top of page

พบ 220 รายการ

  • ทุ่งไหหิน ดินแดนสำคัญที่เชียงขวาง

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2551 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นประเทศที่ร่ำรวยทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ ผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ ที่แขวงเชียงขวางซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๗ และมีเมืองโพนสะหวันเป็นเมืองหลวง มี “ทุ่งไหหิน”  ซึ่งเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เนื่องในการทำพิธีกรรมมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นสถานที่ที่คนไปเยือนลาวทุกคนควรจะเดินทางมาเที่ยวชมในความมหัศจรรย์ของภูมิทัศน์ที่น่าตื่นใจนี้ “ทุ่งไหหิน” หรือ “Plain of jars” มีอยู่ด้วยกันหลายแห่ง แต่ลาวได้จัดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เพียง ๓ จุดเท่านั้น เนื่องจากที่อื่นยังไม่มีการกู้ระเบิดซึ่งเป็นผลพวงจากการทิ้งระเบิดแบบปูพรมของสหรัฐอเมริกา ตามคำบอกเล่าของชาวบ้าน ทุ่งไหหินถูกค้นพบเมื่อครั้งที่ชาวบ้านออกหาของป่าและล่าสัตว์ เป็นไหหินที่ผลิตจากก้อนหินขนาดใหญ่ มีจำนวนมากและกระจัดกระจายไปทั่วเขตภูเพียง ไหหินที่มีขนาดใหญ่สุด สูง ๓.๒๕ เมตร ปากกว้าง ๓ เมตร ส่วนใหญ่สกัดจากหินทราย   มีเรื่องเล่าถึงที่มาของทุ่งไหหินอยู่ ๓ เรื่อง คือ อย่างแรก  ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นไหเหล้าของนักรบโบราณ ตามตำนานกล่าวว่าระหว่างศตวรรษที่ ๘ นักรบของลาว ชื่อ “ท้าวขุนเจือง” หรือท้าวฮุ่ง ซึ่งถือเป็นวีรบุรุษประวัติศาสตร์ ได้รับการยกย่องจากกลุ่มต่าง ๆ ของสองฝั่งโขงว่าเป็นผู้รวบรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมให้แก่กลุ่มต่าง ๆ ในบริเวณลุ่มน้ำโขง ตั้งแต่สิบสองปันนา สิบสองเจ้าไท ล้านนา ล้านช้าง จนถึงลุ่มแม่น้ำดำ-แดงในภาคเหนือของเวียดนาม ได้ยกกำลังทำสงครามเพื่อตีเอาเมืองปะกันหรือเมืองเชียงขวางของพวกแกวได้ จึงสั่งทำเหล้าไหเพื่อเลี้ยงไพร่พลฉลองชัยชนะอยู่ที่เชียงขวางนาน ๗ เดือน ไหเหล้าในพื้นที่ภูเพียงจึงถูกเรียกกันในกลุ่มคนลาวว่า “ไหเหล้าเจือง” “ทุ่งไหหิน” พื้นที่ที่มีความสำคัญทั้งนัยทางประวัติศาสตร์และการเมือง ไหหินมีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ รูปทรงมีลักษณะแตกต่างกัน ไหหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนเนิน น่าที่จะบรรจุโครงกระดูกของผู้นำ  อย่างที่สอง  คือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และ  สุดท้าย  เป็นพิธีกรรมของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ทำการตัดหินออกจากหินก้อนใหญ่เพื่อบรรจุโครงกระดูกเป็นเวลาราว ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว ตามความเชื่อของคนในสมัยนั้นที่เชื่อว่าสถานที่ฝังศพของคนตายต้องรักษาไว้ในที่สูง เว้นจากการกัดเซาะของน้ำ จากข้อสันนิษฐานดังกล่าวนี้ สอดคล้องกับความคิดเห็นของอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่กล่าวถึงทุ่งไหหินว่าเป็นสถานที่บรรจุโครงกระดูกของมนุษย์ครั้งที่ ๒ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หรือฝังกระดูกของศพที่เผาแล้ว และใส่เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ยังโลกหน้า   ดูเหมือนว่าข้อสันนิษฐานสุดท้ายจะมีน้ำหนักและมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด โดยบริเวณของทุ่งไหหินจะเป็นคำตอบได้ดี เพราะนอกจากจะพบไหหินขนาดต่าง ๆ และมีรูปร่างที่หลากหลาย เป็นจำนวนมาก พื้นที่โดยรอบของทุ่งไหหินยังพบถ้ำขนาดใหญ่สูงประมาณ ๖๐ เมตร อยู่ใกล้ ๆ กัน บริเวณหน้าถ้ำเป็นพื้นที่โล่งซึ่งอาจารย์ศรีศักรได้อธิบายว่าถ้ำดังกล่าวว่าเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะเห็นได้จากการที่ไม่มีไหหินหรือสิ่งของที่มนุษย์สร้างเข้าไปวางไว้ ส่วนพื้นที่โล่งหน้าถ้ำนั้นดูเหมือนจะใช้ในการประกอบพิธีกรรมเป็นหลัก ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในการประกอบพิธีกรรมหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในสมัยสงครามเป็นพื้นที่หลบภัยจากการทิ้งระเบิด การจัดวางไหหินจะพบว่า จุดแรก  เมื่อเข้าไปยังพื้นที่ทุ่งไหหินจะเป็นเนินขนาดเล็ก มีไหหินขนาดใหญ่กว่า ๑๐ ใบ บ้างสมบูรณ์ บ้างถูกระเบิดจนแตก จุดที่สอง  อยู่ระดับที่ต่ำกว่าจุดแรกพอประมาณ พบไหหินขนาดเล็กเรียงรายกันอยู่เป็นจำนวนมาก  อาจารย์ศรีศักรกล่าวว่าไหหินขนาดใหญ่บนเนิน น่าจะเป็นที่บรรจุกระดูกของกลุ่มผู้นำ ส่วนไหหินขนาดเล็กจะเป็นที่บรรจุกระดูกของชาวบ้านทั่วไป ซึ่งมีการจัดวางเป็นกลุ่มตระกูลอย่างชัดเจน เห็นได้จากการมีหินที่มนุษย์นำมาวางล้อมรอบไหหินนั่นเอง แต่เชื่อว่าหินที่มนุษย์นำมาวางย่อมที่จะมีความหมายเชิงลึกทางหนึ่งด้วย ทุ่งไหหินเป็นสมรภูมิแห่งการสู้รบนับแต่เรื่องราวในตำนานที่ขุนเจืองเข้ามาตีพวกแกวก็เพื่อต้องการพื้นที่ของเชียงขวาง อันรวมถึงทุ่งไหหินด้วย หรือจะเป็นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่มีการรบกับฮ่อ  พวกฮ่อที่ไทยรบด้วยเป็นจีนจากกลุ่มกบฏไท่ผิงที่รบกับผู้ปกครองแมนจูใน พ.ศ. ๒๔๐๕ แล้วพ่ายแพ้ จึงหลบหนีไปซุ่มตัวตามป่าเขาในเขตมณฑลยูนนาน ฮกเกี้ยน กวางไส กวางตุ้ง และเส ฉวนของจีน ส่วนหนึ่งหนีมายังตังเกี๋ยและชายแดนสิบสองจุไท พวกฮ่อใช้ทุ่งไหหินเป็นฐานที่มั่นของตนเอง  ปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ฮ่อยกพลมาตีเมืองพวนในเชียงขวางแล้วตั้งค่ายใหญ่อยู่ที่ทุ่งเชียงคำ หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันคือ ทุ่งไหหิน  เพื่อเตรียมเข้ามาตีเมืองหลวงพระบางและหนองคายของสยาม เวลาเดียวกันนั้นได้มีกบฏของพวกข่าซึ่งอ้างว่าได้รับน้ำศักดิ์สิทธิ์จากไหขุนเจือง ทำให้เก่งกล้าสามารถ ไม่ขอขึ้นกับลาวอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ พ.ศ. ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงส่งกองทัพจากกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่าง ๆ ไปปราบทั้งฮ่อและข่า และปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ได้โปรดเกล้าฯให้จัดส่งอาวุธแบบตะวันตกไปปราบฮ่ออีกครั้งแต่ไม่สำเร็จ ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๐ ฮ่อเผาเมืองหลวงพระบางซึ่งเป็นเมืองขึ้นชายขอบของสยาม รัชกาลที่ ๕ จึงส่งกองทัพไปปราบฮ่ออีกครั้ง   หลุมบึ้มหรือหลุมระเบิด ผลพวงจากสงคราม จะมีให้เห็นเป็นจำนวนมากในทุ่งไหหินแห่งนี้ และบางพื้นที่ทางการยังไม่ให้เข้าไปเนื่องจากยังไม่ได้ทำการกู้วัตถุระเบิด ครั้นในสงครามเวียดนามเป็นเหตุให้ไฟสงครามลามไปทั้งลาว เวียดนาม และกัมพูชา  ทุ่งไหหินกลายเป็นส่วนหนึ่งของสมรภูมิรบดังกล่าวด้วยปี พ.ศ. ๒๕๐๘-๒๕๑๘ เชียงขวางเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารในสงครามเวียดนาม เพราะความได้เปรียบทางภูมิประเทศซึ่งติดต่อกับพรมแดนเวียดนาม โดยเฉพาะเส้นทางหมายเลข ๗ ซึ่งใช้ส่งกำลังอาวุธต่าง ๆ จากเวียดนามเหนือมายังขบวนการประเทดลาวหรือลาวฝ่ายซ้าย กองบัญชาการใหญ่ของลาวฝ่ายซ้ายที่อยู่เชียงขวาง  “ทุ่งไหหิน” เป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การตั้งมั่น ด้วยความพร้อมของสภาพภูมิประเทศ เพราะมีที่กำบังและสถานที่หลบภัย ว่ากันว่าสหายผู้นำของลาวฝ่ายซ้ายเคยนั่งวางแผนการสู้รบในไหหินพร้อมกันถึงสามคน ทุ่งไหหินจึงเป็นสมรภูมิที่ผลัดกันรุกรับระหว่างทหารขบวนการประเทศลาวหรือลาวฝ่ายซ้ายกับทหารม้งและทหารรับจ้างจากไทยภายใต้การบังคับบัญชาของสหรัฐอเมริกา รัฐบาลลาวฝ่ายขวาซึ่งมีอเมริกาหนุนหลังพยายามแย่งชิงเชียงขวางจากขบวนการประเทศลาวด้วยสนับสนุนให้อเมริกาทิ้งระเบิดแบบปูพรมทั่วเชียงขวาง ส่งผลให้อาคารบ้านเรือนเสียหาย ผู้คนต้องอพยพออกจากพื้นที่   ช่วงสงครามเวียดนามตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๑๖ ระเบิดที่สหรัฐอเมริกาขนใส่เครื่องบินเพื่อมาทิ้งลงในลาวมีปริมาณถึง ๒,๕๐๐,๐๐๐ ตัน เฉลี่ยแล้วตลอดเวลา ๙ ปีของสงครามทางอากาศ เครื่องบินได้ทิ้งระเบิดลงในลาวทุก ๆ ๘ นาที หลายลูกระเบิดทันที แต่ยังคงมีอีกหลายลูกเช่นกันที่ยังรอวันระเบิด ประเทศลาวกลายเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดหนักที่สุดและยังเป็นประเทศที่หลงเหลือวัตถุระเบิดมากที่สุดในโลกอีกด้วย ดูได้จากโครงการเก็บกู้วัตถุและลูกระเบิดซึ่งมีมาตั้งปี พ.ศ. ๒๕๓๗ จนถึงปัจจุบันซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ เหมือนพิมพ์  สุวรรณกาศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • “งานบุญหลวง” ที่ด่านซ้าย

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ส.ค. 2551 งานบุญหลวงที่ด่านซ้ายเป็นการรวมเอา “งานบุญพระเวส” ซึ่งเป็นฮีตเดือน ๔ และ “งานบุญบั้งไฟ” ฮีตเดือน ๖ เข้าด้วยกัน ในช่วงเดือน ๘ ข้างขึ้น เป็นการสร้างศรัทธาและสร้างขวัญกำลังใจให้กับการเริ่มต้นฤดูเพาะปลูกที่จะมีขึ้น งานบุญหลวงซึ่งมีการเล่นผีตาโขนในการแห่บุญพระเหวดหรือบุญพระเวสเป็นการผสมผสานระหว่างพุทธศาสนาและความเชื่อของท้องถิ่นเข้าด้วยกัน    งานบุญหลวงของอำเภอด่านซ้ายจัดขึ้นที่วัดโพนชัย อันเป็นวัดสำคัญในท้องถิ่น ประเพณีและพิธีกรรมเริ่มตั้งแต่ วันแต่ง  เป็นวันที่ชาวบ้านและศรัทธาวัดโดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่จะมาแต่งเครื่องธรรม ขัน ๕ ขัน ๘ บายศรีสู่ขวัญ ฯลฯ ส่วนตอนค่ำของวันแต่งผู้เฒ่าผู้แก่จะมานอนที่วัดโพนชัยเพื่อเตรียมเบิกพระอุปคุตที่จะมีขึ้นในช่วงเช้ามืดของ  วันโฮม วันที่สองหรือวันโฮม ประมาณตี ๓ พ่อแสนแก้วอุ่นเมืองซึ่งเป็นหนึ่งในตำแหน่งพ่อแสนเมืองด่านซ้ายทำการบวชตนเองเป็นพราหมณ์เพื่อเป็นตัวแทนสวดเบิกพระอุปคุต ส่วนพ่อแสนเมืองจันทร์จะเป็นผู้งมหาพระอุปคุต   เมื่อบวชพราหมณ์รับศีลรับพรเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปยังลำน้ำหมัน ลำน้ำสายสำคัญของเมืองด่านซ้าย โดยขบวนที่มารับพราหมณ์และผู้งมพระอุปคุตที่วัดโพนชัยจะตั้งขบวนยังบ้านเจ้าพ่อกวนก่อน ในขบวนแห่ไปเบิกพระอุปคุตประกอบด้วย ดนตรีปี่พาทย์ เหล่านางแต่ง และผู้เฒ่าผู้แก่ เชื่อกันว่าพิธีกรรมการเบิกพระอุปคุตจะช่วยคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ และทำให้งานบุญที่จะมีขึ้นสำเร็จอย่างราบรื่น เมื่อเบิกพระอุปคุตขึ้นมาแล้วจึงแห่มายังวัดโพนชัย จากนั้นสวดทั้ง ๔ ทิศและนำพระอุปคุตไปไว้บนหิ้งใกล้อารามที่เตรียมไว้ แล้วเดินเวียนรอบอารามและเจดีย์ ๓ รอบจึงเสร็จพิธี ในพิธีกรรมดังกล่าวจำเป็นต้องปิดประตูวัดทุกจุดไม่ให้มีใครเข้าใครออก แม้กระทั่งสัตว์ เพราะเชื่อว่าหากมีคนหรือสัตว์เดินเข้าออกขณะทำพิธีจะทำให้เกิดเหตุอันตรายกับงานบุญได้  ก่อนรุ่งสางของวันโฮม พ่อแสนแก้วอุ่นเมืองทำพิธีเบิกพระอุปคุตจากลำน้ำหมันมายังวัดโพนชัย ช่วงสายของวันโฮมมีการทำบายศรีสู่ขวัญแก่เจ้าพ่อกวนและเจ้าแม่นางเทียมที่บ้านเจ้าพ่อกวน โดยผู้ทำบายศรีฯ ล้วนเป็นพ่อแสน นางแต่ง คนเฒ่าคนแก่ เมื่อเสร็จจากพิธีกรรมแล้วจะรับประทานอาหารร่วมกันบนเรือน ในขณะที่บริเวณลานหน้าบ้านจะมีดนตรีบรรเลง มีผีตาโขนใหญ่ออกมาร่วมงานด้วย ในงานบุญหลวงที่ด่านซ้ายจะมีผีตาโขนเล็กเป็นจำนวนมาก ส่วนผีตาโขนใหญ่มีเพียง ๒ ตัวคือชายหญิงเท่านั้น ซึ่งผีตาโขนทั้ง ๒ ตัวจะโชว์อวัยวะเพศ สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์   เมื่อเจ้าพ่อกวน แม่นางเทียม เหล่าพ่อแสน นางแต่ง เสร็จพิธีกรรมแล้ว จึงตั้งขบวนแห่เพื่อไปร่วมงานที่ทางเทศบาลจัดขึ้นยังวัดโพนชัย กิจกรรมในวันโฮมที่วัดโพนชัยจะจัดอย่างเป็นระเบียบและทางการมาก ซึ่งวันโฮมในระดับชาวบ้านคือวันที่ญาติพี่น้องได้กลับมาร่วมงานบุญด้วยกัน มีการเต้นฟ้อนกันเป็นที่สนุกสนาน ลานวัดโพนชัยในวันแห่จะมีชาวบ้านนำต้นกัณฑ์มาแห่รอบอาราม ๓ รอบแล้วถวายพระในอาราม ส่วนผีตาโขนเล็ก-ใหญ่ต่างกระโดดโลดเต้นเต็มลานวัดเพื่อรอรับขบวนแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง  วันที่สามหรือ  วันแห่  ที่กล่าวว่าเป็นวันแห่เนื่องจากในช่วงบ่ายของวันนี้จะมีการแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง แต่ในช่วงเช้าทางหน่วยงานเทศบาลซึ่งเป็นเจ้าภาพในการจัดงานได้เชิญชาวบ้านในแต่ละตำบลเข้าร่วมในขบวนแห่ โดยแต่ละขบวนประกอบด้วย ต้นกัณฑ์ ซึ่งหมายถึงปัจจัยที่ทางชุมชนนำมาถวายให้กับวัดโพนชัย ขบวนชาวบ้าน ขบวนผีตาโขน ขบวนเซิ้งการละเล่นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวด่านซ้าย อาทิ ทั่งบั้งหรือคนป่ากระทุ้งไม้พลอง ควายตู้ที่เป็นการจำลองการไถ การทอดแห ซึ่งขบวนจะเคลื่อนไปตามถนนพระแก้วอาสา จากหน้าเทศบาลด่านซ้ายไปยังวัดโพนชัย และแห่รอบอุโบสถ ในช่วงเวลาดังกล่าว จะมีผีตาโขนมาชุมนุมมากมาย หลังจากนั้นผีตาโขนทั้งหลายจะพากันออกไปอาละวาดตามละแวกบ้านเรือนต่าง ๆ  ช่วงบ่ายประมาณ ๑๕.๓๐ น. จะทำการบายศรีสู่ขวัญพระเวสสันดร ก่อนจะแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง ซึ่งจะทำกันบริเวณสี่แยกบ้านเดิ่น ในพิธีกรรมบายศรีสู่ขวัญจะมีพ่อกวน เจ้าแม่นางเทียม เหล่าพ่อแสน นางแต่ง ทั้งที่ด่านซ้ายและบ้านนาหอเข้าร่วมด้วย ตำแหน่งเจ้าพ่อกวนที่ด่านซ้ายมีอยู่ในชุมชน ๓ แห่งด้วยกันคือ ที่ด่านซ้าย ที่บ้านนาหอ และที่บ้านนาหิน โดยเฉพาะเจ้าพ่อกวนที่ด่านซ้ายและที่นาหอจะทำพิธีต่าง ๆ ด้วยกันเสมอ   พิธีบายศรีสู่ขวัญจะมีพ่อแสนหนูรินเป็นผู้นำในการทำพิธี ในปะรำพิธีมีพระพุทธรูปอันเป็นสัญลักษณ์ของพระเวสสันดร ตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า คัมภีร์ต่าง ๆ พระสงฆ์ ๔ รูปนั่งประจำสี่ทิศ และทิศทั้งสี่มีเสาคล้ายฉัตรเป็นตัวแทนหรือเทพรักษาทิศประจำอยู่ อันเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงเขตพิธีกรรมของงานและเพื่อป้องกันอันตรายหรือมาร เมื่อทำพิธีบายศรีสู่ขวัญเสร็จจึงแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง มีแสนด่านถือพานบายศรีนำหน้า ตามด้วยขบวนแห่พระพุทธรูป ขบวนพระสงฆ์ ๔ รูป ขบวนคณะแสน เจ้าแม่นางเทียม นางแต่ง ผีตาโขนทั้งเล็กและใหญ่ และปิดท้ายด้วยขบวนแห่บั้งไฟซึ่งมีเจ้าพ่อกวนนั่งบนบั้งไฟแห่มาด้วย ขณะที่ทำการแห่ เจ้าพ่อกวนจะหว่านหมากกัลปพฤกษ์หรือโปรยทานแก่ผู้ที่เข้าร่วมแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง ผู้ที่ได้รับหมากกัลปพฤกษ์จะนำไปเป็นขวัญถุงต่อไป   เมื่อขบวนแห่ถึงวัดโพนชัย ผู้คนรวมทั้งผู้ที่แต่งเป็นผีตาโขนจะถอดหน้ากากแล้วร่วมแห่พระรอบอารามและธาตุครบ ๓ รอบ จากนั้นนำพระพุทธรูปที่สมมุติเป็นพระเวสสันดรเข้าไปประดิษฐานยังอาราม จากนั้นเจ้าพ่อกวนจึงออกมาเพื่อทำการจุดบั้งไฟที่เตรียมไว้ ซึ่งในปีนี้มีบั้งไฟ ๓ บั้ง คือของเจ้าพ่อกวน เจ้าแม่นางเทียม และเหล่าพ่อแสน การจุดบั้งไฟถือเป็นการเสี่ยงทายว่าคำอธิษฐานของเจ้าของบั้งไฟจะเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ต่างอธิษฐานเรื่องฝนฟ้าให้ตกต้องตามฤดูกาลและมีพืชผลสมบูรณ์ตลอดปี อีกด้านหนึ่งของงานเมื่อแห่พระ-เวสสันดรเข้าอารามแล้วจะนำผีตาโขนใหญ่ไปลอยน้ำหมันพร้อมกระทงสะเดาะเคราะห์ เพื่อเป็นการลอยเคราะห์และสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ออกไปจากบ้านเมือง  ขบวนแห่พระเวสสันดรในวัดโพนชัย   ในช่วงหัวค่ำจะมีการสวดมาลัยหมื่นมาลัยแสน จำเป็นต้องสวดให้เสร็จก่อนเที่ยงคืน เนื่องจากพอขึ้นเช้าวันใหม่ประมาณตี ๒ จะมีการสวดสังกาจย์แล้วตามด้วยเทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์ วันเทศน์  จะเริ่มเทศน์มหาชาติกัณฑ์แรกประมาณ ตี ๓ โดยจะเทศน์ทั้งวันทั้งคืนจนครบ ๑๓ กัณฑ์ ในช่วงกลางวันของวันเทศน์จะมีแห่กัณฑ์หลอนของชาวบ้านด้วย กัณฑ์หลอนคือต้นกัณฑ์ที่ชาวบ้านร่วมกันทำมาถวายพระที่กำลังเทศน์ไม่เจาะจงกัณฑ์ ถือว่าได้บุญยิ่งนัก งานบุญหลวงที่ด่านซ้ายจะทำกันช่วงเดือน ๘ ข้างขึ้น ซึ่งต่างจากงานบุญหลวงที่อื่น ๆ ในภาคอีสานที่ทำในเดือน ๔ เพราะงานบุญหลวงด่านซ้ายหรือที่วัดโพนชัยจะทำหลังงานประเพณีไหว้พระธาตุซึ่งมีในเดือน ๖ และบวงสรวงอารักษ์หลักเมืองประจำด่านซ้ายทั้งหอน้อยบริเวณแยกบ้านเดิ่นและหอหลวงหลังพระธาตุศรีสองรัก ซึ่งมีช่วงเดือน ๗ ในพิธีบวงสรวงอารักษ์หลักเมืองจะมีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าในอดีตมาทรงเจ้าพ่อกวนและรับสั่งอนุญาตให้จัดงานบุญหลวงได้ในภายหลัง   นอกจากนี้ยังมีวัดโพธิ์ศรี บ้านนาเวียง วัดศรีสะอาด บ้านหนามแท่ง และวัดศรีภูมิ บ้านนาหอ ซึ่งเป็นชุมชนหมู่บ้านในท้องถิ่นเมืองด่านซ้ายที่จัดงานบุญหลวงในช่วงเดือน ๘ เช่นเดียวกับวัดโพนชัย ที่สำคัญวัดศรีโพธิ์ วัดศรีสะอาด และวัดศรีภูมิ ต้องจัดงานบุญหลวงหลังวัดโพนชัยและก่อนงานบุญเข้าพรรษาเท่านั้น   เหมือนพิมพ์ สุวรรณกาศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • จากราชดำเนินสู่ราษฎรดำเนิน : ความหมายและความทรงจำที่ ถูก เปลี่ยนแปลง

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ส.ค. 2551 บรรยากาศในงานเสวนาร้านหนังสือริมขอบฟ้า เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา มูลนิธิเล็ก–ประไพ วิริยะพันธุ์ จัดการเสวนา ณ ร้านหนังสือริมขอบฟ้า เรื่อง “ราชดำเนิน–ราษฎรดำเนิน: ความหมายและความทรงจำ”  โดยมีรองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษามูลนิธิฯ และอาจารย์ชาตรี ประกิตนนทการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ให้เกียรติเป็นวิทยากรนำการเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เข้าร่วมเสวนา   ท่ามกลางถนนหลากสายในประเทศไทย ถนนสายหนึ่งตั้งอยู่กลางกรุงเทพฯ กลับมีความแตกต่างมากกว่าถนน สายอื่น ๆ ด้วยถนนสายนี้เปรียบเหมือนสมุดบันทึกเล่มใหญ่ที่บันทึกความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยเอาไว้ภายในถนนนั้น “ถนนราชดำเนิน”  จาก “สยามเก่า” สู่ “สยามใหม่”  ถนนราชดำเนินสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังดุสิต พระราชวังใหม่ที่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้เป็นที่ประทับแทนพระบรมมหาราชวังที่เริ่มคับแคบ พระราชวังดุสิตยังเปรียบเหมือนกับตัวแทนของความเป็น “สยามใหม่” จากการปฏิรูปการปกครองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย เดิมเส้นทางที่ใช้สัญจรระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังดุสิต ใช้เส้นทางถนนสามเสนต่อถนนจักรพงษ์ และถนนหน้าพระธาตุ ซึ่งคดโค้งไม่ค่อยสะดวก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริตัดถนนขึ้นใหม่เพื่อเชื่อมระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังดุสิตโดยตรง จึงมีการตัดถนนราชดำเนิน  โดยแบ่งการสร้างออกเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงแรกถนนราชดำเนินนอกในพ.ศ.๒๔๔๒ ใช้เวลาประมาณ ๒ ปีจึงแล้วเสร็จ ช่วงที่ ๒ ถนนราชดำเนินกลางและราชดำเนินในสร้างเสร็จในพ.ศ.๒๔๔๔ โดยสำเร็จเป็นถนนราชดำเนินตลอดทั้งสายในพ.ศ.๒๔๔๖  ลักษณะของถนนราชดำเนินเชื่อมต่อระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังดุสิตเช่นนี้ ในแง่ของสัญญะ ถนนราชดำเนินจึงเปรียบดังทางเชื่อมระหว่าง “สยามเก่า” กับ “สยามใหม่” ในประเด็นดังกล่าวนี้อาจารย์ชาตรี ประกิตนนทการ ให้ข้อเสนอไว้อย่างน่าสนใจว่า  “ถนนราชดำเนินคือสัญลักษณ์ที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ “สยามเก่า” คือพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กับพื้นที่ “สยามใหม่” คือ พระราชวังดุสิตและวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ซึ่งเป็นการสะท้อนความเปลี่ยนแปลงอุดมคติทางการเมืองแบบจักรพรรดิราชมาสู่สมบูรณาญาสิทธิราชย์องค์ประกอบที่แวดล้อมถนนราชดำเนิน ไม่ว่าจะเป็นสะพาน พระราชวัง และตำหนักที่สร้างขึ้นด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก คือภาพสะท้อนของพระราชอำนาจสมัยใหม่ และศูนย์กลางจักรวาลสมัยใหม่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ”    ถนนราชดำเนินยังได้มีการวางสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ที่โดดเด่น คือ พระบรมรูปทรงม้า และพระที่นั่งอนันตสมาคม ประกอบกับรูปแบบของถนนราชดำเนินนอกและราชดำเนินกลางที่สร้างขึ้นภายใต้รูปแบบถนนที่เรียกว่า “Avenue” คือบนถนนมีเกาะกลางแบ่งถนนสองด้าน ถนนส่วนกลางกว้างด้านละประมาณ ๕ ช่องทาง ถัดมามีเกาะกั้นแบ่งถนนออกอีก ๒ ช่องทาง ทั้งสองข้างทางเป็นบาทวิถี ปลูกต้นไม้คือต้นมะฮอกกานีบนถนนราชดำเนินกลางและต้นมะขามบนถนนราชดำเนินนอก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการแสดงออกถึงความศิวิไลซ์ของสยามและความยิ่งใหญ่ของสถาบันกษัตริย์ในช่วงเวลานั้นผ่านถนนราชดำเนิน จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ประชาธิปไตย ความเปลี่ยนแปลงสำคัญบนถนนราชดำเนินเกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งทำให้สถาบันกษัตริย์ กลุ่มเชื้อพระวงศ์ กลุ่มขุนนางอาวุโสทั้งหลายต้องถูกยุติอำนาจและจำกัดบทบาทลง โดยมีคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองในชื่อ “คณะราษฎร” กลุ่มอำนาจใหม่เข้ามีอำนาจทางการปกครองแทน  คณะราษฎรในฐานะกลุ่มอำนาจใหม่ได้เข้าช่วงชิงและเปลี่ยนแปลงพื้นที่ของความหมายและความทรงจำของกลุ่มอำนาจเก่า เริ่มด้วยเลือกใช้ลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นสถานที่รวมพลในวันประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทั้งยังได้ปักหมุดเปลี่ยนแปลงการปกครองลงบนพื้นถนนราชดำเนินนอก บริเวณด้านข้างพระบรมรูปทรงม้า และด้านหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม อันเป็นสัญลักษณ์ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยเฉพาะบริเวณถนนราชดำเนินกลางได้กลายเป็นพื้นที่ที่คณะราษฎรเข้ามาเปลี่ยนแปลงมากที่สุด จากการรื้อเกาะด้านข้างถนนและต้นมะฮอกกานีเพื่อขยายถนนให้กว้าง สร้างอาคารพาณิชย์ โรงแรม ที่ล้วนแล้วแต่เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบใหม่ที่มีความเรียบง่าย ต่างจากสถาปัตยกรรมสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีลวดลายและรายละเอียดมากมาย สะท้อนถึงความเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตย การสร้างอาคารพาณิชย์บนถนนราชดำเนินยังเป็นการขัดกับจุดประสงค์เดิมที่แรกสร้างถนนราชดำเนินที่ไม่ต้องการให้มีอาคารร้านค้าใด ๆ  “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย”  เป็นสิ่งก่อสร้างสำคัญที่ถูกวางทับลงบนถนนราชดำเนินกลางเพื่อแสดงออกถึงความเป็นประชาธิปไตย องค์ประกอบทั้งหมดล้วนแล้วแต่แฝงไว้ซึ่งสัญลักษณ์เกี่ยวข้องกับคณะราษฎร คือ ปีกทั้งสี่ด้านของอนุสาวรีย์และรัศมีของอนุสาวรีย์ มีความสูง-ยาว ๒๔ เมตร หมายถึงวันที่ ๒๔ พานรัฐธรรมนูญตั้งอยู่สูงจากฐาน ๓ เมตร คือ เดือน ๓ หรือเดือนมิถุนายน (ตามปฏิทินไทยซึ่งนับวันที่ ๑ เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่) ปืนใหญ่ที่ฝังอยู่รอบอนุสาวรีย์มีจำนวน ๗๕ กระบอก คือ พ.ศ. ๒๔๗๕ พระขรรค์ทั้ง ๖ เล่มที่บานประตู (ซุ้มฐานพานรัฐธรรมนูญ) คือหลัก ๖ ประการของคณะราษฎรที่ประกาศในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง  อนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินนอก นอกจากนั้นเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญๆ ในสมัยต่อมาก็ล้วนแล้วแต่ช่วยขับให้ภาพของถนนราชดำเนินในฐานะ “ถนนแห่งประชาธิปไตย” ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของบรรดานิสิตนักศึกษาเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยจากรัฐบาลทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร จากเหตุการณ์วันมหาวิปโยค ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ที่เหล่านิสิตนักศึกษาเดินขบวนจากธรรมศาสตร์ไปบนถนนราชดำเนิน กระทั่งถูกทหารเข้าปราบปรามจนผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก หรืออีกครั้งจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. ๒๕๓๕ ประชาชนประท้วงขับไล่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตแกนนำคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ที่ทำการรัฐประหารรัฐบาล พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สุดท้ายก็ต้องจบลงด้วยความรุนแรง ยิ่งเสริมภาพถนนราชดำเนินในฐานะถนนแห่งประชาธิปไตยให้มีความเด่นชัดขึ้นในความรับรู้ของคนทั่วไป  หากเปรียบถนนราชดำเนินเป็นคนเราแล้ว คนผู้นี้คงเป็นผู้อาวุโสที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมผ่านกาลเวลามามากว่าร้อยฝนร้อยหนาว แต่ในวันนี้ราชดำเนินกำลังกลายเป็น “ฌองเอลิเซ่”  [Champs-Elysées]  อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตยบนถนนราชดำเนินกลางที่เกิดขึ้น ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ จากแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๕๔๐ รวมทั้งโครงการจัดทำแผนแม่บทและพัฒนาพื้นที่ถนนราชดำเนินและพื้นที่บริเวณต่อเนื่อง พ.ศ. ๒๕๔๔ ที่ติดตามมา ล้วนเป็นความพยายามของภาครัฐที่ต้องการพัฒนาพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ การดำเนินงานโครงการดังกล่าวนั้นคือการปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ให้กับเกาะรัตนโกสินทร์และถนนราชดำเนิน โดยรื้อสิ่งก่อสร้างที่เห็นว่าบดบังภูมิทัศน์สถานที่สำคัญต่าง ๆ บนเกาะรัตนโกสินทร์ ในส่วนของถนนราชดำเนินมีความพยายามย้ายชุมชนที่ตั้งอยู่ในบริเวณถนนราชดำเนินออกไป เพื่อเปลี่ยนให้ถนนราชดำเนินกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเฉกเช่นถนนฌองเอลิเซ่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทว่าโครงการนี้ถูกแรงต่อต้านจากทั้งชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบและนักวิชาการหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงให้เกาะรัตนโกสินทร์หรือถนนราชดำเนินกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาพบกับความสวยงามแต่ขาดชีวิตลมหายใจ ด้วยแรงต่อต้านที่เข้ามาอย่างมากมายและต่อเนื่องทำให้โครงการดังกล่าวต้องพักไว้ จนเมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันนำเอาโครงการดังกล่าวกลับมาพิจารณาอีกครั้ง  เหตุใดถนนราชดำเนินจำต้องเดินตามอย่างฌองเอลิเซ่ที่ตั้งอยู่คนละซีกโลก  “ถนนราชดำเนิน” จะเป็นถนนราชดำเนินที่มีความหมายสำคัญยิ่งต่อพัฒนาการของการเมืองไทยและระบอบประชาธิปไตยเพียงนี้ไม่ได้หรืออย่างไร ?   ปิยชาติ สึงตี อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ตลาดน้ำ ความต้องการของคนใน

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ธ.ค. 2551 บริเวณโดยรอบตลาดน้ำตลิ่งชัน ริมคลองชักพระ ตลาดน้ำคลองลัดมะยม  ยากนักที่จะเกิดตลาดน้ำขึ้นในท้องถิ่นหนึ่งๆ แต่ยากยิ่งกว่าถ้าตลาดน้ำนั้นดำรงอยู่อย่างมั่นคงและยาวนาน… ตลอดปี ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้เดินทางไปยังตลาดน้ำหลายแห่งที่มีขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และละแวกจังหวัดใกล้เคียง จึงเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มชัดว่า ความสามัคคีและความเข้าใจในท้องถิ่นย่อมผลักดันให้ “ตลาดน้ำ” ยังคงอยู่ ตลาดน้ำในไทย ส่วนใหญ่อยู่บริเวณภาคกลางที่มีแม่น้ำลำคลองมาบรรจบกัน ถือเป็นวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ริมน้ำและเปรียบเสมือนสายใยให้ผู้คนในพื้นที่และชุมชนที่อยู่ห่างไกลได้มาแลกเปลี่ยนผลิตผลการเกษตรตามฤดูกาล โดยอาศัยเรือเป็นพาหนะ จากข้างต้นสภาพภูมินิเวศในเขตกรุงเทพมหานคร ตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียงที่มีลำคลองหลายสายประสานกันอย่างทั่วถึงในอดีต ทำให้เกิดตลาดน้ำขึ้น เช่นที่เขตตลิ่งชัน เมื่อวันวานบริเวณปากคลองบางระมาดได้มีตลาดน้ำเกิดขึ้น แต่เลิกราไปราว ๔๐ ปีมาแล้ว เนื่องจากการคมนาคมทางบกเป็นเหตุ  หากย้อนกลับมาดูในปัจจุบัน ผู้คนต่างโหยหาอดีตและวิถีชีวิตแบบเก่า ๆ กอปรกับการสนับสนุนของภาครัฐและเอกชน รวมถึงคนในพื้นที่ ตลาดน้ำในเขตตลิ่งชันจึงกลับมาเติมเต็มให้ชาวกรุงอีกครั้ง   ปัจจุบันในเขตตลิ่งชันมีการเกิดขึ้นของตลาดน้ำ ๓ แห่งด้วยกัน คือ ตลาดน้ำตลิ่งชัน ตลาดน้ำคลองลัดมะยม และตลาดน้ำวัดสะพาน ซึ่งแต่ละที่ต่างมีที่มาและการดำเนินงานที่ต่างกัน ตามสภาพนิเวศและความต้องการของคนใน ตลาดน้ำตลิ่งชัน : ความร่วมมือและต้องการที่ไม่บางเบา ตลาดน้ำตลิ่งชัน ริมคลองชักพระ ถูกตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ตามนโยบายของผู้บริหารกรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยตามนโยบายของรัฐ ขณะเดียวกัน สภาพพื้นที่ของตลิ่งชันที่มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมหลายสาย การเกิดขึ้นของเรือสินค้าที่จะนำผลิตผลมาค้าขายจึงไม่ใช่เรื่องยาก จุดเริ่มแรกของตลาดน้ำแห่งนี้ เริ่มจากแพไม้ไผ่หรือแพลูกบวบ พื้นแพปูด้วยไม้กระดานเรียงเชื่อมกันจำนวน ๕ แพ พ่อค้าแม่ขายพายเรือรอบโป๊ะ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมและซื้อสินค้าบนแพ ส่วนพื้นที่ถนนหน้าสำนักงานเขตยังถูกจัดให้วางสินค้าจำหน่ายสำหรับชาวบ้านที่ไม่มีเรืออย่างเป็นระเบียบ ต่อมาชาวบ้านที่มาค้าขายได้รวมตัวกันสร้างแพเพิ่มขึ้น   จากอดีตที่เริ่มก่อตั้งจนปัจจุบัน ตลาดน้ำตลิ่งชันประสบปัญหาต่าง ๆ นานาตามสภาวะสังคมและคนที่เข้ามาดูแลตลาดน้ำ  กระทั่งปี ๒๕๔๑ ผู้บริหารสำนักงานเขตเห็นว่า ตลาดน้ำเป็นของคนตลิ่งชัน ชาวบ้านที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าควรมีส่วนในการดูแลรักษาและพัฒนามากกว่า และทางสำนักงานเขตไม่มีงบประมาณที่จะมาสนับสนุน จึงเกิดการรวมกลุ่มเป็น “ประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชัน” เพื่อดูแลและรักษาความเรียบร้อยเรื่อยมา ในปี ๒๕๔๑-๒๕๔๒ เป็นปี Amazing Thailand ทางกลุ่มตลาดน้ำจึงขยายความสำคัญของตลาดน้ำที่ไม่ใช่แค่เพื่อทำการซื้อขายสินค้า แต่ยังเป็นพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสถึงธรรมชาติแบบสวน และยังเข้าใจวิถีชีวิตของคนริมคลอง จึงเกิดกิจกรรมท่องเที่ยวทางน้ำที่เรียกว่า “ตลิ่งชันทัวร์” ขึ้น   ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐ ปี  ตลาดน้ำตลิ่งชันสามารถดำรงอยู่ได้ ปัจจัยสำคัญหนึ่งก็คือ ความสามัคคีของพ่อค้าแม่ขายที่ต้องการให้ตลาดเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว แต่ไม่ทำลายความเป็นนิเวศต่าง ๆ ทั้งของตลาดน้ำและท้องถิ่นตลิ่งชัน ตลาดน้ำคลองลัดมะยม : ท้องถิ่นแห่งการเรียนรู้  ตลาดน้ำคลองลัดมะยมก่อตั้งเป็นเวลาเพียง ๔ ปี โดยความพยายามของลุงชวน ชูจันทร์ ผู้นำชาวบ้านที่มีความรู้ความสามารถและมีบทบาทในเชิงอนุรักษ์ท้องถิ่น กับชาวบ้านคลองลัดมะยม ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นชีวิตของแม่น้ำคูคลอง ทั้งยังต้องการให้ตลาดน้ำเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าของคนบ้านสวน และที่สำคัญเพื่อให้ชุมชนได้หวนกลับมามีกิจกรรมร่วมกันอีกครั้ง เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นลัดมะยมต่อไป   ตลาดน้ำคลองลัดมะยมเดิมอยู่ที่ด้านใต้ของถนนบางระมาด ก่อตั้งในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๗ ต่อมาเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๔๙ ได้ย้ายมาอยู่ทางด้านเหนือของถนนบางระมาดแทน แต่ยังติดคลองลัดมะยมเช่นเดิม  ซึ่งอยู่ในบริเวณสวนดั้งเดิมของนายบุญช่วย ปานพรหม ที่ยังยืนหยัดรักษาสวนไม่ยอมขาย แต่กลับนำมาใช้ประโยชน์เพื่อท้องถิ่นแทน ที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยมเป็นตลาดของชาวบ้านอย่างแท้จริง ชาวบ้านจะนำสินค้ามาจำหน่ายมากมายหลายประเภท ทั้งขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ ขนมเบื้องญวน กุยช่าย ข้าวเกรียบปากหม้อ ฯลฯ หรือจะเป็นผลผลิตจากสวนที่มีในชุมชน เช่น ผักผลไม้ปลอดสารพิษ มีให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อหากันอย่างมาก และที่ขาดไม่ได้คือไอศกรีมโบราณที่ขึ้นชื่อนัก นอกจากนี้บริเวณข้างตลาดคลองลัดมะยมยังมี “สวนเจียมตน” เป็นสวนเกษตรแบบผสมผสานซึ่งใช้เป็นห้องเรียนธรรมชาติ ภายในสวนมีเรือพายให้นักท่องเที่ยวได้ลองพายเล่น ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปนั่งพักผ่อนและหาอ่านหนังสือต่าง ๆ ได้ที่นี่ เพราะในสวนเจียมตนแห่งนี้มีทั้งศาลาอเนกประสงค์ ห้องสมุด ที่สามารถจัดเสวนาและอบรมความรู้สู่ชุมชนและสาธารณชนต่อไปได้ ตรงข้ามกับตลาดน้ำคลองลัดมะยมมี “บ้านหัตถกรรม พิพิธภัณฑ์เรือจำลอง” ของคุณสุรชัย รุณบุญรอด ผู้มีความสามารถ รอบรู้ เชี่ยวชาญการทำเรือจำลองขนาดเล็ก มีการจัดห้องแสดงรูปเรือแบบต่าง ๆ และอุปกรณ์วิถีชีวิตแบบชาวคลองชาวสวน ให้ความรู้ทั้งชาวบ้านและผู้เยี่ยมชมได้อย่างดี สวนเจียมตน ส่วนหนึ่งของพื้นที่การเรียนรู้ท้องถิ่น ไม่เพียงเท่านี้ ที่ตลาดน้ำแห่งนี้ยังมีการทัศนาจรเรียนรู้วิถีชีวิตสังคมลุ่มน้ำลำคลองอีกด้วย โดย “มะยมทัวร์” ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวทางน้ำแบบสบาย ๆ  ด้วยเรือขนาด ๕-๑๐ คน ทางด้านเส้นทางมีให้เลือกหลายเส้นทางทั้งเที่ยวชมตามคลองและสวน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นพูนบำเพ็ญ บ้านพิพิธภัณฑ์ของคุณอเนก นาวิกมูล สวนผลไม้และไม้ดัดย่านทวีวัฒนา โดยมีลุงเสริฐและลุงชวนเป็นทั้งผู้ขับเรือและมัคคุเทศก์ที่ให้ข้อมูลชุมชนได้ดีที่สุด ปัจจุบันลุงชวนและชาวบ้านได้เริ่มกันทำโครงการ Home Stay ขึ้น เพื่อต้องการให้ตลาดและพื้นที่คลองลัดมะยมเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้วิถีชีวิตและท้องถิ่นลุ่มน้ำลำคลองอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างให้ความร่วมมือและสนับสนุนกันอย่างดียิ่ง  ตลาดน้ำวัดสะพาน : ความต้องการจากคนนอกถึงคนใน เมื่อประมาณปี ๒๕๔๘ บริเวณวัดสะพานหรือวัดตะพาน ริมคลองบางน้อย วัดที่สำคัญแห่งหนึ่งในเขตตลิ่งชัน เนื่องด้วยเป็นวัดโบราณ มีพระพุทธรูปหินทรายอายุประมาณปลายอยุธยาเป็นจำนวนมาก วิหารขนาดเก้าห้องภายในประดิษฐาน หลวงพ่อดำ หลวงพ่อกลาง และหลวงพ่อโต ได้มีการตั้งตลาดน้ำขึ้นชื่อว่า ตลาดน้ำวัดสะพาน ตลาดน้ำแห่งนี้เกิดขึ้นครั้งแรกจากความคิดที่ต้องการพัฒนาชุมชนของนายตำรวจผู้หนึ่งที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ ทั้งต้องการที่จะเห็นบริเวณโดยรอบของชุมชนให้เป็นส่วนหนึ่งของตลาดน้ำ จึงร่วมมือกับชาวบ้านจัดตั้งตลาดน้ำขึ้น พร้อมทั้งขออนุญาตจากทางวัดสะพาน เพราะต้องการที่จะจัดสร้างตลาดน้ำภายในวัด ริมคลองบางน้อย ที่ตั้งของตลาดน้ำแห่งนี้ไม่เพียงสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านเท่านั้น วัดสะพานยังเกิดรายได้จากจุดนี้ด้วย กล่าวคือ วัดเกิดรายได้จากการที่นักท่องเที่ยวเข้ามาทำบุญและนมัสการหลวงพ่อดำ หลวงพ่อกลางและหลวงพ่อโตนั่นเอง การเกิดขึ้นของตลาดน้ำในช่วง ๓ ปีแรกดำเนินไปได้ด้วยดี ชาวบ้านผู้ขายให้ความร่วมมือดี หากแต่สินค้าที่นำมาขายไม่ใช่สินค้าในพื้นที่และมีจำนวนน้อย ในทุกครั้งที่มีการค้าขายตลาดวัดสะพานจึงวายอย่างรวดเร็ว กระทั่งเดือนเมษายน ๒๕๕๑ ตลาดน้ำวัดสะพานปิดตัวลงชั่วคราว เนื่องจากมีปัญหาในเรื่องการขึ้นค่าเช่า แต่สุดท้ายตลาดน้ำดังกล่าวก็ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมซื้อสินค้าบริเวณริมคลองบางน้อย และนมัสการพระสำคัญในวัดสะพาน ปัจจุบันตลาดน้ำดังกล่าวได้มีแกนนำของชุมชนมาดูแลจัดการตลาดสานต่อความคิดและความต้องการของนายตำรวจที่ริเริ่มขึ้น โดยมีวัดเป็นผู้ให้การสนับสนุน   ตลาดน้ำแห่งนี้หากชาวบ้านไม่เห็นด้วยและไม่มีความสามัคคีในกลุ่มชุมชน เชื่อแน่ว่าตลาดคงปิดตัวลงอย่างถาวร เพราะจุดเริ่มต้นของที่นี่มาจากคนนอกพื้นที่นั่นเอง  ทั้ง ๓ ตลาดที่กล่าวมาล้วนอยู่ในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ทั้งนี้ตลาดน้ำในจังหวัดใกล้เคียงก็มีอีกหลายแห่งที่น่าสนใจ เช่น บรรยากาศตลาดน้ำวัดสะพาน ริมคลองบางน้อย ตลาดน้ำท่าค้า : การคงอยู่อย่างมั่นคง ที่จ.สมุทรสงครามไม่ได้ขึ้นชื่อเฉพาะตลาดน้ำที่อัมพวาเท่านั้น แต่ที่บ้านท่าคา ต.ท่าคา อ.อัมพวา  เรายังคงเห็นวิถีชีวิตการค้าริมน้ำแบบเก่าที่มีเสน่ห์อีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ ตลาดน้ำท่าคา การกำเนิดของตลาดน้ำท่าคานั้นยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าเกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ.ใด แต่จากหลักฐานส่วนใหญ่ที่สันนิษฐานตาม ๆ กันระบุว่าตลาดแห่งนี้ถือกำเนิดมา ๑๐๐ กว่าปีแล้ว แต่เดิมตลาดน้ำท่าคาเป็นตลาดบก ชาวบ้านนัดขายของกันที่สันเขื่อน หมู่ ๕ ใกล้ปากอ่าว สมัยนั้นชาวเรือกับชาวสวนจะนำของมาขายแลกเปลี่ยนกัน ชาวเรือก็มีพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ส่วนชาวสวนก็เป็นพวกผักผลไม้ เมื่อเริ่มเป็นตลาดขึ้นมาก็มีพ่อค้าแม่ค้านำสินค้าอื่น ๆ มาขายด้วย แต่ปัญหาอยู่ตรงที่จุดขายของที่เป็นสันเขื่อนนั้นขึ้น-ลงลำบาก เมื่อสถานที่ค้าขายไม่สะดวก คนสมัยนั้นก็เลยเปลี่ยนมาซื้อขายกันในน้ำแทน เกิดเป็นตลาดน้ำขึ้น แล้วก็มีการเปลี่ยนสถานที่ขายร่นเข้ามาเรื่อย ๆ จากปากอ่าวมาจนถึงสถานที่ปัจจุบัน สีสันและการดึงดูดนักท่องเที่ยวคงจะเป็นเรื่องนัดที่ไม่ธรรมดา กล่าวคือ พ่อค้าแม่ค้าไม่ได้นัดกันตามปฏิทินหรือวัดหยุดราชการ แต่จะนัดกันตามข้างขึ้นข้างแรมแบบโบราณ คือมีเฉพาะขึ้นและแรม ๒ ค่ำ ๗  ค่ำ และ ๑๒ ค่ำ หรือประมาณทุกๆ ๕ วัน ชาวบ้านจะเริ่มขายของประมาณ ๐๗.๐๐-๑๒.๐๐ น. เท่านั้น   สิ่งดึงดูดในตลาดน้ำท่าคาอีกอย่างหนึ่ง คงจะเป็นรอยยิ้มของกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ค่อนข้างสูงวัยแทบทุกคน  พวกเขาพายเรือค้าขายเช่นนี้มาตั้งแต่สมัยหนุ่มสาวแล้ว และสินค้าที่นำมาขายก็จะเป็นของที่มีในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ตามฤดูกาล อาหาร ขนม ฯลฯ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือสินค้าแปรรูปจากมะพร้าว เพราะที่ท่าคามีการปลูกมะพร้าวเป็นจำนวนมาก จึงนำมาทำเป็นสินค้าหลากชนิด ทั้งไอศกรีม น้ำตาลมะพร้าว ฯลฯ หากเราไปเที่ยวตลาดน้ำท่าคายังสามารถแวะชมแหล่งท่องเที่ยวได้อีกด้วย โดยการนั่งเรือพายชมคลองและธรรมชาติ ชมเรือกสวนนานาชนิด บ้านเรือนไทยแบบเก่า หรือจะแวะชมการทำน้ำตาลมะพร้าว ศาลเจ้าโรงเจ หรือแม้กระทั่งบ้านหมื่นปฏิคมคุณวัติหรือกำนันจัน ซึ่งพระพุทธเจ้าหลวงเคยเสด็จเยือนเมื่อคราวเสด็จประพาสต้น พ.ศ. ๒๔๔๗ เป็นต้น ซึ่งสภาพนิเวศเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดการเป็นตลาดน้ำท่าคาที่สมบูรณ์แบบทั้งสิ้น การนัดของตลาดน้ำท่าคายังคงความเป็นอมตะไม่เสื่อมคลาย ส่วนที่ไม่คงความอมตะก็คือสภาพพื้นที่ของชุมชนที่หลังจากมีการตัดถนนผ่านในราวปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ตลาดน้ำท่าคาที่เคยคึกคักก็เริ่มซบเซาลง แต่ว่าก็ยังไม่สิ้นลมหายใจ แถมยังยืนหยัดต้านกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบันได้อย่างน่าชื่นชม เมื่อชาวบ้านพร้อมที่จะเรียนรู้ท้องถิ่นของตนเอง ความมั่นคงต่าง ๆ ล้วนตามมา ตลาดน้ำก็เช่นกัน หากคนในไม่ต้องการไม่สนใจ ตลาดคงไม่เกิดขึ้นและมีให้เป็นรูปธรรมเช่นนี้ บรรยากาศตลาดน้ำท่าคา เหมือนพิมพ์ สุวรรณกาศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • คลองคูเมืองธนบุรีฝั่งตะวันตก เหลือฐานะแค่ ท่อระบายน้ำ

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.พ. 2552 “กรุงธนบุรียังไม่มีกำแพงเป็นที่มั่น จะได้ป้องกันราชศัตรูหมู่ปัจจามิตร ยังหาเป็นภูมิราชธานีไม่... ให้เกณฑ์ไพร่พลในกรุง พลหัวเมือง มาระดมกันทำค่ายฟากตะวันตก ตั้งแต่มุมกำแพงเมืองเก่าที่ตั้งเป็นพระราชวัง แล้วให้ขุดคลองหลังเมือง แต่คลองบางกอกน้อยมาออกคลองบางกอกใหญ่ เอามูลดินขึ้นถมเป็นเชิงเทินข้างในทั้งสามด้าน” จากข้อความใน พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา  ข้างต้น ชี้ให้เห็นถึงพระราโชบายของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อครั้งทรงพัฒนาเมืองธนบุรีให้เหมาะต่อการเป็นที่มั่นอันแข็งแรงปลอดภัย สมกับการเป็นราชธานีแห่งใหม่ต่อจากกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการดำเนินการครั้งนั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๑๔ โดยเริ่มจากการสร้างกำแพงและขุดคลองเป็นแนวเขตจากฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณริมคลองบางกอกใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของเมืองธนบุรีที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ขึ้นไปจนถึงบริเวณคลองบางกอกน้อย แล้วข้ามไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ ทำให้กรุงธนบุรีกลายเป็น “เมืองอกแตก” ที่มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านกลางเมืองดังที่รับรู้กัน  จนถึงวันนี้ล่วงเลยมาถึง ๒๓๘ ปี แม้ว่าแนวกำแพงกรุงธนบุรีจะไม่หลงเหลือสภาพให้พบเห็นอีก แต่ร่องรอยของแนวกำแพงเก่ากลับถูกขุดพบใกล้กับอนุสาวรีย์หมู ริมคลองหลอดหรือคลองคูเมืองธนบุรีฝั่งตะวันออก ที่ปัจจุบันถูกเรียกขานว่า “คลองคูเมืองเดิม” ซึ่งมีความยาวตั้งแต่ปากคลองโรงไหม ใต้สะพานพระปิ่นเกล้าทางทิศเหนือ ไปจนถึงทางออกแม่น้ำเจ้าพระยาที่ปากคลองตลาด ทางทิศใต้  คลองดังกล่าวได้กลายเป็นแนวแบ่งเขตระหว่างพื้นที่ชั้นในกับชั้นนอกของกรุงรัตนโกสินทร์ ตามนโยบายการอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์ของทางราชการหลังปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นมา ทำให้คลองสายนี้ได้รับการอนุรักษ์ให้คงสภาพความเป็นคลองคูเมืองอย่างสมบูรณ์ในปัจจุบัน  ถ้าเป็นเช่นนั้น คลองคูเมืองธนบุรีฝั่งตะวันตกอยู่ที่ไหน ? และมีสภาพเป็นอย่างไรในปัจจุบัน ?  แกะรอยตามสายน้ำ คลองคูเมืองธนบุรีฝั่งตะวันตก ด้วยเหตุนี้การตามรอยคลองคูเมืองธนบุรีฝั่งตะวันตกจึงเกิดขึ้น โดยเริ่มต้นจากริมคลองบางกอกใหญ่ ณ จุดที่พงศาวดารกล่าวไว้ว่า เคยเป็นมุมกำแพงเมืองเก่า มีมาก่อนการสร้างกรุงธนบุรี บริเวณนี้ปัจจุบันก็คือพื้นที่หลังป้อมวิชัยประสิทธิ์ลงมาถึงบริเวณเชิงสะพานอนุทินสวัสดิ์ ซึ่งหากสังเกตให้ดีจะพบว่าใต้สะพานแห่งนี้มีช่องให้น้ำไหลออกได้เล็กน้อย  แผนที่คลองคูเมืองธนบุรีฝั่งตะวันตก จากแนวถนนกลับรถใต้สะพานอนุทินสวัสดิ์ไปยังถนนอรุณอมรินทร์ ตรงจุดนี้เองคือปากคลองคูเมืองธนบุรีที่เชื่อมกับคลองบางกอกใหญ่ และเมื่อหันหน้าเข้าหาแนวปากคลองจะพบว่า ด้านซ้ายมือเป็นมัสยิดต้นสน ส่วนขวามือเป็นวัดโมลีโลกยารามหรือวัดท้ายตลาด ซึ่งมีอายุเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาทั้งคู่ โดยเฉพาะวัดท้ายตลาดสมัยกรุงธนบุรีได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพระราชฐานด้านทิศใต้ ริมคลองบางกอกใหญ่  แนวคลองคูเมืองช่วงนี้จึงเรียกสืบต่อกันมาว่า “คลองวัดท้ายตลาด” หรือ “คลองวัดโมลีโลกย์”และเมื่อเดินเลาะไปตามลำคลองสายนี้ซึ่งมีสภาพเหมือนคูน้ำคอนกรีตจากใต้สะพานถึงบริเวณริมถนนเชิงสะพานจะพบว่า มีการสร้างคานคอนกรีตขวางคลองเป็น ระยะ ๆ และทั้งสองฟากของลำคลองมีบ้านเรือนประชาชนตั้งหันหลังเป็นแนวยาวให้กับลำคลอง จนถึงบริเวณถนนหน้าวัดอรุณราชวราราม จะพบแนวตัดของคลองคูเมืองกับคลองนครบาล ที่ทำประตูน้ำกั้นไว้  คลองนครบาลนี้ชาวบ้านบริเวณนั้นมักเรียกว่าว่า คลองวัดอรุณหรือคลองวัดแจ้ง ซึ่งในสมัยกรุงธนบุรีมีสภาพเป็นคูพระราชวังทางทิศเหนือที่เชื่อมไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาได้  เมื่อเลยจากจุดนี้ไป แนวของคลองคูเมืองลอดใต้ถนนอรุณอมรินทร์เลียบไปหลังแนวบ้านเรือนของประชาชน สภาพคลองนั้นไม่ต่างไปจากบริเวณที่เพิ่งผ่านมา เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเรียกจากคลองวัดท้ายตลาด เป็น “คลองบ้านหม้อ” เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นย่านที่อยู่อาศัยของชาวมอญมาแต่สมัยอยุธยา และชื่อบ้านหม้อนี้น่าจะเกิดจากการเป็นย่านทำหม้อดินเผาของชาวมอญที่มาตั้งรกรากอยู่ใกล้กับคลองมอญ ซึ่งเป็นคลองสายใหญ่ที่ถูกตัดผ่านแนวคลองบ้านหม้อเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยา สันนิษฐานว่าจะน่าเกิดขึ้นหลังการขุดคลองลัดบางกอกแล้ว  ตรงบริเวณปากคลองบ้านหม้อไปออกคลองมอญด้านซ้ายมือเป็นที่ตั้งของวัดนาคกลาง และขวามือคือวัดเครือวัลย์ ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา สภาพคลองที่ถูกรุกล้ำและตื้นเขิน หากข้ามสะพานตรงคลองมอญไปแล้ว จะพบแนวคลองคูเมืองที่ตัดทะลุมาจากบ้านหม้อผ่านคลองมอญ ซึ่งคลองฝั่งนี้มีชื่อเรียกว่า “คลองบ้านขมิ้น” เป็นแนวเลียบหลังบ้านเรือนประชาชนตั้งแต่ตรอกมะตูมผ่านหน้าวัดพระยาทำวรวิหาร ซึ่งเดิมชื่อวัดนาค สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย และถัดขึ้นมาเป็นย่านชุมชนทำขมิ้นและดินสอพอง อันเป็นที่มาของชื่อเรียกคลองนี้ ย่านดังกล่าวมีชาวจีนอาศัยอยู่มาก เห็นได้จากศาลเจ้าพ่อบ้านขมิ้นที่ตั้งทำมุมระหว่างแนวคลองคูเมืองด้านหลังกับคลองวัดระฆังที่ตัดเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านซ้ายมือของศาลเจ้า   ลุงโลม ชายชราวัย ๗๐ กว่าปี ผู้ดูแลศาลเจ้าพ่อบ้านขมิ้นเล่าถึงประวัติของแนวคลองคูเมืองในบริเวณนี้ว่า “ตรงถนนหน้าศาลเจ้าเป็นแนวกำแพงเมือง เคยมีการขุดเจออิฐเก่า” นอกจากนี้ลุงโลมยังเล่าถึงวิถีชีวิตเมื่อก่อนที่ยังมีการใช้เรือเดินทางในลำคลองและแม่น้ำเจ้าพระยาว่า “แต่ก่อนเวลาเดินทางใช้เรือหมด ขึ้นล่องไปออกคลองมอญได้ ขึ้นไปได้ถึงวัดวิเศษฯ แต่พอมีประตูน้ำ เรือหางยาวก็เข้าไม่ได้แล้ว” สภาพปัจจุบันเป็นดังที่ลุงโลมเล่า ด้วยมีประตูน้ำกั้นเรือที่จะเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยาตรงปากคลองวัดระฆัง ส่วนคลองบ้านขมิ้นด้านหลังศาลเจ้านั้นมีสภาพตื้นเขิน ต้นไม้ขึ้นรกทึบเป็นบางช่วง แม้จะล่องเรือไปได้ แต่ก็ติดคานคอนกรีตตามคลองที่ผ่านมาอยู่ดี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรือสัญจรเข้าออกในคลองนี้ได้อีกแล้ว เมื่อข้ามถนนตรงศาลเจ้าพ่อบ้านขมิ้น ใต้แนวถนนเส้นนี้เป็นคลองวัดระฆังที่มีแนวคลองคูเมืองตัดผ่าน ซึ่งชาวบ้านเรียกคลองคูเมืองบริเวณนี้ว่า “คลองบ้านช่างหล่อ” เพราะแนวคลองตัดผ่านย่านหล่อพระพุทธรูป ซึ่งเหนือแนวคลองหน้าวัดวิเศษการมีสะพานปูนข้ามคลอง หากสังเกตราวสะพานจะพบตัวอักษรระบุชื่อผู้สร้างไว้ว่า “นายอู๊ด ช่างหล่อ ยี่ห้อฮั้วอัน สร้าง พ.ศ. ๒๔๖๕” ข้างสะพานมีซอยบ้านช่างหล่อ บ่งบอกว่าย่านนี้เคยเป็นแหล่งหล่อพระพุทธรูป แม้ปัจจุบันจะไม่มีการหล่อพระเหมือนในอดีต แต่ยังคงหลงเหลือบ้านช่างรับงานอยู่ประปราย ท่อระบายน้ำออกสู่คลองบางกอกน้อย สภาพคลองคูเมืองตั้งแต่บริเวณนี้เป็นต้นไป เล็กและแคบลงเรื่อย ๆ บางช่วงถูกรุกล้ำโดยบ้านเรือนประชาชนที่สร้างคร่อมทับแนวคลอง บ้างมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น และเมื่อมาถึงบริเวณใกล้ถนนริมสถานีรถไฟธนบุรี คลองคูเมืองก็แห้งสนิทและถูกถมทับด้วยถนนริมสถานีรถไฟธนบุรีนั้นเอง นับเป็นจุดสิ้นสุดของคลองคูเมืองธนบุรีที่ได้กลายเป็นท่อระบายน้ำเล็ก ๆ ลอดใต้สถานีรถไฟธนบุรีไปออกสู่คลองบางกอกน้อยใกล้กับสะพานอรุณอมรินทร์ บริเวณด้านหลังวัดอมรินทรารามหรือวัดบางหว้าน้อย ซึ่งเป็นวัดเก่าแต่ครั้งอยุธยา  จากสภาพของคลองคูเมืองธนบุรีฝั่งตะวันตก ที่มีความแตกต่างจากคลองคูเมืองเดิมฝั่งตะวันออกอย่างสิ้นเชิง ทั้ง ๆ ที่เป็นคลองสายสำคัญซึ่งต้องอนุรักษ์ไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.  ๒๕๑๐ กลับมีสภาพตื้นเขิน น้ำเน่าเสีย จากการปลูกสร้างทับถมต่อเติมที่อยู่อาศัยของประชาชนลงไปในแนวคูคลอง ซ้ำยังเป็นที่ทิ้งขยะและน้ำเสียจากบ้านเรือน รวมถึงมีการปิดกั้นทางน้ำด้วยประตูระบายน้ำตามนโยบายป้องกันน้ำท่วมของกรุงเทพมหานครในช่วง ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมา การปิดหัวปิดท้ายแนวคลองคูเมืองด้วยการถมคลองเปลี่ยนเป็นแนวถนนและสะพาน ทั้งช่วงกลางของคลองคูเมืองยังมีการสร้างคานคอนกรีตกั้นระหว่างแนวคลองเป็นระยะ ๆ ก็ส่งผลให้สภาพวิถีชีวิตริมฝั่งคลองแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เรือไม่สามารถสัญจรเข้ามาในเขตคลองคูเมืองได้อย่างถาวร  คลองคูเมืองธนบุรีฝั่งตะวันตกจึงเป็นภาพสะท้อนของสายน้ำคูคลองอีกหลายสายในบางกอก ที่กำลังถูกทำลายโดยการขาดความรู้ความเข้าใจ จนทำให้ภาพความเป็นเวนิสตะวันออกหรือนครแห่งแม่น้ำลำคลอง อันเป็นวิถีชีวิตของคนบางกอกในอดีตกำลังจะค่อย ๆ เลือนหายไป  วันนี้... หากเราหวนกลับมาใส่ใจคลองหลังบ้านหรือหน้าบ้านสักนิด เราอาจช่วยให้มันกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งก็เป็นได้                           ภาณุพงษ์ ไชยคง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ชุมชนวัดขนอน วิถีแห่งสายน้ำไม่หวนกลับ

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2552 วัดขนอนคงเป็นที่คุ้นหูของใครหลาย ๆ คนผ่านงานนาฏศิลป์หลวงที่ถูกส่งผ่านให้กับชาวบ้านอย่างเช่นหนังใหญ่ที่ยังคงอนุรักษ์เก็บไว้และเหลือเพียงไม่กี่คณะในประเทศไทย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ชุมชนวัดขนอนมีเรื่องราวความเป็นมาและวิถีชีวิตที่น่าสนใจเฉพาะตัวในแบบคนลุ่มน้ำแม่กลอง  วัดขนอน ศูนย์รวมจิตใจของชุมชนมายาวนาน ย่านหลากกลุ่มชน วัดขนอน  เป็นชื่อของชุมชนหมู่ ๔ ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี อยู่ห่างจากตัวอำเภอโพธารามประมาณ ๔ กิโลเมตร ชุมชนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของวัดขนอนที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านมาเนิ่นนาน    วัดขนอนเป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ บริเวณนี้บางท่านเชื่อว่าเป็นที่เก็บภาษีอากรของเรือที่มาค้าขายทางแม่น้ำแม่กลอง ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของเส้นทางน้ำ และตัววัดดั้งเดิมหันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่แม่น้ำแม่กลอง   สืบเนื่องมาจากสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมืองราชบุรีมีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นในที่อยู่ติดกับชายแดนพม่าด้านตะวันตก จึงมีชนกลุ่มน้อยอพยพเข้ามาอาศัยอยู่เป็นระยะ ๆ ได้แก่ มอญและกะเหรี่ยง กลุ่มชนเหล่านี้เป็นกองลาดตระเวนหาข่าวให้กับสยามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา   นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ อีก เช่น ลาว ถูกกวาดต้อนเทครัวมาในระหว่างสงคราม รวมทั้งชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้เพื่อค้าขายเป็นต้น เมื่อสงครามระหว่างสยามกับพม่าสิ้นสุดลงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ชนกลุ่มต่างๆ ยังคงติดค้างอยู่ในจังหวัดราชบุรี รวมไปถึงชุมชนวัดขนอนที่มีกลุ่มชาติพันธุ์กระจายตัวอยู่ทั่วไป   ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองหน้าวัดขนอน อดีตเคยคลาคล่ำไปด้วยเรือของพ่อค้าแม่ขายทั้งคนในและนอกชุมชน   พื้นที่รอบ ๆ วัดขนอนแห่งนี้หลากหลายด้วยกลุ่มคนที่อาศัยอยู่และพึ่งพาซึ่งกันและกันจนมองข้ามความต่าง ในหมู่บ้านละแวกวัดขนอนที่อยู่ในเขตการปกครองหมู่ ๔ ในปัจจุบันประกอบด้วย คนไทย คนมอญ คนจีน และคนลาวบางส่วน   คนไทย  ส่วนมากอาศัยอยู่ละแวกวัดขนอนและใกล้เคียง ทำนาทำไร่เป็นอาชีพหลัก คนมอญ   ตั้งชุมชนหนาแน่นอยู่ทางทิศใต้ของวัดขนอน ตั้งแต่หมู่ ๑ จนถึงหมู่ ๒ และทางทิศเหนือของวัดขึ้นไป อาชีพหลักไม่ต่างกับคนไทย ส่วนใหญ่ทำนาทำไร่ แต่มอญบางกลุ่มอย่างชุมชนบ้านหม้อที่อยู่ทางเหนือของวัดขนอนเป็นมอญใหม่ หมายถึงกลุ่มมอญที่เข้ามาใหม่ในสมัยกรุงธนบุรีและต้นรัตนโกสินทร์ กลุ่มนี้ย้ายมาจากปากเกร็ดและสามโคก อาชีพดั้งเดิมเป็นช่างปั้นหม้อขาย   คนจีน  แรกเริ่มชุมชนมีคนจีนรุ่นแรก ๆ อยู่ทางทิศใต้ของวัดขนอน ชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่า บ้านสวนขวัญ คนจีนอพยพเข้ามาจากการล่องเรือมาตามลำน้ำแม่กลอง บางส่วนเดินเท้า ส่วนใหญ่ค้าขาย ทำสวนทำไร่ นอกจากนี้ยังมีคนจีนอีกส่วนหนึ่งที่เป็นพ่อค้าเร่ที่เข้ามารับซื้อข้าวที่ถือเป็นพืชเศรษฐกิจมาตั้งแต่ ๓๐-๔๐ ปีแล้ว คนลาว  เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองบริเวณวัดสร้อยฟ้าที่ตั้งอยู่ทิศเหนือของวัดขนอน  แต่ปัจจุบันคนลาวได้ย้ายเข้าไปอยู่ตอนในของริมฝั่งแม่น้ำ แถบบ้านหนองหูช้าง บ้านหนองหญ้าปล้อง บ้านมะขาม บ้านเลือก เป็นต้น ส่วนมากทำนาทำสวน ย่านค้าขายทางน้ำเก่าแก่ เมื่อสยามทำสนธิสัญญาเบาริงในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ เปิดการค้าเสรีและมีการขุดคลองภาษีเจริญและคลองดำเนินสะดวกเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลองในปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงต้นรัชกาลที่ ๕ เป็นการขยายเส้นทางการค้าทางน้ำ การขนส่ง การปลูกข้าว ตลอดจนการอพยพของผู้คน ทำให้การค้าบริเวณลุ่มน้ำแม่กลองขยายตัว มีชาวจีนเดินทางเข้ามาค้าขาย มาแลกข้าวตามหมู่บ้านต่าง ๆ พร้อมทั้งตั้งบ้านเรือนค้าขายสี่ห้าครอบครัวเกือบทุกหมู่บ้าน และกระจุกตัวหนาแน่นในบางแห่งที่เป็นแหล่งทำมาหากิน ชาวบ้านซักซ้อมพายเรือก่อนถึงเทศกาลวันออกพรรษาของทุกปี  การขายข้าวจะเป็นลักษณะของการแลกเปลี่ยนในฐานะที่ข้าวมีราคา การซื้อขายจะใช้ข้าวเปลือกแลกข้าวของต่าง ๆ และพ่อค้าคนกลางมักจะเอาสิ่งของอุปโภคบริโภค เช่น เสื้อผ้า น้ำมันก๊าด  ไม้ขีดไฟ เกลือ และอื่น ๆ มาแลก อัตราการแลกนั้นไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับการกำหนดของพ่อค้าคนกลางเป็นส่วนใหญ่ เพราะชาวนาไม่ทราบราคากลางและการขนส่งข้าวไปขายที่กรุงเทพฯ หรือโรงสีในลุ่มน้ำแม่กลองไม่สะดวก จึงจำเป็นต้องอาศัยพ่อค้าขนกลาง พ่อค้าคนกลางส่วนใหญ่เป็นคนจีน คนมอญ ส่วนคนไทยมีน้อย มักพายเรือเล็ก ๆ ไปตามแม่น้ำลำคลองช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว ซื้อข้าวโดยนำของไปแลกและนำข้าวไปขายต่อ พ่อค้าคนกลางจะได้กำไรทั้งจากการขายของและนำข้าวไปขายโรงสีใหญ่หรือนายทุนใหญ่ซึ่งเป็นคนจีน   นอกจากนี้ชุมชนวัดขนอนยังเป็นย่านค้าขายระดับท้องถิ่นที่สำคัญ การค้าของชุมชนวัดขนอนแบ่งเป็น ๓ ลักษณะ คือ มีทั้งที่เป็นเรือที่มาค้าขายกับคนที่อยู่ริมน้ำ และในส่วนที่เป็นตลาดบกประมาณสี่ห้าร้านตรงที่ตั้งโรงเรียนของวัดขนอนในปัจจุบัน ทำให้ชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียงข้ามฝั่งมาแลกสินค้ากัน อย่างชุมชนวัดคงคาและชุมชนวัดป่าไผ่     อีกส่วนหนึ่งเป็นการค้าระยะไกลทางแถบอัมพวา สินค้าที่ขึ้นชื่อของชุมชนวัดขนอนคือ กระบอกไม้ไผ่  นำไปแลกของทะเล เช่น น้ำปลา กะปิ เป็นต้น เพราะในอดีตชุมชนวัดขนอนมีต้นไผ่มาก และทางแถบสมุทรสงครามมีการทำน้ำตาลมะพร้าว ซึ่งต้องการกระบอกไม้ไผ่ไปรองน้ำตาลจากงวงมะพร้าวเป็นจำนวนมาก สายน้ำก่อเกิดประเพณี เมื่อย่างเข้าเดือน ๑๑ มหกรรมท้องทุ่งเริ่มเบาลง ตรงกับช่วงออกพรรษาพอดี คนกลุ่มต่างๆ จะร่วมกันทำบุญที่วัดขนอนกันอย่างคึกคัก พบปะพูดคุย ซักถามสารทุกข์สุกดิบกันในช่วงเช้า พอตกบ่ายชาวบ้านจะร่วมกันแข่งขันเรือยาว  ความจริงแล้วงานจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือน ๑๐ วัยรุ่นจะนัดหมายกันมายกเรือจากใต้ถุนศาลาการเปรียญออกไปไว้ในที่โล่งแจ้งเพื่อซ่อมแซมเรือ หลังจากนั้นในยามเย็นของทุกวันจะซ้อมพายเรือเพื่อเตรียมแข่งขันกันระหว่างหมู่บ้านในวันออกพรรษาหรือวันทอดกฐิน   การแข่งขันเรือยาวแต่ละวัดแต่ละชุมชนจะผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ หลังออกพรรษาวัดต่าง ๆ จะทอดกฐินและจัดแข่งขันเรือยาว ทยอยกันจัดไปจนถึงกลางเดือน ๑๒ เป็นอันสิ้นสุดประเพณี      แต่ละบ้านในชุมชนจะมีส่วนร่วมในงาน  เพราะจะช่วยกันทำข้าวห่อไปร่วมงานคนละห่อสองห่อตามกำลัง โดยเช้าตรู่ของวันแข่งเรือจะมีคนไปรับข้าวห่อจากแต่ละบ้านเพื่อนำไปแจกคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน   นอกจากนี้ประเพณีสงกรานต์ที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานาน ชุมชนจะร่วมกันจัดงานประเพณีสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ มีการสรงน้ำพระและมีการละเล่นลูกช่วงพวงมาลัยกันที่หาดทรายหน้าวัดที่น้ำมักแห้งพอที่จะลงไปเล่นกันได้อย่างสนุกสนาน เหมือนที่ผู้เฒ่าผู้แก่ของชุมชนวัดขนอนหลายคนกล่าวว่า  “ยังจำได้ว่ามีการละเล่นหลายอย่างเชียว ทั้งสาดน้ำ เล่นลูกช่วงพวงมาลัย สนุกมาก เล่นกันที่หาดหน้าวัดนั่นแหละ”  แต่วิถีชีวิตและการเล่นน้ำที่หาดทรายหน้าวัดกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว เพราะในราว ๓๐ ปีที่ผ่านมามีการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อบรรเทาอุทกภัย ซึ่งโดยปกติน้ำในฤดูฝน ทั้งในลำน้ำแควน้อยและแควใหญ่จะมีปริมาณมาก เมื่อไหลมารวมกันจะทำให้เกิดน้ำท่วมลุ่มแม่น้ำแม่กลองเป็นประจำ หลังจากสร้างเขื่อนเป็นต้นมา น้ำที่เคยท่วมในหน้าน้ำหลากของทุกปีแทบไม่เคยเกิดขึ้น การสร้างเขื่อนทำให้ตอนใต้ของแม่น้ำเกิดการตื้นเขินในช่วงน้ำขึ้น จึงทำให้ประเพณีหลายอย่างหายไป เช่น ประเพณีแข่งเรือยาว ประเพณีสงกรานต์เลิกไปพร้อมกับระดับน้ำที่ลดลงและหาดทรายที่หายไป การคมนาคมทางน้ำหมดความสำคัญลง ชาวบ้านหันมาใช้เส้นทางทางบกแทน   แม้ว่าปัจจุบันการแข่งขันเรือยาวจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ความหมายของการแข่งขันกลับเปลี่ยนไป เพราะมีเงินเดิมพันเข้ามาเกี่ยวข้อง เน้นผลแพ้ชนะเพื่อเงินรางวัลและการพนันขันต่อ ซึ่งต่างจากวันวานที่เน้นความสนุกสนานและความสัมพันธ์ของคนบ้านใกล้เรือนเคียง สายน้ำแห่งนี้เคยมีวันคืนที่น่าจดจำ ทั้งความสุขและความทรงจำในช่วงวัยหนุ่มสาวอันเนิ่นนาน และยังคงแจ่มชัดในคนรุ่นเก่าหลายต่อหลายคนในชุมชนวัดขนอน วันนี้คงเหลือแค่เพียงความหลังที่เล่าสู่กันฟัง วันวานกำลังผันผ่านอย่างไม่มีวันหวนกลับ ปกรณ์  คงสวัสดิ์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • จากโรงสีไฟถึงบ้านนกแอ่นที่ปากพนัง

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2552 “อำเภอปากพนังนี้ได้ทราบอยู่แล้วว่าเป็นที่สำคัญอย่างไร แต่เมื่อไปถึงที่ ยังรู้สึกว่าตามที่คาดคะเนนั้นผิดไปเป็นอันมาก ไม่นึกว่าจะใหญ่โตมั่งคั่งถึงเพียงนี้…เป็นที่นาอุดมดี ข้างจีนกล่าวกันว่าดีกว่านาคลองรังสิต แลมีที่ว่างเหลืออยู่มาก จะทำนาได้ใหญ่กว่าที่มีอยู่แล้วเดี๋ยวนี้อีก ๑๐ เท่า เขากะกำลังทุ่งนั้นว่าถ้ามีนาบริบูรณ์ จะตั้งโรงสีไฟได้ประมาณ ๑๐ โรง…นาทั้งมณฑลนครศรีธรรมราชไม่มีที่ไหนสู้...บรรดาเมืองท่าในแหลมมลายูฝั่งตะวันออก เห็นจะไม่มีแห่งใดดีเท่าปากพนัง”  จากข้อความในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงสีไฟแห่งแรกในอำเภอปากพนังของนายโค้วฮักหงี ในวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๘  สะท้อนภาพอดีตของพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ของปากพนัง อำเภอหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเคยได้ชื่อว่า “เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของภาคใต้” ผลผลิตข้าวในอำเภอแห่งนี้เคยเป็นสินค้าส่งออกไปเลี้ยงแรงงานชาวจีนที่เข้ามาทำเหมืองแร่และยางพาราในบริเวณหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตก อย่างเมืองตรัง พังงา กระบี่ และภูเก็ต ไปจนถึงดินแดน สเตรทส์ เซทเทิลเมนส์ (Straits Settlements) ของอังกฤษ ซึ่งอยู่บริเวณเกาะปีนัง มะละกา และสิงคโปร์  ทำให้กิจการโรงสีไฟเฉพาะที่อำเภอนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วถึง ๙ โรง และมีเรือสำเภาจีนและเรือกลไฟของบริษัทต่าง ๆ ทั้งในสิงคโปร์และกรุงเทพฯ มาชุมนุมกันเต็มหน้าอ่าวปากพนัง เพื่อรอขนถ่ายข้าวสารไปจำหน่าย สร้างรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมากในแต่ละปี  วันนี้ภาพความยิ่งใหญ่ของแหล่งผลิตข้าวเพื่อการส่งออกในอำเภอปากพนังได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทุ่งนาที่เคยปลูกข้าวจนไม่มีที่ว่าง บัดนี้กลับมีให้เห็นบางตาลง ส่วนใหญ่ถูกทิ้งร้างหรือเปลี่ยนสภาพไปเป็นเรือกสวนและนากุ้ง   กิจการโรงสีไฟที่เจริญรุ่งเรืองเหลือเพียงซากของปล่องโรงสีที่ตั้งตระหง่านเป็นอนุสาวรีย์แห่งอดีตที่ชาวปากพนังภาคภูมิใจ และที่แห่งนี้เรื่องราวแห่งความหลังของชาวนารุ่นผู้เฒ่าถูกเล่าขานเป็นตำนานในครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น  คุณรุจาธิตย์ สุชาโต ผู้สืบทอดกิจการโรงสีไฟเอี่ยมเส็งหรือโรงสี ๑ ที่นับกันตามลำดับโรงสีที่อยู่เข้ามาจากอ่าวปากพนัง คุณปู่ของเขาได้ขยายกิจการต่อจากโค้วฮักหงีผู้เป็นอาม่า ตั้งโรงสีไฟแห่งนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ เล่าถึงความเสื่อมของยุคโรงสีไฟในปากพนังไว้ว่า  “คนที่มาทำงานโรงสีส่วนหนึ่งเป็นคนจีน ต้องส่งเงินโพยก๊วนกลับบ้าน แต่มีคนรายงานว่าคนปากพนังนิยมคอมมิวนิสต์ ดังนั้นรัฐบาลจึงห้ามให้เรือเข้าที่อำเภอปากพนัง ถ้าต้องส่งข้าวไปต่างประเทศ เราต้องใส่เรือเล็กวิ่งขึ้นไปทางอำเภอชะอวดแล้วขึ้นรถไฟไปท่าเรือคลองเตยถึงจะส่งได้ พอค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นก็ต้องลดค่าใช้จ่าย จนชาวนาทำไม่ได้ผลก็ต้องทิ้งนาไป” ซากปล่องโรงสีไฟและอนุสาวรีย์ปล่องโรงสีทองคำที่อำเภอปากพนัง บริเวณโรงสี ๑ ในปัจจุบันและคอนโดนกในพื้นที่โรงสี (ภาพโดย น.ส.กาญจนา เหล่าโชคชัยกุล) ที่คุณรุจาธิตย์เล่ามานั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลก หากจะให้ชวนคิดไปเช่นนั้น เพราะนโยบายการควบคุมและจัดการระบบการค้าข้าวของรัฐบาลที่เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา นับแต่พระราชบัญญัติการค้าข้าว พ.ศ. ๒๔๘๙ ซึ่งในประกาศฉบับที่ ๘๕ กำหนดให้มีการควบคุมประเภทผู้ประกอบการค้าข้าวส่งไปจำหน่ายต่างประเทศ โดยโรงสีที่สามารถส่งออกข้าวได้นั้นจะต้องตั้งอยู่ในเขตจังหวัดพระนคร จังหวัดธนบุรี หรือจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งสะดวกที่จะส่งข้าวลงเรือเดินทะเลออกไปต่างประเทศเท่านั้น ทำให้โรงสีไฟที่ปากพนังได้รับผลกระทบจากการที่ไม่สามารถส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศได้โดยตรง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุประการสำคัญที่ทำให้กิจการโรงสีไฟในปากพนังเริ่มเสื่อมลง  และโรงสี ๑ นี้เองก็คือโรงสีไฟโรงสุดท้ายใน ๙ โรงของอำเภอปากพนังที่เลิกสีข้าวไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ ซึ่งปัจจุบันเป็นแห่งเดียวที่ยังคงใช้ประโยชน์บนพื้นที่โรงสีอยู่ โดยหันมาประกอบธุรกิจผลิตอาหารกุ้งและปลาป่น ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับธุรกิจประมงและนากุ้งที่เข้ามาทดแทนการผลิตข้าวที่ซบเซาลงไป  เมื่อมองเข้าไปภายในบริเวณพื้นที่ของโรงสี ๑ นอกจากจะเห็นตัวโรงสีที่กลายเป็นอาคารสังกะสีเก่า ๆ และไม่มีปล่องโรงสีให้เห็นอีกแล้ว กลับมีจุดที่น่าสนใจคือตึกทรงสี่เหลี่ยมสูง ๖-๗ ชั้นที่สร้างขึ้นใหม่ด้านหลังตัวโรงสีเก่า ตึกนี้เรียกว่าบ้านนกแอ่นหรือคอนโดนก ซึ่งสร้างไว้เพื่อให้นกอีแอ่นบินเข้ามาสร้างรัง ซึ่งรอบ ๆ ตัวเมืองปากพนังก็มีตึกลักษณะเดียวกันนี้ปลูกขึ้นอยู่จำนวนมาก หากไม่สังเกตให้ดีก็มักคิดว่าเป็นตึกสูงที่คนอาศัยอยู่ทั่วไป  แล้วอะไรล่ะ? ที่ทำให้นกอีแอ่นเหล่านี้มาอาศัยอยู่ที่ปากพนังได้ “บ้านนกแอ่น”อนาคตใหม่ของปากพนัง? สาเหตุที่นกอีแอ่นบินเข้าบ้านคนที่อำเภอปากพนัง เพราะอำเภอนี้ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลอ่าวไทยที่เป็นเส้นทางอพยพของนกอีแอ่น โดยสังเกตได้จากนกอีแอ่นที่พบในปากพนังจะเป็นสายพันธุ์ แอร์โรดามุส ฟูซิฟากัส (Aerodamus fuciphagus) เป็นนกที่สร้างรังสีขาว ซึ่งปกติจะพบตามเกาะต่าง ๆ  บริเวณชายฝั่งของประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย หมู่เกาะติมอร์ และเกาะต่าง ๆ ในทะเลอันดามันและอ่าวไทยขึ้นไปจนถึงทะเลจีนใต้ในเวียดนาม โดยมีลักษณะขนาดลำตัวเท่ากับนกกระจอก ตาสีดำขนาดเท่าเมล็ดพริกไทย มีจะงอยปากสั้น กว้างและมีสีดำ ยาวประมาณ ๓ มิลลิเมตร มีปีกยาวแคบ ขนที่ปีกและหางมีสีดำ ซึ่งการที่นกอีแอ่นเลือกมาตั้งถิ่นฐานเพราะมีพื้นที่ป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ในบริเวณชายฝั่งรอบอ่าวปากพนังตั้งแต่แหลมตะลุมพุกไปจนถึงอ่าวหน้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของแมลงต่าง ๆ ที่เป็นอาหารของนกอีแอ่น นอกจากนี้ยังมีแหล่งน้ำจากแม่น้ำปากพนังและคลองสายต่าง ๆ รวมไปเป็นที่ราบเปิดโล่งซึ่งเหมาะต่อการอาศัยเป็นอย่างมาก นายสมพงศ์ พงพันธ์ หรือน้าบ่าว เป็นอีกคนหนึ่งที่ให้นกอีแอ่นเข้ามาอาศัยในบ้านเล่าว่า  “รังนกบ้านแรกเริ่มเกิดจากที่นกอีแอ่นอพยพมาเอง เข้ามาทำรังอยู่ที่ตึก ๓ ชั้นในตลาด หลังจากนั้นคนก็เริ่มปิดบ้านให้นกมาทำรังมากขึ้น แล้วขยายเป็นคอนโดนกอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๖-๒๕๔๘ เป็นช่วงที่ราคารังนกดีมาก ๆ ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ ๗-๙ หมื่นบาท” ตึก ๓ ชั้นในตลาดปากพนัง ที่นกอีแอ่นบินเข้ามาเป็นหลังแรก ด้วยเหตุนี้ธุรกิจการสร้างคอนโดนกในตัวเมืองปากพนังจึงขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่ถึง ๑๐ ปีมานี้ จนมีอาคารรังนกเกิดขึ้นแล้วเกือบสองร้อยอาคาร ซึ่งเมื่อสังเกตถึงลักษณะบ้านนกอีแอ่นหรือคอนโดนกที่พบจะมีลักษณะเป็นบ้านตั้งแต่ ๒ ชั้นขึ้นไปจนถึงเป็นตึกสี่เหลี่ยมทรงสูง ๖-๗ ชั้น บนหลังคาของอาคารจะมีน้ำหล่อเลี้ยงเพื่อรักษาอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง ๒๗-๒๙ องศาเซลเซียส รอบ ๆ ตัวอาคารมีอ่างน้ำเพื่อรักษาความชื้น ภายในตัวอาคารมีลักษณะปิดทึบ มีความมืดขนาดที่คนเข้าไปแล้วมองอะไรไม่เห็น ขณะเดียวกันจะพบว่ามีการเจาะช่องขนาดความกว้าง ๖๐x๙๐ เซนติเมตร เพื่อเป็นช่องระบายอากาศและให้นกสามารถบินเข้าออกได้เป็นระยะ ๆ ส่วนบนฝ้าเพดานภายในตัวตึกจะมีการติดแผ่นไม้ขนาด ๒ นิ้ว เป็นตารางยาว ๓๐x๑๐๐ เซนติเมตร เพื่อให้นกใช้ทำรังได้ โดยสิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้คือต้องเอามูลนกมาโรยเพื่อปรับกลิ่นภายในตัวอาคารและติดตั้งลำโพงเสียงนกอีแอ่น เพื่อดึงดูดให้พวกเดียวกันเข้ามาทำรังในตัวอาคาร  เมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์–เมษายนของทุกปีจะเป็นฤดูผสมพันธุ์ นกอีแอ่นจะบินเข้าบ้านแล้วจะสร้างรังในเวลากลางคืน ใช้เวลา ๑ เดือน รังที่นกสร้างไว้ก็จะแห้งเหมือนวุ้นอัดตัวกันแน่นติดกับฝาผนัง และสามารถเก็บรังได้ตลอดทั้งปี โดยใช้ "เหล็กแซะ" เก็บรังนกอีแอ่นบ้านจากผนัง และสามารถนำไปขายได้กิโลกรัมละหลายหมื่นบาทแต่หากขายเป็นถ้วยสำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานแล้วจะตกประมาณถ้วยละ ๒๐๐-๕๐๐ บาท  จากราคาที่แพงของรังนกนี้เอง ชาวปากพนังจึงกล่าวกันว่า การที่นกเข้าบ้าน “โชคดียิ่งกว่าถูกหวย”   เพราะไม่ใช่ว่าการสร้างบ้านตามขั้นตอนดังกล่าวครบถ้วนแล้วจะยืนยันว่านกอีแอ่นจะเข้าบ้านหรือคอนโดทุกหลังเสมอไป บางรายต้องรอถึง ๒-๓ ปี กว่านกจะบินมาทำรังในบ้าน ในขณะที่บางรายอาจจะต้องรอนานกว่านั้น เพราะการที่นกเลือกเข้าบ้านหลังใดนั้นไม่มีใครมาควบคุมกำหนดได้ ดังนั้นต้องขึ้นกับโชคของผู้สร้างด้วย ส่วนผู้ที่ประสบความสำเร็จเพราะมีนกบินเข้าบ้านอย่างสม่ำเสมอ จนสามารถสร้างยี่ห้อรังนกเป็นของตัวเองออกจำหน่ายก็มีอยู่ไม่น้อย ทำให้รังนกกลายเป็นสินค้าขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของอำเภอปากพนัง   ปากพนังถือเป็นตัวอย่างของสภาพท้องถิ่นที่ไม่หยุดนิ่ง แม้ว่าจะพบกับกระแสของความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมที่เข้ามานับจากการพัฒนาพื้นที่ปลูกข้าวเพื่อการส่งออกในสมัยรัชกาลที่ ๕ เรื่อยมาจนถึงยุคอุตสาหกรรม ที่ธุรกิจประมงและนากุ้งรุ่งเรืองและซบเซาลงไปตามภาวะตลาดโลกและสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม และแม้ว่าวันนี้รังนกจะเหมือนของขวัญที่สวรรค์ประทานให้ชาวปากพนัง แต่มันจะเปลี่ยนแปลงไปเหมือนดังอดีตของยุคโรงสี ประมง และนากุ้งหรือไม่นั้น ไม่มีใครสามารถตอบได้ แต่ที่เห็นได้ในตอนนี้คือชาวปากพนังสามารถอยู่และปรับตัวได้แม้ว่าจะยากลำบากอย่างไรก็ตาม  ภาณุพงษ์ ไชยคง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ความหมายที่เลื่อนไหลของหนังใหญ่วัดขนอน

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2552 หนังใหญ่แฝงไว้ด้วยความเชื่อ เห็นได้จากก่อนทำการแสดงทุกครั้งจะต้องมีการไหว้ครูหนังใหญ่ก่อน ปัจจุบันหนังใหญ่วัดขนอนจะจัดแสดงเพื่อการเผยแพร่และอนุรักษ์ให้หนังใหญ่สืบทอดต่อไป ในการทำความเข้าใจวัฒนธรรม ส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่หยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว แต่เอาเข้าจริง วัฒนธรรมกลับมีท่วงทำนองที่ปรับเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขต่าง ๆ เหมือนเช่นหนังใหญ่ที่มีความหมายแตกต่างกันไปตามยุคตามสมัย หนังใหญ่นั้นสามารถแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ “หนังใหญ่หลวง”  และ “หนังใหญ่ราษฎร์”  หนังใหญ่หลวง หมายถึง หนังใหญ่ที่จัดแสดงในพระราชพิธีหรือในงานที่เกี่ยวข้องกับทางราชการ ส่วนหนังใหญ่ราษฎร์เป็นการแสดงของชาวบ้านที่นำความเป็นของหลวงมาปรับให้เข้ากับสังคมชาวบ้าน จะต่างกันตรงที่หนังใหญ่แบบชาวบ้านการดำเนินเรื่องรวดเร็ว ผู้แต่งบทพากย์จะใช้ถ้อยคำให้เป็นที่เข้าใจกับคนในท้องถิ่น  แต่เดิมหนังใหญ่เป็นการแสดงของราชสำนัก เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หนังใหญ่จึงมักเล่นเพียงเรื่องรามเกียรติ์ แม้ต่อมาในภายหลังจะมีผู้แต่งเรื่องสมุทรโฆษคำฉันท์และอนิรุทธ์คำฉันท์ แต่ก็ไม่เป็นที่นิยม   ขั้นตอนในการทำตัวหนังใหญ่สัมพันธ์กับระบบความเชื่อ เริ่มตั้งแต่การทำตัวหนังจนถึงการแสดง กล่าวคือ หนังพระอิศวรและพระนารายณ์จะต้องทำจากหนังวัวที่ถูกฟ้าผ่าตายหรือออกลูกตาย ส่วนตัวฤษีนั้นจะต้องหาหนังที่มีอำนาจ เช่น หนังเสือ หนังหมี ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ผู้เขียนและผู้สลักตัวหนังจะต้องนุ่งขาวห่มขาวและถือศีล พร้อมทั้งจัดเตรียมสิ่งของคำนับบูชาครูด้วยเครื่องพลีกรรม การทำหนังเจ้าต้องให้เสร็จภายในวันเดียว  หากเราย้อนกลับไปในสมัยรัชกาลที่ ๑ หนังใหญ่จะแสดงในโอกาสต่างๆ ทั้งให้เจ้าวังหรือเจ้าของบ้านดูเป็นการเฉพาะ สมโภชในวังหรือนอกวัง และจัดแสดงตามงานที่มีเจ้าภาพว่าจ้าง เช่น งานโกนจุก งานศพ เป็นต้น สำหรับหนังใหญ่แล้วคงเป็นที่แพร่หลายและได้รับความนิยมมากจนเกิดการตั้งคณะหนังของเอกชนขึ้นในเวลาต่อมา  ระบบอุปถัมภ์คณะหนังใหญ่...จากเวียงวังสู่วัดวา การแสดงหนังใหญ่เดิมเป็นการแสดงแบบหลวงและอยู่ในอุปการะของผู้มีฐานะและบารมี  อย่างเช่น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในรัชกาลที่ ๑ ทรงเป็นเจ้าของโขน หุ่น ละคร งิ้ว  มโหรี ปี่พาทย์ ฯลฯ เนื่องจากในการแสดงหนังใหญ่แต่ละครั้งต้องมีองค์ประกอบหลายด้าน ทั้งทุน แรงงาน เริ่มตั้งแต่การเตรียมตัวหนัง การแกะสลักรูปหนัง พิธีกรรมตามความเชื่อ เช่น การไหว้ครูเชิด การเชิด ไปจนถึงการขนย้าย   จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๕ รัฐได้รวมศูนย์อำนาจการปกครอง โดยการยุบตำแหน่งเจ้าเมืองและแต่งตั้งคนจากส่วนกลางเข้าไปปกครองแทน จึงส่งผลกระทบกับมหรสพที่เจ้าเมืองเคยอุปถัมภ์ แต่อย่างไรก็ตามมหรสพแบบเดิมก็ยังคงได้รับความนิยมจัดแสดงตามงานประเพณีต่างๆ จึงทำให้เกิดกลุ่มผู้อุปถัมภ์กลุ่มใหม่ คือ วัด หากยิ่งเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ที่มีชื่อด้วยแล้ว จะสามารถสร้างขอบข่ายความสัมพันธ์กับคนภายนอกได้มาก ทำให้ได้รับแหล่งทุนจากการบริจาค จัดกฐิน ผ้าป่า และงานประจำปีให้คนต่างถิ่นเข้ามาเที่ยวทำบุญ เพื่อนำไปบริหารงานในวัดและอุปถัมภ์คณะมหรสพต่อไป   เช่นเดียวกับวัดขนอน หลังประกาศเลิกด่านขนอนไป ขุนพินิจอักษรและหมื่นนรากรภักดีรับราชการอยู่ในเมืองราชบุรีได้รู้จักกับครูอั๋งซึ่งเป็นโขนคณะพระแสนทองฟ้า เจ้าเมืองราชบุรีได้พามาฝากตัวกับท่านพระครูศรัทธาสุนทรหรือหลวงปู่กล่อม   หลวงปู่กล่อมเป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั่วไปในละแวกชุมชนวัดขนอน จากคำบอกเล่าของศิษย์วัดรุ่นเก่า ทำให้ทราบชื่อเสียงของหลวงปู่กล่อมโด่งดังไปทั่วลุ่มน้ำแม่กลอง นอกจากนี้ในงานพิธีมงคลใด ๆ ก็มักนิมนต์หลวงปู่กล่อมไปเป็นประธานเสมอ ด้วยครูอั๋งเห็นหนังวัวที่วัดมีเป็นจำนวนมากและมีความศรัทธาในตัวของหลวงปู่กล่อม ครูอั๋งจึงได้ช่วยหลวงปู่กล่อมทำหนังใหญ่ ต่อมาได้ไปชักชวนช่างจากที่อื่น ๆ มาเพิ่มเติม เช่น ช่างจาด ช่างจ๊ะ เป็นชาวมอญในอำเภอบ้านโป่ง ช่างพ่วง ช่างในจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมด้วยชาวบ้านวัดขนอนได้ร่วมกันสร้างหนังใหญ่ขึ้น คือ ชุดหนุมานถวายแหวน และได้สร้างเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น ๑๑ ชุด หลังจากนั้นคณะหนังใหญ่วัดขนอนจึงได้เริ่มออกแสดงตามงานต่าง ๆ เป็นต้นมา ในอดีตการรับงานแสดงหนังใหญ่ในรูปแบบเก่า มักรับแสดงในงานศพ งานวันเกิด งานวัด งานบุญ และงานเทศกาลประจำปีต่าง ๆ จากหนังเจ้าสู่หนังชาวบ้าน หนังใหญ่วัดขนอนโดยเฉพาะบทพากย์เป็นวรรณกรรมแบบชาวบ้าน หนังใหญ่วัดขนอนเป็นหนังใหญ่แบบชาวบ้าน บทพากย์และบทเจรจาเป็นของนายละออ ทองมีสิทธิ์ เป็นผู้ริเริ่มพากย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๘ และได้รับถ่ายทอดมาจากหมื่นพินิจอักษร (เพิ่ม ทองมีสิทธิ์) ผู้เป็นอา  ผู้แต่งบทพากย์ได้เค้าเรื่องมาจากบทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ แต่ได้นำมาดัดแปลงให้เหมาะกับสังคมท้องถิ่นในสมัยนั้น และได้สอดแทรก ค่านิยม จริยธรรมของชาวบ้าน เช่น   แสดงถึงธรรมเนียมแบบชาวบ้าน   บทพากย์ในการแสดงหนังใหญ่ของวัดขนอนมีการแทรกขนบและวิถีชีวิตเข้าไป เช่น  ตอนหนุมานถวายแหวน “หนุมานสำราญใจยิ้มแย้มกระแอมไอออกวาจา  เออไฉนไยแก้วตาจึงสะเทิ้นเขินอายไม่ผินพักตร์มาทักทายพี่บ้างเลย  เฝ้าผินหลังนั่งนิ่งเฉยไม่พูดจา” หรือสำนวนราชาศัพท์แบบชาวบ้าน   ส่วนใหญ่เป็นคำราชาศัพท์ที่คำบางคำชาวบ้านไม่เข้าใจ เพื่อความเข้าใจง่ายในการแสดงจึงทำให้เกิดสำนวนราชาศัพท์แบบชาวบ้าน เช่น   ตอน ศึกอินทรชิตครั้งที่หนึ่ง  “มิให้องค์สมเด็จพี่ร้อนพระทัย  สงครามครั้งนี้ไซร้พระองค์อย่าวิตก ยกไว้ให้กับข้าพระเจ้า เจียวละ ระเจ้าข้า” หลังสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา มหรสพความบันเทิงแบบเดิม เช่น โขน ละคร หุ่น หนังใหญ่ ไม่ได้รับความนิยมเหมือนเช่นแต่ก่อน เพราะรูปแบบและเนื้อหาการแสดงต้องใช้เวลาฝึกหัดเป็นนานและลงทุนสูงต่างจากวัฒนธรรมความบันเทิงรูปแบบใหม่ เช่น ลิเก ลำตัด ละครร้อง เป็นต้น ที่ใช้เวลาฝึกหัดไม่นานก็สามารถออกแสดงได้      อย่างไรก็ตามงานประเพณีพิธีกรรมยังเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของคนไทย ย่อมทำให้วัฒนธรรมความบันเทิงที่มีมาแต่ก่อนอย่างหนังใหญ่ยังอยู่ร่วมกับงานประเพณี แต่มีการปรับวิธีการเล่นให้เข้ากับรสนิยมแบบชาวบ้าน  คือดำเนินเรื่องกระชับ เน้นความสนุกสนาน และสอดแทรกบทพากย์บางตอนให้เข้ากับยุคสมัย ด้วยลักษณะความบันเทิงที่มีให้เลือกชมมากขึ้น บวกกับวัฒนธรรมความบันเทิงในการรับชมของผู้คนได้เปลี่ยนไป หนังใหญ่จึงไม่ได้รับความนิยมเหมือนเช่นแต่ก่อน และที่สำคัญในช่วงเวลาดังกล่าวได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ หนังใหญ่วัดขนอนต้องหยุดการแสดงไป เพราะสถานการณ์บ้านเมืองไม่อำนวย  หนังใหญ่วัดขนอนเริ่มฟื้นฟูอีกครั้งประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เมื่อฝ่ายนักวิชาการและสถาบันต่างๆ พยายามบันทึกศึกษาเรื่องหนังใหญ่ให้เป็นภาพยนตร์ หนังสือ หรือแม้แต่การพิมพ์เป็นรูปแจกเยาวชน    ต่อมา พ.ศ. ๒๕๒๓ พระครูสังฆบริบาลและพระนุชิต วชิรวุฑโฒ และคณะ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายภาพหนังใหญ่วัดขนอน ๑ ชุด แล้วถวายรายงานเรื่องการชำรุดของหนังชุดนี้ ในที่สุดสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริให้จัดทำหนังชุดใหม่ขึ้นไว้แสดงแทนชุดเก่าที่ทรุดโทรมมาก   จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๘ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้วัดขนอนนำไปแสดงแทนชุดเก่า และให้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์และจัดแสดงตัวหนังชุดเก่าที่มีอายุกว่า ๑๐๐ ปี  หนังใหญ่ได้รับความนิยมขึ้นใหม่อีกครั้งจากสังคมไทย โดยการสนับสนุนจากกระแสการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมของรัฐที่ต้องการให้หนังใหญ่ยังคงอยู่และสืบทอดต่อไป งานส่วนใหญ่ที่รับแสดงในปัจจุบันจึงเป็นงานที่เน้นการส่งเสริมทางวัฒนธรรม ตามหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เป็นผู้ว่าจ้าง บางครั้งเป็นงานเพื่อประชาสัมพันธ์หรือต้อนรับบุคคลสำคัญ   นอกจากนี้หนังใหญ่วัดขนอนยังได้จัดแสดงเพื่อการเผยแพร่และฝึกฝนฝีมือการเชิด หากมีผู้ชมเป็นหมู่คณะ โดยเฉพาะในวันที่ ๑๓ เมษายนของทุกปี วัดขนอนจะจัดแสดงหนังใหญ่แบบโบราณ คือ การใช้กะลามะพร้าวเผาไฟให้แสงสว่าง    วันนี้บทบาทของหนังใหญ่เปลี่ยนไป จากมหรสพการแสดงในงานพิธีกรรมกลายเป็นมหรสพพื้นบ้านและกลายเป็นมหรสพการแสดงเพื่อการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม แต่หนังใหญ่กำลังจะลาโรงไปจากความทรงจำของคนไทยโดยสิ้นเชิงหรือไม่ คำตอบคงอยู่ที่เราจะอนุรักษ์หนังใหญ่อยู่ในเพียงพิพิธภัณฑ์หรือจะสร้างให้หนังใหญ่โลดแล่นต่อไปในชีวิตวัฒนธรรมของพวกเรา และเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมที่เคลื่อนไหวและมีชีวิตอย่างไร   ปกรณ์  คงสวัสดิ์ อ้างอิง ผะอบ โปษะกฤษณะ. “ความเป็นมาของหนังใหญ่วัดขนอน”   การศึกษาการถ่ายทอดวัฒนธรรม : กรณีศึกษาหนังใหญ่.  เอกสารประกอบการประชุมวิชาการเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาคณะครุศาสตร์ ครบ ๓๗ ปี เมื่อวันที่ ๘ - ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๗ . คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • จากมหาวาตภัยถึงชายฝั่งพังทลายที่แหลมตะลุมพุก

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ส.ค. 2552 “ยี่สิบห้าตุลาคมวันลมจัด พฤหัสบดีปีศูนย์ห้า (๒๕๐๕) ปากพนังทั้งถิ่นกินน้ำตา ประสบวาตภัยประลัยลาญ คลื่นระดมลมโหมเสียงโครมครึก ทะเลกึกก้องห้องละหาน ฟ้าคำรณฝนหนักคัดนานต์ สะเทือนสะท้านทั่วสิ้นจบดินแดน...” กวีบทแรกใน “นิราศแหลมตะลุมพุกพิลาป”  ข้างต้นซึ่งถ่ายทอดโดย ครูตรึก พฤกษะศรี   ชาวปากพนังที่อยู่ในเหตุการณ์พายุโซนร้อน “แฮเรียต”  พัดถล่มแหลมตะลุมพุก ในช่วงค่ำของวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนบริเวณนั้นอย่างมาก จนประมาณกันว่าในเหตุการณ์ที่แหลมตะลุมพุกครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตและหายสาบสูญทั้งสิ้นกว่า ๑,๐๐๐ คน  ในนิราศดังกล่าวยังได้บรรยายสภาพของแหลมตะลุมพุกขณะประสบกับพายุใหญ่ในครั้งนั้นไว้อย่างละเอียด ความว่า  “...บ้านเรือนพังหลังคาทรุดหลุดสลาย มวลไม้ตายเตียนยับลงนับแสน น้ำท่วมพื้นคลื่นซ้อนบ้านคลอนแคลน ต่างขวัญแขวนฝากดินฟ้าชะตากรรม โดยเฉพาะเคราะห์กรรมระยำยุค ตะลุมพุกแหลมทรายตายเกือบคว่ำ พายุโหมโรมรัวแต่หัวค่ำ คลื่นกระหน่ำซ้ำใส่อย่างใหญ่โต เรือนใหญ่น้อยลอยล่มจมสมุทร ภินท์พังทรุดเซหักตายอักโข ต้องว่ายแหวกแถกถาต้านวาโย ถีบเตียวโต้คลื่นลมยมนา คลื่นระดมลมตีจนที่สุด ออกสมุทรมุดดิ้นสิ้นสังขาร์ ที่พบปลายไม้กอดรอดชีวา ขึ้นหลังคาเกาะเกี่ยวกลางเกลียวลม บ้างตายหมู่อยู่ในเรือนใหญ่น้อย ถูกคลุมคล้อยคลื่นซัดพัดประสม พอน้ำลดหมดฤทธิ์ติดเลนตม ศพซากจมถมทับนับอนันต์...” “แหลมชุมพุก” ซึ่งปรากฏในแผนที่ราชสำนักสยามสมัย รัชกาลที่ ๑-๒ เปรียบเทียบกับภาพถ่ายดาวเทียมของแหลมตะลุมพุกในปัจจุบัน ภาพความโหดร้ายจากมหาวาตภัยซึ่งเกิดจากน้ำมือของธรรมชาติในครั้งนั้น ถือเป็นโศกนาฏกรรมที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนจำนวนมาก แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานเกือบ ๕๐ ปีก็ตาม ทำให้เมื่อกล่าวถึงชื่อของ แหลมตะลุมพุก  เชื่อว่าหลายคนคงจะจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพื้นที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะภาพของความเสียหายที่เกิดจากคลื่นและลมพายุที่ถาโถมเข้าสู่ชายฝั่งอย่างรุนแรงจนกลืนบ้านเรือนและผู้คนลงไปในท้องทะเลเพียงชั่วข้ามคืนนั้น ยังคงเป็นภาพหลอกหลอนผู้คนที่อยู่ริมชายฝั่งอ่าวไทย ซึ่งทุกครั้งที่มีพายุใหญ่พัดโหมเข้าสู่ชายฝั่ง ต่างภาวนาไม่ให้บ้านเรือนของตนต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับแหลมตะลุมพุกมาแล้ว รู้จักตะลุมพุก หมู่บ้านปลายแหลมที่ปากพนัง ปัจจุบันพื้นที่ของแหลมตะลุมพุกเป็นตำบลหนึ่งที่อยู่ทางทิศเหนือสุดของอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ลักษณะพื้นที่ทั้งหมดเป็นแหลมทรายยื่นเป็นวงโค้งออกไปในทะเล โดยเนื้อที่ทั้งหมดของตำบลแห่งนี้มีประมาณ ๒๙.๑๔ ตารางกิโลเมตร นับความยาวจากรอยต่อแนวตำบลปากพนังตะวันออกขึ้นไปทางเหนือสุดของปลายแหลมตะลุมพุกมีความยาวเกือบ ๒๐ กิโลเมตร ส่วนที่กว้างที่สุดมีความกว้าง ๗ กิโลเมตร จำนวนประชากรของตำบลแห่งนี้นับว่ามีจำนวนไม่มาก เพียง ๖๘๐ หลังคาเรือน หรือประมาณ ๒,๒๐๐ คนเท่านั้น เนื่องจากความเสียหายของวาตภัยที่เกิดขึ้นดังกล่าว นอกจากจะทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากแล้ว ยังสร้างความหวาดกลัวภัยธรรมชาติที่อาจมาจากทะเลได้อีกทุกเมื่อ ทำให้จำนวนประชากรเฉลี่ยจึงมีจำนวนน้อยลง โดยเฉพาะบ้านปลายทรายที่ตั้งอยู่ที่ปลายแหลมตะลุมพุกเป็นหมู่บ้านเดียวใน ๔ หมู่บ้านของตำบลนี้ที่ไม่มีประชากรกลับเข้าไปอาศัยอยู่อีกเลยจนปัจจุบัน ความเสียหายของบ้านเรือนประชาชนหลังเหตุการณ์วาตภัยที่แหลมตะลุมพุก เอื้อเฟื้อรูปโดยครูสาธร พฤกษะศรี   หากยังนึกสภาพที่ตั้งของแหลมตะลุมพุกไม่ออก ให้ลองคว่ำมือซ้ายลงโดยให้งอหัวแม่มือโค้งหน้านิดๆ จะเปรียบได้กับแหลมตะลุมพุก เพราะตัวแหลมโค้งชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนิดหน่อย ส่วนอำเภอปากพนังเปรียบหยาบ ๆ ได้กับหลังมือทั้งหมด ปลายนิ้วมือและข้างมือด้านนิ้วก้อย จดอำเภอเมือง  ตอนข้อมือเป็นอำเภอหัวไทร ต่ำลงใต้เป็นอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ทิศตะวันตกของอำเภอหัวไทรเป็นอำเภอเชียรใหญ่และอำเภอชะอวด ซึ่งอยู่ตอนใต้ ขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช เขตเทศบาลเมืองปากพนังอยู่ราว ๆ หลังมือตอนนิ้วโป้ง นิ้วโป้งปล้องโคนยังคงเป็นเขตตำลปากพนังตะวันออก ปล้องปลายเปรียบเท่ากับตำบลแหลมตะลุมพุก ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำปากพนังไหลออกที่อ่าวปากพนังเรียกว่า ทะเลใน คือพื้นที่อยู่ทางทิศตะวันตกของแหลมตะลุมพุกซึ่งตื้นเป็นแหลมตม  ย้อนอดีต “ตะลุมพุก” ชื่อปลา ที่มาหมู่บ้านประมง  เหตุที่แหลมแห่งนี้ถูกเรียกว่า ตะลุมพุก  นั้น สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากชื่อของปลาทะเลชนิดหนึ่งคือ ปลาตะลุมพุก  หรือเรียกชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tenualosa toil ซึ่งเป็นปลาในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) มีรูปร่างคล้ายปลาตะเพียนแต่ลำตัวเรียวกว่า และมักจะเข้ามาวางไข่ในน้ำจืด สมัยก่อนเคยพบมากแถบทะเลสาบสงขลาและอ่าวปากพนัง โดยชื่อตะลุมพุกมีปรากฏในหลักฐาน แผนที่เมืองนคร/เกาะหมาก/ถลาง-ไทร (นครศรีธรรมราช, ปีนัง, ภูเก็ต และไทรบุรี) ซึ่งจัดทำโดยราชสำนักสยาม ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๑–๒ ต้นฉบับระบุชื่อของแหลมตะลุมพุกไว้ว่า “แหลมชุมพุก”  ซึ่งคาดว่าพื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงมาก่อน โดยในเรื่องนี้ มิสเตอร์ เอช. วาริงตัน สมิธ (H.Warington Smyth. Five Years in Siam: From 1891 to 1896. Vol II., London John Murray.1898, pp 86-87)  นักภูมิศาสตร์ชาวอังกฤษที่เข้ามารับราชการในกรมโลหกิจและภูมิวิทยาสมัยรัชกาลที่ ๕  ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๓๑–๒๔๓๙ ได้บรรยายสภาพของแหลมตะลุมพุกคราวเดินทางสำรวจคาบสมุทรมลายูในส่วนพื้นที่ระหว่างเมืองนครศรีธรรมราชและสงขลา ความว่า  “เมื่อผ่านออกจากอ่าวนครศรีธรรมราช จะพบกับเรือสำเภาจำนวนมากที่จอดนิ่งปิดทางเข้าปากแม่น้ำ เราต้องหยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางทะเลที่ถูกโอบรอบโดยแหลมตะลุมพุก ซึ่งเกิดจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่หอบเอาทรายมาทับถมทีละเล็กละน้อยจนเป็นแนวหาดทรายโค้งโอบรอบโคลนที่แบนราบของอ่าวนครศรีธรรมราช...ชาวประมงจำนวนไม่น้อยอาศัยอยู่ที่บ้านแหลมและหมู่บ้านอื่นๆ อีกหลายแห่งที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้สุดของแหลมนี้ บ้านเรือนของพวกเขาได้รับการกำบังลมโดยต้นมะพร้าวและต้นสนที่ฉีกขาดรุ่งริ่งด้วยแรงลม จะมีก็เพียงเฉพาะบรรดาต้นไม้ที่มีความทรหดอดทนเท่านั้นที่เจริญงอกงามที่นั้นได้”  ข้อความดังกล่าวทำให้ทราบว่าบริเวณอ่าวนครศรีธรรมราชหรืออ่าวปากพนังซึ่งมีแหลมตะลุมพุกโอบล้อมกำบังคลื่นลมอยู่นั้นเป็นจุดจอดเรือสำเภาที่ผ่านมาค้าขายบริเวณเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อรอคอยลมมรสุมในการเดินเรือต่อไป นอกจากนี้ยังปรากฏหมู่บ้านชาวประมงที่อยู่อย่างหนาแน่นพอสมควร  ขณะเดียวกันสภาพที่ตั้งของแหลมตะลุมพุกซึ่งอยู่ระหว่างอ่าวกับทะเลที่เปิดโล่งรับแรงลมและคลื่นที่สามารถเข้าปะทะได้ทั้งสองด้าน ทำให้เมื่อเกิดวาตภัยขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ จะพบว่าสภาพของแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลนี้เองทำให้เมื่อพายุโซนร้อนที่พัดเข้ามาจากทางอ่าวไทยหอบเอาฝนคลื่นในทะเลโถมขึ้นท่วมชายฝั่งอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกวาดบ้านเรือนประชาชนลงไปยังอ่าวปากพนังที่อยู่ด้านหลังและวนกลับมาลงในทะเลอ่าวไทยอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนักแก่พื้นที่แห่งนี้ ซึ่งมียอดผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมากดังกล่าวมาแล้ว ภาวะโลกร้อน มหาภัยใหม่ของตะลุมพุก จากมหาวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกซึ่งเป็นฝันร้ายของผู้คนริมชายฝั่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีก มาถึงวันนี้กลับถูกแทนที่ด้วยปัญหาใหม่ที่กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นจากปัญหาภาวะโลกร้อน จนอัตราการละลายตัวของน้ำแข็งขั้วโลกสูงขึ้น จนทำให้ปริมาณน้ำในทะเลมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการรุกตัวของน้ำทะเลเข้ากลืนพื้นที่ชายฝั่งต่าง ๆ ทั่วโลกให้จมลงไปในทะเลอย่างช้า ๆ และที่แหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง ก็กำลังเจอกับภัยคุกคามทางธรรมชาติครั้งใหม่นี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการเกิดพายุซัดฝั่งอ่าวไทยหรือ สตอร์ม เซิร์จ [Storm Surge] ซึ่งทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคมของทุกปี โดย รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าคณะวิจัยศึกษารูปแบบการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้คาดการณ์ว่า “ในอีก ๕๐ ปีข้างหน้า ถ้าปัญหาการกัดเซาะของน้ำทะเลยังไม่ได้รับการแก้ไข ชายฝั่งทะเลปากพนังและแหลมตะลุมพุกจะหายไปจากบนพื้นดิน เพราะถูกน้ำทะเลกัดเซาะให้แผ่นดินหายไปประมาณ ๑๖ กิโลเมตร" หากเป็นดังที่คาดไว้ดังกล่าว ในอีกไม่ช้าชายฝั่งปากพนังถึงปลายแหลมตะลุมพุกจะถูกกัดเซาะจากคลื่นในทะเลที่นับวันจะมีความแรงและสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีความพยายามสร้างแนวกั้นการกัดเซาะของน้ำทะเลด้วยการตอกเสาเข็มเป็นกำแพงขนานกับแนวชายฝั่งในบางส่วนของพื้นที่นี้บ้างแล้ว แต่การแก้ปัญหาเช่นนี้หาใช่ทางออกสุดท้ายที่จะหยุดยั้งภัยธรรมชาติที่มีต้นเหตุมาจากการทำลายธรรมชาติของมนุษย์เอง    ภาณุพงษ์ ไชยคง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • รอยเงาเชิดไหว ก่อนมีหนังใหญ่กรุงสยาม

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2552 การเล่นหนังเงาของไทยเช่นหนังใหญ่ถือเป็นการละเล่นที่เก่าแก่ ปรากฏหลักฐานในกฎมนเทียรบาลเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๐๑ กล่าวถึงการเล่นหนังใหญ่ไว้ว่าเป็นมหรสพที่เป็นที่นิยมของชาวกรุงศรีอยุธยา แต่ก่อนหน้านั้น หนังเงามีการเชิดไหวมาเนิ่นนานเป็นที่แพร่หลายทั่วไป จากหลักฐานเบื้องต้นที่พบเป็นไปได้ว่าหนังเงามีต้นกำเนิดในแถบเอเชีย เพราะมีการค้นพบศิลปวัตถุเก่าแก่ที่คาดว่าน่าจะเป็นหุ่นเงาในประเทศต่าง เช่น  จีน  อินเดีย มลายู เป็นต้น การเล่นหุ่นเงาหนังไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มประเทศแถบเอเชียเท่านั้น หากยังพบไปทั่วโลก  ปฐมบทหนังเงา  หลักฐานที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของการชักหุ่นเงาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ในรัชสมัยราชวงศ์ซุ่ง มีภาพเขียนและบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการแสดงหนังเงา ส่วนใหญ่มักแสดงในวรรณกรรม เช่น สามก๊ก พ่อค้าวานิช เป็นต้น หนังเงาของชาวจีนได้แบ่งความนิยมของการแสดงออกเป็นภาคต่าง ๆ เช่น ทางตอนเหนือของจีนนิยมแสดงเกี่ยวกับวีรบุรุษและบุคคลสำคัญ ส่วนทางตอนใต้มักแสดงเกี่ยวกับการกำเนิดของพุทธศาสนา ในอดีตหุ่นเงาของจีนทำมาจากผ้าไหมหรือผ้าแพร วาดแล้วตัดเป็นรูปร่างต่อมาในภายหลังได้เปลี่ยนมาใช้หนังสัตว์ นิยมทำมาจากหนังแพะ เพราะทนทานมากกว่าหนังชนิดอื่น ๆ ในส่วนขั้นตอนการทำหุ่นเงาของจีนนั้น เริ่มจากนำหนังไปตากแห้งก่อนแล้วขูดลอกขนออกจนแผ่นหนังโปร่งแสง จากนั้นตัดหนังให้เป็นรูปร่างแล้วฉลุหนังเป็นลวดลายตามที่ต้องการ  ลงสีตกแต่งถือเป็นอันเสร็จสิ้น นอกจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีวัฒนธรรมการเชิดหนังเงาแล้ว ในดินแดนชมพูทวีปอย่างแถบประเทศอินเดีย ก็มีหลักฐานของหนังเงาเก่าแก่ไม่แพ้กัน สันนิษฐานว่าน่าจะมีการแสดงหนังใหญ่ก่อนพุทธกาล ทั้งนี้เพราะพระไตรปิฏกหมวดที่ว่าด้วยเรื่องมหาศีล พระพุทธองค์ได้ห้ามพระภิกษุดูการละเล่นหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ การเชิดชักเล่นหนังเงา การเชิดหนังเงามีที่มาจากการขับโศลกบูชาเทพเจ้าในอินเดียโบราณ หรือเป็นการบรวงทรวงพระศิวะในศาสนาฮินดู โดยตัดรูปหนังเป็นรูปองค์เทพนั้นๆ แทน แล้วปักไว้ที่แท่นบูชา หรือที่เรียกว่า ฉายานาฎกะ  เกิดขึ้นประมาณช่วงต้นของคริสตศักราช แต่การละเล่นหุ่นเงาในอินเดียมีหลายแบบ เก่าแก่และยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันมีชื่อว่า “ โฮลุลอมมาลาตะ ”   หุ่นเงาอินเดียยังมีเล่นกันในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นอันธระประเทศ ตัวหุ่นทำมาจากหนังแกะ เรื่องที่นิยมเล่น คือ มหาภารตะ และ รามเกียรติ์ ในอีกแนวคิดหนึ่งเชื่อว่าการเชิดหนังแต่แรกเริ่มมาจากชนเผ่าเร่ร่อนในเอเชียกลาง อาจมีความเกี่ยวข้องกับหนังในวัฒนธรรมตุรกี  โดยมีหลักฐานที่น่าสนใจ คือ พวกชนเผ่าเร่ร่อนนั้น ใช้ชีวิตอยู่กับการล่าและเลี้ยงสัตว์ จึงรู้จักการใช้ประโยชน์จากหนังสัตว์เป็นอย่างดี ชนเผ่าเร่ร่อนดำรงชีวิตอยู่ในกระโจมและก่อกองไฟ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นที่มาของจอหนังของชาวซิเถียน เมื่อ ๓-๔ ศตวรรษก่อนคริสตกาล จึงรู้วิธีการทำภาพเงาให้สวยงามจากแผ่นหนังสัตว์ ดังหลักฐานที่ปรากฏในบริเวณสุสานแถบเทือกเขาอัลไต ใกล้กับมองโกเลีย บริเวณเส้นทางการค้าโบราณระหว่างจีน รัสเซีย ได้พบแผ่นหนังสัตว์แผ่นหนึ่งที่มีร่องรอยถูกตัดเป็นรูปกวาง อาจเป็นการตัดออกเพื่อทำเป็นตัวหนัง การทำรูปบุคคลลงบนวัสดุที่มีลักษณะแบน เช่น แผ่นหนัง กระดาษ ผ้า เปลือกไม้ อาจเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมการนับถือผีของชนเผ่าเร่ร่อนในเอเชียกลาง จากหลักฐานของจีนสมัยราชวงศ์ถังได้กล่าวถึง ชาวเติร์กในเอเชียกลาง บูชารูปเทพเจ้าที่วาดขึ้นบนแผ่นผ้าและเก็บไว้ในถุงหนัง หนังเงาอุษาคเนย์...ที่มาที่ไปก่อนเป็นหนังใหญ่บ้านเรา  จากหลักฐานด้านเอกสารและความคิดเห็นของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมีความเห็นเกี่ยวกับที่มาของหนังใหญ่หลากหลาย ทั้งในส่วนที่เชื่อว่ารูปแบบการเล่นหนังใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากชวา  หรือแม้แต่การเล่นหนังใหญ่ของไทยได้รับอิทธิพลมาจากเขมรหรือกัมพูชา  เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับหนังเงาของอุษาคเนย์มากยิ่งขึ้น จึงจะขอกล่าวถึงหนังเงาทั้งของชวา มลายูและเขมร    หนังเงาในแบบของจีน หนังเงาชวาหรือ วายัง “วายัง” [Wayang]  หรือเรียกเต็มชื่อว่า   “วายัง ปูร์วา” [Wayang Purwa] “วายัง” แปลว่า “เงา”  ส่วน   “ปูร์วา”  แปลว่า”ความเก่าแก่”รวมกันจึงหมายถึง ความเก่าแก่แห่งศิลปะการเชิดตัวหุ่นที่ทำจากหนังให้เกิดเป็นภาพเงาบนจอผ้า แต่ในปัจจุบันคำว่าวายังมีความหมายทั่วไปว่า  “การแสดง”   ในอดีตการแสดง  วายัง  นอกจากหมายถึงเงาแล้ว ยังหมายรวมถึงวิญญาณของบรรพบุรุษหรือเทวดา เพราะก่อนการเข้ามาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู วายัง  เป็นการแสดงที่มีความสำคัญในการอัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษ เพราะ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของคนชวา หัวหน้าครอบครัวจะต้องอัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษเข้าร่วมในพิธีกรรมของครอบครัว เช่น พิธีแต่งงาน วิญญาณจะปรากฏตัวให้เห็นเป็นเงา และในบางครั้งก็มีความเชื่อว่าการแสดง วายัง  จะช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บและขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปได้   หลังจากศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูได้เข้ามายังเกาะชวาได้นำมหากาพย์อย่าง มหาภารตยุทธและรามายณะ (รามเกียรติ์) มาเผยแพร่ผ่านศิลปะการแสดงหนังเงา ภาษาที่ใช้ในการแสดง คือ ภาษาพื้นเมือง คือ ภาษาชวา องค์ประกอบการแสดงส่วนใหญ่ได้นำมาจากพื้นเมือง แม้แต่รูปตัวหนังก็เป็นรูปลักษณ์ที่คิดค้นออกแบบโดยศิลปินชวาเอง ไม่ว่าจะเล่นเรื่องมหาภารตยุทธ รามายณะ หรือเรื่องพื้นเมืองก็ตาม  บนเกาะชวาปรากฏมีการแสดง วายัง  หลายประเภทซึ่งแตกต่างกันทั้งในแง่เนื้อเรื่อง สาระที่นำเสนอ แบบตัวหนัง ดนตรีประกอบ จุดประสงค์การแสดง รวมทั้งภาษาที่ใช้ก็อาจแตกต่างกัน วายังที่นิยมเล่นกันมากในชวาคือ วายังปูรวา [Wayang Purwa]  เล่นทั้งเรื่องมหาภารตะและรามายณะ (รามเกียรติ์)  หุ่นเงามีความสำคัญกับสังคมชาวชวา เพราะเป็นการบ่มเพาะศีลธรรมและหลักคำสอนศาสนา เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นการต่อสู่กันระหว่างความดีกับความชั่วร้าย อสูรจะถูกปราบลงได้ในตอนจบ แต่หลังจากที่ชวาได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม มีความพยายามที่จะนำเรื่องราวและคำสอนในศาสนาอิสลามไปปรับให้เข้ากับบทแสดงแต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าไรนัก โฉมหน้าของหุ่นเงาชวามีลักษณะ แขนเล็กยาว ตัวผอม เก้งก้าง คอยาว จมูกยาวงุ้ม รูปลักษณ์ไม่คล้ายคน เหตุที่หนังชวาทำรูปร่างหน้าตาแปลกไปมาก อาจเป็นไปได้ที่ชาวชวานับถือศาสนาอิสลาม ในคำสอนของศาสนาอิสลามมีบทบัญญัติห้ามมิให้สร้างรูปเคารพหรือรูปคน   ส่วนหนังมลายูคล้ายกับหนังชวา เพราะได้รับอิทธิพลแบบอย่างมาจากชวา แต่หนังเงาที่น่าสนใจ ถือเป็นการเล่นหนังอีกชนิดหนึ่ง ชาวมลายูเรียกว่า “วายังเสียม”  หรือหนังสยาม นิยมเล่นกันในรัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ตลอดถึงนราธิวาส ยะลา ปัตตานี   เนื่องจากการย้ายถิ่นฐานของชาวชวามาสู่แหลมมลายู ได้นำศิลปะการแสดงมาเผยแพร่ ต่อมาได้พัฒนาการแสดงให้ต่างจากหนังตะลุงไทยปักษ์ใต้ หนังตะลุงปักษ์ใต้ใช้รูปหนังขนาดพอเหมาะ ผู้ชมมองเห็นได้ถนัดและสะดวกต่อการเชิดหรือเคลื่อนไหว การเจรจาของหนังมลายูเดิมใช้ภาษาชวาและมลายูโบราณ แต่ในภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นภาษามลายูท้องถิ่นเพื่อง่ายต่อการสื่อกับชาวบ้าน แต่เดิมวายังเซียมนิยมเล่นในเนื้อเรื่องเดียวกับวายัง คือ เรื่องมหาภารตยุทธ รามเกียรติ์ และอิเหนา แต่เมื่อได้รับอิทธิพลจากหนังตะลุงปักษ์ใต้ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่อง จักร ๆ วงศ์ ๆ หรืออาจเป็นเรื่องที่ผูกขึ้นเองให้เป็นที่น่าสนใจแก่ผู้ชม ส่วนหนังเงาในประเทศกัมพูชา แบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ หนังใหญ่  เป็นการจำหลักภาพโดยการเจาะให้ทะลุบนแผ่นหนังวัวที่มีขนาดใหญ่ จัดแสดงในยามกลางคืน ใช้แสงสว่างจากแสงไฟขี้ไต้หรือแสงไฟจากไฟฟ้าเพื่อส่องให้เห็นเป็นเงา ศิลปะการแสดงหนังใหญ่สำหรับชาวกัมพูชาถือว่านี้เป็นการแสดงเพื่อสักการบูชา เพราะถือเป็นศิลปะที่แสดงเฉพาะพิธีทางศาสนาทั้งหมด อาทิ เช่น พิธีพระราชทานเพลิงศพ พิธีเผาศพบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ในบางโอกาสจะแสดงเพื่อบวงสรวงขอฝน เป็นต้น  หนังเงาเขมรแบ่งได้เป็น ๒ แบบ คือ หนังขนาดกลาง  หรือ หนังทาสี  เป็นการสลักภาพนิ่ง โดยเจาะให้ทะลุบนหนังวัว ที่มีขนาดปานกลาง โดยใช้สำหรับการแสดงตอนกลางวัน และ หนังเล็ก  หรือ อายอง  เป็นการจำหลักบนหนังวัวเช่นเดียวกัน แต่มีขนาดเล็ก เป็นหนังเงาจำหลักที่มีการเคลื่อนไหวแขน  ขา ได้ เป็นที่แพร่หลายอยู่ในประเทศกัมพูชา  กล่าวได้ว่าหนังเงามีความเป็นมายาวนาน สำหรับไทยแล้วได้รับมรดกทางวัฒนธรรมมาจากที่ใดยังคงไม่แน่ชัด แต่หนังใหญ่ที่รับเข้ามานั้น ส่วนหนึ่งได้มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสังคมไทยและได้ตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง หนังใหญ่จึงไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสมบัติของคนไทยทั้งชาติที่ต้องช่วยกันสืบสานงานศิลป์แขนงนี้ต่อไป    มิใช่ด้วยการอนุรักษ์ที่เก็บไว้ในตู้สี่เหลี่ยมแต่หนังใหญ่ต้องได้เชิดไหวอย่างมีชีวิต         ปกรณ์   คงสวัสดิ์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page