกอบไปด้วยผู้ที่นับถือศาสนาหลากหลาย แม้ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็มีผู้นับถือพุทธศาสนาและศาสนาคริสต์รวมอยู่ด้วย โดยแต่ละศาสนามีศาสนสถานของตนเอง เช่น โบสถ์คริสต์และวิหารพุทธแม้บ้านโดยรอบจะหนาแน่นและล้อมรอบด้วยชาวบ้านที่เป็นมุสลิม แต่ก็อยู่กันได้อย่างไม่มีปัญหา ใน Desa หรือกลุ่มหมู่บ้านยังแยกย่อยออกเป็นกำปง [Kampong] หรือหมู่บ้านย่อย ๆ [Hamlet] อีกหลายบ้าน ที่หมู่บ้านบุนตูมีหัวหน้าหมู่บ้านที่ยังไม่สูงวัย เลขานุการหมู่บ้าน และด้านหน้าทางเข้าของหมู่บ้านยังมีการเฝ้าเวรยามและมีศาลาสำหรับอยู่เวร คนภายนอกจะเข้าจะออกต้องมีการรายงาน   บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเป็นเรือนโบราณ หลังคาแบบชวา และตกแต่งเรือนค่อนข้างสวยงามกว่าบ้านหลังอื่น ๆ ส่วนหน้าบ้านมีลานกว้างสำหรับจัดประชุม บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านนี้ชาวบ้านพร้อมใจกันยกให้เป็นการตอบแทนในการทำหน้าที่นี้ ปัจจุบันตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านได้มาจากการเลือกตั้ง สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าโครงสร้างทางสังคมของหมู่บ้านในชวาค่อนข้างมีแบบแผน และน่าจะมีรากเหง้าหรือพื้นฐานในการจัดการสั่งสมมาอย่างยาวนาน นักมานุษยวิทยาชาวอินโดนีเซีย ชื่อ KOENTJARANINGRAT ซึ่งเป็นผู้ศึกษาชุมชนในชวาแบบชาติพันธุ์วรรณนาเมื่อราว ๕๐ ปีมาแล้ว อธิบายถึงระบบการบริหารในหมู่บ้านว่าหมู่บ้านแต่ละแห่งจะไม่อยู่โดดเดี่ยว แต่จะมีการรวมกลุ่ม [Village Complex] กลุ่มละสี่ถึงห้าหมู่บ้านย่อย ๆ (ซึ่งแบบแผนดั้งเดิมนั้นมีจำนวนที่แน่นอนคือกลุ่มที่มีสี่และห้าหมู่บ้าน แต่ภายหลังจำนวนเหล่านี้ไม่มีการกำหนดที่ลงตัวแน่นอน) แต่ละกลุ่มหมู่บ้านจะมีหัวหน้าหมู่บ้าน [Lurah] แต่ละแห่ง และมีการประชุม ณ ที่ทำการตำบลหรือที่ทำการตำบลย่อยเสมอ ๆ หัวหน้าหมู่บ้านนี้จะถูกคัดเลือกโดยผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะแล้ว ส่วนหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ชิดกับศูนย์กลางการปกครองในเมืองก็อาจจะถูกคัดเลือกจากราชสำนัก อาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือผู้ร่ำรวยที่อยู่ในเมือง แต่เมื่อดัตช์เข้าครอบครองชวาเป็นอาณานิคม การคัดเลือกหัวหน้าหมู่บ้านต้องได้รับความยินยอมจากหัวหน้าตำบล [Wedana] และกลายมาเป็นรูปแบบอย่างเป็นทางการที่ใช้ทั่วทั้งเกาะชวา การคัดเลือกครั้งหนึ่งจะไม่มีวาระกำหนดการดำรงตำแหน่ง แต่จะอยู่ได้ตราบเท่าที่ลูกบ้านยังให้ความเคารพนับถือ หรือจนกระทั่งหัวหน้าหมู่บ้านตายไป และส่วนใหญ่หัวหน้าหมู่บ้านที่หมดภาระหน้าที่หรือเกษียณตัวเองไปจะเสนอคนที่น่านับถือในหมู่บ้านให้ชาวบ้านได้เลือกหนึ่งหรือสองคน ส่วนใหญ่ก็เป็นเจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านหรือญาติพี่น้องที่เป็นผู้ช่วยโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนขึ้นมาให้เลือก และการหาเสียงก็มักเป็นแบบสมานฉันท์ เช่น การไปคุยกันบ้านต่อบ้าน ไปงานเลี้ยงฉลองของครอบครัวต่างๆ หัวหน้าหมู่บ้านมักจะอยู่ในกลุ่มสายตระกูลเดียวกัน และเป็นสายตระกูลที่ถือว่าชั้นสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ เช่น อยู่ในระดับที่ไม่ใช่เป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานทั่วไปหรือเป็นกลุ่มตระกูลที่เชื่อว่าสืบทอดมาจากบรรพบุรุษผู้สร้างชุมชนแห่งนั้นขึ้นมา ในการจัดการระดับหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งอาจจะมีผู้ช่วยในหมู่บ้านถึง ๑๕ คนที่ถูกเลือกหรือคัดเลือกก็ได้ สองคนทำหน้าที่หัวหน้า [Kamitua/Dukuhan] คนหนึ่งเป็นเลขานุการหมู่บ้าน [Tjarik] สองคนรักษาสมบัติของหมู่บ้าน สองคนเป็นผู้ทำเรื่องศาสนาที่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องการหย่าร้างในสังคมอิสลาม [Modin] สี่คนเป็นคนดูแลความสงบเรียบร้อยในหมู่บ้าน [Djogobojo] อีกสี่คนเป็นผู้ประกาศหรือสื่อสารข่าวต่าง ๆ แก่ชาวบ้าน [Kebajan] อีกคนหนึ่งเป็นผู้มีความสำคัญมากแก่ชุมชนทุกแห่งในเกาะชวา นั่นคือ ผู้ดูแลเรื่องเหมืองฝายการชลประทานซึ่งมีหน้าที่แบ่งน้ำให้ชาวบ้านอย่างยุติธรรม [Djogotirto] หัวหน้าหมู่บ้านและผู้ช่วยในสมัยนั้นไม่ได้รับค่าจ้างจากรัฐบาล แต่ได้รับสิทธิในการเก็บค่าเช่าที่ดินซึ่งจัดแบ่งให้ในขณะที่ดำรงตำแหน่ง หน้าที่ของชาวบ้านที่จะต้องตอบแทนเจ้าหน้าที่เหล่านี้คือ มอบผลผลิตข้าวจำนวนหนึ่งเป็นประจำทุกปี มอบอาหารในงานเลี้ยง มอบเงินจำนวนหนึ่งจากการที่ได้ผลตอบแทนผ่านการซื้อขาย ให้เช่าที่ดิน การจำนองโดยเจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นพยานในการดำเนินการ มอบเงินแก่หัวหน้าหมู่บ้านหากมีการแต่งงานในกลุ่มตระกูลตัวเอง [Exogamy] และเมื่อเจ้าสาวถูกขับไล่ออกไปจากหมู่บ้าน และแบ่งเวลามาทำงานให้กับบ้านของเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่ถูกกำหนด ในหมู่บ้านจะมีสภาผู้อาวุโสซึ่งได้รับความเคารพนับถือจากคนในชุมชนเป็นกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการจำนวนกว่ายี่สิบคน บางคนก็อยู่อาศัยในชุมชน บางคนก็มาจากหมู่บ้านอื่น ๆ แต่ก็เป็นผู้รู้ เช่นครูหรือผู้ชำนาญในเรื่องคัมภีร์ทางศาสนา มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่หัวหน้าหมู่บ้าน สภาผู้รู้หรือผู้อาวุโสนี้ไม่มีวาระมาประชุมกันอย่างเป็นทางการ แต่จะมาร่วมปรึกษาหารือกันเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ หรือต้องการตีความข้อกำหนดในจารีตประเพณี [Adat] ซึ่งจะนำมาใช้กำหนดหน้าที่ในชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ในกลุ่มผู้อาวุโสเหล่านี้จะมีคนหนึ่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องจารีตประเพณีแบบชวา หัวหน้าหมู่บ้านและผู้ช่วยมักประชุมลูกบ้านทุก ๆ ๓๕ วันตามจารีต [Adat] เพื่อดูแลเรื่องการเช่าที่ดินทำกินของชาวบ้านและเรื่องอื่นๆ ผู้เข้าร่วมที่สามารถออกเสียงได้คือหัวหน้าครอบครัว การประชุมก็จะใช้พื้นที่หน้าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านนั่นเอง มีการพูดคุยในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน ปัญหาต่าง ๆ การเข้าร่วมกิจกรรมของส่วนรวม การวางแผนดูแลซ่อมแซมและจัดการเรื่องการชลประทาน งานเลี้ยงฉลองของหมู่บ้าน และการประชุมทุกครั้งจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการจากที่ทำการตำบลหรือตำบลย่อยด้วย การประชุมในหมู่บ้านของเกาะชวาภาคกลางถือว่าหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้นำในการตัดสินใจโดยลูกบ้านเป็นผู้สนับสนุน แม้จะไม่มีการแสดงออกว่าคัดค้าน แต่สิ่งเหล่านี้มักถูกนินทาในร้านกาแฟหรือเรือนที่ทำการดูแลหมู่บ้าน ซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านมักจะรู้ความเป็นไปและไม่ตัดสินใจไปตามเสียงส่วนน้อย   นอกจากนี้ในกลุ่มหมู่บ้านของชวายังประกอบไปด้วยกลุ่มองค์กรทางสังคมต่างๆ อีกมากมายที่ตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความสนใจในเรื่องต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ กลุ่มสร้างสรรค์ทางสุนทรียภาพ กลุ่มทางศาสนา และกลุ่มการศึกษา ในหมู่บ้านทั้งในเมืองและชนบท ลักษณะทางพฤติกรรมในสังคมของชาวชวาเสมือนกับเป็นระบบการปกครองแบบพ่อปกครองลูก โดยหัวหน้าหมู่บ้านที่สืบสายทางฝ่ายพ่อ การจัดการในหมู่บ้านโดยแบ่งเป็นกลุ่มร่วมมือกันก็น่าจะเนื่องมาจากสภาพภูมิประเทศของเกาะชวาที่อาจจะเกิดภัยธรรมชาติขึ้นเมื่อใดก็ได้หรือความไม่มั่นคงจากการทำการเกษตรในพื้นที่ซึ่งต้องอาศัยการจัดการน้ำอย่างยุติธรรมและแบ่งปันอย่างทั่วถึง มีระบบที่ทำให้ต้องใช้ความร่วมมือของคนจำนวนมากและหลาย ๆ หมู่บ้านในท้องถิ่นเดียวกัน ระบบเหล่านี้มีแต่จะสูญหายไปเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มๆ ที่ขึ้นมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และได้รับการศึกษาในระบบจากในเมือง และมักจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือองค์กรอื่น ๆ ซึ่งมีผลในเรื่องการเปลี่ยนแปลงแนวคิดในการจัดการชุมชน การจัดแบ่งเขตการปกครองในสาธารณรัฐอินโดนีเซียปัจจุบันแบ่งระบบการปกครองตามพื้นฐานดั้งเดิมซึ่งมีลักษณะเป็นเอกเทศและเป็นอิสระต่อกัน มีความร่วมมือแบบร่วมกันจัดการ [Confederation] ในลักษณะสหพันธรัฐหรือใกล้เคียงกับเขตการปกครองตนเองตามภูมิประเทศที่เป็นหมู่เกาะ หรือแม้ภายในเกาะเดียวกันก็มีความแตกต่างกันทางการเมืองและวัฒนธรรมทางสังคม สาธารณรัฐอินโดนีเซียแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัด [Provinsi] ภายในจังหวัดประกอบด้วยหน่วยย่อยคือ Regency หรือเขตปกครอง [Kabupaten] และเมือง [Kota] ในแต่ละส่วนนี้มีรัฐบาลท้องถิ่นและสภาเป็นของตนเอง จากกฎหมายในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ รัฐบาลท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้นในการจัดการปกครองพื้นที่ของตนเอง แต่นโยบายสำคัญ ๆ เช่น การต่างประเทศ การทหารยังเป็นการตัดสินใจของรัฐบาลกลาง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ทั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด เขตปกครองต่าง ๆ ได้ตำแหน่งจากการเลือกตั้งโดยตรง ทุกวันนี้จังหวัดชวากลางที่ไม่รวมเมืองพิเศษอย่างย็อคยาการ์ตาแบ่งออกเป็น ๒๙ เขตปกครอง [Regency/Kabupaten] และ ๖ เมือง [Kota] แต่ละ Regency น่าจะเรียกได้ว่าเป็นตำบล [District] ที่เป็นชนบท ขณะที่เมือง [Kota] เป็นเขตอิสระคือตำบลที่อยู่ในเมือง เขตปกครองและเมือง [Regencies and Cities] สามารถแบ่งออกเป็นเขตย่อย [Kecamatan] จำนวน ๕๖๕ เขต นอกเหนือจากนั้น เขตย่อย [Sub-district] แบ่งออกเป็นชุมชนในชนบทหรือหมู่บ้าน [Village/Desa] จำนวน ๗,๘๐๔ ชุมชน และชุมชนเมือง [Kelurahan] ๗๖๔ ชุมชน จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่ารากเหง้าของชุมชนหมู่บ้านในชวามีมาอย่างยาวนาน แม้ดัตช์ที่เข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคมก็ไม่ได้ทำลายระบบนี้เสียทีเดียว แต่กลับใช้ประโยชน์ในการปกครองและเรียกเก็บภาษีทั้งเงินและผลผลิตทางการเกษตรในลักษณะเป็นปิรามิด พื้นฐานของสังคมชวาคือระบบ Hierarchy ซึ่งใกล้เคียงกับระบบฟิวดัลที่ดัตช์คุ้นเคยในการสร้างประโยชน์สูงสุดในการเป็นเจ้าที่ดินในสังคมเกษตรกรรม ซึ่งมีการแบ่งกลุ่มชนชั้นตามสายตระกูลหรือวงศ์ตระกูลตามหน้าที่เป็นสำคัญ เช่นกลุ่มแรงงาน กลุ่มช่างฝีมือ โดยเฉพาะหมู่บ้านในชนบทที่ยังพึ่งพิงเครื่องมือการเกษตรที่ต้องใช้แรงงาน ซึ่งเห็นได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งตามตลาดท้องถิ่นที่มีการขายเครื่องมือเหล่านี้อย่างมากและทั่วไป ช่างตีเหล็กที่สามารถซ่อมเครื่องมือเหล่านี้รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้สมัยใหม่ที่มีกลไกยังได้รับความนับถืออย่างสูงในสังคมชนบทของชวา มรดกในรูปแบบการปกครองแบบชวาในระดับหมู่บ้านอาจจะเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว การยอมรับผู้อาวุโสและหัวหน้าหมู่บ้านดังแต่ก่อนคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากลูกบ้านออกไปสู่โลกภายนอกมากขึ้น และที่ผ่านมาก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างมากในสังคมชวา หัวหน้าหมู่บ้านตามสายตระกูลอาจไม่ได้รับการยอมรับจากลูกบ้านมากเท่าเดิม เนื่องจากการรับค่าตอบแทนอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น ที่ดิน บ้านเรือนที่ดูเหมือนเอาเปรียบผู้อื่น หรือความไม่ยุติธรรมที่อาจจะเกิดขึ้น คนรุ่นใหม่มีการเคลื่อนย้ายออกไปนอกหมู่บ้านสูง ทั้งการไปศึกษาต่อเพื่อหาโอกาสในชีวิต โดยการใช้ทุนจากที่ดินที่ครอบครัวค่อยๆ ตัดแบ่งขายไป การออกไปหางานทำโดยเฉพาะในมาเลเซียและสิงคโปร์ที่มีเศรษฐกิจดีกว่า การเคลื่อนย้ายแรงงาน ช่องว่างระหว่างวัยและค่านิยมที่เปลี่ยนไปเช่นนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับในสังคมไทยและสังคมอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การจัดการของหมู่บ้านในชวาแม้จะมีกฎหมายรองรับในระบบการเลือกตั้งและสภาท้องถิ่นที่แตกต่างไปจากเดิม และมีความเป็นการเมืองของผลประโยชน์เข้าครอบงำ แต่ก็ยังอยู่บนรากฐานเดิมที่มีความชัดเจนในระบบและหน้าที่ของชาวบ้านในระดับหมู่บ้าน ซึ่งเกาะตัวกันเป็นกลุ่มบ้านที่มีการปกครองตนเองต่างจากสังคมไทยอย่างเห็นได้ชัด โครงสร้างของสังคมไทยสมัยโบราณแม้จะมีรูปแบบใกล้เคียงกับสังคมชวาที่นับถือผู้อาวุโสและมีหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ก็ได้ปรับเปลี่ยนระบบมานานแล้ว จนในปัจจุบันระบบการเลือกตั้งขององค์กรปกครองท้องถิ่นทั้งในระดับตำบลและจังหวัดกลายเป็นการคัดเลือกคนภายนอกเข้ามาบริหารในระบบราชการย่อย ๆ ที่แทบจะไม่มีโครงสร้างเดิมรองรับ ทำให้รูปแบบการปกครองในระดับหมู่บ้านของสังคมไทยอ่อนแอลงเรื่อย ๆ โดยที่ไม่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับโครงสร้างตามธรรมชาติแบบที่เคยมีมาเช่นในสังคมชวา สิ่งเหล่านี้เห็นได้ชัดในสังคมมลายูในสามจังหวัดภาคใต้ ที่มีโครงสร้างการปกครองและกลุ่มองค์กรท้องถิ่นในระดับหมู่บ้านที่ชัดเจนและเข้มแข็งในระบบสภาผู้อาวุโส แต่เมื่อโครงสร้างการปกครองท้องถิ่นของรัฐเข้าไปครอบงำในขณะนี้ก็มีสภาพใกล้เคียงกับหมู่บ้านอื่น ๆ สังคมไทย คืออ่อนแอลงเรื่อย ๆ และระบบการปกครองท้องถิ่นเป็นระบบของการเมือง ผู้มีอิทธิพล และผลประโยชน์มากกว่าที่จะคำนึงถึงชาวบ้านและพยายามรักษาคุณค่าของโครงสร้างแบบเดิมไว้ ขอขอบคุณโครงการประวัติศาสตร์ท้องถิ่นทุ่งกุลา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ที่ให้โอกาสทั้งชาวบ้านนักวิจัยท้องถิ่นและผู้สังเกตการณ์ร่วมเดินทางไปศึกษาสภาพภูมิศาสตร์และสังคมของหมู่บ้านในเกาะชวา คงเป็นโอกาสที่หายากนักในการเปิดโอกาสให้ชาวบ้านจากหมู่บ้านต่าง ๆ ในทุ่งกุลาได้ทำความเข้าใจสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่าง และสะท้อนความลุ่มลึกและรากเหง้าในการจัดการโครงสร้างสังคมในภูมิวัฒนธรรมซึ่งจะมีผลในการวิเคราะห์สังคมของตนเองได้อย่างชัดเจนมากขึ้น  วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • การดำรงอยู่ของหนังใหญ่วัดขนอน และการก้าวก่ายสู่พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดขนอน

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2550 เยาวชนตัวน้อยกำลังเตรียมพร้อมการแสดงหนังใหญ่ “คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง เมืองโอ่งมังกร วัดขนอนหนังใหญ่  ตื่นใจถ้ำงาม ตลาดน้ำดำเนิน เพลินค้างคาวร้อยล้าน ย่านยี่สกปลาดี” คำขวัญประจำจังหวัดราชบุรี หากคำขวัญประจำจังหวัดเปรียบเสมือนการแสดงออกหรือแนะนำเอกลักษณ์ ของดีของสำคัญ และแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดนั้น ๆ การที่ “วัดขนอนหนังใหญ่” ปรากฏชื่ออยู่ในคำขวัญประจำจังหวัดราชบุรีได้นั้น ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญทางวัฒนธรรมและการเป็นแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดราชบุรีของหนังใหญ่วัดขนอนเป็นอย่างดี  ย้อนกลับไปสู่แรกเริ่มทำตัวหนังใหญ่โดยการนำของ พระครูศรัทธาสุนทร (หลวงปู่กล่อม)  ตราบจนวันนี้จะเห็นว่าหนังใหญ่วัดขนอนดำรงอยู่มากว่าศตวรรษ ในขณะที่มหรสพการละเล่นอื่น ๆ หลายอย่างสูญหายไปตามกาลเวลา  หนังใหญ่วัดขนอนกลับยืนหยัดและดำรงอยู่จนถึงปัจจุบันได้อย่างไร คำตอบดังกล่าวคงสามารถพบเจอ หากเพียงหันกลับไปมองให้เห็นถึงสายใยความผูกพันระหว่างชุมชนและจิตวิญญาณของคนทำหนังกับหนังใหญ่ของพวกเขา  หนังใหญ่ ยังเป็นมหรสพการแสดงที่ต้องใช้ทรัพยากรสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นหนังวัวซึ่งต้องใช้ทั้งตัวแกะเป็นตัวหนัง รวมถึงรูปแบบการแสดงหนังใหญ่ที่ต้องใช้คนกว่า ๒๐ ชีวิต หรือแม้แต่ส่วนประกอบเล็ก ๆ อย่างกะลามะพร้าวที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้แสงในการแสดง ในแต่ละครั้งแสดงกันประมาณ ๑๐ คืน ต่อคืนต้องใช้กะลาประมาณ ๑ กระสอบ สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความร่วมมือร่วมใจกันของชาวบ้านผ่านสิ่งของจำนวนมาก เมื่อวัวตายชาวบ้านก็นำหนังมาถวายวัด เด็ก ๆ หรือคนในชุมชนที่เข้าร่วมแสดงอยู่ในคณะหนังใหญ่ กะลามะพร้าวที่ได้รับมาจากการให้เด็กนักเรียนโรงเรียนศรัทธาสุนทรกล่อมวิริยะศึกษา หรือโรงเรียนวัดขนอนในปัจจุบันรวบรวมบ้านละหนึ่งกระสอบมามอบให้กับทางวัด หนังใหญ่วัดขนอนจึงต้องอาศัยคนทั้งชุมชนร่วมมือกัน  หลังการมรณภาพของหลวงปู่กล่อมใน พ.ศ. ๒๔๘๕ หนังใหญ่วัดขนอนหยุดการแสดงไปกว่าสามทศวรรษ เมื่อกรมศิลปากรเข้ามาฟื้นฟูหนังใหญ่วัดขนอนใน พ.ศ. ๒๕๑๓ และนำเอาครูหนังใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ อาทิ ครูละออ ทองมีสิทธิ์ ครูสว่าง ชังเกตุ ครูจาง กลั่นแก้ว กลับมาเป็นแกนนำในการฟื้นฟูการแสดงหนังใหญ่ หนังใหญ่วัดขนอนก็สามารถฟื้นคืนกลับได้ในระยะเวลาไม่นาน ทำให้เห็นถึงจิตวิญญาณของกลุ่มครูหนังใหญ่เหล่านี้ที่ไม่เคยละทิ้งหนังใหญ่ไปไหน ตลอดจนการตอบรับจากคนในชุมชนที่พร้อมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการปลุกหนังใหญ่ขึ้นใหม่อีกครั้ง   ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่หนังใหญ่วัดขนอนสามารถฟื้นกลับคืนขึ้นมาใหม่ได้ในปัจจุบันเป็นผลจากความพยายามและจิตวิญญาณของกลุ่มคนทำหนังใหญ่รุ่นใหม่ โดยการนำของพระครูพิทักษ์ศิลปาคม เจ้าอาวาสวัดขนอน ที่เริ่มเข้ามาจับงานหนังใหญ่ด้วยจิตใจมุ่งมั่นในการอนุรักษ์และฟื้นฟูหนังใหญ่ตั้งแต่ครั้งยังเป็นพระลูกวัด ดังคำกล่าวของหลวงพ่อที่ว่า “ เราเห็นหนังใหญ่มาตั้งแต่เด็ก จึงไม่อยากให้หนังใหญ่สูญหายไปไหน มีทางไหนที่ทำได้ก็ต้องทำกันไป ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้พวกเราต้องพยายามกันมาก ”  หลวงตาฉลาด (พระฉลาด ถาวรนุกูลพงศ์ ) กำลังหัดเชิดหนังใหญ่ให้กับเยาวชนในช่วงเย็น พระครูพิทักษ์ศิลปาคม เจ้าอาวาสวัดขนอน ผู้เป็นกำลังสำคัญในการดำรงรักษาหนังใหญ่วัดขนอนในปัจจุบัน ด้วยความพยายามของกลุ่มคนทำหนังใหญ่เหล่านี้ปรากฏผลขึ้นอย่างเด่นชัด ใน พ.ศ.๒๕๓๒ คณะหนังใหญ่วัดขนอนได้มีโอกาสไปแสดงหน้าพระพักตร์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าหนังใหญ่วัดขนอนที่ใช้แสดงอยู่นั้นทั้งเก่าและชำรุดมาก ควรอนุรักษ์เก็บรักษาไว้ จนมีการดำเนินการจัดทำตัวหนังใหญ่ชุดใหม่ขึ้นใช้ออกแสดงแทนตัวหนังชุดเก่า ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณรับหนังใหญ่วัดขนอนเข้าเป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริเพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูหนังใหญ่วัดขนอน ที่ดำเนินการจัดทำตัวหนังใหญ่ชุดใหม่ขึ้นโดยคณะมัณฑศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร พร้อมทั้งจัดสร้างพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน ซึ่งมีลักษณะเป็นเรือนไทยที่บูรณะขึ้นจากหอสวดมนต์เก่า เพื่อใช้จัดเก็บพร้อมทั้งจัดแสดงหนังชุดเก่าใน พ.ศ. ๒๕๓๘ กระทั่งแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๕๔๒ ทำให้หนังใหญ่วัดขนอนเริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงมากขึ้น จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดราชบุรีในปัจจุบัน  ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของความพยายามที่กลุ่มคนทำหนังใหญ่วัดขนอนได้ทำกันมาด้วยจิตวิญญาณแห่งความรักและความผูกพันกับหนังใหญ่ ดังที่สะท้อนออกมาจากคำบอกเล่าของหลวงตาฉลาด (พระฉลาด ถาวรนุกูลพงศ์ – อดีตนายหนังใหญ่และผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอนในปัจจุบัน)  ที่ว่า “ ชีวิตเรามันต้องคู่กับหนังใหญ่ ปฏิญาณตนไว้แล้ว ยังเคยพูดเล่น ๆ กับพระด้วยกันเลยว่า ตายแล้วไม่ไปไหนหรอก จะอยู่ที่นี่ จะเป็นผีเฝ้าพิพิธภัณฑ์อยู่ที่นี่ ”   กุฏิหลวงปู่กล่อมที่ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ เพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดขนอน นอกเหนือจากพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอนที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันแล้ว ในอนาคตอันใกล้ ทางวัดขนอนจะมีการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดขนอน โดยใช้อาคารทรงไทยที่เคยเป็นกุฏิของหลวงปู่กล่อม ที่ได้มีการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไว้กับกรมศิลปากร ซึ่งเป็นเรือนไทยไม้สักขนาด ๗ ห้อง และกำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะเพื่อใช้ในการจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยมูลนิธิเล็ก–ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้เข้าสำรวจและขึ้นทะเบียนวัตถุแล้วกว่า ๒,๐๐๐ ชิ้น  เรื่องที่มาที่ไปของสิ่งของเหล่านี้ จากการลงพื้นที่และเก็บข้อมูลของผู้เขียนในระหว่างวันที่ ๒๐–๒๖ กันยายน ๒๕๕๐ สันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่าคงมีที่มาหลัก ๆ จาก ๒ ทาง คือ ทางแรก จากความเป็นพระสงฆ์ที่เป็นที่นับถือของหลวงปู่กล่อม เพราะจากความทรงจำของชาวบ้านที่มีต่อหลวงปู่กล่อมว่าเป็นพระที่มีคาถาอาคม มีความรู้เรื่องยาสมุนไพรในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ชาวบ้านยอมรับให้เป็นผู้ตัดสินคดีความเล็ก ๆ น้อย ๆ ในท้องถิ่น ด้วยสถานะดังกล่าว หลวงปู่กล่อมย่อมเป็นพระที่มีลูกศิษย์ลูกหาเคารพนับถืออยู่มากทั้งในและนอกพื้นที่ จึงย่อมมีการนำสิ่งของมาถวายให้กับหลวงปู่ ส่วนทางที่สองอาจเป็นผลจากการที่ในอดีตวัดขนอนเคยถูกใช้เป็นที่เก็บรวบรวมอากรส่วยในละแวกพื้นที่เพื่อส่งเข้ากรุงเทพฯ (สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น) จึงอาจเป็นไปได้ที่มีสิ่งของตกหล่นอยู่หรือตั้งใจถวายให้วัดก็ได้   หนังใหญ่วัดขนอนดำรงอยู่ผ่านเส้นทางการเดินทางที่ยาวไกลมาได้อย่างไรนั้น คำตอบย่อมอยู่ที่การผสานกันระหว่างภายนอกกับภายในชุมชน และคนทำหนังใหญ่ก็เป็นลมที่เข้าโหมให้ดวงไฟที่เกิดขึ้นจากการจุดประกายลุกโชนต่อไปได้ การจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดขนอนกำลังเข้าสู่ขั้นตอนสร้างความร่วมมือกับชุมชนผ่านการจัดรวมกลุ่มชาวบ้านเพื่อสืบรากเหง้าและความสัมพันธ์ภายในชุมชน เพื่อให้พวกเขาซึ่งเป็นเจ้าของประวัติศาสตร์และความทรงจำเป็นผู้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตนเองด้วยการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น  ปิยชาติ สึงตี   อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ตานก๋วยสลาก วัดศรีสุทธาวาส

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2550 “กิ๋นก่อนตานก่อนวัดศรีคำเวียง   เป็นผิดเป็นเถียงวัดป่าแดง     แข็งแรงวัดสุพรรณ  ขยันวัดป่าม่วง         กินม่วนตานม่วน วัดศรีสุทธาวาส     ขูด ๆ ยาด ๆ วัดสันสลี  ไปดีมาดีวัดทุ่งห้า  กิ๋นหล้าตานหล้าวัดโป่งเหม็น   กิ๋นดักกิ๋นเย็นวัดท่าก้อ” ประเพณีสำคัญเมื่อออกพรรษาของชาวเวียงป่าเป้า บอกเล่าเป็นกลอนคล้องจองกันข้างต้น ทำให้เห็นสังคมของคนในเวียงที่ให้ความสำคัญต่องานดังกล่าว และบ่งบอกลักษณะนิสัยของศรัทธาวัดในเวียงตามหัววัดต่าง ๆ  ประเพณีตานก๋วยสลาก  หรือประเพณีสลากภัต นิยมทำกันช่วงกำลังจะออกพรรษาหรือในปลายเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม จะมีการจัดงานสลากภัตเวียนกันจากวัดเก่าแก่ไปตามวัดที่อายุน้อยตามลำดับ โดยวัดศรีสุทธาวาสถือเป็นวัดลำดับที่ ๕ ของเวียงป่าเป้าที่มีการจัดประเพณีดังกล่าว ชาวบ้านแถบเวียงป่าเป้าเชื่อกันว่า เหตุที่นิยมทำประเพณีตานก๋วยสลากในช่วงดังกล่าว เนื่องจากเป็นเดือนที่ขาดแคลนของชาวบ้าน เพราะข้าวเปลือกที่เก็บไว้ในยุ้งฉางใกล้จะหมด จึงพากันคิดถึงผู้ที่เป็นญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วว่าคงไม่มีเครื่องอุปโภคบริโภคเช่นกัน จึงร่วมกันจัดทำพิธีตานก๋วยสลากหรือสลากภัต โดยจัดข้าวปลาอาหาร ของกินของใช้ ไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว    การทำบุญตานก๋วยสลากเป็นการทำบุญที่ไม่เจาะจงพระผู้รับ ศรัทธาที่จะทำการถวาย จึงต้องเขียนคำอุทิศลงในแผ่นสลาก (เส้นสลาก) แล้วนำไปรวมกันที่หน้าพระประธานให้ภิกษุสามเณรจับ หากพระหรือเณรรูปใดจับเส้นสลากของศรัทธาวัดได้ เจ้าของต้องยกถวายก๋วยสลาก (ไทยธรรม) แก่พระรูปนั้น   งานประเพณีตานก๋วยสลากแบ่งออกเป็น ๒ วัน คือ วันแต่งดาและวันตานก๋วย  ในวันแต่งดาทุกหลังคาเรือนที่เป็นศรัทธาวัดศรีสุทธาวาส รวมถึงวัดที่ถูกเชิญมาร่วมงานต่างทำการจัดเตรียมของกินของใช้ (ครัวตาน) และก๋วยสลาก (เครื่องไทยธรรม) เพื่อนำไปถวายในวันรุ่งขึ้น ส่วนวันตานก๋วยจะมีการแห่ก๋วยของแต่ละวัด แต่ละขบวนแห่จะมีการฟ้อนนำขบวนเป็นที่สนุกสนาน วันนี้ถือเป็นวันที่มีความสำคัญมากต่อประเพณีตานก๋วยสลาก การสุมมาครัวตาน สิ่งที่ทำให้เกิดความเท่าเทียมกันในการได้บุญ สุมมาครัวตาน: ความเสมอภาคของศรัทธาวัด ในงานตานก๋วยสลาก ศรัทธาวัดศรีสุทธาวาสและชาวบ้านใกล้เคียงนำเอาก๋วยสลาก หรือเครื่องไทยธรรมตามแต่กำลังของศรัทธานำมาวางไว้หน้าวิหารกันตั้งแต่เช้า พร้อมกันนั้นนำเอาแผ่นสลาก (เส้นสลาก) ที่เขียนอุทิศให้กับญาติพี่น้องของตนมาวางรวมกันที่หน้าพระประธานเพื่อให้พระและเณรได้หยิบกัน ก่อนที่จะทำการหยิบก๋วยสลาก จะมีมัคณายกมาทำพิธีสวดสุมมาครัวตานก่อน เป็นการขอขมาสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้ล่วงเกิน และยังเป็นพิธีที่เปรียบเสมือนทำให้ก๋วยสลากและเส้นสลากทุกชิ้นมีความบริสุทธิ์และเสมอภาคกัน เพราะว่าข้าวของเครื่องใช้หรือไทยธรรมที่ศรัทธาวัดนำมาถวายนั้น กำลังของศรัทธาแต่ละคนย่อมต่างกัน บางคนถวายมาก บางคนถวายน้อย เพื่อเป็นการลบข้อกังขาที่ว่าถวายมากได้บุญมาก ถวายน้อยได้บุญน้อย พิธีสุมมาครัวตานจึงเป็นตัวแทนที่ทำให้ก๋วยสลากทุกใบ เส้นสลากทุกเส้นมีความเท่าเทียมกัน และได้รับบุญเท่ากัน เส้นสลากที่ชาวบ้านเขียนอุทิศส่วนกุศลจะนำมากองไว้ร่วมกันที่พระประธาน เพื่อให้ภิกษุสามเณรได้จับต่อไป ถวายก๋วยสลาก : กระจายรายได้ให้ภิกษุสามเณร ในประเพณีตานก๋วยสลากทุกปี ภิกษุสามเณรที่มาร่วมพิธีไม่ได้มีแต่วัดศรีสุทธาวาส ยังนิมนต์ภิกษุสามเณรวัดอื่นมาด้วย ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ มีพระและเณรมาร่วมกว่า ๓๐ วัด ทั้งวัดในเขตอำเภอเวียงป่าเป้าและนอกเขต เช่น ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ และเชียงราย แต่ละวัดที่นิมนต์มารู้จักและผูกพันกับวัดศรีสุทธาวาสทั้งสิ้น ในการถวายก๋วยสลากนอกจากชาวบ้านจะได้บุญเท่ากันกับการทำบุญที่ไม่เจาะจงพระผู้รับ การถวายก๋วยสลากยังถือเป็นการกระจายรายได้ให้แก่ภิกษุสามเณรอีกทาง เพราะในวันดังกล่าว พระและเณรทั้งวัดศรีสุทธาวาสและจากวัดต่างๆ จะมีความเท่าเทียมกัน คือ ได้รับก๋วยสลากจำนวนเท่ากัน การตานก๋วยสลากปีนี้ พระและเณรได้รับสลากรูปละ ๗ เส้น ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงมาก เจ้าอธิการบรรพต คัมฺภีโร  เจ้าอาวาสวัดศรีสุทธาวาสกล่าวว่า งานประเพณีนี้นอกจากจะเป็นการทำบุญที่ไม่เจาะจงผู้รับซึ่งทำให้ได้บุญมากแล้ว ยังเป็นการกระจายรายได้ (ปัจจัยที่พระและเณรได้รับ) ให้กับพระและเณรจากวัดต่าง ๆ ด้วย เพราะส่วนใหญ่วัดที่มาร่วมงานต่างเป็นวัดที่ยากจนและอยู่ห่างไกล พระและเณรที่ได้รับปัจจัยจากศรัทธาวัดมากน้อยต่างกันต้องยอมรับและพอใจก๋วยสลากที่ตนเองได้รับ  การแห่ครัวตานและสลากโชค   ในการถวายก๋วยสลาก พระและเณรอยู่ประจำโต๊ะวัดของตนเอง แล้วนำเส้นสลากที่ตนเองจับได้วางไว้ จากนั้นศรัทธาวัดต่างกรูเข้าไปตามหาเส้นสลากของตนเอง เมื่อเจอแล้วจึงทำการ ถวายก๋วยสลาก พระและเณรนั้น ๆ ก็จะสวดอุทิศส่วนกุศลตามที่เขียนในสลาก การที่ศรัทธาวัดแต่ละคนจะเจอเส้นสลากของตนเองเป็นเรื่องยากเช่นกัน เพราะวัดที่มามีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นศรัทธาทั้งหลายจึงต้องมีความอดทนเป็นที่ตั้งที่จะตามหาเส้นสลากของตนให้เจอ เพราะนอกจากศรัทธาวัดจะได้รับบุญพร้อมกับอุทิศส่วนกุศลให้ญาติพี่น้องตนเองแล้ว ยังเป็นการทำบุญถวายทานแก่พระและเณรอีกทางด้วย การที่ศรัทธาวัดตามหาเส้นสลากนั้นถือว่าเป็นจุดเด่นและส่วนสำคัญของงานตานก๋วยสลาก เพราะเป็นช่วงที่สนุกสนานที่สุดก็ว่าได้ การถวายก๋วยสลาก (ไทยธรรม) แก่ภิกษุสามเณรที่ได้รับ ข้าวสาร ๑๐๐ ห่อ: การแบ่งปันไม่หวังผล “ทำบุญแล้วต้องทำทาน”  ศรัทธาวัดเมื่อได้ทำบุญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่างก็ต้องทำทานให้กับคนจนด้วย ซึ่งในประเพณีตานก๋วยสลากของวัดศรีสุทธาวาสและวัดอื่น ๆ ในเขตเวียงป่าเป้าจะมีการทำทานข้าวสาร ๑๐๐ ห่อ โดยศรัทธาวัดนำข้าวสารมารวมกันที่หน้าพระประธาน บางคนก็นำเครื่องอุปโภคบริโภคมาให้ทานด้วย พระจะเป็นผู้แบ่งและแจกทานเอง เพราะคนยากจนที่ได้รับจะต้องได้รับทานในจำนวนที่เท่าเทียมกัน อีกทั้งหากให้ชาวบ้านเป็นผู้แจกทานจะเป็นการเลือกที่รักมักที่ชังกัน การให้ทานข้าวสาร ๑๐๐ ห่อ เป็นการแบ่งปันข้าวของเครื่องใช้และข้าวสารให้กับเพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังผลตอบแทน เพราะผู้ที่เราให้ทานเป็นผู้ที่ทุกข์ยากกว่า ในการทำงานบุญไม่ว่าครั้งใดก็ตาม ความสามัคคีของชุมชนและศรัทธาวัดศรีสุทธาวาสถือเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้งานบุญต่าง ๆ ทั้งของวัดและชุมชนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี งานประเพณีตานก๋วยสลากครั้งนี้ก็เช่นกัน ได้เห็นถึงพลังความสามัคคีของศรัทธาวัดทั้งที่ยังอาศัยอยู่ในชุมชนและที่ออกไปทำงานข้างนอก เมื่อถึงเทศกาลทำบุญต่างกลับมาร่วมแรงทำบุญกับญาติพี่น้องของตน ทั้งจะเห็นจากการร่วมมือกันทำสลากโชค ที่หมายถึงต้นสลากที่นำมาถวายให้กับวัดที่เป็นเจ้าภาพ มีการร่วมมือกันทำในวันแต่งดา เมื่อถึงวันตานก๋วยสลาก ชาวบ้านต่างช่วยกันลากสลากโชคเข้าวัดซึ่งใช้คนจำนวนมาก ในกรณีที่มีการรวมกลุ่มซ้อมฟ้อนนำขบวนแห่ จะมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในชุมชนมาร่วมกัน หรือการฝึกซ้อมเล่นดนตรีปี่พาทย์ของผู้เฒ่าผู้แก่ สิ่งต่าง ๆ จะไม่เกิดขึ้น หากศรัทธาวัดไม่มีความสามัคคีกัน   ประเพณีตานก๋วยสลากวัดศรีสุทธาวาส ถือเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน ความหมายของพิธีกรรมล้วนแต่เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่เน้นในเรื่องของการทำบุญ การให้ทาน การแบ่งปัน และความเสมอภาคกันในสังคม   เหมือนพิมพ์  สุวรรณกาศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page