พบ 220 รายการ
- หรือเศรษฐกิจสามจังหวัดภาคใต้ฝากไว้กับ “ต้มยำกุ้ง”
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2549 ร้านต้มยำของนิยาที่อยู่บริเวณสี่แยกชานเมืองมะละกาในเวลาสามทุ่ม กำลังมีลูกค้ามาก หนุ่มสาวในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ส่วนใหญ่ฝากความหวังไว้กับการออกไปทำงานต่างพื้นที่ไม่ต่างจากหนุ่มสาวในอีสาน เหนือ หรือภาคกลาง ที่มุ่งหวังเข้าเมืองเพื่อหาเงินส่งกลับเลี้ยงดูครอบครัวและสร้างอนาคตให้ตนเอง แม้จะไม่มีตัวเลขแน่นอน (ซึ่งทั้งรัฐไทย สถาบันการศึกษา หรือหน่วยงานต่าง ๆ ก็คงไม่มีการเก็บตัวเลขเหล่านี้) ถึงจำนวนผู้เดินทางไปทำงานนอกพื้นที่มีจำนวนเท่าใด แต่จากการพูดคุยกับชาวบ้านหลายพื้นที่ ปรากฏชัดเจนคือ มีแรงงานในวัยหนุ่มสาวมุ่งไปหางานทำที่มาเลเซียเป็นจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่เห็นถึงผลกระทบในชุมชนซึ่งน่าสนใจและควรนำมากล่าวถึง เพราะทำให้เกิดปัญหาสังคมเป็นลูกโซ่มีผลกระทบต่อผู้คนในสามจังหวัดมากเสียกว่าการที่รัฐไปกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติหรือมองอย่างหวาดระแวงแก่ประเทศเพื่อนบ้านว่าคนเหล่านี้จะรวมกลุ่มเพื่อก่อการร้ายจากการรับจ้างทำงานในมาเลเซียหรือเป็นบุคคลสองสัญชาติ เพราะ “เรื่องราว” ของหนุ่มสาวที่ต้องไปขายแรงงานที่มาเลเซีย มีรายละเอียดมากกว่าความผิวเผินแบบกล่าวหาว่าเป็นบุคคลสองสัญชาติต่างหาก บุคคลสองสัญชาติคืออะไร ไม่มีความแน่ชัด สำหรับแรงงานถูกกฎหมายการถือบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องถูกตรวจตราอย่างเคร่งครัด และกรณีการได้บัตรประชาชนของมาเลเซียเป็นเรื่องยากมากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับแรงงานทั่วไป การเชื่อมโยงแรงงานที่ไปทำงานในมาเลเซียกับคนสองสัญชาติและขบวนการก่อการร้ายหรือขบวนการแบ่งแยกดินแดน ดูเป็นสมมุติฐานที่เลื่อนลอยเกินไป ในหมู่บ้านบางแห่งจากการพูดคุยจนประเมินคร่าวๆ คนในหมู่บ้านเคยไปทำงานที่มาเลเซียในช่วงหนึ่งของชีวิตเฉลี่ยแล้วเกือบ ๑๐๐ % บางแห่งย้ายไป ๆ กลับ ๆ จนถึงกับมีรถประจำทางสายตรงระหว่างชุมชนที่ทำงานในมาเลเซียและอำเภอบางแห่ง เช่น ที่ปะนาเระ ซึ่งเป็นชุมชนที่มีคนออกไปทำงานมาเลเซียจำนวนมากเป็นที่ขึ้นชื่อ หนุ่มสาวที่จบการศึกษาโดยมากในชั้นประถมหรือมัธยมต้น อายุเพียงสิบห้าสิบหกก็ออกไปทำงานที่มาเลเซียกันจนเกือบหมดแล้ว ส่วนใหญ่ไปทำงานร้านต้มยำที่มาเลเซียที่มีอยู่ทุกรัฐ ไม่ทราบว่ามีจำนวนแน่นอนเท่าไหร่ ที่นิยมมากที่สุดคือทำงานร้านต้มยำ มีคนทำงานแบบถูกกฎหมายขึ้นทะเบียนไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคน ส่วนที่ไม่มีใบอนุญาต ไปทำงานประมง เกี่ยวข้าว ตัดปาล์ม กรีดยาง ก่อสร้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไม่ถึงน่าจะมากพอ ๆ กันหรือมากกว่า ดังนั้นแรงงานนับหลายแสนคนที่ออกไปทำงานในมาเลเซีย เช่น “นิยา” วัยต้นสามสิบมาจากบาโงยซิแน อำเภอยะหา จังหวัดยะลา และภรรยา “เด๊าะ” อายุอ่อนกว่านิดหน่อยจากปัตตานี พบรักกันที่ร้านต้มยำ หลังแต่งงานทั้งคู่มีลูกคนหนึ่ง ตอนนี้อยู่กับย่าที่บาโงยซิแน ทั้งสองคนต้องทิ้งลูกไว้ให้เข้าโรงเรียนที่เมืองไทยเพราะเข้าโรงเรียนที่มาเลเซียไม่ได้ ทั้งร้านมีลูกน้องอยู่ ๑๕ คน ส่วนใหญ่เป็นญาติเกี่ยวดองกันทั้งนั้น พ่อครัวประจำร้าน เป็นคนหนุ่มทำงานมาแล้ว ๑๑ ปี เงินเดือนรับเต็มที่เดือนละหนึ่งหมื่นสี่พันบาท นิยาเป็นลูกจ้างอยู่นาน เก็บเงินเพื่อเปิดร้านเป็น “เถ้าแก่” ซึ่งเป็นความหวังสูงสุดของหนุ่มสาวที่มาทำงานมาเลเซีย หลังจากนั้นก็ชักชวนพี่น้องให้มาทำงานและกลายเป็นเจ้าของร้านไปด้วยกัน คือ นิเฮง นิโมะ และน้องสาวของเด๊าะ ทั้งหมดรวมเป็น ๔ ร้าน “เถ้าแก่” เจ้าของร้านต้มยำส่วนใหญ่อายุใกล้เคียงกับนิยา คือ สามสิบต้น ๆ กำลังมีไฟในการทำงาน ลักษณะร้านต้มยำโดยทั่วไปก็ไม่ใหญ่โตอะไร คล้ายกับร้านอาหารตามสั่งในเมืองไทย ส่วนใหญ่อยู่บริเวณนอกเมืองในส่วนที่กำลังขยายตัว เพราะมีพื้นที่มากพอจะตั้งโต๊ะอาหารได้หลายโต๊ะและราคาค่าเช่าไม่แพงนัก เวลามาทำร้านก็จะเริ่มตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงตีหนึ่งหรือตีสาม ลูกค้าร้านต้มยำจะเป็นครอบครัวใหญ่ พาพ่อแม่ลูกหลานมานั่งทานอาหาร โดยมีเมนูต้มยำทะเลที่เรียกว่า “ต้มยำกุ้ง” รสชาติเหมือนต้มข่าเป็นหลัก ปลากะพงผัดเปรี้ยวหวานก็ยอดนิยมไม่น้อย ทำเลร้านของนิยาอยู่ตรงสี่แยกนอกเมืองมะละกา ในย่านที่เริ่มมีตึกสูงของที่พักตากอากาศเข้ามา เพราะไม่ไกลจากหาดชายฝั่งทะเลนัก ทำเลค่อนข้างดีเพราะเห็นได้ง่าย มีที่จอดรถกว้างขวาง ร้านต้มยำส่วนใหญ่อยู่ในรัฐที่เจริญทางเศรษฐกิจ เช่น ทางฝั่งตะวันตกมากกว่าทางฝั่งตะวันออกที่ยังคงเป็นชนบทอยู่มาก มีความแตกต่างทางเศรษฐกิจสูง นิยาลองเช่าดูและเริ่มทำงานร้านนี้มาห้าหกปีแล้ว ค่าเช่าเฉพาะที่ดินเดือนละหมื่นเจ็ดพันบาท นิยาใช้ค่าใช้จ่ายเพื่อจ้างงานไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๗ หมื่นบาท เริ่มจากหกพันบาทจนถึงพ่อครัวได้มากที่สุดหมื่นสี่พันบาท หญิงสาวที่เป็นแผนกทำเครื่องดื่ม กำลังทำชาชัก การทำงานแบบถูกกฎหมาย แม้จะต้องเสียค่าใบอนุญาตและต้องต่อใบอนุญาตทำงานบ่อย ๆ แต่ก็ดีกว่าการทำงานแบบผิดกฎหมายที่ต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ เรียกว่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายก็ได้ เพราะคนที่ถูกจับก็มีไม่น้อย ญาติพี่น้องไปรับตัวกลับและเสียค่าปรับ หากไม่เสียค่าปรับก็ต้องอยู่ในคุกมาเลเซียและมีจำนวนไม่น้อย การต้องทำใบอนุญาตบังคับให้ต้องเดินทางไป ๆ มา ๆ จากบ้านและมาเลเซียอยู่บ่อย ๆ เพราะพาสปอร์ตต้องต่อเพื่อเข้ามาใหม่ทุกหกเดือน และใบอนุญาตทำงานสามเดือนต่อครั้ง ซึ่งต้องเสียใช้ค่าใช้จ่ายเจ็ดพันบาทต่อคนทุกสามเดือน จะแบ่งกันจ่ายคนละครึ่งกับเจ้าของร้าน ส่วนใหญ่จะแบ่งจ่ายแบบสามเดือนมากกว่าแบบปีต่อปีเพราะค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้ ผู้เข้ามาทำงานต้องตรวจสุขภาพทุกปี มาเลเซียจะยอมรับผู้ที่แข็งแรงและไม่ติดยาเสพติดเท่านั้น และหากเป็นผู้หญิงถ้าตั้งท้องก็จะไม่ให้ใบอนุญาต สำหรับนิยาและเด๊าะต้องกลับบ้านเฉลี่ยเดือนละครั้ง การทำงานในมาเลเซียแม้จะมีค่าตอบแทนสูง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายมาก หากต้องการทำงานได้อย่างราบรื่นและถูกกฎหมายมาเลเซีย ลูกน้องของนิยามีทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย อัตราค่าจ้างตั้งแต่หกพันบาทสำหรับเสิร์ฟอาหารจนถึงพ่อครัวมากประสบการณ์ที่เงินเดือนมากกว่าหมื่นบาท ทั้งหมดนี้มีที่พักและอาหารฟรี ที่ร้านของนิยาต้องจ้างแรงงานจากกลันตันบ้างสามสี่คน คนงานจากกลันตันมาจากเขตเกษตรกรรมที่ห่างไกลซึ่งนับเป็นพื้นที่ไม่ได้รับการพัฒนามากนัก แต่ก็เป็นกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมและการพูดจาไม่ต่างไปจากคนในสามจังหวัดมากนัก นิยาให้เหตุผลว่าจะได้ไม่น่าเกลียด เพราะการทำธุรกิจของคนต่างชาติ แม้ว่าชาวมาเลเซียจะไม่รู้สึกถึงความเป็นชาตินิยมต่อคนมลายูที่มาจากเมืองไทยเท่าใดนัก แต่เมื่อเจ้าหน้าที่มาตรวจ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความสบายใจมากกว่า พ่อครัวส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เพราะต้องใช้แรงมากต้องทำอาหารเร็ว ร้อน คนมาเลเซียไม่สนใจว่าอาหารจะอร่อยหรือประณีตในการทำมากน้อยเพียงใด แต่ต้องการอาหารที่เน้นว่า ร้อน และเร็ว ส่วนผู้หญิงเป็นคนเสิร์ฟและทำเครื่องดื่มเป็นส่วนใหญ่ นิยามาเซ้งตึกแถวเพื่อเป็นที่พักอาศัยอยู่แบ่ง ๆ กันกับลูกน้องทั้งหมด ต้องจ่ายเดือนละสามหมื่นบาท นิยามีรถขับสองคัน ทิ้งไว้ที่บ้านยะลาคันหนึ่งและนำมาใช้ที่มะละกาคันหนึ่ง ค่าใช้จ่ายที่นิยาและเด๊าะต้องใช้จ่ายหมุนเวียนต่อเดือนในร้านต้มยำร้านเดียวไม่ต่ำกว่าสองถึงสามแสนบาท วงดนตรียอดนิยมของเด็กหนุ่มเด็กสาวในร้านเหมือนๆ เด็กไทยทั่วไป เช่น ลาบานูนและคาราบาว ในมาเลเซีย การออกไปทำงานเป็นความหวังของหนุ่มสาวในสามจังหวัดภาคใต้ที่รัฐบาลมาเลเซียรับรู้และไม่ได้คุกคามหรือตามจับ หากเป็นไปตามกฎหมาย แรงงานจากสามจังหวัดทดแทนในช่องว่างของงานอาชีพที่คนมาเลเซียเริ่มไม่ทำและหันไปทำงานในภาคเศรษฐกิจส่วนอื่น การเป็นคนมลายูมุสลิมเช่นเดียวกัน อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับการยอมรับ และเป็นเหตุผลสำคัญแน่นอนอันดับแรกที่แรงงานชาวมลายูมุสลิมจากสามจังหวัดภาคใต้เดินไปเข้าไปขายแรงงาน โดยมีคนน้อยมากที่เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ ๆ อื่น ๆ ที่ต่างศาสนาและต่างวัฒนธรรม เราไม่ทราบว่าแรงงานจากสามจังหวัดภาคใต้สร้างรายได้รวมต่อปีประมาณเท่าใด แต่เท่าที่พบนี่คือช่องทางสำคัญที่หล่อเลี้ยงครอบครัวและเศรษฐกิจในระดับชาวบ้านในสามจังหวัดภาคใต้ให้อยู่รอดอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธ หากนิยาอยู่บ้าน ด้วยการศึกษาไม่จบ ป.๔ และเด๊าะที่จบเพียงมัธยมต้น คงไม่พ้นรับจ้างกรีดยาง ทั้ง ๆ ที่นิยาและเด๊าะเป็นคนฉลาดและมีศักยภาพในการบริหารจัดการอย่างยอดเยี่ยม ครอบครัวของนิยาฐานะไม่ดีและไม่มีที่ดินของตัวเอง แต่นิยาส่งพ่อแม่ไปฮัจญ์ได้และซื้อที่ดินซึ่งเป็นสวนยางไว้ให้ทำด้วยได้แล้ว วันนี้ นิยาในวัยต้นสามสิบกลายเป็นความมุ่งหวังของคนในชุมชนที่ผู้ใหญ่ต้องการให้ดูเป็นตัวอย่างและเป็นอุดมคติของคนรุ่นหนุ่มสาวที่อยากจะสร้างฝันให้ได้เหมือนนิยา แต่ความฝันเหล่านี้ไล่หาในประเทศไทยไม่ได้ และไม่มีโอกาสที่เด็กหนุ่มสาวจากชายแดนในสามจังหวัดจะมีโอกาส นอกเสียจากที่มาเลเซีย อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ตุลาทมิฬและอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2551 “ขอแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรอบรัฐสภาบนถนนต้นสายประชาธิปไตยในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑” ที่ตั้งอำเภอโกตาบารู เมืองหลวงรัฐกลันตัน แม่น้ำโกลกคือเขตพรมแดนที่ถูกใช้เป็นเส้นแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ให้แยกบ้านเมืองสองฝั่งออกเป็นรัฐชาติสองประเทศ ฝั่งไทยมีด่านที่ท่าเรือตาบาในอำเภอตากใบ อีกฝั่งหนึ่งคือ กำปงเปงกลัน กูโบร์ ในรัฐกลันตันของมาเลเซีย ก่อน พ.ศ. ๒๔๕๑ รัฐสยามมีสิทธิเหนือดินแดนมลายูทั้ง ๔ รัฐ คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ใช้วิธีปกครองแบบหัวเมืองประเทศราช ให้สุลต่านปกครองกันเอง แต่จะส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการยอมรับอำนาจทางการเมืองมาถวายพระมหากษัตริย์ไทย ๓ ปีต่อครั้ง หลังจากอังกฤษเริ่มเข้ามาค้าขายและล่าเมืองขึ้นในแหลมมลายู การเจรจาต่อรองระหว่างรัฐสยามกับเจ้าอาณานิคมอังกฤษดำเนินเรื่อยมาราวสิบกว่าปี ในระหว่างนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเยือนมลายูหลายครั้ง และพยายามยกฐานะหัวเมืองเหล่านั้น เช่น ยกฐานันดรผู้ครองรัฐไทรบุรีเป็นเจ้าพระยา และพยายามเอื้อเฟื้อให้เจ้าผู้ปกครองนครเหล่านั้นปกครองตนเองและภักดีต่อกรุงเทพฯ ซึ่งแตกต่างไปจากการดำเนินนโยบายที่ปฏิบัติต่อหัวเมืองในล้านนาในช่วงเวลาเดียวกันอย่างชัดเจน แม้จะไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่นำไปสู่การบีบบังคับสู้รบเช่นที่ฝรั่งเศสกระทำต่อดินแดนชายขอบที่เขมรและลาว ใน พ.ศ. ๒๔๕๑ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีการต่างประเทศของไทย และนายราฟ แพชยิต ราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้ลงนามในสนธิสัญญาฉบับใหม่ โดยรัฐบาลสยามยกดินแดนเฉพาะที่เห็นว่าอำนาจทางการเมืองของไทยครอบคลุมไปไม่ถึงเท่านั้น คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส รวมทั้งเกาะใกล้เคียง ส่วนการแบ่งเขตแดนจะถือเอาสภาวะการปกครองเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่น ๆ เช่น เรื่องภาษา ศาสนา หรือวัฒนธรรม สุลต่านกลันตันและสุลต่านตรังกานูต่างคัดค้านการกระทำของไทย สุลต่านกลันตันส่งผู้แทนเข้ามาเจรจาที่กรุงเทพฯ และสุลต่านตรังกานูรีบยืนยันความจงรักภักดีของตนต่อเมืองไทย ด้วยการส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองมาถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นการยกดินแดนให้อังกฤษให้อยู่ในสหพันธรัฐมลายูของอังกฤษ โดยที่เจ้าของดินแดนหรือชาวบ้านชาวเมืองไม่ได้เตรียมตัวและไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงสถานภาพตนเองโดยไม่ยินยอมแต่อย่างใด ในขณะนั้นรัฐบาลสยามควบคุมกำกับดูแลบ้านเมืองที่ปัตตานีมาโดยตลอดและไม่อยากสูญเสียไป แม้จะมองเห็นว่าการปกครองหัวเมืองเหล่านี้ซึ่งต่างศาสนาและต่างวัฒนธรรมน่าจะเป็นปัญหามากกว่า ซึ่งเป็นเพียงการมองในด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเห็นว่าภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมที่ถูกแบ่งแยกใน บริเวณที่อาจเรียกว่า “ลังกาสุกะ” ในอดีต หรือในปัจจุบันเรียกบริเวณนี้ว่า ไทยตอนใต้และมาเลเซียตอนเหนือ [Thai south and Malay north] ซึ่งมีภูมิหลังที่กล่าวมาแล้วคล้ายคลึงกันและอยู่ระคนกันไปในกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งมลายู จีน และไทย โดยคนมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากกว่าและถือเป็นวัฒนธรรมหลักของบ้านเมืองบริเวณนี้ แม่น้ำโกลก พรมแดนไทย-มาเลเซีย ความสัมพันธ์ของรัฐต่าง ๆ ในบริเวณนี้แม้จะถูกแบ่งแยกโดยสนธิสัญญาระหว่างประเทศให้เกิดพรมแดนเป็นรัฐชาติแบบใหม่ที่ตกลงกันด้วยผลประโยชน์ของอำนาจศูนย์กลาง จึงเป็นการปิดฉากรูปแบบรัฐโบราณที่เป็นรากฐานของบ้านเมืองในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาอย่างยาวนาน แม้จะกลายเป็นรัฐสมัยใหม่ไปแล้ว แต่รูปแบบทางสังคมวัฒนธรรมที่เคยมีอยู่ยังไม่สูญหายไปแต่อย่างใด ความเหมือนกันทางสังคมและวัฒนธรรม ความเป็นเครือญาติ ความเป็นพี่น้อง ซึ่งกลายเป็นสิ่งเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างบ้านเมืองในพื้นที่ระหว่างรัฐที่อำนาจทางการเมืองไม่สามารถแบ่งแยกออกได้ กรณีเมื่อมีเอกสารที่เผยแพร่ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ใหม่ ๆ นั่นคือ เบอร์จีฮาด ดิ ปัตตานี หรือ การต่อสู้ที่ปัตตานี ในเอกสารระบุว่า เมื่อปฏิบัติการสำเร็จจะมีการสถาปนาราชวงศ์กลันตันขึ้นเป็นผู้ปกครองสูงสุด แล้วนับถือศาสนาอิสลามนิกายสุนนี สำนักความคิดสายอิหม่ามซาฟีอี จัดตั้งสภาสูงสุด ที่มาจากนักวิชาการมุสลิม และตัวแทนบุคคลในสาขาอาชีพต่าง ๆ สภานี้มีอำนาจสูงสุดในการแต่งตั้งถอดถอนผู้นำได้ เป็นต้น ข้อความเหล่านี้สะท้อนให้เห็นเหตุผลทางการเมืองที่ต้องการรวมดินแดนดั้งเดิมในราชวงศ์กลันตันที่ถือว่าเป็นราชวงศ์ที่รวมกลุ่มตระกูลเชื้อสายเจ้าเมืองจากวังยะหริ่งหรือเมืองรามันในอดีต และวังอื่น ๆ ในดินแดนสามจังหวัดภาคใต้ไว้ได้ชัดเจนที่สุด แม้แต่กรณีการหนีของคนไทย ๑๓๑ คนข้ามชายแดนบริเวณสุไหง-โกลกไปอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องในฝั่งมาเลเซีย เพราะกลัวเหตุการณ์ความรุนแรงและความไม่ปลอดภัยจากอำนาจรัฐ คนกลุ่มนี้เป็นชาวบ้านหลายรายจากอำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมที่หน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ บางคนเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านที่ถูกปล้นปืน แต่กลับถูกทางการไทยสงสัยว่า ร่วมมือกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ นำปืนของทางการไปใช้ก่อความไม่สงบ คนไทยเหล่านี้เดินทางหนีออกจากมาตุภูมิและขอไปอยู่อาศัยกับญาติพี่น้องทางฝั่งมาเลเซียและยังไม่ยอมกลับจนถึงปัจจุบัน ความอุดมสมบูรณ์บนที่ราบรัฐกลันตัน สิ่งเหล่านี้อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด กล่าวว่า ชาวบ้านจากประเทศไทยเหล่านี้เดินทางไปหาญาติพี่น้องของพวกเขาเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในขบวนการก่อการร้ายดังที่รัฐไทยหวาดกลัวและระแวงแต่อย่างใด เมื่อเดินทางร่วมไปกับคณะของผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เข้าไปในรัฐทางตอนเหนือของมาเลเซีย โดยเฉพาะในบริเวณตั้งแต่เมืองปะแสร์ มาส [Pasir mas] ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับสุไหง-โกลกทางฝั่งไทยจนถึงโกตาบารู และเมืองตุมปัตที่มีผู้คนที่เรียกตนเองว่า คนมาเลเซีย เชื้อสายไทย และคนจีนที่ถูกเรียกว่า จีนบก ซึ่งแตกต่างไปจากคนเชื้อสายจีนแถบชายฝั่งช่องแคบในอีกฝั่งทะเลอีกด้านหนึ่ง ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยในกลันตันมีอยู่มากเป็นอันดับสองรองจากรัฐเคดาห์หรือไทรบุรีในอดีต นอกจากนี้ยังมีอยู่บ้างประปรายที่รัฐตรังกานูและปะลิส เฉพาะในกลันตันมีทั้งคนเชื้อสายไทยที่เป็นชุมชนอยู่มากมายใน ๗ อำเภอ ได้แก่ อำเภอตุมปัต มีคนไทยอยู่มากที่สุด อำเภอปะแสร์ มาส มีคนไทยอยู่ที่ตลาดปะแสร์ มาสในย่านธุรกิจด้วย และเขตที่ติดกับสุไหง-โกลก อำเภอตะเนาะแมเราะ อำเภอปะแสร์ ปูเต๊ะ อยู่ริมทะเลมีเศรษฐกิจดี มีคนไทยอยู่ที่บ้านเสมอรัก อำเภอบาเจาะ อำเภอโกตาบารู ซึ่งเป็นเมืองหลวง และอำเภอมาจัง ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อย พื้นที่ราบระหว่างแม่น้ำโกลกและแม่น้ำกลันตันคือพื้นที่ราบกว้างใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งกว้างใหญ่กว่าที่ราบของแม่น้ำตากใบและแม่น้ำโกลก ซึ่งมีคนไทยที่พูดภาษาสำเนียงที่เรียกว่าภาษาเจ๊ะเหหรือภาษาไทยตากใบ ในบริเวณนี้คือที่ตั้งของอำเภอตุมปัตที่มีวัดทางพุทธศาสนาจำนวนมาก ซึ่งเป็นวัดประจำชุมชนทั้งไทยและจีน ปะปนไปด้วยชุมชนมุสลิมจำนวนไม่น้อย แม้กลันตันจะประกาศตัวเป็นรัฐมุสลิมอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ก็สามารถจัดการเชื่อมโยงกลุ่มคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธและคนจีนได้โดยการสนับสนุนงานทางวัฒนธรรม เช่น เทศกาลลอยกระทงที่ถือเป็นเทศกาลประจำเดือนพฤศจิกายนในปีท่องเที่ยวของรัฐในปีนี้ ความสงบร่มรื่นในระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และความเป็นปกติสุขของสังคมพหุลักษณ์ในรัฐกลันตัน โดยเฉพาะบริเวณเมืองตุมปัตนี้ เป็นสิ่งที่หาไม่ได้อีกต่อไปในขณะนี้ในอีกฝั่งหนึ่งของชาติไทย บ้านเมืองในเขตสามจังหวัดภาคใต้ในอดีตนั้นไม่ได้ต่างไปจากบ้านเมืองในอีกฝั่งแม่น้ำโกลกในรัฐ กลันตันแต่อย่างใด เพราะอยู่ในวัฒนธรรมและบ้านเมืองเดียวกันมาก่อน แต่จะแตกต่างไปก็เพราะการเมืองของรัฐที่กระทำต่อพลเมืองทั้งสองประเทศนั้น “ไม่เหมือนกัน” วัดไทย-จีน ในสังคมมุสลิม การอยู่อย่างสันติของคนกลันตัน ในขณะที่รัฐไทย ชาวบ้านชาวเมืองโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ คงได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของความไม่เสมอภาคและไม่เท่าเทียมกันในสังคมที่สืบเนื่องมาจากอำนาจของรัฐที่จัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยความรุนแรง และต้องสูญเสียเลือดเนื้อของประชาชน สิ่งเหล่านี้มีผู้แสดงความคิดเห็นมากมายว่า “เริ่มจะเข้าใจสาเหตุของความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ที่ไม่สงบเสียที” นั้นเป็นเพราะเหตุใด เมื่อเหม่อมองเมืองไทยจากอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำโกลกที่กั้นพรมแดนบ้านเมืองที่เคยเป็นแผ่นดินเดียวกัน แต่ขณะนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้นมีสาเหตุมาจากความแตกต่างทางชาติพันธุ์หรือก็ไม่ใช่ ทางศาสนาหรือก็คงไม่ใช่เป็นสาเหตุมาแต่แรกเริ่ม การเมืองในบ้านเมืองของเราต่างหากที่บั่นทอนพี่น้องชาวมลายูมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้มาอย่างเนิ่นนาน และในปัจจุบันนี้ การเมืองที่กัดเซาะสังคมไทยก็เริ่มทำให้เห็นว่า แม้แต่ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน การเมืองที่นำไปสู่ความไม่ยุติธรรมในสังคมและเศรษฐกิจก็กำลังทำลายคนไทยทั่วทุกหัวระแหงอยู่ในขณะนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ประวัติศาสตร์บาดแผลและประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกดขี่
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2552 นักโทษเงี้ยวทั้ง ๑๖ คนที่ถูกจับกุมได้ในการจลาจลในเมืองแพร่และลำปางได้ถูกส่งตัวมาจำคุกที่กรุงเทพฯ โดยแยกนักโทษในบังคับสยามไปจำคุกที่กองมหันตโทษ กระทรวงยุติธรรม ส่วนนักโทษในบังคับอังกฤษส่งไปจำคุกที่สถานทูตอังกฤษ (ภาพจากหนังสือ นครแพร่จากอดีตมาปัจจุบัน ภูมินิเวศวัฒนธรรม ระบบความเชื่อและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น) กิจกรรมทางวิชาการเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จัดโดยสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติที่เป็นชุดสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “แผ่นดินล้านนา” ชวนไปพูดเรื่อง “ความจริงและตำนานกบฏเงี้ยวเมืองแพร่” คงจะเพราะต่อเนื่องมาจากการทำงานวิจัยท้องถิ่นและพิมพ์เผยแพร่เอกสารเรื่อง “นครแพร่ จากอดีตมาปัจจุบัน : ภูมินิเวศวัฒนธรรม ระบบความเชื่อ และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” ที่จัดจำหน่ายในวงแคบ ๆ ไปเมื่อปลายปีที่แล้ว งานวิจัยดังกล่าวทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนานแต่ประสบผลล้มเหลว เพราะความตั้งใจแรกเริ่มที่ต้องการทำให้เป็นผลงานของคนท้องถิ่น เป็นประวัติศาสตร์จากภายใน และการสำรวจนิเวศวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในนครแพร่ โดยคนท้องถิ่นที่มีความมั่นใจ มีหลักที่ดีและรู้ข้อมูลอย่างลึกซึ้ง ผลสุดท้ายโครงการที่ได้รับโอกาสสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยนั้น ก็ทำได้แต่เพียงผลิตเอกสารรวบรวมเนื้อหาเรื่องราวของแอ่งที่ราบเมืองแพร่และมุมมองทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่วิพากษ์และสังเกตมาจากภายนอก กระบวนการทำงานร่วมกันและมุมมองที่จะแบ่งปันกันสำหรับการมองท้องถิ่นกลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเจาะเข้าหาคนเมืองแพร่ได้ เพราะกระบวนการชุมชนเข้มแข็งปลอม ๆ ที่เกิดขึ้นโดยคนที่เสมือนเป็นคนท้องถิ่นนั่นเอง ผู้จัดน่าจะเห็นประเด็นปัญหาว่า ประวัติศาสตร์และตำนานนั้นมีความแตกต่างกัน ในกระแสของการศึกษาประวัติศาสตร์ในประเทศไทยนั้นต้องยอมรับว่ามีความสับสนอยู่มากและนำไปสู่ความไม่เข้าใจ ความขัดแย้งและความเชื่อที่แตกต่างจนกลายเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลที่ถูกสะกิดให้ปะทุเป็นอารมณ์ของสังคมในท้องถิ่นต่าง ๆ ได้ง่าย หากสังคมนั้นขาดความเข้าใจ หมกมุ่น หรือถูกกระแสการเมืองปลุกเร้าในช่วงขณะหนึ่งได้สำเร็จ การศึกษาเรื่องของอดีตจำต้องแยกแยะให้ชัดเจนก่อนที่จะนำเอาผลของการศึกษาไปใช้ ประวัติศาสตร์ เป็นกระบวนการศึกษา วิจัย วิเคราะห์หลักฐานข้อมูลทั้งตัวหลักฐานที่จะนำมาศึกษาและผลจากการศึกษานั้นทำให้เกิดผลกระทบอย่างไรต่อสังคม สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเล่าเรียนกันตามสำนักต่างๆ แต่ในประเทศไทยมีอีกคำหนึ่งที่เคยใช้เรียกเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตทั้งที่เป็นเรื่องเล่ามุขปาฐะสืบต่อมาและบันทึกไว้เป็นเอกสารที่เรียกว่า ตำนาน ตำนานเหล่านี้มีหลายรูปแบบ แต่โดยสรุปรวมการเขียนหรือเล่าเรื่องจะเจือไปกับความเชื่อหรือถูกใช้ประกอบกับประเพณีพิธีกรรมเป็นวัตถุประสงค์หลักมากกว่าต้องการตรวจสอบค้นหาข้อเท็จจริงในอดีต โดยวิธีวิทยาทางประวัติศาสตร์ที่นักประวัติศาสตร์ในยุคหลัง ๆ ใช้กัน วัตถุประสงค์ รูปแบบ และวิธีการเขียนตำนานซึ่งเทียบได้กับคำว่า Myth จึงแตกต่างอย่างชัดเจนกับการเขียนงานทางประวัติศาสตร์และการศึกษาทางประวัติศาสตร์ [Historiography, Historical method] ซึ่งเป็นวิธีการศึกษาในยุคสมัยใหม่ [Modern age] อย่างไรก็ตามเนื้อหาจากการศึกษาทั้งสองรูปแบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะหาข้อยุติเพื่อตัดสินถูกผิดกันได้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง พลังของประวัติศาสตร์และตำนานยังคงเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพความคิด โลกทัศน์ ของผู้คนในสังคมและไม่มีทางที่จะหยุดนิ่ง เมื่อพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า มองประวัติศาสตร์และตำนานอย่างเคลื่อนไหวมีพลวัตนั้นสวนทางกับความรู้สึกของคนในสังคมไทยโดยพื้นฐานที่เล่าเรียนศึกษาในโรงเรียนโดยใช้วิธีท่องจำเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ ไม่ได้คิดวิเคราะห์ ถกเถียง หาสาเหตุหรือทำความเข้าใจชีวิต สังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นและผ่านมาแล้ว และเชื่อมั่นยึดถือแต่เพียงว่าประวัติศาสตร์คือเรื่องราวในอดีตที่ไม่มีความสำคัญต่อปัจจุบันและอนาคตเพราะเป็นสิ่งล่วงพ้นไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่เรานั้นแท้ที่จริงกำลังเผชิญภาวะความจริงทางประวัติศาสตร์แบบเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา [Change through time History] ซึ่งยังไม่ได้จบสิ้นไปแต่อย่างใด สาเหตุเหล่านี้เองที่ทำให้คนในสังคมไทยยึดติดกับรูปแบบการเรียนเรื่องในอดีตเพียงฉาบฉวย ท่องเนื้อหา เวลาที่เกิดขึ้น และหลงเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นคือความถูกต้องโดยไม่ตั้งคำถาม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่คนในสังคมจะถูกชักจูงให้เชื่ออย่างง่าย ๆ จากแหล่งข้อมูลหลากหลายโดยไม่สนใจถึงที่มาที่ไปของความเคลื่อนไหวเหล่านั้น เรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปี มาปัจจุบันกลายเป็นประเด็นปัญหาอย่างไร ต้องยอมรับว่า การรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางและจัดการปกครองรูปแบบใหม่จากหัวเมืองประเทศราชให้กลายเป็นมณฑลเทศาภิบาลและจังหวัดต่าง ๆ ในปัจจุบัน คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและโครงสร้างทางสังคมของท้องถิ่นต่างๆ อย่างขุดรากถอนโคน เมื่ออำนาจการจัดการทางการเมืองและสังคมเปลี่ยนมือมาสู่ขุนนางข้าราชการจากภายนอกเข้ามาดูแล สิ่งเหล่านี้กลายเป็นตะกอนตกค้างทางประวัติศาสตร์ที่รอวันคุกรุ่นเรื่อยมา มากบ้างน้อยบ้างก็ขึ้นอยู่กับเชื้อปะทุภายในท้องถิ่นที่จะหลอมรวมหรือมีปัจจัยอื่นใดทำให้เกิดเชื้อแห่งความไม่พอใจที่ขยายวงกว้างขึ้นมา และต้องยอมรับอีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ ภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นทั่วโลกในสังคมของการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ในช่วงยุคอาณานิคมและหลังสมัยอาณานิคม รัฐโบราณจึงกลายเป็นเพียงความทรงจำอันหวานหอมของอดีตในท้องถิ่นที่เคยเป็นเมืองอิสระต่าง ๆ เจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ เจ้าผู้ครองนครเมืองแพร่องค์สุดท้าย ถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนพวกไทใหญ่หรือเงี้ยวสุดท้ายจึงลี้ภัยไปอยู่ที่หลวงพระบาง (ภาพจากหนังสือ นครแพร่จากอดีตมาปัจจุบัน ภูมินิเวศวัฒนธรรม ระบบความเชื่อ และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น) กรณีของกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ ซึ่งเป็นประโยคที่ดูเหมือนจะตอกย้ำความผิดพลาดของผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย คือ เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ที่ปล่อยให้เกิดการปล้นสะดมและฆ่าฟันข้าราชการที่ส่งมาปกครองจากส่วนกลางโดยคนเงี้ยวที่เข้ามาเป็นลูกจ้างบริษัทสัมปทานไม้สักนั้นคือ ประวัติศาสตร์บาดแผล ที่พูดขึ้นมาครั้งใด ก็เหมือนจะเข้าไปแทงใจคนเหนือหรือคนเมืองแพร่ หากพูดแบบรวม ๆ นั่นคือสิ่งที่เป็นประเด็นการมองจากภายนอก ประวัติศาสตร์บาดแผลนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนชั้นนำในสังคมเมืองแพร่ในสมัยที่ยังเป็นหัวเมืองฝ่ายเหนือในวันคืนที่กำลังถูกริบอำนาจการปกครองจากส่วนกลางและสูญเสียผลประโยชน์มหาศาลจากค่าสัมปทานไม้สักแบบผูกขาดที่ทำลายสภาพแวดล้อมของเมืองแพร่ไปจนไม่เหลือให้จินตนาการในปัจจุบัน ถามว่าทุกวันนี้คนในจังหวัดแพร่เจ็บแค้นกับประวัติศาสตร์บาดแผลนี้อย่างไร ในฐานะผู้สนใจศึกษาและทำโครงการในเมืองแพร่มาระยะหนึ่งไม่แน่ใจว่า บาดแผลนี้จะบาดลึกลงไปในจิตใจของผู้ใดและกลุ่มใด แต่ที่ชัดเจนคือ ทุกวันนี้เรื่องเกี่ยวกับกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ไม่ใช่ภาระบนบ่าอันหนักอึ้งของคนเมืองแพร่ทุกคนแน่ หลังจากการผนวกเมืองแพร่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสยามแล้ว ผู้คนและลูกหลานเชื้อสายเจ้าเมืองแพร่ก็ผ่านสังคมและเศรษฐกิจในรูปแบบการรับเหมาช่วงสัมปทาน สร้างโอกาสในการทำมาหากินกับระบบเหมาช่วงรับจ้างลากจูงไม้ในป่าให้กับบริษัทฝรั่ง ทำให้เศรษฐกิจเมืองแพร่ดีกว่าหัวเมืองอื่น ๆ แต่เศรษฐกิจเหล่านี้ก็ตั้งอยู่บนฐานของการผูกขาดทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นการผลิตอย่างแท้จริง ป่าไม้สักเมืองแพร่ไม่นานก็หมดไป บริษัทฝรั่งก็ล่าถอยทิ้งไว้แต่ร่องรอยของความเฟื่องฟูร่ำรวยของคนในยุคหนึ่ง ต่อมาสัมปทานของรัฐที่ให้กับคนไทยกันเองจึงทำให้ป่าไม้เมืองแพร่หมดสิ้น ทุนที่เข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์ตรงนี้กลายเป็นฐานสำหรับนักการเมืองท้องถิ่นเมืองแพร่ในปัจจุบันที่แทบจะตัดขาดการรับรู้เรื่องราวในอดีตอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นคนเชื้อสายจีนที่เข้ามาใหม่ สำหรับชาวบ้านที่เป็นคนแพร่พื้นฐานดั้งเดิมก็ต้องปรับตัวจากการเป็นผู้อยู่ร่วมกับป่ามาเป็นผู้อาศัยป่าโดยผิดกฎหมายบ้าง แสวงหาผลประโยชน์จากป่าสัมปทานแม้จะเคยเป็นถิ่นฐานท้องถิ่นที่อยู่อาศัยมานานก็ตาม ตลอดระยะเวลาแห่งการครอบครองป่าโดยระบบสัมปทาน ชาวบ้านเห็นนายทุนและรัฐร่วมกันแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินส่วนรวมในอดีตที่กลายมาเป็นสมบัติเอกชนโดยที่ไม่สามารถจะทำอะไรได้มากเท่ากับ การปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดเป็นระยะ ๆ ไม่ต้องถึงกับไปถามชาวบ้านที่สะเอียบซึ่งได้รับผลกระทบจากการทำสัมปทานป่าไม้มานานว่ารู้สึกอย่างไรต่อเรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ หากถามคนเมืองแพร่ที่เป็นกลุ่มทุนหรือนักการเมืองหรือผู้บริหารในปัจจุบันก็คงจะไม่ได้คำตอบที่ดุเดือดเลือดพล่านแต่อย่างใด การจุดประกายเรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการฟื้นความรู้สึกว่า อดีตเจ้าหลวงองค์สุดท้ายของเมืองแพร่ไม่ได้เป็นกบฏ และการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับเมืองเก่าของกลุ่มลูกหลานเมืองแพร่ในช่วงสิบปีให้หลังมานี้ จึงเป็นเพียงประเด็นของคนกลุ่มหนึ่งในเมืองแพร่ที่เรียกร้องและหวนหาอดีตแบบที่เรียกว่า Nostalgic mood ซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากอดีตที่เป็นอารมณ์ร่วมของสังคมส่วนใหญ่ แต่ประวัติศาสตร์จากช่วงเวลาใกล้เคียงกันในอีกท้องถิ่นหนึ่งและในอีกบริบทหนึ่งก็คือ ประวัติศาสตร์การสูญเสียบ้านเมืองของชาวมลายูปัตตานีและการลุกขึ้นต่อต้านการรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การปฏิรูปการปกครองที่ดูเหมือนจะยึดรวบทุกอย่างไปจากผู้ปกครองเดิม และที่สำคัญที่สุดคือความไม่เข้าใจในความต่างวัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณีและวิถีชีวิตของผู้ปกครองในรัฐใหม่ เปิดโอกาสให้มีความรุนแรงในการแก้ปัญหาหลายครั้ง และแต่ละครั้งนั้นคือความทรงจำร่วมกันที่เจ็บปวดของคนในพื้นที่ ปัญหาที่สะสมมาตลอดเวลาในพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ของชาวมลายูปัตตานีได้กลายเป็นมากกว่า ประวัติศาสตร์บาดแผล แต่กลายเป็น ประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกดขี่ ที่พร้อมปะทุความรุนแรงในการต่อต้านการกดงำครอบครองได้เท่ากันหรือมากกว่าการปฏิบัติที่ได้รับรู้มาในประวัติศาสตร์ หะยีสุหลง ผู้นำของมุสลิมที่ออกมาเรียกร้องในกรอบของประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนให้รัฐบาลให้ความเป็นธรรมแก่คนมุสลิม (ภาพจากหนังสือ เล่าขานตำนานใต้) กรณีหะยีสุหลง กรณีที่ถูกเรียกว่ากบฏดุซุงญอ กรณีการล้อมปราบในการสร้างความรุนแรงที่มัสยิดกรือเซะหรือกรณีตากใบ และอีกมากมายหลายเรื่องที่สั่งสมเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาในช่วงสี่ห้าปีนี้ เมื่อรวมกับประวัติศาสตร์ที่ถูกครอบครองรุกรานชาวปัตตานีโดยรัฐไทย สิ่งเหล่านี้ถูกดูดกลืนเข้าสู่ประวัติศาสตร์ในชีวิตของผู้คนในสามจังหวัดภาคใต้ผ่านช่วงเวลาที่ไม่มีวันจบ กลายเป็นประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกดขี่ที่ถูกเติมเต็ม สดใหม่ และยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ สังคมไทยกำลังเผชิญหน้ากับการท้าทายการจัดการปัญหาในระดับสูงต่อเรื่องความยุติธรรม ความเป็นธรรม และการกระจายอำนาจทั้งการปกครอง การศึกษาและวัฒนธรรมสู่ท้องถิ่น การไม่ตั้งรับทำความเข้าใจประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นการสั่งสมของปัญหาที่ต้องการความคิดวิเคราะห์มากกว่าเดิม ไม่ใช่หน้าที่ของนักวิชาการจะออกมาชี้นิ้วว่า กระบวนการเหล่านี้คือเรื่องของท้องถิ่นนิยม เป็นเพียงความรู้สึกโหยหาอดีตของคนกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งเป็นรูปแบบการวิเคราะห์ที่ล้าหลังและหยาบ ๆ เกินไป ประวัติศาสตร์บาดแผลมีโอกาสขยายผลจนกลายเป็นประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกดขี่ได้ หากเราไม่ทำความเข้าใจบริบทของท้องถิ่นต่างๆ อย่างระมัดระวัง และเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ในการให้การศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์แก่คนในสังคม การวิเคราะห์ คิด และถกเถียงอย่างสร้างสรรค์คงช่วยให้มีความเข้าใจในพลังของประวัติศาสตร์ที่ไร้ข้อยุติได้ แต่ก็มีนักวิชาการประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ที่ขุดคุ้ยข้อมูลประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเมืองไทยบางกลุ่มกำลังยึดถือตรรกะแบบเอาเป็นเอาตาย ถกเถียงกันเฉพาะตรรกะว่าของใครผิดและถูกก็กำลังหาข้อยุติ ข้อสรุปให้เข้ากับสมมติฐานของตนเอง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาทางการเมืองในปัจจุบัน แล้วจะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตแบบ Change through time History ได้อย่างไรกัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ร่องรอยวัฒนธรรมฮินดู-พุทธในดินแดนปาตานี
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2556 Gunungan เหนือบานประตูและช่องอาคารในสถาปัตยกรรมมลายูที่เหมือนหน้ากาล-มกรในสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งมีที่มาจากอินเดียเช่นเดียวกัน นอกเหนือจากกลุ่มโบราณสถานบ้านจาเละ-ประแว อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี และกลุ่มบ้านท่าสาป-บ้านหน้าถ้ำ อำเภอเมือง จังหวัดยะลาแล้ว พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้หรือในเขตดินแดนของเมืองปาตานีก็ไม่ปรากฏว่ามีร่องรอยของแหล่งโบราณคดีหรือโบราณสถานที่เกี่ยวเนื่องด้วยวัฒนธรรมฮินดู-พุทธ อันเป็นวัฒนธรรมที่มีมาก่อนการเปลี่ยนมาเป็นศาสนาอิสลามในดินแดนนี้เลย จึงค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่น่าสงสัย เพราะพื้นที่อื่นที่ล้อมรอบดินแดนนี้ล้วนแล้วแต่มีการพบเจอแหล่งโบราณคดีที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมฮินดู-พุทธกระจัดกระจายอยู่ไปทั่วบริเวณตลอดทั้งคาบสมุทรมลายู ไม่ว่าจะเป็นทางตอนใต้ของปาตานี ในรัฐ Kedah, Perak, Selangor, Johor, Terengganu, Kelantan ในประเทศมาเลเซีย และมีอย่างกระจัดกระจายในดินแดนตอนเหนือของปาตานีคือ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระบี่ ตรัง ก็ล้วนเคยพบเจอร่องรอยแหล่งโบราณคดีในวัฒนธรรมฮินดู-พุทธทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าร่องรอยในวัฒนธรรมฮินดู-พุทธที่เป็นโบราณสถานและแหล่งโบราณคดีพบเห็นได้น้อยในสามจังหวัดชายแดนใต้ แต่ร่องรอยของวัฒนธรรมฮินดู–พุทธเหล่านี้สามารถที่พบเห็นได้ไม่ยากนักในวิถีชีวิตและประเพณีต่าง ๆ ตลอดทั้งชื่อบ้านนามเมืองของคนมลายูปาตานี หลักหินในสุสานของชาวมลายูมุสลิมที่รูปทรงเหมือนโกศบรรจุศพคนชั้นสูงของชาวพุทธ ชื่อบ้านนามเมืองหลาย ๆ ที่ก็สะดุดหูชวนสงสัยว่าจะเกี่ยวเนื่องหรือเป็นมรดกที่หลงเหลือของวัฒนธรรมฮินดู–พุทธหรือเปล่า เช่น “ภูเขาบูโด” [Bukit Budur] หรือบูกิตบูโด ซึ่งคำว่า “บูกิต” ในภาษามลายูแปลว่าภูเขา เป็นคำที่ใช้เรียกภูเขาลูกนี้มานมนาน คำว่า “บูโด” นี้หาความหมายในภาษามลายูไม่ได้ ไม่ทราบว่าเป็นภาษาอะไรแน่ แต่ชวนให้นึกถึง โบโร บูโด หรือ โบโร โบโด ที่เมือง Yogyakarta บนเกาะชวา ซึ่งเป็นศาสนสถานของพุทธที่อยู่ท่ามกลางอารยธรรมของวัฒนธรรมพราหมณ์ เทือกเขาที่ใครๆ รู้จักกันดีในนามเทือกเขา “สันกาลาคีรี” ก็เช่นเดียวกัน เทือกเขาสันกาลาคีรีนี้ชาวมลายูเรียกกันว่า “ซังฆาลาฆีรี” [Sang Gala Giri] ซึ่งก็ไม่ใช่ภาษามลายู แต่เป็นภาษาสันสกฤต คำว่า Sang ภาษาไทยใช้คำว่า “สัน” นั้นทำให้ความหมายเปลี่ยนไปมาก คำว่า “สัน” ทำให้นึกถึงสันเขา แต่คำว่า Sang ในความหมายของชาวมลายูเป็นคำโบราณที่ใช้เป็นคำนำหน้าเรียกผู้ที่อยู่ในสถานะที่สูง เช่น กษัตริย์หรือเทวา คำนี้มีปรากฏในหนังสือโบราณของมลายูที่มีอายุมากกว่า ๕๐๐ ปี ในตำนานของฮังตูเวาะฮ์ [Hikayat Hang Tuah : Empat Orang Fakil] ที่กล่าวถึงกษัตริย์เชื้อสายเทวาหรืออสัญเดหวา [Asal Dewa] Asal หรือ อาสัน เป็นคำภาษามลายู แปลว่า ดั้งเดิม ชื่อ ซังเปอตาลาเดวา [Sang Pertala Dewa] Gala หรือ กาลา ในภาษามลายูท้องถิ่นปาตานีเรียกว่า “กาลอ” ในพจนานุกรมมลายูอธิบายว่า Sang Gala คือ The black king of the demons. Occasionally called Sang Gala Raja Jin, Sangkara or Sangkara. ซึ่งก็หมายถึง “พระกาฬ” นั่นเอง ส่วนคำว่า Giri ก็คือ “คีรี” แปลว่า ภูเขา ดังนั้นคำว่า “สันกาลาคีรี” ที่ถูกต้องแล้ว ควรเป็น “สังกาลาคีรี” [Sang Gala Giri] ที่แปลว่า “ภูเขาพระกาฬ” นั่นเอง หลักหินในสุสานของชาวมลายูมุสลิมในยุคแรกๆ จะมีรูปทรงเหมือนใบเสมา ที่แสดงถึงความเชื่อมโยงในรูปทรงของวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาอยู่บ้าง ทั้งภูเขาบูโดและสันกาลาคีรีล้วนมีชื่อที่มาจากวัฒนธรรมฮินดู-พุทธ และภูเขาทั้งสองแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ [Sakti] ที่ไม่มีในวัฒนธรรมศาสนาอิสลาม มีเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับงูใหญ่หรือ “นาฆา” [Naga] และเป็นสถานที่ที่เหล่าศึกษาศาสนาสายตารีกัตในลัทธิซูฟี ซึ่งนิยมจำศีลในถ้ำเพื่อบำเพ็ญภาวนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผมเคยเห็นรูปที่เพื่อนถ่ายมาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่เชิงเขาบูโด เป็นแผ่นศิลาที่ชาวบ้านใช้ปูเป็นทางเดินก่อนขึ้นบันไดบ้าน เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดจากรูปถ่ายเห็นว่าน่าจะเป็นฐานของศิวลึงค์ มีหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ห่างจากบ้านตะโหนดประมาณ ๕ กิโลเมตร ชื่อบ้าน “บาโงกือเต๊ะ” คำว่า “กือเต๊ะ” สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นกับคำมลายูโบราณจะเข้าใจว่าหมายถึง “กัด” แต่คำนี้มีที่มาจากคำว่า “เกอเต็ก” ที่แปลว่าวัด อาจจะเพี้ยนเสียงมาจากคำว่า กูติก หรือ กุฏิ นั่นเอง ผมเคยได้รับการบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่าเมื่อก่อนเคยมีวัดร้างอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ แต่ปัจจุบันถูกทำลายจนหาซากไม่เจอเสียแล้ว และหมู่บ้านแห่งหนึ่งในตลาดตันหยงมัส จังหวัดนราธิวาส เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีชื่อปรากฏป้ายบอกทาง แต่คนมลายูท้องถิ่นเรียกว่า “บูกิต สามิง” หรือ “บูกิต สามี” คำว่า บูกิต [Bukit] แปลว่าภูเขา ส่วนคำว่า “สามี” ไม่ได้แปลว่า สามี หรือ Husband ของหญิงใด แต่เป็นคำมลายูโบราณแปลว่าพระหรือเทวรูป พื้นที่แห่งนี้มีเสียงซุบซิบและเล่าลือว่ามีวัตถุโบราณที่ถูกฝังอยู่ใต้เนินดินขนาดใหญ่ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ลักลอบขุดและบรรทุกใส่รถขนไปกรุงเทพฯ แล้ว บ้างก็เล่าลือว่าที่ลักลอบขุดไปคือทองคำ ซึ่งคงไม่มีผู้ใดพอที่จะให้ข้อมูลในเรื่องนี้ได้อย่างจริงจังและมีหลักฐาน เพียงแต่เป็นเสียงซุบซิบดัง ๆ เท่านั้น น่าเสียดายที่ไม่มีการสืบค้นและศึกษาเรื่องราวเหล่านี้อย่างจริงจัง จนทำให้น่ากังวลใจว่า ต่อไปภายหน้าการที่จะย้อนรอยเพื่อสืบหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่มีก่อนยุคปาตานีคงทำได้ยาก หรือทำได้ก็คงไม่เหลืออะไรให้ศึกษาอีกเลย อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- คนตานีมลายูมุสลิมที่ถูกลืม
เผยแพร่ครั้งแรก 26 พ.ค. 2559 คนตานี ในขณะที่บทความและงานวิจัยหลายชิ้นซึ่งเกี่ยวเนื่องกับข้อมูลทางชาติพันธุ์ในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ปัจจุบันคุ้นเคยกับคำว่า “ออแฆนายู” หรือ “ออแฆซีแย” เมื่อต้องการแยกแยะคนมลายูมุสลิมและคนไทยพุทธในพื้นที่ดังกล่าว มีการอภิปรายกันมากถึงรากฐานที่มาของ “คำ” เรียกชื่อกลุ่มคนในคาบสมุทรมลายูในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงสมัยหลังอาณานิคมตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา[1] แต่ในบทความต่อไปนี้ เนื่องจากผู้เขียนเป็น “คนนอก” ทั้งอาศัยอยู่นอกพื้นที่ ไม่ได้เป็นคนในวัฒนธรรมมลายู และไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม มี “คำเก่า” สำหรับเรียกคนในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สัมพันธ์กับพื้นที่ของกรุงเทพฯ ในยุคต้น เมื่อกวาดต้อนเอาผู้คนจากหัวเมืองต่าง ๆ มาอยู่อาศัยทั้งในกรุงและรอบกรุง หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นถูกเรียกว่า “แขกตานี” หรือเรียกตัวเองว่า “คนตานี” ดังพบในพื้นที่ใจกลางเมืองเก่าย่านบางลำพู ถนนทั้งสายตรงสี่แยกคอกวัวเรียกว่า “ถนนตานี” และมีชุมชนมุสลิมที่อยู่ในตรอกแคบ ๆ หลบเร้นแฝงตัวห่างจากสายตาผู้คนทั้งที่มัสยิดตึกดินและมัสยิดจักรพงศ์[2] ในความคุ้นเคยของคนกรุงเทพฯ ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่ในเมืองเนื่องจากสงครามสมัยต้นกรุงเทพฯ และนับถือศาสนาอิสลามคือ “คนตานี” และเนื่องจากอัตลักษณ์ [Identity] เป็นเรื่องค่อนข้างกำกวมมีหลายนัยหรือเลื่อนไหลไปตามสถานการณ์ บทความนี้จึงใช้คำว่า “คนตานี” สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเชื้อสายมลายูและมีที่มาจากพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะบริเวณเมืองปาตานี [Patani][3] เก่าที่ปัจจุบันคือบ้านเมืองชายฝั่งในจังหวัดปัตตานีมากกว่าจะใช้เรียกกลุ่มคนซึ่งนับถือศาสนาอิสลามในกรุงเทพฯ ที่มีสำนึกของ “ความเป็นคนกรุงเทพฯ มากกว่าความเป็นคนตานี” แม้จะมีบรรพบุรุษเป็นคนตานีที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งต้นกรุงเทพฯ ก็ตาม คนตานีในที่นี้ คือ คนที่อยู่ในพื้นที่ทั้งสามจังหวัด ที่ไม่นับสตูลทั้งที่มีชาวมลายูผู้นับถือศาสนาอิสลามอยู่ไม่น้อยเพราะว่าถูกตัดขาดทางวัฒนธรรมและความเป็นมาทางประวัติศาสตร์จากลักษณะภูมิประเทศที่มีเทือกเขาขวางกั้น ทั้งนี้ การขยายบ้านเมืองตั้งแต่สมัยต้นกรุงเทพฯ ที่แยกรัฐปาตานีดั้งเดิมออกเป็น ๗ หัวเมือง กระจายไปสู่เขตภายในที่เคยมีชุมชนเก่าอยู่แล้วและปรับการปกครองจนกลายเป็นพื้นที่ในสามจังหวัดภาคใต้ โดยผู้คนอพยพเข้าไปอยู่อาศัยในเขตภายในเหล่านี้ส่วนใหญ่ขยายตัวมาจากชายฝั่งทางปัตตานีแทบทั้งสิ้น (ดังนั้น การเรียกชื่อ “คนตานี” ในบทความนี้ จึงเป็นการให้ความหมายจากภายนอกเท่านั้น) ในฐานะที่ผู้เขียนมีบรรพบุรุษอย่างน้อยหนึ่งท่านเป็น “คนตานี” แต่ไม่มีความเป็นคนตานีหลงเหลืออยู่ในตัวเอง คงเหมือนคนไทยพุทธในภาคกลางอีกไม่น้อยที่มีร่องรอยในสายเลือดเช่นเดียวกัน ทว่าถูกทำให้กลายเป็น “คนไทย” ที่ขาดประสบการณ์และไม่มีความเข้าใจต่อ “คนอื่น” เป็นพื้นฐานเหล่านี้คือเหตุให้พยายามเข้าใจความเป็น “คนตานี” ที่มีเลือดเนื้อ ความรู้สึก ความคิด ความเปลี่ยนแปลง และความใฝ่ฝัน ให้มากเท่าที่ประเทศไทยในยุคแห่งความหวาดกลัวและรังเกียจความแตกต่างทุกวันนี้ควรจะต้องการ สำหรับคนในภูมิภาคอื่น ชาวมลายูมุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้นับเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไกลตัว อาจเป็นมรดกของแผ่นดินจากยุคประเทศราชที่ผู้ปกครองสมัยใหม่ทุกวันนี้ไม่อยากได้ เมื่อเกิดปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้และยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ก็เริ่มมีเสียงดังขึ้นไม่น้อยอย่างต่อเนื่องว่า “ให้ตัดพื้นที่ของผู้มีปัญหาเหล่านั้นคืนไป” ทว่า การแบ่งแยกดินแดนไม่ใช่สูตรสำเร็จของปัญหาในโลกแห่งความรุนแรงยุคปัจจุบันเสียแล้ว เพราะพื้นที่หรืออาณาเขตนั้นไม่ใช่เป้าหมาย แต่การใช้ศาสนาเพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งในการต่อสู้ของผู้ถูกกดขี่กลายเป็นหนทางสู่ความเสมอภาคที่กลุ่มคนใดๆ ก็ตามแสวงหา[4] บทความนี้พยายามสะท้อนภาพความเข้าใจที่สับสนของคนไทยต่อภาพพจน์ของชาวมลายูมุสลิมในประเทศไทยที่ถูกกักขังหรือมองอย่างเป็นภาพนิ่ง จนอาจกล่าวได้ว่า “ความเป็นมลายูมุสลิมในประเทศไทย” คืออัตลักษณ์ที่ถูกแช่แข็งไว้ [Frozen Identity] ยาวนานนับศตวรรษ การสร้างชาติไทย และอานุภาพทำลายความหลากหลายทางชาติพันธุ์ คำว่า “คนตานี” คือการแสดงอัตลักษณ์ในเชิงพื้นที่ [Territorial Identity] โดยมีนัยแฝงของการเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปาตานีที่เคยรุ่งเรือง มักกล่าวกันว่า เมื่อคนตานีเข้าไปทำงานหรือท่องเที่ยวในมาเลเซียโดยเฉพาะในแถบรัฐทางเหนือใกล้เคียงกับฝั่งชายแดนไทย แสดงตนเองว่าเป็น “คนตานี” (ออแฆ ตานี) จะรู้สึกได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่มีรากเหง้าอยู่ในแผ่นดินที่เคยเป็นบ้านเมืองสำคัญและมีความเป็นเพื่อนพี่น้องพวกพ้องเดียวกัน ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะในพื้นที่ดังกล่าวรัฐปาตานีที่ดูห่างไกลจากความรับรู้ของ “ประวัติศาสตร์ชาติไทย” เพราะตัดเรื่องราวเหล่านี้ออกไป จะมีอยู่และกล่าวถึงก็เฉพาะการเรียบเรียงเหตุการณ์ในสมัยเสียดินแดนบางส่วนเพื่อรักษาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อเสียสละแก่ “ประเทศชาติ” ที่ต้องสูญเสียดินแดนที่เคยเป็นเมืองขึ้นไปเพื่อรักษาส่วนรวมไว้ ดังถูกตอกย้ำไว้ในงานเขียนทางประวัติศาสตร์หลายเรื่องที่ทำให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์ของชาติไม่ได้มีส่วนร่วมหรือรู้สึกในระดับลึกกว่านโยบายเพื่อปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นและต่อมาคือการปกป้องการล่าเมืองขึ้น[5]เพราะการแยกรัฐมลายูที่มีความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมเดียวกันออกจากกัน ทำให้พี่น้องญาติมิตรทั้งที่มีเชื้อสายมลายูนับถือศาสนาอิสลามและคนเชื้อสายไทยนับถือพุทธศาสนาและผู้คนอีกหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคยเดินทางไปมาหาสู่ในรัฐแบบเดิมต่างตกค้างอยู่ในกรอบของเส้นแบ่งแยกดินแดนของรัฐสมัยใหม่ทั้งสองฝั่ง คนตานีจากปาตานีซึ่งเคยเป็นเมืองท่าและโดยธรรมชาติของเมืองท่าไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็คือสถานที่รวบรวมกลุ่มคนหลากหลายชาติพันธุ์มาร่วมอยู่อาศัยด้วยกัน เมืองท่าในคาบสมุทรมลายูทางฝั่งตะวันตกที่รุ่งเรืองในระยะร่วมสมัย เช่น มะละกา ยังเป็นสังคมพหุลักษณ์มาจนถึงทุกวันนี้ “คนตานี” ในความหมายแต่อดีตก็คือผู้คนหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อสายมลายู จีน สยาม ดัชต์ ชวา ฯลฯ ต่างก็ถูกเรียกรวม ๆ ว่าเป็น “คนตานี” โดยมีคนกลุ่มใหญ่เชื้อสายมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามและวัฒนธรรมหลักในวัฒนธรรมอันหลากหลายก็คือวัฒนธรรมของชาวมลายูที่หยิบยืมเอาภาษาและวัฒนธรรมของคนในกลุ่มอื่น ๆ มาร่วมใช้ ยังเห็นร่องรอยของภาษาที่ผสมทั้งอารบิค สันสกฤต โปรตุเกส ดัชต์ อังกฤษ จีน และไทย อีกทั้งคนเชื้อสายจีนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในปัตตานีปัจจุบันที่นับถือศาสนาอิสลามและมีธรรมเนียมแบบมลายู น่าสังเกตว่า อัตลักษณ์เชิงพื้นที่ [Territorial Identity] สัมพันธ์กับการแสดงตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ต่อรัฐก่อนสมัยใหม่ [Pre-Modern State] หรือ “รัฐแบบจารีต” [Traditional State] ที่มีมาก่อนการเกิดขึ้นของ “รัฐชาติ” [Modern State] ซึ่งมี “ขอบเขต” แน่นอน และเส้นแบ่งเขตแดนและสถานภาพทางการเมืองที่รัฐกระทำต่อพลเมืองเหล่านี้ส่งผลเชิงบังคับให้เกิดการแสดงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์[Ethnic Identity] ตามมา[6] ความเป็นรัฐสมัยใหม่คือการสร้างอาณาเขตของพื้นที่ซึ่งถูกแบ่งแยกอย่างแน่นอนและ “รัฐ-ชาติ” [Nation-State] ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องการวัฒนธรรมที่เป็นแกนกลาง [National Culture] โดยการยกวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ที่มีอำนาจทางการเมืองขึ้นมาเป็นตัวแทน แต่ธรรมชาติของดินแดนแถบนี้ซึ่งประกอบไปด้วยการอยู่อาศัยท่ามกลางกลุ่มคนหลากหลาย การยกวัฒนธรรมของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งขึ้นมาครอบงำ เช่น การใช้ชื่อ ภาษา อาหาร การแต่งกายประจำชาติ ประวัติศาสตร์ของชาติ ฯลฯ รวมไปถึงการให้สถานภาพทางการเมือง [Political Status] ที่มั่นคง สิ่งเหล่านี้เป็นแนวโน้มต่อการเบียดขับให้คนในกลุ่มอื่นออกไปอยู่ชายขอบเพื่อแลกกับบูรณาการหลอมรวมความเป็น “ชาติ” ให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งในระยะแรกลัทธิชาตินิยม [Nationalism] ดังกล่าวคือการต่อต้านระบอบอาณานิคม [Anti-Colonial Movement] โดยตรง หากต่อมาความเสี่ยงนี้ทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า “อาณานิคมภายใน” [Internal Colonialism][7] ซึ่งเกิดจากความไม่เท่าเทียมในการพัฒนาทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจของคนในพื้นที่ต่างกัน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในสยามประเทศมาตั้งแต่ปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ จากรัฐยุคเก่าที่คุ้นเคยกับรูปแบบการแบ่งการปกครองออกเป็น หัวเมืองประเทศราช หัวเมืองชั้นนอก หัวเมืองชั้นกลาง และหัวเมืองชั้นใน มีผู้ปกครองในท้องถิ่นของตนเองอย่างเป็นเอกเทศ ไม่มีอาณาเขตบนแผนที่อย่างชัดเจนแต่ไม่ใช่ไม่มีเขตแดนหากเป็นที่รับรู้กันเฉพาะท้องถิ่นที่คนนอกคงไม่เข้าใจหรือรับรู้ได้ง่าย ๆ โดยคงไม่เคยคาดว่า ในวันหนึ่งการกำหนดขอบเขตของดินแดนจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของเจ้าอาณานิคมเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของหรือทรัพย์สินเหนือแผ่นดินนั้น ๆ ประวัติศาสตร์แห่งชาติคือเรื่องราวที่ถูกยกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมหลักดังกล่าว เป็นประวัติศาสตร์ที่เล่าจากศูนย์กลางโดยปราศจากการให้ความสำคัญแก่ท้องถิ่นอื่น โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งอยู่ชายแดนหรือชายขอบ [Peripheral] ของศูนย์กลางที่วัฒนธรรมหลักของคนกลุ่มใหญ่ดำรงอยู่ ประวัติศาสตร์แห่งชาติที่คนไทยคุ้นเคยเพราะกลายเป็นหลักสูตรทางการศึกษาและนโยบายของรัฐหลายประการถูกสร้างขึ้นหลังจากการเกิดการรวมศูนย์เพื่อสร้าง “รัฐชาติสมัยใหม่” ที่เกิดขึ้นในโลกเมื่อไม่เกินสามร้อยปีและเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา หากจะนำข้อเสนอของ ธงชัย วินิจจะกูล[8] มาตีความและนำเสนออีกครั้งก็จะเห็นว่า ตรรกะของประวัติศาสตร์แห่งชาติกำหนดว่า “พรมแดนของประเทศไทยทุกวันนี้กำหนดความเป็นพรมแดนของประวัติศาสตร์ปัจจุบัน” คนไทยจึงขาดการทำความเข้าใจกับพื้นที่หรือประวัติศาสตร์ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางประวัติศาสตร์แบบรัฐจารีตหรือตำนานพงศาวดารแบบโบราณ รัฐแบบสมัยใหม่นี้มี ภูมิ-การเมือง [Geo-politics] แบบสมัยใหม่ที่กำหนดความเป็นเอกภาพทางภูมิศาสตร์ด้วย ประวัติศาสตร์แห่งชาติแบบนี้มีโครงเรื่อง [Plot] แบบเรียงตามลำดับและมีศูนย์กลางอยู่แห่งเดียว ไม่เห็นความหลากหลายของศูนย์รวมอำนาจซึ่งเป็นลักษณะธรรมชาติของรัฐแบบโบราณ ส่วนความสัมพันธ์ของบ้านเมืองเหล่านี้ก็ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางมาโดยตลอดทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง อำนาจเหล่านั้นขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและสถานการณ์ทางการเมือง ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้รูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดคือ การสร้างแผนที่ตามจินตนาการที่มีลักษณะเกินจริง ใหญ่โต และกว้างขวางตามเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ เป็นการเพ้อฝันที่กลายเป็นความภาคภูมิใจของชาติ ดังนั้น การเสียดินแดนในประวัติศาสตร์ทั้งการเสียกรุงแก่พม่าและการเสียดินแดนในยุคอาณานิคมจึงกลายเป็นความเจ็บปวดและความทุกข์แห่งชาติทีเดียว ทำให้เกิดการมองประเทศคู่สงครามว่าเป็นศัตรูอย่างถาวร เค้าโครงประวัติศาสตร์แห่งชาติแบบนี้คือการนำเอาศูนย์กลางที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก เมืองประเทศราชหรือหัวเมืองชั้นนอกที่ต่างวัฒนธรรมต่างภาษาถูกผนวกเข้าเป็นเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติที่ไม่มีบทบาทสำคัญอยู่ในเค้าโครงหลักของประวัติศาสตร์ชาติไทย กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อสร้างอำนาจรัฐให้ควบคุมการบริหารการปกครอง ระบบการศึกษา เชื่อมโยงด้วยระบบสาธารณูปโภคโดยเฉพาะการสื่อสารอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นเครื่องมือในการบูรณาการทางวัฒนธรรมเป็นลำดับ สิ่งเหล่าคือการสร้าง “ความเป็นไทย” ซึ่งมีพื้นที่น้อยมากสำหรับประวัติศาสตร์จากชายแดน สิ่งที่รัฐไทยกระทำอย่างต่อเนื่องแก่วัฒนธรรมและสถานภาพทางการเมืองของผู้คนในกลุ่มย่อยตั้งแต่ราวร้อยกว่าปีผ่านมาคือ การสร้างบูรณาการเพื่อลดความแตกต่างทั้งหลายทางชาติพันธุ์นั่นเอง นับเป็นมรดกของการต่อต้านลัทธิอาณานิคม [Colonialism] แบบไทย ๆ ด้วยการปกครองแบบรวมศูนย์ สร้างระบบราชการให้กลายเป็นกลไกหลักของการบริหารราชการส่วนภูมิภาค หมายถึงการครอบงำวัฒนธรรมย่อยอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในล้านนาและอีสานที่เคยมีปัญหาการแข็งข้อและต่อต้านเช่นเดียวกับหัวเมืองประเทศราชเช่นปาตานี[9] แต่อำนาจเหล่านี้แปลกปลอมเกินไปที่จะใช้กับบ้านเมืองในวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งกว่าและกลายมาเป็นปัญหาอิหลักอิเหลื่อจากการไม่สามารถรวมศูนย์อย่างสมบูรณ์ได้เหมือนที่อื่น ๆ ในดินแดนสามจังหวัดภาคใต้ทุกวันนี้ ประวัติศาสตร์ของชาติแบบนี้ สร้างความกดดันให้กับผู้คนในวัฒนธรรมย่อยหนักหนาขึ้นไปอีกในสมัยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม แม้จะได้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยแล้วก็ตาม แต่นโยบายเพื่อสร้างความเป็น “ชาตินิยม” หรือ “สร้างความเป็นไทย” ใน พ.ศ.๒๔๘๒ คือการทำลายความหลากหลายทางชาติพันธุ์อย่างรุนแรงที่สุดและไม่ได้ตั้งตัว การตีความว่าทุกคนที่มีสัญชาติไทยถือว่าเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ เช่น จะต้องพูดภาษาไทย แต่งกายแบบไทย มีขนบธรรมเนียมแบบไทย โดยมีสภาวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ นโยบายรัฐนิยมเมื่อถูกนำไปปฏิบัติด้วยระบบราชการที่มีผู้มีอำนาจมาจากส่วนกลางหรือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมหลักก็กลายเป็นการครอบงำซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่มีความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ศาสนา และวัฒนธรรมอย่างชัดเจน[10] หลังการขึ้นครอบครองอำนาจทั้งสองครั้งของจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม แม้นโยบายชาตินิยมและการสร้างความเป็นไทยซึ่งเป็นรูปธรรมเด่นชัดกว่านโยบายการกลืนกลายทางวัฒนธรรมในยุคสมัยอื่น ๆ จะสิ้นสุดตามไปด้วยก็ตาม แต่ได้ทิ้งมรดกที่สำคัญจนถึงปัจจุบันคือ การคลั่งไคล้ความเป็นชาติ ความเป็นคนไทย ความเป็นเอกภาพ และไม่สามารถยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม การเมือง วิธีคิด วิถีชีวิตที่ต่างไปจาก “มาตรฐานแบบไทย” ได้ นับเป็นการใช้แนวคิดแบบอาณานิคมภายในที่ใช้เพื่อปกครองและครอบงำดินแดนต่าง ๆ ภายในรัฐสมัยใหม่ เป็นจุดเปลี่ยนไปสู่ความรุนแรง การดิ้นรนต่อรองของคนที่แตกต่างทางกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกมองว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดน แม้คำเรียกร้องนั้นจะเป็นการต่อรองเพื่อร้องขอความเสมอภาคตามสิทธิที่ควรจะได้รับตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยก็ตาม กรณีการจับตัวหะยี สุหรง บิน อับดุลกาเดร์ ผู้เป็นปราชญ์ทางศาสนาและผู้นำตามธรรมชาติของชาวมลายูจากปัตตานีซึ่งถูกฆาตกรรมโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐและการล้อมปราบที่ดุซงญอในปีต่อมากลายเป็นการผลักดันอย่างเป็น “สัญลักษณ์” ให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการเพื่อการปลดปล่อยรัฐปาตานีต่าง ๆ และและถือเอา “การแบ่งแยกดินแดน” เป็นคำตอบสำเร็จรูปสำหรับรัฐไทยมาจนถึงปัจจุบัน [11] ตะกอนแห่งลัทธิชาตินิยมดังกล่าว ทำให้ความสามารถโดยธรรมชาติของคนสยามที่เคยอยู่ร่วมกับผู้คนอันหลากหลายที่ค้นหาหลักฐานได้ไม่ยากจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ถูกทำลายอย่างรุนแรงทีเดียว เพราะผลจากนโยบายชาตินิยมแบบไทยนั้นสะท้อนให้เห็นวิธีคิดและการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงปัจจุบันได้อย่างชัดแจ้งหลายประเทศเผชิญปัญหาการเชิดชูเพื่อการครอบงำของวัฒนธรรมหลักแบบเดียวกันแต่มี นโยบายในการแก้ปัญหาแตกต่างกัน พม่าเปลี่ยนมาเป็นเมียนมาร์ อย่างน้อยก็แสดงนัยทางการเมืองว่าชาตินั้นไม่ใช่พื้นที่สำหรับคนเพียงกลุ่มเดียวแต่เป็นมาตุภูมิสำหรับคนหลากหลายชาติพันธุ์ เวียดนามรวมและสร้างชาติโดยการให้ความสำคัญกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ๕๔ กลุ่มในฐานะวีรบุรุษอย่างเสมอภาค คนกิง [Kinh] หรือคนเวียดที่มีอยู่กว่า ๙๐ % ไม่ใช่เจ้าของประเทศแต่เพียงกลุ่มเดียว ในโลกของมาเลย์ [Malay World] ตัวอย่างที่อินโดนีเซียหรือมาเลเซียซึ่งมีลักษณะพิเศษคือเป็นสังคมแบบพหุลักษณ์ [Plural Society] ประกอบด้วยกลุ่มคนที่มีความแตกต่างหลากหลายมากกว่าสังคมไทยหลายเท่า ถึงแม้ไม่สามารถกล่าวได้ว่านโยบายที่เกิดขึ้นสามารถจัดการให้เกิดความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงก็ตาม แต่ทุกประเทศที่กล่าวมามักมีประสบการณ์สูงในการสร้างความสมานฉันท์และต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกันมากบ้างน้อยบ้างตามเหตุปัจจัยของแต่ประเทศ เป็นตัวอย่างของการจัดการและนโยบายการอยู่ร่วมกันของความสัมพันธ์อันหลากหลายของผู้คนที่เป็นลักษณะเฉพาะโดยธรรมชาติของภูมิภาคนี้ สำหรับประเทศไทยที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นมาก่อน ประสบการณ์การสร้างรัฐชาติแตกต่างไปจากประเทศที่เคยเป็นอาณานิคม ความยืดหยุ่นและการอยู่ร่วมกันของกลุ่มคนหลากหลายชาติพันธุ์และวัฒนธรรมนั้น ผู้คนในบ้านเมืองของเราทำได้ไม่ดีนัก การรับรู้ต่อปัญหายังอยู่ในแว่นสายตาแบบเดิม ๆ ท่ามกลางความเคลื่อนไหวทางสังคมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยมีตรรกะของโครงร่างในการเขียนงานประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เน้นหนักในเรื่องความเป็น “คนไทย” และอาณาเขตของชาติที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้เป็นพื้นฐาน ซึ่งจะพิจารณาถึงประสบการณ์เหล่านี้ต่อไป อัตลักษณ์ที่ถูกแช่แข็ง ในท่ามกลางความเคลื่อนไหวทางสังคมและวัฒนธรรมทั้งในกระแสโลก [Globalization] การก้าวไปสู่ความทันสมัยของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้าน กระแสการฟื้นฟูศาสนา [Religious Revivalism] โดยเฉพาะศาสนาอิสลาม เศรษฐกิจทุนนิยมแบบไทยที่เสาะแสวงหาทรัพยากรท้องถิ่นเพื่อนำมาใช้อย่างเต็มที่ และสภาพการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยที่เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ภาพของ “คนตานี” ก็ยังถูกกักขังหรือมองอย่างเป็นภาพนิ่ง ชาวมลายูที่ถูกทิ้งไว้ในโลกของยาวี การเน้นความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แทนการอยู่ร่วมกันบนพื้นที่อย่างหลวมๆ ของรัฐสมัยใหม่ มีตัวอย่างที่ควรพิจารณาเพราะเกี่ยวข้องกับความเป็นมลายูของผู้คนส่วนใหญ่ในสี่จังหวัดภาคใต้อย่างแยกกันไม่ออกและส่งอิทธิพลทางวัฒนธรรมต่อพื้นที่นี้เป็นอย่างมากคือ “ความเป็นมาเลย์” [Malayness] ความเป็นมาเลย์เกิดขึ้นในคาบสมุทรมลายูเมื่อราวศตวรรษที่ ๑๙ เริ่มจากอิทธิพลของอังกฤษในยุคอาณานิคมที่กล่าวถึงผู้คนในกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรนีชียน [Austronesian] อย่างรวม ๆ ว่าเป็น “พวกมาเลย์” แม้ว่าจะเป็นคนในกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น บูกิส อาเจ๊ะห์ อิบัน ราวาส์ ฯลฯ[12] ดังนั้น ความเป็นมาเลย์จึงเป็นคำสะสม [Collective Term] เมื่อจะอธิบายถึงคนที่พูดภาษามาเลย์และยึดถือจารีตธรรมเนียมหรือ adat แบบมาเลย์ที่เป็นเนื้อเดียวกับความเป็นมุสลิม ส่วนในหมู่เกาะของอินโดนีเซียความเป็นมาเลย์ก็มีลักษณะกลาง ๆ เช่นเดียวกันเพราะภาษามาเลย์ใช้เป็นภาษาสื่อสารกลางมานับศตวรรษก่อนหน้านั้นแล้ว[13] ความเป็นมาเลย์ถูกทำให้ชัดเจนขึ้นในมาเลเซีย “มลายู” คือคำในภาษามาเลย์มาตรฐาน [Standard Malay][14] ที่อ้างอิงถึงความเป็นสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ในประเทศมาเลเซียที่พูดภาษามาเลย์ นับถือศาสนาอิสลาม ยึดถือและปฏิบัติตามจารีตประเพณีแบบมาเลย์ เริ่มต้นโดยการเขียนบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐมาเลเซีย และส่งอิทธิพลต่อมุสลิมที่พูดภาษามาเลย์ในประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน หรือไทย ก็ใช้คำอธิบายแบบมาเลเซียนี้อธิบายความเป็นมลายูของตนเองเช่นเดียวกัน[15] มาเลเซียคือตัวอย่างที่น่าสนใจของการสร้างชาติหรือสหพันธรัฐและความเป็นมาเลย์ [Malayness]ให้กลายเป็นวัฒนธรรมหลักและส่งอิทธิพลแก่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันไม่น้อย นโยบายของพรรคอัมโนที่เน้นประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่คนมาเลย์ ทำให้มีการแยกความชัดเจนระหว่างกลุ่มที่เรียกว่า ภูมิบุตรา [Bumiputra] กับพวกไม่ใช่ภูมิบุตรา [Non-Bumiputra] คำว่า “ภูมิบุตรา” หมายถึงบุตรแห่งแผ่นดิน เป็นการตอกย้ำถึงความเป็นคนพื้นถิ่น [Indigenous]ก่อนจะมีพวกเจ้าอาณานิคม อินเดีย และจีน ที่อพยพเข้ามาภายหลัง[16] (แต่ก็แปลกที่ชนกลุ่มน้อย เช่น เซมัง เซนอยด์ที่เรียกว่า Orang Asli อาจได้รับสิทธิไม่เท่ากับชาวมลายู ทั้งที่เป็นกลุ่มพื้นเดิมที่อยู่มาก่อนชาวมลายูก็กล่าวได้) ภูมิบุตราส่งผลให้เกิดความมั่นคงแข็งแกร่งทางการเมืองและรัฐบาลทั้งในกระบวนการพัฒนา การสร้างชาติ และการก้าวเข้าสู่ความทันสมัย เกิดความพยายามที่จะทำให้มาเลเซียเป็นศูนย์กลางทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรมมลายู และศาสนาอิสลาม จนถึงขั้นเปิดให้ผู้คนในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภาษา วัฒนธรรม และศาสนาเดียวกันเข้ามาในประเทศมาเลเซียได้ เช่น ชาวจามอพยพจากเวียดนามก็สามารถได้สิทธิเป็นภูมิบุตราได้ นโยบายภูมิบุตราเป็นผลสำเร็จของรัฐบาลมหาธีร์ ในการยกเอาคนเชื้อสายมลายูให้มีบทบาททางเศรษฐกิจทัดเทียมชาวจีน แต่ผลของนโยบายนี้คงต้องอภิปรายถึงผลเสียที่พบได้หลายประเด็น แต่อาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเสนอเรื่องอัตลักษณ์ของชาวมลายูตานีเท่าใดนัก นอกจากจะเปรียบเทียบว่า “ความเป็นมาเลย์” นั้น ด้านหนึ่งเท่ากับ “ความเป็นมุสลิมที่ทันสมัย” นั่นเอง ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ซึ่งมีประชากรชาวมลายูเป็นส่วนใหญ่และพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับประวัติศาสตร์ของชาวตานีจัดการให้ “ความเป็นมาเลย์” ถูกบัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญ อินโดนีเซีย บรูไน และมาเลเซีย ใช้ภาษามาเลย์มาตรฐาน อินโดนีเซียรับการใช้อักษรโรมันมาเป็นตัวเขียน [Bahasa Indonesia] เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๑ มาเลเซียใช้ภาษามาเลเซีย [Bahasa Malaysia] เป็นภาษาราชการเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ โดยเปลี่ยนการใช้อักษรยาวีมาเป็นอักษรรูมี[17] การปรับเปลี่ยนในมาเลเซียก็เพื่อมุ่งพัฒนาด้านภาษาและหนังสือ สร้างคำศัพท์มลายูด้านต่าง ๆ เพื่อการศึกษาในระดับสูง เป็นส่วนสำคัญทำให้ชาวมลายูมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น ภาษากลายเป็นพื้นฐานในการพัฒนาชีวิตของคนมลายูในมาเลเซีย[18] สิ่งเหล่านี้คนตานีในสามจังหวัดไม่ได้มีส่วนร่วมแต่อย่างใด ในขณะที่การสื่อสารระหว่างคนมลายูในโลกของมาเลย์สามารถสื่อสารกันได้ด้วยภาษามาเลย์มาตรฐานและอักษรรูมี เอกสารตำราและหนังสือจำนวนมากพิมพ์เผยแพร่ความรู้สู่ชาวมลายูในประเทศเหล่านั้น แต่คนตานียังคงใช้อักษรยาวี ซึ่งเคยใช้กันอยู่ในโลกมาเลย์ยุคก่อนยังพูดภาษายาวีแบบปาตานี มีนักวิชาการสมัครเล่นที่เป็นคนตานี ได้รับการศึกษาในระบบการศึกษาขั้นสูงแบบไทย ใช้ภาษายาวีท้องถิ่นเมื่ออยู่บ้าน แต่รู้สึกอึดอัดใจเมื่อต้องไปประชุมในเรื่องประวัติศาสตร์ของชาวมลายูในมาเลเซียทั้งที่ทราบข้อมูลเป็นอย่างดี แต่ไม่สามารถสื่อสารได้ดั่งใจ สิ่งนี้ทำให้เห็นว่า “คนตานี” ขาดโอกาสในการสื่อสารและการศึกษาที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วในโลกของมาเลย์ โดยเฉพาะการรับรู้ข้อมูลเพื่อปรับตัวเองให้ทันโลกและวิทยาการสมัยใหม่แบบมาเลเซีย การศึกษาในทางศาสนาคงไม่เพียงพอ ความภาคภูมิใจใน กีตาบยาวี [Kitab Jawi] ซึ่งเป็นหนังสือที่แต่งขึ้นโดยอุลามะห์ชาวปาตานีและกลายเป็นหนังสือพื้นฐานความรู้ของศาสนาอิสลามที่สำคัญในอดีตที่โด่งดังและแพร่หลายในหมู่ชาวมลายูที่ไม่รู้ภาษาอาหรับ[19] คงไม่เพียงพอสำหรับการนำพาคนตานีไปสู่โลกแห่งการศึกษาที่เท่าทันโลกการศึกษาของชาวมลายู คนอาหรับที่เมกกะจะเรียกคนมุสลิมที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า “คนยาวี” และในอดีต คนมาเลย์มุสลิมเรียกตัวเองว่า “คนยาวี” แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องพ้นสมัยไป ก่อนปัจจุบันราวสักยี่สิบปี “คนยาวี”[20] เป็นที่รู้กันว่าคือคนจากปัตตานี ประเทศไทยและได้กลายมาเป็นคำที่ใช้เรียกคนในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นเรียกตนเองว่า “คนนายู” ในทุกวันนี้ การเปลี่ยนการเรียกตนเองจาก “คนยาวี” ซึ่งหมายถึงคนที่พูดภาษายาวี ใช้ตัวอักษรยาวีและเป็นคนจากปัตตานี มาเป็น “คนนายู” หรือคนมลายูในภาษามาเลย์มาตรฐาน มีผู้สังเกตและให้ความเห็นว่าน่าจะเริ่มเมื่อสยามแยกรัฐในปาตานีเดิมบางส่วนให้กับอังกฤษ ในพ.ศ.๒๔๕๒ เป็นต้นมา จนถึงเมื่อราวยี่สิบปีที่ผ่านมาอาจจะพร้อม ๆ กับกระแสการฟื้นฟูศาสนาอิสลามที่ผ่านมาจากมาเลเซีย เริ่มจากคนที่มีฐานะเป็นคนชั้นกลางและมีการศึกษาอาศัยอยู่ในเมืองและพอใจจะเรียกตนเองว่า “คนนายู”มากกวา “คนยาวี” เพราะคำว่าอาแฆยาวีค่อนข้างจะรู้สึกว่าเป็นพวกบ้านนอกหรือคนชนบทคล้ายๆ กับคำว่าชาวเขา[21] ทุกวันนี้ คนนอกจะรู้จัก “คนตานี” ในนาม “คนนายู” มากกว่า “คนยาวี” ที่แทบไม่เคยมีใครอ้างถึงแล้ว เพราะต่างเรียกตนเองว่า “คนนายูหรือออแฆนายู” เพื่อให้ต่างไปจาก “ออแฆซีแยหรือคนสยาม” ในขณะเดียวกัน “คนตานี” ที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นพลเมืองที่กรุงเทพฯ และอาศัยอยู่ในปริมณฑลตามจังหวัดรอบนอก เช่น นนทบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา แม้บางส่วนจะกลับไปสู่ปัตตานีในรุ่นต่อมา แต่ชุมชนเหล่านี้ยังคงอยู่เป็นจำนวนมาก ยังคงนับถือศาสนาอิสลามและบางส่วนยังคงพูดภาษายาวีอยู่ (เช่นที่ชุมชนท่าอิฐ) แต่กลุ่มคนเหล่านี้มีสถานภาพแตกต่างไปจากชาวมลายูมุสลิมที่เป็นคนตานี เพราะสภาพสังคมในเมืองสามารถซ่อนเร้นอัตลักษณ์ของตนเองให้พ้นไปจากสายตาของคนกลุ่มใหญ่ได้ นอกจากในสายตาของผู้คนละแวกใกล้เคียงแล้วพวกเขาแทบไม่มีตัวตนในสังคมของกรุงเทพมหานคร การดำรงอยู่ทางศาสนาก็กลายเป็นบุคคลชั้นสอง คือพวกที่ไม่นับถือพุทธ ซึ่งอาจจะถูกกำหนดจากทางรัฐให้แตกต่าง แต่คนเชื้อสายตานีในปัจจุบันถูกมองจากคนในพื้นที่ว่า พวกเขาได้หลงลืมอดีตไปหมดแล้ว มาตุภูมิในปัจจุบันก็คือ หนองจอก ลาดกระบัง นนทบุรี ปทุมธานี ไม่ใช่ “ปาตานีดารุสลัม” หรืออีกนัยหนึ่ง มุสลิมที่กรุงเทพฯ หรือภาคกลาง ไม่ใช่คนตานีอีกต่อไป แต่เป็นคนกรุงเทพฯ ที่เป็นมุสลิม ดังนั้น คนมลายูในมาเลเซีย คนตานีที่กรุงเทพฯ และคนตานีที่ปัตตานี จึงถูกตัดขาดออกจากกันโดยพื้นที่ทางสังคม [Social Space][22] นับแต่กระบวนการสร้างรัฐชาติเกิดขึ้นขอบเขตพื้นที่แน่นอนจึงกลายเป็นพื้นที่ทางสังคมซึ่งเกี่ยวข้องกันอย่างน้อยที่สุด และแน่นอนที่สุด ได้ตัดขาดชีวิตของคนตานีไว้ในโลกของยาวี ซึ่งหมายถึง โลกของมาเลย์ที่พ้นสมัยและแช่นิ่งโดยขาดการพัฒนาและด้อยโอกาส ไม่ทัดเทียมคนมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามกลุ่มอื่น ๆ ความต้องการแบ่งแยกดินแดน คนตานีสามจังหวัด ถูกทิ้งไว้กับปัญหาลักษณะเดียวมาตั้งแต่เริ่มต้นความขัดแย้งดังกรณี เต็งกู อับดุลกอเดร์ กอมารุดดีน กษัตริย์ปาตานีองค์สุดท้ายที่ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่กลันตันเพราะเรียกร้องเอกราชคืนในปี พ.ศ.๒๔๖๖ มีการสู้รบที่อำเภอมายอ โดยถูกจับข้อหาเป็นกบฎ กรณีหะยีสุหรงและดุซงญอ ใน พ.ศ.๒๔๙๐ และ ๙๑ โดยมี “ผี” ของการเรียกร้องเอกราชเพื่อปลดแอกจากรัฐไทยและสร้าง “อาณาจักรหรือชาติ” ของตนขึ้นมาใหม่ เป้าหมายเพื่อรวมกับกลุ่ม (ชาติพันธุ์) เดิมของตนเอง เป็นแม่แบบของปัญหา และถูกมองอย่างเป็นภาพนิ่งมาจนถึงปัจจุบัน เพราะชาวมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้อยู่ภายใต้การจองจำของ การสร้างประวัติศาสตร์รัฐปัตตานี ที่มักจะนำมาใช้อ้างอิงจนกลายเป็นข้อสรุปสำเร็จรูปสำหรับเหตุผลในการเรียกร้องรัฐอิสระ ทั้งจากกลุ่มที่ถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนต่าง ๆ หรือกลุ่มต่อต้าน และนักวิชาการของรัฐที่มองภาพความไม่สงบในพื้นที่นี้ แล้วมักสะท้อนสาเหตุสำคัญว่ามาจากรากเหง้าปัญหาทางประวัติศาสตร์เป็นการอารัมภบทกันอยู่เสมอ ดังข้อสรุปเรื่อง “ลัทธิการแบ่งแยกดินแดน” ของอาจารย์ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ โดยย่อว่า ในวาทกรรมการเมืองสมัยใหม่ของรัฐไทยเกิดมายาคติในเรื่อง “กบฏหะยีสุหลง” และ “กบฏดุซงญอ” ในเวลาเดียวกันพัฒนาการและความเป็นมาของรัฐไทยสยามที่เปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย และการสร้างรัฐไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามมหาอาเซียบูรพาก็มีส่วนในการผลักดันและสร้างแนวความคิดทางการเมืองของ “การแบ่งแยกดินแดน” ให้เกิดขึ้นในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มพลังการเมืองใหม่ในภูมิภาคต่าง ๆจากใต้จรดเหนือและอีสาน กระบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและการสร้างรัฐไทยสมัยชาตินิยมนี้ นำไปสู่การใช้กำลังและความรุนแรงปราบปรามและสยบการเรียกร้องและสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการเมืองของภูมิภาคทั้งหลายลงไป โดยที่กรณีของมลายูมุสลิมในภาคใต้มีลักษณะเฉพาะต่างจากภาคอื่นและมีผลสะเทือนที่ยังส่งผลต่อมาอีกนาน ทรรศนะและการจัดการของรัฐไทยต่อข้อเรียกร้องของขบวนการมุสลิมว่าเป็นภยันตรายและข่มขู่เสถียรภาพของรัฐบาล จนเมื่อเกิดรัฐประหาร ๒๔๙๐ และสถานการณ์ในยุคสงครามเย็น สนับสนุนวาทกรรมรัฐว่าด้วย “การแบ่งแยกดินแดน” กลายเป็นความชอบธรรมที่จะจัดการผู้ต่อต้านอย่างรุนแรง[23] จนปัจจุบันนี้ การมอง “คนตานี” ยังเป็นการใส่แว่นเดิมนับจากสมัยรัชกาลที่ ๑ จนถึงรัชกาลที่ ๕ ที่รู้สึกรำคาญและต้องการ “จัดการ” กับพื้นที่แห่งความแตกต่างอย่างเบ็ดเสร็จ แม้รัฐไทยมีโอกาสเผชิญปัญหาอื่น ๆ เช่น ในยุคสงครามเวียดนามหรือต่อมาในยุคสงครามเย็น การต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งมีความซับซ้อนของปัญหามากเช่นกัน รัฐไทยมีประสบการณ์จากการเข้าจัดการปัญหาทั้งในเขตอีสานและเหนือที่มีความซับซ้อนของปัญหา แต่การมองปัญหาในสามจังหวัดภาคใต้ก็ยังมีโจทย์อยู่ในประเด็นเดิม คือ “การแบ่งแยกดินแดน” (หมายถึงคนมลายูมุสลิมต้องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อไปรวมกับมาเลเซีย?) เห็นได้จากการแสดงความคิดของผู้รับผิดชอบในบ้านเมืองและการแสดงความเห็นของประชาชนในเวบบอร์ดต่าง ๆ รวมทั้งบทความ-หนังสือจากทหารเก่าผู้เคยรับผิดชอบในการแก้ปัญหาพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้มาหลายยุค ในความเป็นจริงจะมีที่ทาง (พื้นที่) เหลือให้คนตานีปัจจุบันในสังคมของรัฐชาติไทยและสังคมของโลกมลายูสักเท่าใด ในกระบวนการสร้างรัฐชาติให้ความสำคัญกับอาณาเขตหรือพื้นที่ การสูญเสียดินแดนสำหรับคนไทยเท่ากับเสียอธิปไตยและเป็นเรื่องใหญ่ การผนวกดินแดนไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเงื่อนไขทำได้ยากอย่างยิ่งในสังคมโลกปัจจุบัน เงื่อนไขของสาเหตุแห่งความรุนแรงของปัญหาในภาคใต้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เป้าหมายเรื่องการแบ่งแยกดินแดนอาจจะเป็นรองต่อความคับแค้นที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม ปัญหาในเรื่องความรุนแรงของแนวคิดทางศาสนาอาจจะเป็นปัจจัยโดยอ้อมที่กระตุ้นให้การแบ่งแยกเพื่ออุดมการณ์ทางศาสนาด้วยวิธีการรุนแรง ซึ่งไม่ใช่สาเหตุหลักเท่ากับการเปลี่ยนของระบบคุณค่าและโครงสร้างสังคมภายในที่ถูกทำลายไป ทุกวันนี้การสงครามเปลี่ยนไป เป็นสงครามชนิดพิเศษ [Guerrilla Warfare] ที่กลายเป็นสงครามกลางเมืองแทรกซึมไปทั่วทั้งสังคมในพื้นที่รุนแรงสามจังหวัด ในขณะที่รัฐบาลยังใช้การจัดรบจากกองทัพและประสบการณ์ปราบปรามคอมมิวนิสต์ในอดีตให้เห็นอย่างชัดเจน ความโกลาหลครั้งนี้ คือสงครามภายใน สังคมตกอยู่ใต้ความหวาดกลัวเพราะการสู้รบนั้นเป็นการก่อการร้ายที่ไม่มีรูปแบบและยุทธวิธี ไม่เห็นศัตรูที่ชัดเจนเพราะแฝงเร้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง และชาวบ้านทุกคนอาจถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงนี้ได้ตลอดเวลา คนบริสุทธิ์หลากหลายที่มาคือเหยื่อของสถานการณ์ และเมื่อเริ่มก่อรูปเป็นขบวนการเช่นนี้แล้วก็ยากจะยุติ มีเพียงการเรียนรู้ ประนีประนอม ปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดความคับแค้น และทำความเข้าใจต่อสังคมอันหลากหลายภายใต้เอกภาพของชาวมุสลิมในท้องถิ่นท่านั้น จึงจะเป็นวิธีแก้ไขและป้องกันไม่ให้สถานการณ์ก้าวเข้าสู่สงครามแบบที่เห็นในปัจจุบันซึ่งยังไม่เคยมีรัฐแห่งใดในโลกนี้สามารถยุติปัญหาดังกล่าวโดยวิธีปราบปรามด้วยความรุนแรงได้สำเร็จ ความเป็นมุสลิมคือปัญหา? นับวันในโลกของข้อมูลข่าวสารนับแต่เหตุการณ์วินาศกรรมที่ ตึกเวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ ในสหรัฐอเมริกา มุสลิมทั่วโลกก็ถูกมองว่าเป็นผู้นิยมความรุนแรง เป็นการติดภาพลักษณ์ทางศาสนา จนทำให้ผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นประชากรชั้นสอง ไม่เว้นแม้ในประเทศไทย ไม่ว่าจะมีผู้ให้ความเห็นว่าความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแซงโดยชาติตะวันตกอย่างไรก็ตาม แต่เหตุการณ์นี้ส่งผลสะเทือนต่อประชากรทุกคนในโลกของเรา ในโลกทุกวันนี้ “กระแสการฟื้นฟูศาสนา” [Religious Revivalism] คือขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาที่มีความสำคัญซึ่งควรนำมาพิจารณา เพื่อทำความเข้าใจชีวิตทางสังคมและศาสนาซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในสังคมชาวมุสลิมทุกวันนี้ การฟื้นศาสนาคือ ความพยายามไปสู่โครงสร้างเดิมในอดีตในรูปแบบที่สัมพันธ์กับยุคสมัยปัจจุบัน บางมุมมองว่า เกี่ยวข้องกับการตีความพระคัมภีร์ใหม่ การย่อหย่อนทางศาสนา การเป็นโลกวิสัย [Secularism] ความเป็นเหตุผลและอิสรภาพ สิ่งเหล่านี้ก็คือการปรับความคิดทางศาสนาและการปฏิบัติไปสู่วัฒนธรรมแบบทันสมัยโดยการใช้รูปแบบของความทันสมัยในการปรับตัว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การไปสู่หลักพื้นฐานเพื่อพลักดันแนวโน้มแบบทันสมัยให้ถูกต้องกับหลักธรรมเนียมประเพณี การฟื้นศาสนาเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อพยายามอยู่เหนือแรงกดดันของความทันสมัย หรือเป็นการต่อต้านจักรวรรดินิยม ต่อต้านผู้มีอิทธิพลเหนือกว่า[24] การฟื้นฟูศาสนาเกิดขึ้นได้กับศาสนาต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น การฟื้นศาสนาฮินดูในชุมชนอินเดียทั่วทั้งเอเชีย ความเคลื่อนไหวของการฟื้นศาสนาพุทธที่ทำให้เกิดสภาพุทธศาสนาโลก ส่วนกระแสหรือความเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความเป็นอิสลาม [Islamization] เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อทศวรรษที่ ๑๙๗๐ เป็นความเคลื่อนไหวทางศาสนา ดาวะห์ [Dakwah] เป็นคำศัพท์ที่รับมาจากภาษาอารบิค คือ da’wah หมายถึงการเชิญชวนให้มีศรัทธาต่ออิสลามและแสดงปฏิกิริยาต่อต้านแนวคิดและการปฏิบัติที่ขัดต่อหลักศาสนา ดาวะห์ เป็นขบวนปฏิรูปของสุหนี่ เริ่มที่อินเดียแล้วแพร่ไปทั่วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความเคลื่อนไหวในอินโดนีเซียตั้งแต่ระหว่าง ค.ศ.๑๙๐๐-๑๙๔๒ สำหรับกลุ่มเพื่อฟื้นอิสลามเกิดขึ้นในช่วงหลังการเรียกร้องเอกราชในมาเลเซีย และแพร่เข้ามาสู่สังคมในสามจังหวัดภาคใต้ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา มีการสร้างอัตลักษณ์ของชาวมุสลิมอย่างแข็งขัน วาฮาบีเป็นขบวนการของผู้ปฏิบัติเคร่งครัดทางศาสนาตามแนวทางท่านวาฮาบีแพร่หลายในอาหรับ ปัญญาชนทางศาสนาที่จบจากอาหรับจึงรับอิทธิพลเหล่านี้แล้วแพร่ไปทั่วโลก กลับไปปฏิรูปการศาสนาในบ้านเมืองตนเองให้ถูกต้องตามแนววาฮาบี ในสามจังหวัดก็เช่นกันมีผู้ไปเรียนศาสนาจำนวนมาก เมื่อได้พูดคุยกับชาวบ้านอยู่ใกล้ๆ ปอเนาะภูมี ในอำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ในหมู่โต๊ะปาเกหรือนักเรียนปอเนาะที่ฐานะไม่ดีนัก และพบว่าการออกไปดาวะห์ยังอินเดียเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของเด็กหนุ่ม เพื่อที่จะได้เรียนรู้โลกภายนอกโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมากเพราะศูนย์ดาวะห์ยังต่างประเทศจะช่วยเหลือออกค่าใช้จ่ายอยู่กินให้ แต่ต้องหาค่าเดินทางสำหรับตนเองและใช้เวลานานนับเป็นปี Isamization มีผลต่อการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนให้เริ่มหันมาประพฤติปฏิบัติตามวัฒนธรรมที่เชื่อว่าจะถูกหลักศาสนามากกว่า เคร่งครัดต่อการเป็นอิสลามิกที่แท้มากขึ้น การไม่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ถูกมองว่าขัดต่อหลักศาสนา การตีความใหม่ ๆ ทำให้เกิดเอกลักษณ์ในหมู่ชาวมลายูมุสลิมแบบใหม่ที่เน้นศรัทธาและความเคร่งครัดมากขึ้นกว่าในอดีตมากมาย สร้างความรู้สึกแปลกแยกและหวาดระแวงในหมู่คนไทยที่นับถือพุทธศาสนาและไม่มีท่าทีเคร่งครัดหรืออยู่ในกระแสการฟื้นฟูศาสนาแต่อย่างใด เมื่อผสมกับกระแสโลก ทำให้คนไทยและรัฐไทยในปัจจุบันลงความเห็นในใจทันทีว่า ปัญหาของสามจังหวัดภาคใต้คือการเป็นมุสลิมของคนในพื้นที่ นี่อาจเป็นสาเหตุของช่องว่างที่ถ่างออกจากการกันระหว่างชาวมุสลิมต่อชาวมุสลิมในท้องถิ่น หรือชาวพุทธและมุสลิม ที่นับวันจะกลายเป็นความไม่เข้าใจและขยายไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มได้อีกมาก ชีวิตที่สับสน อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ควรจะเลื่อนไหลไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่นักวิชาการจำนวนไม่น้อยในขณะนี้ใช้คำว่า “มลายูมุสลิม” เพื่อหลีกเลี่ยงและแสดงความนับถือในการเป็นอีกกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่าง ในขณะที่รัฐพึงพอใจจะเรียกว่า “ชาวไทยมุสลิม” ที่เป็นการแสดงการไม่ยอมรับความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์โดยวัฒนธรรม เพียงนี้ก็พอจะมองเห็นนโยบายที่รัฐมีต่อปัญหาในสามจังหวัดภาคใต้ได้พอสมควร หนทางของชาวมลายูมุสลิมในประเทศไทยถูกบีบรัดเข้ามาในทุกด้าน คำถามที่ตอบไม่ได้ในขณะนี้คือ “คนตานี” จะไปเดินไปสู่หนใด การละทิ้งความเป็นมลายูสู่ความเป็นอิสลาม รัฐไทยไม่รับรู้หรือให้ความสนใจที่คนสามจังหวัดไปเรียนต่อกันตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในโลกอาหรับซึ่งเป็นการสูญเสียโอกาสไปโดยเปล่า หลายคนกลับมาเคว้งคว้าง “สังคมมุสลิมเป็นสังคมที่รักการศึกษา” มีระบบการศึกษาของตนเองที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก การที่รัฐไทยระแวงและแทรกแซงการจัดการศึกษามาโดยตลอด ไม่ส่งเสริมระบบการศึกษาตามแนวทางที่ชาวมุสลิมในท้องถิ่นต้องการ คือการทำลายความคาดหวังในอนาคตของชาวมุสลิมอย่างสิ้นเชิง จากกระแสการฟื้นฟูศาสนาของกลุ่มวาฮาบี ซึ่งมีนักศึกษาจากประเทศไทยไปเรียนเป็นจำนวนมากมักบริจาคเงินเพื่อการกุศล โดยผู้บริจาคนี้คือคนในตะวันออกกลางและการอุปถัมภ์ของกลุ่มออธอดอกซ์แก่โรงเรียนศาสนาไม่น้อย การเผยแพร่ศาสนาอิสลามที่เป็นแบบออธอดอกซ์ เช่น วาฮาบี และ Fundamentalist สร้างอุสตาสรุ่นใหม่ที่ผลิตนักเรียนซึ่งมีแนวคิดทางการเมือง[25] ผลก็คือการขยายตัวของความแตกแยกห่างเหินของเยาวชนที่ละทิ้งความเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นแบบมลายูหรือแบบดั้งเดิม กลายเป็นกลุ่มคนเคร่งศาสนาที่ขาดความเข้าใจในมิติทางสังคม ความขัดแย้งของกลุ่มเดิมที่ปฏิบัติแบบจารีตและกลุ่มวาฮาบีที่น่าสนใจ ปรากฏในเอกสาร ที่เป็นปฏิกิริยาของนักศึกษามุสลิมในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ต่อการขยายตัวของแนวคิดวาฮาบีในวิทยาลัยอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีแห่งนี้ กล่าวว่าสร้างความอึดอัดใจแก่นักศึกษาที่ไม่ใช่วาฮาบี สร้างความหนักใจแก่ผู้ปกครองที่จะส่งลูกหลานมาศึกษาต่อในสถาบันแห่งนี้เพราะกลัวการครอบงำบุตรหลานของตน เพราะแนวคิดของวาฮาบีต่างไปจากการประพฤติและปฏิบัติของมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้อย่างมากและดูถูกระบบการศึกษาแบบปอเนาะดั้งเดิม[26] การสนับสนุนของมุสลิมจากตะวันออกกลาง บริจาคเงินนำมาใช้สร้างมัสยิดแทนที่สุเหร่าไม้เก่า ๆ ซึ่งดูเหมือนกับอาคารแบบคนมาเลย์พื้นถิ่นทั่วไปมากกว่าที่จะเป็นสถานที่สำหรับอิสลามมิกชน สนับสนุนเงินช่วยเหลือกับครูสอนศาสนาบางกลุ่ม ด้วยสร้างความขัดแย้งในหมู่บ้านที่เป็นกลุ่มแบบดั้งเดิม เพราะการสร้างมัสยิดขึ้นมาสักหลังหนึ่งโดยน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านใช้เวลานาน เน้นความสามัคคีรวมพลัง แต่การบริจาคเงินจำนวนมากสู่สังคมหมู่บ้านเพื่อมีมัสยิดเพิ่มอีกหลังหนึ่งและอาจจะถูกมองจากคนกลุ่มใหญ่ว่าไม่จำเป็นเพื่อปฏิบัติศาสนากิจที่แตกต่างกัน กลายเป็นรอยร้าวในสังคมหมู่บ้านเล็ก ๆ ได้ ในขณะที่กลุ่มดาวะห์เน้นศรัทธาเข้าถึงและได้รับการยอมรับจากชาวบ้านอย่างไม่มีปัญหา จากคนที่เรียนศาสนาในชุมชน ในปอเนาะ เน้นการเชื่อโต๊ะครู การร่วมมือร่วมใจช่วยเหลือกันในสังคม หลังละหมาดจะประชุมกันไต่ถามทุกข์สุข หาทางช่วยเหลือกัน คนส่วนใหญ่จึงยอมรับได้เร็ว เพราะสร้างความสามัคคีในชุมชน ดึงเยาวชนออกจากอบายมุขได้ มักจะเห็นการแต่งกายแบบดาวะห์เข้ามาแทนการแต่งการแบบมลายูมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็เห็นความต่างกันระหว่างการแต่งกายของกลุ่มวาฮาบีที่แต่งกายคล้ายชาวอาหรับและการแต่งกายแบบดาวะห์ที่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีขาว สวมหมวกกาปิเยาะ และในกลุ่มวาฮาบีที่มีบทบาทอยู่ในสังคมระดับมหาวิทยาลัยหรือเรียกว่าเป็นปัญญาชนทางศาสนา ทั้งสองกลุ่มคือการเคลื่อนไหวทางศาสนาที่มีต่อสังคมในสามจังหวัดภาคใต้ที่มีแนวโน้มตัดขาดวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือวัฒนธรรมแบบจารีตตามประเพณีมุสลิมดั้งเดิมที่มีรายละเอียดมากมาย แต่มุ่งไปสู่หลักศาสนาเพียงด้านเดียว ข้อคิดเห็นดังกล่าวนี้อาจจะผิดก็ได้ เพราะผู้เขียนเป็นคนนอกที่ไม่ได้ทราบในทุกรายละเอียด เพราะยังพบผู้ที่นับถือการปฏิรูปทางศาสนาแบบสายใหม่ที่ยังใช้ชีวิตตามปกติในวัฒนธรรมแบบมลายูโดยไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด อัตลักษณ์นี้กลายเป็นเครื่องหมายของการต่อสู้บางอย่างด้วย ผู้นำในการเคลื่อนไหวทางสังคมต่อโครงการของรัฐในพื้นที่บางคนมักใส่ชุดดาวะห์อยู่เสมอ และใช้เป็นอัตลักษณ์เพื่อแสดงความเป็นเฉพาะตนเมื่อออกนอกพื้นที่หรืออยู่ในหมู่คนไทยพุทธแสดงออกถึงความเคร่งด้วยการปฏิบัติด้วยการแต่งกาย การสนทนา การละหมาด การรับประทานอาหารที่เคร่งครัดมากกว่าชาวมุสลิมโดยทั่วไป การประพฤติปฏิบัติเช่นนี้มักมีผู้เลื่อมใสติดตามมากมาย สถานภาพเช่นนี้ทำให้เกิดการเปรียบเทียบว่า คล้าย ๆ โต๊ะครูผู้มีชื่อเสียงจากปอเนาะ ซึ่งถือเป็นเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือได้รับการยอมรับในสังคมของคนตานีอย่างแท้จริง ทรัพยากรที่เหลือกับคนที่ยังอยู่ หากลงไปในอ่าวปัตตานี ก็จะรับรู้ได้ว่ามีความคุกรุ่นของความขัดแย้งสะสมและตกตะกอนมาอย่างยาวนาน ปัญหาที่หนักหนาสาหัสคือ การแย่งชิงทรัพยากรจากขบวนการทุนนิยมที่รัฐเอื้อเฟื้อและสนับสนุนให้เกิดขึ้นโดยชอบ เพราะสามารถทำลายล้างสังคมมุสลิมที่ยังอยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงให้ย่อยยับไปถึงระดับครอบครัวที่เป็นรากฐานแห่งชีวิต การรุกไล่ยึดชิงทรัพยากรไปจากบ้านเกิดกลายเป็นแรงกดทับมหาศาลแก่ เรืออวนลากอวนรุนที่ลากกันทั้งคืนและคงเหลือไว้เพียงผืนน้ำที่ว่างเปล่า เรือกอและเล็ก ๆ เทียบไม่ได้เลยกับเรือประมงจากในเมืองปัตตานี ทางฝั่งปัตตานีเห็นปล่องไฟจากโรงงานอุตสาหกรรมผุดขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ คือเขตอุตสาหกรรมที่รัฐส่งเสริมและกำลังรุกที่ถมทะเลเข้ามาเรื่อยๆ และแน่นอนโรงงานเหล่านี้ปล่อยมลพิษสู่อ่าวปัตตานีสะสมต่อเนื่องกันมาหลายปี ส่วนนาเกลือแห่งเดียวในแหลมมลายูคือบริเวณปากน้ำปัตตานีมาจนถึงบ้านบางปู นาเกลือโบราณส่วนใหญ่เป็นที่ราชพัสดุจึงให้เช่าใช้ทำนากุ้งและโรงงานอุตสาหกรรม และสงวนพื้นที่ไว้ทำนาเกลือเพียงเล็กน้อยพอที่จะได้ชื่อว่าเคยเป็นนาเกลือแห่งเดียวเท่านั้นในภาคใต้ อ่าวปัตตานีที่เคยได้ชื่อว่าอุดมสมบูรณ์ที่สุดในแหลมมลายู เปลี่ยนไปหวังประโยชน์เฉพาะหน้าโดยการทำลายทรัพยากรธรรมโดยตรง และกำลังทำลายชีวิตวัฒนธรรมของชาวบ้านรอบอ่าวปัตตานีอย่างรุนแรง ทุนนิยมในประเทศไทยมีผลต่อชุมชนของชาวประมงและชาวนาหรือสังคมแบบดั้งเดิมของชาวมลายู เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพการดำรงชีวิต ที่ดินเปลี่ยนมือ เริ่มมีกรรมสิทธิ์และสูญเสียกรรมสิทธิ์นั้นไปอย่างง่ายดาย การสูญเสียอาชีพการทำมาหากินที่ไม่สมบูรณ์และปรับตัวไม่ได้กับการรุกของทุนนิยมที่ขัดกับหลักศีลธรรมทางศาสนา ค่านิยมเริ่มเปลี่ยนแปลงไป การค้นหาพื้นที่ของตนเองแบ่งออกเป็นในหลายกลุ่มคน กลุ่มที่มีโอกาสมากกว่า เช่น สถานภาพสูง มีฐานะ มีรากฐานหรือเครือญาติในกรุงเทพฯ ก็จะไปแสวงหาโอกาสทางการศึกษาหรือเพื่อหางานทำคนกลุ่มนี้สามารถปรับตัวได้และมีความยืดหยุ่นกว่า อีกกลุ่มด้อยโอกาสกว่าแต่ต้องการเริ่มต้นมี “ทุน” เพื่อใช้ในการเริ่มกิจการของตัวเอง หลังจากเปลี่ยนจากอาชีพทางเกษตรกรรมแล้ว เช่น ไม่มีที่ดินเพียงพอ ไม่มีสวนผลไม้ หรือ สวนยาง การมองไปที่มาเลเซียคือคำตอบ เพราะเมืองหลวงของเราไม่สามารถตอบสนองความเป็นอยู่แบบชาวมุสลิมด้วยกันหรือค่าตอบแทนที่คุ้มค่าให้ได้ ในสามจังหวัดภาคใต้อย่าได้คิดว่าทรัพยากรธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์อยู่ เพราะการรุกคืบของทุนนิยมทำได้ช้า ปัจจุบันทราบกันแล้วว่า สภาพแวดล้อมที่คิดกันว่ายังไม่เปลี่ยนแปลงนั้นเปลี่ยนไปเสียจนชาวบ้านธรรมดาคงปรับตัวได้ยาก เกิดปัญหาสำหรับชีวิตแบบพออยู่พอกินแต่ดั้งเดิม โครงสร้างทางสังคมเปลี่ยนแปลง การปรับตัวได้ช้าและโอกาสในการทำงานสำหรับผู้มีการศึกษาและด้อยการศึกษามีน้อย ชีวิตในความสับสนนี้จะทำอย่างไรต่อไป การออกไปทำงานมาเลเซีย ความหวังสุดท้าย ในหมู่บ้านบางแห่งจากการพูดคุยจนประเมินคร่าว ๆ ได้ว่าคนในหมู่บ้านเคยไปทำงานที่มาเลเซียในช่วงหนึ่งของชีวิตเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่า ๖๐ % บางหมู่บ้านหนุ่มสาวที่จบการศึกษาโดยมากในชั้นประถมหรือมัธยมต้น อายุเพียงสิบห้าสิบหกก็ออกไปทำงานที่มาเลเซียกันจนเกือบหมดแล้ว ส่วนใหญ่ไปทำงานร้านต้มยำที่มาเลเซียที่มีอยู่ทุกรัฐ ไม่ทราบว่ามีจำนวนแน่นอนเท่าไหร่ ที่นิยมมากที่สุดคือทำงานร้านต้มยำ มีคนทำงานแบบถูกกฎหมายขึ้นทะเบียนไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคน ส่วนที่ไม่มีใบอนุญาต ไปทำงานประมง เกี่ยวข้าว ตัดปาล์ม กรีดยาง ก่อสร้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไม่ถึงน่าจะมากพอ ๆ กันหรือมากกว่า ดังนั้นแรงงานนับหลายแสนคนที่ออกไปทำงานในมาเลเซีย นิยาวัยต้นสามสิบมาจากบาโงยซิแย อำเภอยะหา จังหวัดยะลา เด๊าะอายุอ่อนกว่านิดหน่อยมาจากปัตตานี พบรักกันที่ร้านต้มยำ หลังแต่งงานทั้งคู่มีลูกคนหนึ่ง ตอนนี้อยู่กับย่าที่บาโงยซิแน ทั้งสองคนต้องทิ้งลูกไว้ให้เข้าโรงเรียนที่เมืองไทยเพราะเข้าโรงเรียนที่นี่ไม่ได้ ทั้งร้านมีลูกน้องอยู่ ๑๕ คน ส่วนใหญ่เป็นญาติเกี่ยวดองกันทั้งนั้น นิยาเป็นลูกจ้างอยู่นาน เก็บเงินเพื่อเปิดร้านซึ่งเป็นความหวังของคนหนุ่มสาวที่มาทำงานมาเลเซีย หลังจากนั้นก็ชักชวนพี่น้องให้มาทำงานและกลายเป็นเจ้าของร้านไปด้วยกัน คือ นิเฮง นิโมะ และน้องสาวของเด๊าะ ทั้งหมดรวมเป็น ๔ ร้าน ลักษณะร้านก็ไม่ใหญ่มากมาย ส่วนใหญ่อยู่บริเวณนอกเมืองในส่วนที่ขยายตัว มีพื้นที่มากพอจะตั้งโต๊ะอาหารได้หลายโต๊ะ ทำเลร้านของนิยาอยู่ตรงสี่แยกนอกเมืองมะละกา ในย่านที่เริ่มมีตึกสูงของที่พักตากอากาศเข้ามา เพราะไม่ไกลจากหาดชายฝั่งทะเลนัก ทำเลค่อนข้างดีเพราะเห็นได้ง่าย มีที่จอดรถกว้างขวาง นิยาลองเช่าดู ค่าเช่าเฉพาะที่ดินเดือนละหมื่นเจ็ดพันบาท นิยาใช้ค่าใช้จ่ายเพื่อจ้างงานไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๗ หมื่นบาท เริ่มจากหกพันบาทจนถึงพ่อครัวได้มากที่สุดหมื่นสี่พันบาท แต่นิยาก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานแบบถูกกฎหมายเฉลี่ยคนละสองพันบาทต่อเดือนโดยแบ่งจ่ายคนละครึ่งกับลูกน้อง นิยามาเซ้งตึกแถวเพื่อเป็นที่พักอาศัยอยู่แบ่ง ๆ กันกับลูกน้องทั้งหมด ต้องจ่ายเดือนละสามหมื่นบาท นิยามีรถขับสองคัน ทิ้งไว้ที่บ้านยะลาคันหนึ่งและนำมาใช้ที่มะละกาคันหนึ่ง ค่าใช้จ่ายที่นิยาและเด๊าะต้องใช้จ่ายหมุนเวียนต่อเดือนในร้านต้มยำร้านเดียวไม่ต่ำกว่าสองแสนบาท หากนิยาอยู่บ้าน ด้วยการศึกษาไม่จบ ป.๔ และเด๊าะที่จบเพียงมัธยมต้น คงไม่พ้นรับจ้างกรีดยาง ทั้ง ๆ ที่นิยาและเด๊าะเป็นคนฉลาดและมีศักยภาพในการบริหารจัดการอย่างเยี่ยมดังที่เห็น ครอบครัวของนิยาฐานะไม่ดีและไม่มีที่ดินของตัวเอง แต่นิยาส่งพ่อแม่ไปฮัจห์ได้และซื้อที่ดินซึ่งเป็นสวนยางไว้ให้ทำด้วยได้แล้ว บุคคลสองสัญชาติคืออะไร ไม่มีความแน่ชัด สำหรับแรงงานถูกกฎหมายการถือบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องถูกตรวจตราอย่างเคร่งครัด การเชื่อมโยงแรงงานที่ไปทำงานในมาเลเซียกับคนสองสัญชาติและขบวนการก่อการร้ายหรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนดูเป็นสมมุติฐานที่เลื่อนลอยเกินไป วันนี้ นิยาในวันต้นสามสิบกลายเป็นความมุ่งหวังของคนในชุมชนที่ผู้ใหญ่ต้องการให้ดูเป็นตัวอย่างและเป็นอุดมคติของคนรุ่นหนุ่มสาวที่อยากจะสร้างฝันให้ได้เหมือนนิยา แต่ความฝันเหล่านี้ไล่หาในประเทศไทยไม่ได้ และไม่มีโอกาสที่เด็กหนุ่มสาวจากชายแดนในสามจังหวัดจะมีโอกาส นอกเสียจากที่มาเลเซีย สรุป การที่รัฐไม่สนใจที่จะ “เห็น” ความเปลี่ยนแปลงของสังคมมุสลิมไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายใน การเปลี่ยนแปลงจากกระแสของมุสลิมโลก กระแสเรื่องความทันสมัย หรือไม่เข้าใจในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปของสถานการณ์ปัญหาที่เกิดแก่ชาวมลายูมุสลิมแห่งปัตตานี ทำให้เกิดการแก้ปัญหาไปที่จุดเดิม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ในขณะที่รัฐสนับสนุนให้เกิดการทำลายพื้นที่ ทรัพยากร ทุนทางศีลธรรม และวัฒนธรรมอันเนื่องมาจากศาสนาของชาวมลายูมุสลิมไปจนหมด (เป็นการสร้างอาณานิคมภายในเพื่อที่ดึงดูดทรัพยากรเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นเพื่อการบูรณาการทางการเมืองเพียงเท่านั้น) และปล่อยให้พวกเขาผจญปัญหาที่เกิดขึ้นจากโจทย์ปัญหาใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง อาจเป็นเหตุให้คนถูกฆ่าตายไปราวใบไม้ร่วงไปทุกวัน เพราะการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ยังมองภาพความเป็นคนตานีในต้นแบบทางประวัติศาสตร์ที่เห็นเป็นกลุ่มคนที่สร้างแต่ปัญหาและไม่คุ้มในการเกี่ยวข้องด้วย หนทางไปสู่สันติสุขและสันติภาพไม่ได้รับการพิจารณาถึงเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา การแก้ปัญหาของรัฐโดยตำรวจหรือกองทัพรวมทั้งพลังสมานฉันท์จึงไม่สามารถทำได้ เพราะไม่เข้าใจบริบทของปัญหาที่เปลี่ยนไปแล้ว ข้อเขียนของอิบรอฮิม ชุกรี ในหน้าสุดท้ายกล่าวว่า “ในจำนวน ๑๐๐ ล้านคนของประชากรของชนชาติมลายูทั้งหมดนั้น ชาวมลายูปะตานีถือว่าเป็นผู้โชคร้ายที่สุด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ภายใต้การปกครองของระบอบประชาธิปไตยเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นประชาธิปไตยที่แบ่งชนชั้นของเชื้อชาติซึ่งกำหนดโดยรัฐบาลสยาม โชคชะตาของชาวมลายูปะตานีจึงเปรียบได้กับต้นไม้เล็กๆ ชนิดหนึ่งที่ไม่มีวันที่จะเจริญเติบโตได้”[27] เราจะยอมให้เพื่อนร่วมประเทศเผชิญชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยวดังคำทำนายของนักประวัติศาสตร์เมื่อห้าสิบกว่าปีที่แล้วเชียวหรือ? เชิงอรรถท้ายบท [1] งานของ Anthony Reid. Understanding Melayu (Malay) as a Source of Diverse Modern Identities. Journal of Southeast Asian Studies. Vol 32: 3, 2001. ที่สืบสวนถึงที่มาในทางประวัติศาสตร์ของคำว่ามลายูหรือมาเลย์ในเขตคาบสมุทรและหมู่เกาะ และ Pierre Le Roux. To Be or Not to Be ... the Cultural Identity of the Jawi. Asian Folklore Studies. Vol 57: 2, 1999. ที่กล่าวถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของคนยาวีในประเทศไทย [2] ในเอกสารเก่าเช่น เรื่องนางนพมาศหรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ซึ่งเขียนขึ้นในราวรัชกาลที่ ๓-๔ เช่น สะท้อนความรู้เกี่ยวกับคนต่างชาติต่างภาษาแบบรวม ๆ เช่น เรียกชาวมุสลิมส่วนใหญ่ว่า “แขก” และเรียกชาวมลายูในคาบสมุทรตอนใต้ ว่า “แขกมลายู” ซึ่งเป็นการเรียกแบบกลุ่มชาติพันธุ์ [Ethnic Identification] แต่ถ้าเจาะจงว่ามาจากที่ใดจึงจะเรียกเฉพาะลงไป ดังเช่น “แขกตานี” นี้ [3] Patani ใช้เรียกรัฐบริเวณคาบสมุทรในยุคที่รุ่งเรืองเมื่อราวศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ส่วนคำว่าปัตตานี หรือ Pattani ที่มีตัวอักษร t สองตัว ใช้เรียกพื้นที่ของจังหวัดปัตตานีที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยในปัจจุบัน [4] บทความของศรีศักร วัลลิโภดม เรื่อง “ศาสนาของผู้ถูกกดขี่ [Religion of the Oppressed]” จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ฉบับที่ ๔๙ (กรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๔๗) กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กรือเซะ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๗ ว่าเป็นความเชื่อทางศาสนาที่เปลี่ยนไปของคนกลุ่มใหม่ในสังคมมุสลิม ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากแก่การทำความเข้าใจสำหรับคนทั่วไปในสังคมไทยในขณะนี้ [5] ดูงานเขียนที่เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากหัวเมืองประเทศราชและหัวเมืองชั้นนอกไปสู่การปกครองส่วนท้องถิ่นในระบบมณฑลเทศาภิบาลของ เตช บุนนาค เรื่อง “การปกครองเทศาภิบาลของประเทศสยาม พ.ศ.๒๔๓๕-๒๔๕๘” สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๘., และงานเขียนทางประวัติศาสตร์ข้อมูลในสมัยรัชกาลที่ ๕ การเสนอข้อมูลทางประวัติศาสตร์ตอนยกหรือแยกดินแดนให้กับอังกฤษเพื่อแลกการกู้เงินสร้างทางรถไฟ ซึ่งมองเห็นว่าเป็นเรื่องรุงรังของรัฐชาติแบบสมัยใหม่ ดังข้อความของที่ปรึกษาราชการทั่วไป “เอ็ดเวิร์ด เฮนรี สโตรเบล” ชาวอเมริกัน (พ.ศ.๒๔๔๗-๒๔๕๑) เห็นว่า ไทยควรเสียสละรัฐมลายูเพื่อเป็นอิสระจากอนุสัญญาลับฉบับปี พ.ศ.๒๔๔๐ เพื่อผ่อนคลายปัญหาเกี่ยวกับการให้สัมปทานแก่ชาวต่างชาติ เพราะประเทศราชหัวเมืองมลายู “.. เป็นบ่อเกิดแห่งความยุ่งยากทั้งมวลของไทย และยังปราศจากคุณค่า โดยเหตุที่มิได้ทำรายได้ที่น่าพอใจให้แก่ท้องพระคลังในกรุงเทพฯ” โดยการยินยอมยกกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรีให้ โดยอังกฤษต้องยกเลิกอำนาจศาลกงสุลและสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเป็นการตอบแทน โดย วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย เรื่อง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ, ๒๕๔๗ ที่จัดพิมพ์โดยทายาทแห่งราชสกุลเทวกุล [6] ตัวอย่างคือ ชาวตะวันตกบันทึกไว้ว่า ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันถูกเรียกอย่างกลาง ๆ โดยไม่ระบุความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใด ๆ ว่า “สยาม” ขณะที่เรียกคนที่มาจากสยามตามชื่อเมือง เช่น คนกรุงเทพ (อยุธยา) โดยจะเพิ่มเติมว่าเป็นไท ลาว โยน พะกัน เมื่อระบุถึงรายละเอียด การแสดงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์จึงไม่ใช่ความสำคัญอันดับแรกในการบ่งบอกอัตลักษณ์ของรัฐก่อนสมัยใหม่แต่อย่างใด [7] สุเทพ สุนทรเภสัช “ระบบอาณานิคมภายในกับภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : ตัวแบบเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของอีสานกับรัฐบาลกลางของประเทศไทย” มานุษยวิทยากับประวัติศาสตร์: รวมความเรียงว่าด้วยการประยุกต์ใช้แนวความคิด และทฤษฎีทางมานุษยวิทยาในการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์, ๒๕๔๐. ดูเพิ่มเติม David Brown, THE STATE AND ETHNIC POLITICS IN SOUTH EAST ASIA, Routledge, London and New York, 1994. Chapter 5 “Internal colonialism and ethnic rebellion in Thailand” การเป็นอาณานิคมภายในเห็นได้ชัดจากการยกตัวอย่างกรณีภาคอีสานในประเทศไทย [8] ธงชัย วินิจจะกูล “เรื่องราวจากชายแดน สิ่งแปลกปลอมต่อตรรกะทางภูมิศาสตร์ของประวัติศาสตร์แห่งชาติไทย”เสนอต่อการประชุมนานาชาติเกี่ยวกับภาคใต้เรื่อง “ประสบการณ์ถิ่นไทยทักษิณ: การปริวรรตทางสังคมในทัศนะประชาชน” มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ๑๓-๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๕ พิมพ์ซ้ำในชื่อ “เรื่องเล่าจากชายแดน” ใน ประวัติศาสตร์ปกปิดของ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐปัตตานีใน “ศรีวิชัย” เก่าแก่กว่ารัฐสุโขทัยในประวัติศาสตร์ สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม, ๒๕๔๗ [9] เรื่องราวการต่อต้านในยุคต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคอีสานสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เขียนขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ [10] เรื่องราวที่สะท้อนความคับแค้นจากนโยบายดังกล่าวของชาวมลายูปัตตานี แม้จะเป็นการเล่าเรื่องของผู้ถูกกระทำก็ตามพิจารณาได้จากงานเขียนที่เป็นที่สนใจของนักประวัติศาสตร์อย่างยิ่งของ อิบรอฮิม ชุกรี เรื่อง ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปะตานี เขียนเป็นภาษามลายู อักษรยาวี คาดว่าน่าจะเขียนขึ้นหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองราว ๑๗ ปี หมายถึงในราว พ.ศ. ๒๔๙๒ มีทั้งฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดย Conner Bailey, John n. Miksic ปี ๑๙๘๕ และแปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๗ และพิมพ์ล่าสุด แปลโดย ดร.หะสัน หมัดหมาน และมะหามะซากี เจ๊ะหะ ซิลค์เวอร์ม บุ๊ค, ๒๕๔๙ (หน้า ๗๕-๘๐) [11] หะยี สุหรง บิน อับดุลกาเดร์ ในฐานะประธานกรรมการประจำจังหวัดปัตตานียื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลเรียกร้องความต้องการพื้นฐานของชาวมลายู ๗ ข้อ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๐ ซึ่งไม่มีข้อใดบ่งบอกถึงความต้องการแบ่งแยกดินแดน นอกจากจะเป็นไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์แก่ชาวมลายูโดยมีกรอบของธรรมเนียมแบบมุสลิมเป็นบรรทัดฐาน และเรียกร้องในกรณีข้าราชการรังแกประชาชน อาจจะพิจารณาว่านี่คือคำขอร้องการจัดตั้งเขตปกครองตนเอง [Autonomous Region] ที่ยุคสมัยนั้นมองว่าเป็นการขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ หากแต่รัฐไทยระแวงในกรณีของการแบ่งแยกดินแดนมากกว่า ประเด็นนี้ถูกนำมาถกเถียงเมื่อเกิดเหตุรุนแรงในปี ๒๕๔๗ แม้แต่ในกรรมการ กอส. ก็ไม่สามารถผลักดันแนวคิดเรื่องเขตปกครองตนเองให้เป็นที่ยอมรับได้ เนื่องจากการติดกรอบใน Plot ทางประวัติศาสตร์ชาติไทย แท้จริงแล้วรัฐสามารถเจรจาต่อรองเพื่อสร้างทางออกได้ดีกว่าการจัดการโดยรุนแรง อันนำมาซึ่งความรุนแรงตอบโต้โดยไม่สิ้นสุดตามมา [12] Anthony Reid. Understanding Melayu (Malay) as a Source of Diverse Modern Identities. Journal of Southeast Asian Studies. Vol 32: 3, 2001. [13] การอธิบายถึงลักษณะความเป็นมลายูทางวัฒนธรรมและเกี่ยวข้องกับสภาพการณ์ทางประวัติศาสตร์ในคาบสมุทรมลายู ดู “บทสรุป: บางสาระในประวัติศาสตร์” ใน ประวัติศาสตร์มาเลเซีย บาร์บาร่า วัตสัน อันดายา และ ลีโอนาร์ด วาย. อันดายาม พรรณี ฉัตรพลรักษ์ แปล, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, ๒๕๔๙. [14] ภาษามาเลย์มาตรฐาน [Standard Malay] หมายถึงการภาษามาเลย์อย่างถูกต้อง วลีในภาษามาเลย์คือ Bahasa Melayu Baku ซึ่งมีการตกลงร่วมกันระหว่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน ว่าใช้ภาษาบาฮาซารีเยา(Bahasa Riau) เป็นมาตรฐาน เพราะภาษาของหมู่เกาะรีเยาถือว่าเป็นต้นกำเนิดของภาษามลายู [15] ปรากฏคำนิยามในบทนำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ Saroja Devi Dorairajoo. “No Fish in the Sea: Thai Malay Tactics of Negotiation in a Time of Scarcity” Ph.D. dissertation, Dept. of Social Anthropology, Harvard University. (2002) [16] David Brown, THE STATE AND ETHNIC POLITICS IN SOUTH EAST ASIA, Routledge, London and New York, 1994., pp. 206-265. ภูมิบุตรา กลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แบบหนึ่งที่เป็นทั้งคำเรียกตนเอง การอ้างสิทธิเหนือแผ่นดิน โดยมีภาษาและวัฒนธรรมเป็นหัวใจสำคัญของการแยกแยะความเป็นกลุ่ม ภูมิบุตรากลายเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมให้สามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว มีการเกิดขึ้นของสภาเศรษฐกิจภูมิบุตรา [Bumiputra Economic Congress] ในปี ๑๙๖๕ โดยข้าราชการ นักการเมืองและชนชั้นกลางโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาระบบการเงินของคนมาเลย์เพื่อถ่วงดุลกับนักลงทุนชาวจีนที่เข้ามาในประเทศและที่อยู่ในประเทศแต่เดิม สถาปนาธนาคารภูมิบุตรา (Bank Bumiputra) พร้อมกับ MARA (Council of Trust for the Indigenous People) เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินและโครงการต่างๆ ที่เกิดจากชาวมาเลย์ การเกิดขึ้นของภูมิบุตราจึงกลายเป็นสิ่งที่นักวิชาการตะวันตกหลายคนมองว่าเป็นมายาคติ [myth] ของคนชั้นกลาง พ่อค้า และนักการเมืองที่สร้างขึ้นมาเพื่อธำรงเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การเมือง และการสร้างชาติ มากกว่าการอธิบายถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตนเอง ภูมิบุตราจึงกลายเป็นทั้งการเมืองเรื่องชาติพันธุ์และอุดมการณ์ทางชาติพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นและกีดกันคนหรือเชื้อชาติอื่นออกไปเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การสร้างชาติในยุคหลังอาณานิคม [17] จารึกภาษายาวีที่เก่าที่สุดพบที่ตรังกานูในช่วงราวปลายศตวรรษที่ ๑๔ เขียนโดยใช้อักษรยาวี ซึ่งหมายถึงตัวอักษรอารบิคที่ยืมและปรับมาใช้ในภาษามาเลย์ซึ่งไม่มีตัวอักษรของตนเอง นำเข้ามาโดยพ่อค้าชาวอาหรับตั้งแต่ศาสนาอิสลามแพร่เข้ามาในศตวรรษที่ ๑๔ [18] ประวัติศาสตร์มาเลเซีย บาร์บาร่า วัตสัน อันดายา และ ลีโอนาร์ด วาย. อันดายาม พรรณี ฉัตรพลรักษ์ แปล, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, ๒๕๔๙. (หน้า ๔๘๒-๔๘๗) [19] Hasan Madmarn. The Pondok & Madrasah in Patani. PENERBIT UNIVERSITI KEBANGSAAN MALAYSIA, 2001 [pl.49-50] [20] คำว่า “ยาวี” มีบริบทในการใช้คือ Sura Jawi คือการเขียนภาษายาวี Baso Jawi เรียกภาษาพูด และ Ore Jawi คือคนยาวี [21] ข้อสังเกตนี้น่าสนใจที่จะตรวจสอบอัตลักษณ์การเรียกชื่อมักจะเลื่อนไหลไปตามสถานการณ์ Pierre Le Roux. To Be or Not to Be ... the Cultural Identity of the Jawi. Asian Folklore Studies. Vol 57: 2, 1999. [22] "Social space" คือ พื้นที่ที่กำหนดโดยระบบของลักษณะร่วมของผู้คนหมายถึงรูปลักษณ์ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกกำหนดมา, ibid., อ้างจากงานของ CONDOMINAS, Georges. L'Espace social. A propos de l'Asie du Sud-Est, 1980 [23] กำเนิดและความเป็นมาของ “ลัทธิแบ่งแยกดินแดน” ของมลายูมุสลิมในภาคใต้ไทย แปลและเรียบเรียงจาก งานวิจัยของ ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ เรื่อง Origins of Malay Muslim “Separatism” in Southern Thailand โดยได้รับทุนจาก Asian Research Institute (ARI) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ [National University of Singapore] ใน พ.ศ. ๒๕๔๗ [24] Khun Eng Kuah. Maintaining Ethno-Religious Harmony in Singapore. Journal of Contemporary Asia. Vol 28: 1, 1998. [25] ความเห็นเหล่านี้ไม่ถูกยืนยันในพื้นที่จากการสอบถามบุคคลในระดับปัญญาชน หลังจากผู้เขียนเฝ้าสังเกตและหาคำตอบก็ยังไม่ชัดเจน แต่ถูกนำเสนอในบทความของ Aurel Croissant. Unrest in South Thailand: Contours, Causes, and Consequences since 2001. Contemporary Southeast Asia. Vol 27: 1, 2005. [26] เสียงโต้จากกลุ่มส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (เซาดารอ) สำนักข่าวประชาไท [www.prachathai.org] เปิดพื้นที่ให้ ‘กลุ่มส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้’ หรือเซาดารอชี้แจงและตอบโต้รายงานเรื่อง ‘เจาะวงใน ‘นักศึกษามุสลิม’ กับสถานการณ์ร้ายชายแดนใต้’ ที่มีผลกระทบต่อนักศึกษามุสลิมในวงกว้าง ๑๖/๘/๒๕๔๙ ความขัดแย้งเช่นนี้ เมื่อสอบถามบุคคลในระดับปัญญาชนจะเห็นว่าไม่ใช่ปัญหามากนัก เป็นความขัดแย้งระหว่างสำนักคิด แต่สำหรับชาวบ้านในหมู่บ้านที่มองเห็นความขัดกันดังกล่าว พบว่ามีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับนักศึกษาที่ออกแถลงการณ์ [27] อิบรอฮิม ชุกรี. ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปะตานี แปลโดย ดร.หะสัน หมัดหมาน และมะหามะซากี เจ๊ะหะ. ซิลค์เวอร์ม บุ๊ค, ๒๕๔๙ (หน้า ๙๕)
- ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความทรงจำยะรังชุมชนในเขตเทือกเขาสันกาลาคีรี
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2554 ท้องถิ่นยะรัง เป็นบริเวณที่อุดมไปด้วยชุมชนโบราณและแหล่งโบราณคดีที่หนาแน่นที่สุดแห่ง หนึ่งในเขตจังหวัดภาคใต้ หรืออีกนัยหนึ่งทั้งของคาบสมุทรมลายูก็ว่าได้ จากการขุดทำลายแหล่งโบราณคดีเป็นเหตุให้นักวิชาการนักโบราณคดีทั้งไทยและเทศ เข้ามาศึกษากันตลอดมาร่วมกว่า ๙๐ ปี ผังของชุมชนบ้านเมืองขนาดใหญ่ในราวคริสต์ศตวรรษที่ ๖-๗ หรือก่อนหน้านั้น สัมพันธ์กับรัฐศรีวิชัยในเขตคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะที่นับถือลัทธิศาสนาฮินดู-พุทธ แต่ละท่านมีความเห็นพ้องกันว่าชุมชนโบราณที่มากไปด้วยแหล่งโบราณคดีดังกล่าวนี้ มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งคือ เป็นที่ตั้งเมืองสำคัญของรัฐในสมัยยุคต้นประวัติศาสตร์ที่มีการดำรงอยู่ อย่างสืบเนื่อง จนถึงสมัยที่เป็นรัฐปัตตานีในสมัยกรุงศรีอยุธยาลงมา โดยเฉพาะรัฐลังกาสุกะที่ต่อมา คือ ปัตตานี แต่ความเห็นที่ต่างกันของบรรดานักปราชญ์เหล่านี้คือ การกำหนดชื่อรัฐในยุคต้นประวัติศาสตร์ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ นี้ เพราะต่างก็นำชื่อของลังกาสุกะไปเปรียบเทียบกับชื่อของรัฐที่ปรากฏในจดหมาย เหตุจีนโดยเฉพาะคำว่า หลังยะสิ่ว จุดอ่อนของการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติชุมชนโบราณในเขตยะรังที่แล้วมา นั้น คือการเอาหลักฐานจากภายนอกมากำหนดเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าในสมัยหลัง ๆ จนกระทั่งปัจจุบันอันเป็นเวลาที่มีการสำรวจและขุดค้นทาง โบราณคดีกันอย่างกว้างขวางแล้วก็ตาม ก็ยังมีการตีความที่ผูกกับการกำหนดชื่อเมืองและชื่อรัฐจากหลักฐานจากภายนอก เช่นเดิม ทำให้ไม่เห็นพัฒนาการจากภายในที่สะท้อนให้เห็นจากหลักฐานทางโบราณคดีที่มี อย่างมากมาย ดังนั้นในที่นี้การตีความจากหลักฐานทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างภาพพัฒนาการของบ้านเมืองในท้องถิ่นยะรัง จะเป็นการพิจารณาหลักฐานในตำแหน่งทางภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้ในสมัยรัฐปัตตานี อันเป็นพัฒนาการของบ้านเมืองในยุคหลังก่อนแล้วจึงพิจารณาย้อนหลังไปถึงสมัย อดีตที่ห่างไกล ถ้าพิจารณาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และตำนานท้องถิ่นแล้ว แหล่งโบราณคดีและชุมชนโบราณในเขตยะรังเกิดขึ้นในลุ่มน้ำตาปี จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐปัตตานีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เรื่องราวของปัตตานีนั้น ผู้รู้มักสนใจแต่เรื่องทางเอกสารและร่องรอยของบ้านเมืองที่อยู่ตามชายฝั่ง ทะเล โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมืองเป็นสำคัญ ทั้ง ๆ ที่รัฐปัตตานีนั้นเป็นที่ยอมรับและรู้จักกันทั่วไปว่า เป็นรัฐอิสลามที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากหลักฐานทางโบราณคดีในขณะนี้อาจกล่าวได้ว่า ร่องรอยของชุมชนโบราณและหลักฐานทางโบราณคดีที่นายอนันต์ วัฒนานิกร ปราชญ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นของจังหวัดปัตตานี ได้ทำการศึกษาค้นคว้ามากว่า ๔๐ ปี จนกระทั่งปัจจุบัน ที่กำหนดว่าอยู่ในเขตบ้านประแวและบ้านวัด รวมทั้งระบุถึงการกระจายของแหล่งศาสนสถานกว่า ๓๑ แห่งนั้น แสดงให้เห็นว่าเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่และมีการสืบเนื่องที่เห็นได้ชัดเจน กว่าแห่งอื่น ๆ ในดินแดนภาคใต้ทั้งหมด ทำให้สามารถนำมาเชื่อมโยงกับบรรดาแหล่งชุมชนโบราณในลุ่มน้ำปัตตานีทั้งหมด และเห็นพัฒนาการของรัฐได้โดยมองไปที่ลุ่มน้ำปัตตานี ดังนี้ พื้นที่ตั้งแต่เขตอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา มาทางตะวันออกจนถึงเขตอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานีนั้น เป็นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำที่ไหลจากเทือกเขาสันกาลาคีรีทางทิศใต้ที่กั้น เขตแดนประเทศไทยออกจากประเทศมาเลเซียทั้งสิ้น แม่น้ำในบริเวณดังกล่าวนี้มีอยู่หลายสาย คือ คลองเทพาหรือแม่น้ำเทพา แม่น้ำปัตตานี และแม่น้ำสายบุรี ตามลำดับ โดยที่ลำน้ำแต่ละสายไหลลงจากเทือกเขาแล้วผ่านหุบเขาแต่ละหุบเขาลงสู่ที่ราบ ลุ่มและลงสู่ทะเลโดยมีปากแม่น้ำของตนเอง เหตุที่เกิดลักษณะที่เป็นหุบเขาขึ้นนั้น เพราะมีเขาลูกโดดเป็นกลุ่ม ๆ ในบริเวณพื้นที่ตอนกลางก่อนถึงเขตชายทะเล แต่ละลำน้ำมีที่ราบลุ่มรูปสามเหลี่ยม (delta) ของตนเอง อันเกิดจากการที่ลำน้ำได้นำกรวดทรายและโคลนตะกอนจากเทือกเขาและที่สูงอัน เป็นบริเวณต้นน้ำลงมาทับถม ทำให้เกิดเป็นพื้นที่งอกยื่นออกไปในทะเล แต่การงอกของแผ่นดินดังกล่าวนี้ ยังไม่จำกัดอยู่แต่เพียงการกระทำของแม่น้ำเท่านั้น หากยังผนวกเข้ากับการกระทำของคลื่นลมบริเวณชายฝั่งทะเล ยังได้นำเอาทรายจากท้องทะเลเข้ามาทับถมเป็นแนวสันทรายตรงชายหาดด้านหน้าของ ที่ราบดินดอนสามเหลี่ยมอีกด้วย ลักษณะ ของการงอกของสันทรายและดินดอนสามเหลี่ยมนี้ ทำให้บริเวณที่ราบลุ่มมีทั้งบริเวณที่ดอนเหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน และที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงเหมาะแก่การเพาะปลูก ในขณะที่ชายฝั่งทะเลมีทั้งแนวตรงที่เป็นสันทรายและที่เวิ้งที่เป็นอ่าวเหมาะ กับการจอดเรือพักสินค้า ซึ่งในบรรดาปากแม่น้ำของทั้งสามสายนี้ แม่น้ำปัตตานีมีลักษณะเป็นที่กำบังลมได้ดีกว่าที่อื่น ๆ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองที่ทำให้เกิดบริเวณสถานีพักสินค้าซึ่งต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น เมืองท่าสำคัญที่มีผลส่งต่อไปถึงการเกิดเมืองภายในและเส้นทางข้ามคาบสมุทรขึ้น ในบริเวณต้นน้ำทั้งแม่น้ำเทพา แม่น้ำปัตตานีและแม่น้ำสายบุรีต่างก็ถือกำเนิดจากต้นน้ำบนเทือกเขาสันกาลา คีรีในเขตอำเภอธารโต อำเภอบันนังสตา และอำเภอศรีสาครเหมือนกัน และจากต้นน้ำเหล่านี้ต่างก็สามารถข้ามสันปันน้ำไปยังบรรดาต้นน้ำของแม่น้ำสุ ไหงมูคาและสุไหงเประที่จะลงไปสู่บรรดาบ้านเมืองในเขตรัฐเดคาห์ หรือไทรบุรีและรัฐเประทางฝั่งทะเลอันดามันของมาเลเซียได้ แต่เส้นทางข้ามคาบสมุทรกลับเป็นเส้นทางที่ข้ามสันปันน้ำจากเขตมาเลเซียมาลง ทางลำน้ำปัตตานีเพื่อไปยังชุมชนบ้านเมืองทางปากน้ำที่มีอ่าวจอดเรือได้ดี กว่าทางลำน้ำเทพาและลำน้ำสายบุรีตามที่กล่าวมาแล้ว ถ้าหากพิจารณาลักษณะภูมิประเทศที่สัมพันธ์กับพัฒนาการของบ้านเมืองในลุ่มน้ำ ปัตตานีแล้วอาจแบ่งออกได้เป็น ๓ บริเวณคือ ที่สูงและทิวเขา บริเวณที่ราบลุ่มในหุบเขา และบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำของฝั่งทะเล บริเวณที่สูงและภูเขาอันเป็นบริเวณแรกนั้นอยู่ในเขตอำเภอบันนังสตาขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันนี้ทางราชการได้ทำเป็นอ่างเก็บน้ำ บริเวณนี้ไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยประวัติศาสตร์ คงมีหลักฐานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ประปราย แต่น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของป่านำมาเป็นสินค้าออกได้ หลายอย่าง บริเวณหุบเขาอันเป็นที่ราบลุ่มที่อยู่ตรงกลางของลุ่มน้ำ เป็นแหล่งที่ผู้คนมาสร้างบ้านแปงเมืองได้ อีกทั้งมีบรรดาถ้ำและเขาลูกโดดที่ผู้คนใช้กำหนดเป็นสถานที่และการประกอบ พิธีกรรมกันหลายแห่ง ปัจจุบันบริเวณนี้อยู่ในท้องที่เขตอำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา จากการสำรวจทางโบราณคดีพบตำแหน่งเมืองโบราณที่บริเวณสนามบิน ซึ่งก็ได้ถูกทำลายให้หมดไปครั้งสร้างสนามบินแล้ว เมืองโบราณดังกล่าวนี้อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปัตตานี แต่บรรดาศาสนสถานที่สัมพันธ์กับเมืองนี้ยังคงอยู่ตามบรรดาถ้ำและเขาลูกโดด ซึ่งเมื่อมีการสำรวจแล้วพบเครื่องมือหินและเศษภาชนะดินเผาของมนุษย์สมัยก่อน ประวัติศาสตร์ โบราณสถานทางพุทธศาสนา ภาพเขียนสีและพระพุทธรูป ในบรรดาเขาและถ้ำเหล่านี้ ถ้ำเขาคูหาและถ้ำศิลป์มีคนรู้จักมากกว่าเพื่อน เพราะมีการใช้สืบเนื่องเรื่อยลงมา ในสมัยหลัง ที่ถ้ำคูหามีการกำหนดให้เป็นวิหารที่มีการสร้างพระพุทธรูปใหญ่น้อยขึ้นบูชา มีควรแก่สมัยประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ เพราะพบพระพิมพ์ดินดิบทั้งแบบศิลปะทวารวดีและศิลปะศรีวิชัยปะปนกัน ภายหลังมีการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะพระนอน เลยกลายเป็นศาสนสถานที่สำคัญจนปัจจุบันนี้ ส่วนถ้ำศิลป์นั้นไม่มีการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ เช่น ถ้ำคูหาเพราะทางขึ้นลำบาก หากถูกใช้เป็นถ้ำที่จำศีลภาวนาของบรรดาพระภิกษุและนักพรต ในระยะแรกพบพวกเครื่องมือหินและภาพเขียนสีของกลุ่มชนที่ยังไม่นับถือพุทธ ศาสนา เช่น ภาพคนนุ่งผ้าเตี่ยว เป่าลูกดอกในการล่าสัตว์ เป็นต้น ในระยะหลังที่เป็นที่พำนักของพระสงฆ์แล้ว มีการเขียนภาพสีเป็นภาพพุทธประวัติและภาพพระพุทธเจ้าในคติทางมหายานขึ้น มีอายุไม่ต่ำกว่าพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ และยังมีภาพชาดกในรุ่นหลังลงมาอีกแต่ทว่าลบเลือนไปเกือบหมดสิ้นแล้ว จากหลักฐานดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า บริเวณลุ่มน้ำปัตตานีตอนกลางที่อยู่ในเขตจังหวัดยะลานั้นเป็นบ้านเมืองภายใน ของเส้นทางการค้าข้ามคาบสมุทรที่เกิดขึ้นราว พุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ ลงมา บริเวณที่ราบลุ่มน้ำในชายฝั่งทะเล นับเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดในเรื่องพัฒนาการของบ้านเมืองและรัฐ บริเวณดังกล่าวนี้อยู่ในเขตจังหวัดปัตตานีทั้งหมด โดยเริ่มแต่บริเวณกิ่งอำเภอแม่ลานอันเป็นบริเวณที่ลำน้ำปัตตานีไหลผ่านที่ ราบบริเวณหุบเขาจากเขตอำเภอเมืองยะลาลงมา บริเวณนี้เป็นที่ราบลุ่มเป็นเวิ้ง โดยมีเขากาลาคีรีและเขาลูกโดดที่บ้านนาเกตุในเขตอำเภอโคกโพธิ์เป็นกรอบทาง ซีกตะวันตกและมีกลุ่มเขาลูกโดด ตั้งแต่กิ่งอำเภอทุ่งยางแดงผ่านอำเภอมายอไปจนจรดอำเภอปะนาเระที่ชายฝั่งทะเล เป็นกรอบด้านตะวันออก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินดอนสามเหลี่ยมเกิดจากการทับถมของแม่น้ำ ทำให้แยกออกเป็นหลายสายไปออกทะเลที่นับแต่เขตอำเภอหนองจิกผ่านอำเภอเมือง อำเภอยะหริ่ง มาจนอำเภอปะนาเระ อาจกล่าวได้ว่าในบริเวณใกล้ชายฝั่งทะเลนี้ ลำน้ำปัตตานีแยกออกเป็นหลายสาย คล้าย ๆ กับปากซ่อม แต่บริเวณที่เป็นลำน้ำสำคัญในขณะนี้มีสองสายคือ ลำน้ำปัตตานี และลำน้ำยะหริ่ง และพื้นที่ชายฝั่งทะเลของทั้งสองลำน้ำนี้มีการกระทำของคลื่นลมที่ทำให้เกิด สันทรายขึ้น กลายเป็นอ่าวและสันทรายที่เหมาะแก่การออกเรือเดินทะเลยิ่งกว่าบริเวณอื่น ๆ ปัจจุบันเมืองที่อยู่ใกล้ทะเล คือ เมืองปัตตานีที่อยู่ริมแม่น้ำปัตตานี และเมืองยะหริ่งริมลำน้ำยะหริ่ง เป็นชุมชนที่เกิดใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ลงมา แต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเมืองปัตตานีนั้นอยู่บนสันทรายชายอ่าวปัตตานีที่อยู่ ระหว่างลำน้ำปัตตานีและลำน้ำยะหริ่งอยู่ในเขตบ้านกรือเซะที่มีมัสยิดกรือเซะ เป็นศูนย์กลาง นายอนันต์ วัฒนานิกร ได้ทำการสำรวจและบันทึกหลักฐานไว้ว่าเคยเห็นทั้งแนวที่เป็นกำแพงเมือง และยังพบเศษภาชนะดินเผาเคลือบที่เป็นของจีนและของต่างประเทศมากมาย แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ตรงริมลำน้ำเก่าที่ผ่านท้ายเมืองในเขตบ้านกือเซะไปออกทะเลที่บ้านปาเระนั้น พบร่องรอยของชุมชนโบราณริมฝั่งน้ำและพบเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาทั้งแบบเผา แกร่งและแบบเคลือบ ที่มีอายุขึ้นไปจนถึงสมัยอยุธยาตอนต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ลำน้ำปัตตานีในสมัยนั้นมาออกทะเลในบริเวณนี้ อีกทั้งเป็นลำน้ำที่สัมพันธ์กับเมืองปัตตานีในสมัยอยุธยาอย่างแท้จริง จากการสอบค้นของนายอนันต์ วัฒนานิกร พบว่าลำน้ำเก่าสายนี้มีร่องรอยที่ผ่านลงมาถึงแหล่งชุมชนโบราณและแหล่ง โบราณคดีในเขตบ้านประแว และบ้านวัดในเขตอำเภอยะรัง จากการศึกษาจากแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นว่า แหล่งชุมชนโบราณในเขตบ้านประแวและบ้านวัดนั้น นอกจากมีร่องรอยของลำน้ำเก่าที่มาจากเขตบ้านกรือเซะหรือเมืองปัตตานีในสมัย อยุธยาเข้ามาถึงแล้วยังพบว่ามีร่องรอยทางน้ำที่ไปสัมพันธ์กับลำคลองตันหยงและลำน้ำยะหริ่งทาง ด้านตะวันออกอีกด้วย ลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าบริเวณที่ชุมชนโบราณตั้งอยู่นั้น แต่เดิมเป็นที่ดอนทรายเกิดขึ้นจากการทับถมของลำน้ำปัตตานีตรงที่แยกออกมา หลายสาย ตั้งแต่บริเวณกิ่งอำเภอแม่ลานลงมา หรืออีกนัยหนึ่งบริเวณที่ดอนคล้ายเกาะที่ถูกขนาบด้วยลำน้ำหลายสาย ทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออก แต่การติดต่อกับชายทะเลนั้นคงเป็นตามทางลำน้ำเก่าที่ไหลไปออกทะเลที่อ่าว ปัตตานีใกล้กับเมืองปัตตานีที่บ้านกรือเซะนั่นเอง และจากตำแหน่งที่ตั้งที่ห่างทะเลไม่มากนัก สะท้อนให้เห็นว่า ชุมชนโบราณที่บ้านประแวและบ้านวัด มีลักษณะเป็นเมืองท่าที่อยู่เข้ามาในลำน้ำใหญ่ เช่นเดียวกับที่เมืองคูบัว เมืองนครปฐม (นครชัยศรี) รวมทั้งอยุธยา และกรุงเทพฯ ด้วย คือ ไม่อยู่ติดชายทะเล อีกทั้งในระยะเวลาที่บ้านเมืองที่อำเภอยะรังยังรุ่งเรืองอยู่นั้น ก็น่าจะอยู่ใกล้ทะเลมากกว่าในขณะนี้
- สงครามของใคร? (Whose War?)
เผยแพร่ครั้งแรก 26 พ.ค. 2559 “ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ของไทยได้ถูกอธิบายว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อการร้ายชาวมุสลิม แต่ ยังมีสิ่งที่น่าติดตามมากกว่าที่มองเห็นด้วยตา” โดย Yap Lih Huey เขียนจาก Asia news ฉบับวันที่ 3 March 2006 Arifin bin Chik : แปล ผู้แปลเห็นว่าเป็นบทความที่ยังทันสมัยและสะท้อนให้ทราบถึงความรู้สึกลึก ๆ ของชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดนราธิวาส จึงได้แปลให้ท่านผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบอาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ฉันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ เปาะดาล์ อายุ ๕๕ ปี เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้มีใบหน้าและสุ้มเสียงที่อ่อนโยน เราพูดกันด้วยภาษามาเลย์ ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของชาวมลายูในภาคใต้ของไทยคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เราต้องการความเป็นส่วนตัวเล็กน้อย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจภาษามาเลย์ การพูดคุยกันของเราเริ่มจากเรื่องบ้าน ครอบครัวและเพื่อน ๆ จนไปถึงปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ เปาะดาล์ เพ่งสายตาไปยังเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังสนทนาหยอกล้อกับนักเรียน โรงเรียนของเขาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของทหาร มีนักเรียนประมาณ ๑,๐๐๐ คน จาก ๕ หมู่บ้าน เปาะดาล์ ชวนผมเข้าไปข้างในแล้วกระซิบว่า “มันเป็นเรื่องของตำรวจ ทหาร ผู้ก่อการร้าย กลุ่มมาเฟีย นักการเมือง ผู้มีอำนาจ เกี่ยวข้องกับเงิน ยาเสพติด และการอาฆาตพยาบาท” เขามองรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟัง ความรู้สึกตึงเครียดขึ้นเมื่อได้พูดถึงความไม่สงบของที่นี่ ชาวบ้านทุกคน ปัญญาชนมุสลิม นักกฎหมาย อดีตผู้ก่อการร้าย และอาชญากรรมที่ฉันพูดถึง พื้นที่ตรงนี้มาจากหลายๆพวกที่เกี่ยวข้อง ในขณะเดียวกัน ความเชื่อของคนทั่วไปและข่าวสารของทางราชการไทยเอง แสดงให้เห็นว่า ความไม่สงบในภาคใต้นั้นไม่เฉพาะเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย หรือกลุ่มแบ่งแยกดินแดน และความขัดแย้งทางศาสนาเท่านั้น แม้คนจำนวนน้อยจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการแบ่งแยกดินแดนและความแตกต่างทางศาสนา แต่พวกเขาสามารถแยกจากกัน ระหว่างความคิดและพฤติกรรม “พวกก่อการร้ายทำอะไรบ้าง นอกจากสร้างปัญหา ถ้าถามพวกทหารและตำรวจ แต่การกระทำของพวกเขา (เจ้าหน้าที่) สิบครั้ง เกิดผลร้ายมากกว่าการกระทำของกลุ่มก่อการร้ายเสียอีก” รุชดี อธิบาย เขาเป็นผู้ช่วยทำงานให้กับทนายความคนหนึ่ง จึงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในนราธิวาส ปกติเขาชอบที่จะขี่รถจักรยานยนต์ไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อติดต่อกับชาวบ้าน ชาวบ้านบางคนพูดว่าความไม่สงบ มาจากการรวมอำนาจไปสู่ส่วนกลาง การฉ้อราษฎร์บังหลวง และการขาดการบริหารจัดการที่ดีของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ปัญหาได้ทวีมากขึ้นเมื่อนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ยกเลิกศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. (The Southern Border Provinces Administrative Committee (SBPAC) และก่อตั้งใหม่ที่เรียกว่า ศูนย์ประสานงานจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ กอส.จชต. Southern Border Provinces Coordination Center / SBPCC) ในต้นปี ๒๐๐๒, ปัจจุบันเรียกว่า กองอำนวยการรักษาความสงบชายแดนภาคใต้ (กอ.รส.จชต.) หรือ Southern Border Province Peace Building Command. “ทักษิณ ได้รับการแนะนำจากนายตำรวจเพื่อนของท่านเองว่า จะต้องปรับยุบ ศอ.บต. ตำรวจบอกอีกว่า ตำรวจจะสามารถแก้ปัญหาในภาคใต้ได้ภายในระยะเวลา ๖ เดือนเท่านั้น นี่ก็เป็นเวลา ๒ ปีแล้วอะไรดีขึ้นบ้าง” คำพูดของฮะญีอะหมัด นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ปัตตานี กอ.รส.จชต.ได้มอบอำนาจต่าง ๆ ให้แก่ฝ่ายตำรวจฝ่ายเดียว เป็นการลดอำนาจของฝ่ายทหาร นโยบายที่ผิดพลาดของ กอ.รส.จชต.ทำให้เกิดความขัดแย้งทางอำนาจระหว่างกลุ่มต่าง ๆ หลายกลุ่ม เดิมนั้น การบริหารภายใต้ ศอ.บต.อำนาจได้ถูกกระจายไปยังหน่วยที่เรียกว่า พตท.๔๓ ที่เป็นหน่วยผสมระหว่างพลเรือน ตำรวจและทหาร อยู่ภายใต้การกำกับของสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งมี หน่วยตำรวจปราบจราจล ผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำศาสนา ครู กลุ่มนักธุรกิจ เข้าด้วยกัน ศอ.บต จึงเป็นหน่วยงานกลาง ประสานระหว่างรัฐบาลที่กรุงเทพฯกับองค์กรบริหารในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ความขัดแย้งในอำนาจก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม ที่สนับสนุนโดยฝ่ายนักการเมืองกังฉินในภาคใต้ สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อได้มีการควบคุมผู้นำมุสลิม นักสังเกตการณ์ให้ความเห็น โดยชี้ถึงการรวมอำนาจและกำหนดนโยบายไว้ที่ส่วนกลางโดยการบริหารของ พ.ต.ท.ทักษิณ นักวิชาการคนหนึ่งเปิดเผย ประเทศไทยไม่เคยปล่อยวางจากการปกครองแบบรวมอำนาจมาก่อน จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายชาวมุสลิมในภาคใต้. การเปลี่ยนแปลง ศอ.บต.จึงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากอดีตนายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย เมื่อ ๑๘ มิถุนายน ๒๐๐๒ เขาวิจารณ์ว่ารัฐบาลทักษิณได้ยกเลิกศอ.บต.และพตท.๔๓ โดยไม่เข้าใจปัญหาและสถานการณ์ที่แท้จริงในภาคใต้ “รัฐบาลไม่ยอมรับการชี้แนะในการออกระเบียบใหม่ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในภาคใต้ ซึ่งได้ทำลายความเป็นเอกภาพของหน่วยงานผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่หมดสิ้น นโยบายในอดีตควรจะได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่า (การยกเลิกไปเสียเลย)” เขากล่าว พร้อมกับเสริมว่าองค์กรทั้งสอง(ที่เลิกไป)ได้ร่วมแก้ไขปัญหาภาคใต้สำเร็จมาร่วม ๒ ศตวรรษแล้ว “เป็นการง่ายที่จะแก้ไขปัญหาภาคใต้หากทุกหน่วยงานสามารถนั่งโต๊ะเจรจาร่วมกัน” ฮะญีอะหมัดกล่าว “แต่เมื่อมีการขัดแย้งในการใช้อำนาจ จึงทำให้เกิดความยุ่งยาก ตำรวจไม่อาจจะรักษาความสงบได้ ครั้นเมื่อทหารเข้ามา(ภายใต้กฎหมายกฎอัยการศึก) อำนาจจึงตกอยู่กับทหารเรือและทหารบก” รุชดีกล่าวด้วยอารมณ์ ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบันจึงได้ตกอยู่ภายใต้กฎหมายกฎอัยการศึกมาตั้งแต่ ๑๕ กรกฎาคม (ค.ศ.๒๐๐๕) ที่แล้ว กฎหมายดังกล่าวให้อำนาจทหารควบคุมผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่ต้องมีหมาย (จับ) ห้ามการชุมนุมเรียกร้องของประชาชน ดักฟังโทรศัพท์ได้ ควบคุมข้อมูลข่าวสาร การกระทำละเมิดใดๆของเจ้าหน้าที่โดยอ้างกฎหมายดังกล่าวย่อมไม่มีความผิด ทนายความนักสิทธิมนุษยชน (ทนายสมชาย นีละไพจิตร) ที่ได้ให้การปกป้องช่วยเหลือชาวบ้านได้เป็นประเด็นปัญหาสำคัญของรัฐบาลไทย “ความจริงแล้ว ความไม่สงบเรียบร้อยได้เป็นโอกาสให้แก่บุคคลบางกลุ่ม เช่น กลุ่มค้ายาเสพติด ทหารต้องการงบประมาณจากรัฐบาลมากยิ่งขึ้น โดยอ้างว่าจะต้องใช้ในการปราบปรามผู้ก่อการร้าย เมื่อสิ่งสาธารณถูกเผาทำลาย รัฐบาลจะต้องผ่านงบประมาณให้ทหารเพื่อฟื้นฟู คุณรู้ไหมว่า ประเทศไทยมีการคอรัปชั่นมากน้อยแค่ไหน?” ตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๐๐๔ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๐๐๕ ทรัพย์สินสาธารณะเช่นที่ทำการของรัฐและโรงเรียนใน ๓ จังหวัดภาคใต้ได้ถูกทำลายมากกว่าโรงเรียนสอนศาสนา ๖๓๕ แห่งทรัพย์สินสาธารณะถูกเผาทำลายในนราธิวาส ๓๙๓ แห่งในปัตตานี และ ๓๑๗ แห่งในยะลา อันเป็นสถิติของ กอ.รส.จชต. จากรายการวิทยุสุดสัปดาห์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อ ๘ ตุลาคม ๒๐๐๕ ท่านกล่าวว่า ท่านเชื่อว่าการล่มสลายของขบวนการยาเสพติดในเมืองสำคัญๆ ของภาคใต้ เช่น สุไหงโกลก จะทำให้ปัญหาความรุนแรงหยุดการขยายตัว ทักษิณได้พบกับผู้นำทางทหารเมื่อ ๓ เดือนก่อน ได้เจรจาหารือที่จะใช้เงินงบประมาณ ๕๖๗ ล้านล้านบาท (Bt567 billion/ US $ 14.46 Billion) ในการใช้จ่ายในปีต่อไป ชาวบ้านพูดถึงความไม่สงบเรื่องหลักเป็นการแสวงหาความยุติธรรม แต่ดูเป็นเรื่องตลกสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอคติต่อชาวบ้านมุสลิม ผลก็คือ พวกเขาจะประสบกับการฆาตกรรมหรือการสูญหายไปหากพวกเขากล่าวโจมตีการกระทำของพวกเจ้าหน้าที่หรือพวกก่อการร้าย ชีวิตขึ้นอยู่กับสถานที่หรือเวลา เขาได้เห็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะเห็น การกระทำที่ขาดการควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ปรากฏในการรายงานข่าว ชาวบ้านส่วนมากจึงปิดปากเงียบเพื่อความปลอดภัย “คุณบอกมาซิ ใครที่ผมจะไว้ใจเชื่อถือได้บ้าง คนระดับผู้นำย่อมรู้ดี อะไรกำลังเกิดขึ้น ผู้ที่สร้างปัญหามากที่สุดเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่าง มีทั้งทหารดีและทหารชั่ว ตำรวจด้วยเช่นกัน เราไม่เชื่อสื่อมวลชนในท้องถิ่น เพราะพวกเขาจะบิดเบือนข่าว พวกเขาจะยกย่องเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ไม่ได้ให้ความสนใจประชาชน การฆาตกรรม การระเบิด การยิง เป็นเรื่องเบื่อหน่ายของทหาร มักจะถูกโยงกับผู้ก่อการร้ายมุสลิม ทำให้ศาสนาอิสลามเสียภาพลักษณ์ที่ดีไป” รูชดีกล่าว สถิติของตำรวจแสดงว่าในรอบ ๒ ปีที่ผ่านมา มากกว่าครึ่งของการฆาตกรรม ที่เป็นเรื่องส่วนตัว (ไม่เกี่ยวกับความมันคง) เกิดขึ้นต่อชาวมุสลิม เช่นในปัตตานี เกิดขึ้นต่อมุสลิม ๓๓๐ ราย ต่อไทยพุทธ ๑๔๑ ราย,ในยะลา เกิดขึ้นต่อมุสลิม ๒๒๒ ต่อ ไทยพุทธ ๙๙ , และนราธิวาสเกิดต่อมุสลิม ๑,๔๐๖ ต่อไทยพุทธ ๒๓๗ เจ้าหน้าที่แถลงว่า เชื่อว่าเหยื่อชาวมุสลิมส่วนใหญ่เป็นทั้งเจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการ ระหว่าง ๔ มกราคม ๒๐๐๔ ถึง ๔ มกราคม ๒๐๐๖ จำนวนทั้งสิ้น ๑,๐๗๖ คนถูกฆ่าตาย และ ๑,๖๐๐ คนได้รับบาดเจ็บ ตามตัวเลขของกองทัพภาค ๔ ตัวเลขของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ เกิดจากทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายผู้ก่อการร้ายที่เกี่ยวโยงกับการแบ่งแยกดินแดน กลุ่มก่อการร้ายที่เรารู้จัก เช่น กลุ่มบีอาร์เอ็น, กลุ่มพูโล, เบอร์ซาตู มูจาฮิดดีน (จีเอ็มไอพี) และพูซากา เป็นเวลาไม่นานที่เข้ามาสร้างอิทธิพลใน ๓ จังหวัดภาคใต้ ต่อมาก็แทนที่ด้วยกลุ่มก่อการร้าย เป็นเยาวชนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ถ่ายทอดไปสู่บุคคลต่อบุคคล ที่ต้องการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและการล้างแค้น ชีวิตมีความไม่แน่นอน ผู้ก่อการร้ายรุ่นใหม่ไม่มีความผูกพันกับกลุ่มเก่าที่กล่าวถึง พวกเขาไม่มีใครรู้จัก “พวกเขาอาจจะเป็นใครก็ได้..เราไม่รู้ว่าพวกเขามีลักษณะอย่างไร แต่อย่างหนึ่งที่ประจักษ์ คือ พวกเขาไม่กลัวความตาย เมื่อบิดามารดารู้ว่าสูญเสียลูกชาย ถูกฆ่าโดยไม่รู้เหตุผล เขาจะอยู่ไปทำไม? เยาวชนถืออาวุธปืนอย่างเปิดเผย มีการระเบิด การข่มขู่คุกคาม เขาเสียเลือดและร่างกาย โดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด ๆ ตราบใดที่ความยุติธรรมยังไม่เกิดขึ้น” รุชดี กล่าว “จำนวนมุสลิมที่มีมากกว่าร้อยละ ๘๐ ของประชากรทั้งหมดในภาคใต้ ตำแหน่งในราชการมีอยู่ระหว่าง ร้อยละ ๔ ถึง ๒๐ เท่านั้นที่เป็นของชาวมุสลิม” ฮะญีอะหมัด พูดบ้าง ในคืนหนึ่งที่รุชดีพาผมซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเขาไปยังหมู่บ้าน ที่เรียกว่า บ้านบาลูกาสะนอ ประมาณ ๔๕ นาทีจากเมืองนราธิวาสถึงที่นั่น เขาพูดว่า “ไม่มีใครกล้าเข้าไปในหมู่บ้านในเวลากลางคืน เราอาจจะถูกฆ่าได้ตลอดเวลาโดยใครก็ไม่รู้” เขาพูดกับผม มีประมาณ ๑,๓๐๐ หลังคาเรือนในหมู่บ้านบาลูกาสะนอ ทุกแห่งที่ผ่านไป ชาวบ้านจะหยุดทักทายกับรุชดี และสอบถามข่าวคราวของญาติพี่น้องที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ เราได้รับการเสนอชวนรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มทุกแห่ง ผมได้รับการแนะนำให้รู้จักกับหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งกำลังเข้ายามรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านโดยมีปืน เอ.เค.๔๗ อยู่ในมือ “ทหารไทยเราไม่อยากให้เข้ามาป้องกันหมู่บ้านเรา นอกจากพวกเราดูแลกันเอง ทั้งหญิงและชาย ต่างหมุนเวียนกันทุกค่ำคืน” หัวหน้าหมู่บ้านพูด เส้นทางที่เรากลับ รุชดีและผมได้มองเห็นชายสองคนกำลังเข็นรถยนต์กระบะคันหนึ่งอยู่ในดินทรายบนเส้นทางจะไปยังเมืองนราธิวาส ดูเขากระวนกระวาย กลัว และยุ่งยากใจบนใบหน้า พวกเขาไม่ใช่มุสลิม ก่อนที่เราจะเข้าไปให้การช่วยเหลือ รถปิคอัพก็พ้นจากทรายโดยมีชายมุสลิมสองคน ช่วยลากรถกระบะของเขาไปยังเมืองนราธิวาสที่พวกเขาทั้งสอง (ไทยพุทธ) กำลังจะไปชายดังกล่าวพยักหน้าและจับมือรุชดีและขอบคุณพวกเขา (มุสลิม) รุชดีหันมาทางผมและถามว่า “คุณว่ามีความขัดแย้งทางศาสนาไงล่ะ?” ผมบอกเขาว่า หากรัฐบาลไทยได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องและไม่กระทำรุนแรงต่อผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นพวกก่อการร้าย เขาชิงสอดว่า “สิ่งที่พวกมุสลิมไปเป็นผู้ก่อการร้าย มิใช่เพียงปัญหาของความยากจน ปัญหาขัดแย้งทางศาสนาและเชื้อชาติเท่านั้น เมื่อศาสนาของคุณ และสิทธิของคุณถูกคุกคาม คนรักของคุณถูกฆ่า พวกคุณปราศจากความยุติธรรม คุณจะทำอย่างไร คุณจะหยิบปืนขึ้นต่อสู้หรือไม่?” เขาพูดและความเงียบก็เข้ามาแทนที่เป็นเวลานาน มันช่างฝังเข้าไปในความคิดของผมจริง.ๆ... !!! หมายเหตุ ชื่อบุคคลได้ถูกเปลี่ยนเป็นนามสมมติ เพื่อความปลอดภัย และเพื่อเป็นส่วนตัวในการสัมภาษณ์ การสนทนากันนี้ได้เรียบเรียงขึ้นที่มาเลเซีย
- คนไทยมาจากทะเล : ญี่ปุ่นพูด ฝรั่งกระพือ คนไทยตาม
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2546 เดี๋ยวนี้ในบางครั้งบางเวลา ข้าพเจ้าออกจะคล้อยตามสิ่งที่ฝรั่งนักวิชาการในยุคล่าอาณานิคมบอกว่า คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีความคิดและสติปัญญาในการสร้างอารยธรรมให้กับตนเอง จึงต้องอาศัยการรับความเจริญมากจากภายนอก คือจากอินเดียและจีนมาเป็นรากฐาน เหตุนี้จึงมีการเรียกดินแดนในภูมิภาคนี้ว่า อินเดียตะวันออกบ้าง อินโดจีนบ้าง รวมทั้งเวลาจะอธิบายอะไรต่ออะไรทางศิลปวัฒนธรรมก็มักลากเข้าหาอินเดียและจีนอยู่ร่ำไป ทุกอย่างจึงมาจากข้างนอกทั้งสิ้น คนภายในคิดไม่เป็น เหตุที่ข้าพเจ้ามีความรู้สึกและคิดเช่นนี้ก็เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีนักวิชาการไทยหลายคน สรรเสริญสิ่งค้นพบของนักวิชาการฝรั่งคนหนึ่งในเรื่องประวัติความเป็นมาของผู้คนและบ้านเมืองว่า “คนไทยมาจากทะเล” เลยทำให้ตื่นเต้นและถึงบางอ้อ ที่คัดค้านความคิดและความเชื่อแต่เดิมว่า คนไทยอพยพเคลื่อนย้ายจากประเทศจีนมาทางบก มาตั้งสุโขทัยและอยุธยาเป็นราชธานี ข้าพเจ้าเผอิญอยู่ในกระแสของการเผยแพร่ความคิดที่กำลังจะทำให้คนไทยเชื่อโดยบังเอิญ จึงใคร่แสดงความคิดเห็นไว้ในทีนี้ คือเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๔๒ ที่แล้วมา มีการสัมมนาไทยศึกษากันที่จังหวัดนครพนม ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ไปเสนอบทความในการประชุมครั้งนี้ด้วย ก็มีนักวิชาการญี่ปุ่นคนหนึ่งคือ ศาสตราจารย์โยเนโอะ อิชิอิ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทยท่านหนึ่ง ได้เสนอว่า มีหลักฐานทางเอกสารโบราณซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนไทยที่สร้างบ้านแปงเมืองจนเกิดกรุงศรีอยุธยานั้นเป็นพวกมาจากทางทะเล ต่อมาก็มีฝรั่งคนหนึ่งค้นคว้าเรื่องนี้ออกมาเผยแพร่และชี้ให้เห็นว่าเป็นจริง จึงกลายเป็นสิ่งค้นพบใหม่ที่ค้านของเก่า จนทำให้นักวิชาการไทยคิดตามและเชื่อกัน อีกหน่อยก็คงจะเชื่อตาม ๆ กันไปอย่างแพร่หลาย เลยดูเข้ากันได้ดีกับสิ่งที่ฝรั่งยุคล่าอาณานิคมเคยดูถูกไว้ ข้าพเจ้าเห็นว่า สิ่งที่เชื่อและตามกันเช่นนี้เป็นเรื่องตลก เพราะดูเป็นการเลือกสรุปแบบกลวงๆ ง่ายและสั้น ที่ทำให้คนเชื่อโดยไม่ต้องคิด อาจเป็นประโยชน์ให้เกิดเป็นคนดังท่ามกลางสังคมของคนที่คิดอะไรไม่เป็นได้ เลยทำให้คิดถึงนักวิชาการไทยคนหนึ่งที่เกาะติดกับเรื่องคนไทยมาจากไหนและสุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของเมืองไทย คือ สุจิตต์ วงษ์เทศ ซึ่งไม่เคยประกาศตัวเองว่าเป็นนักวิชาการแม้แต่ครั้งเดียว แต่แสดงตัวให้เห็นว่าเป็นนักเขียนนักคิดธรรมดาที่แสวงหาความรู้จากประสบการณ์ในการท่องเที่ยวไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ตั้งแต่แรกเริ่มเป็นนักศึกษา จนเวลานี้ก็อยู่ในวัยชราที่กำลังถูกคุกคามด้วยโรคภัย ข้าพเจ้ามีส่วนร่วมในวิบากกรรมของสุจิตต์มาตั้งแต่เริ่ม เพราะไปรับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของชุมนุมศึกษาวัฒนธรรม-โบราณคดีที่นักศึกษากลุ่มหนึ่งของคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกันตั้งขึ้นมาเพื่อออกไปศึกษาหาประสบการณ์และความรู้ในท้องถิ่นต่าง ๆ ของประเทศเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๐๗-๒๕๐๘ เป็นต้นมา แม้ว่าชุมนุมที่ว่านี้จะสลายตัวไปนานแล้วก็ตาม แต่นักศึกษาที่เกาะติดกับการเรียนรู้และประสบการณ์อย่างไม่เลิกนั้นมี ๓ คน คือ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับ ๑๐ ของกรมศิลปากร ขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริหารหนังสือพิมพ์มติชน และสุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการหนังสือศิลปวัฒนธรรม พิเศษเป็นนักวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีบริสุทธิ์ ทั้งค้นคว้าคิดและเขียนอย่างต่อเนื่อง ขรรค์ชัยเป็นนักธุรกิจที่สนใจสนับสนุนการค้นคว้าและเผยแพร่ความรู้อย่างไม่คำนึงถึงคำว่าขาดทุน ส่วนสุจิตต์นั้นทำเต็มตัวตั้งแต่เป็นนักค้นคว้า นักเขียน จนถึงการหาทุนรอนมาพิมพ์เป็นหนังสือศิลปวัฒนธรรม จนในที่สุดเหนื่อยและเจ๊งในเรื่องทุนรอน ต้องโอนกิจกรรมมาให้ทางสำนักพิมพ์มติชน แล้วทำหน้าที่เป็นทั้งนักค้นคว้า นักเขียน และบรรณาธิการต่อไป ซึ่งก็ทำให้งานค้นงานคิดและงานเขียนของสุจิตต์ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่สุขภาพร่างกายของตัวเองก็แย่ลง ข้าพเจ้าติดตามงานและความคิดของสุจิตต์ตลอดมาและคิดว่า สุจิตต์ค้นพบอะไรใหม่ ๆ ในกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งถ้าพูดแบบดัดจริตให้เป็นวิชาการก็คือ การวิจัย มากมายกว่าเรื่อง คนไทยมาทางทะเล หลายร้อยเท่า อย่างแรกคือ การที่สุจิตต์พบตัวเองว่าเป็นไพร่อย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นความเป็นจริงที่เป็นของคู่กันกับสิ่งสมมติ คือ การเป็นผู้ดี ความเป็นคนไทยกับความเป็นผู้ดีเป็นเรื่องสมมติพอ ๆ กันและไปด้วยกันได้ แต่ความเป็นไพร่ของสุจิตต์นั้นสัมพันธ์กับความเป็นจริง คือ เจ๊กปนลาว เพราะพ่อเป็นลาวพวนและแม่เป็นลูกเจ๊ก การศึกษาแบบไพร่ ๆ ของสุจิตต์จึงนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจว่าในดินแดนประเทศไทยนั้น แท้จริงก็ประกอบด้วยคนหลายกลุ่มเหล่าทางชาติพันธุ์ มีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ยังไม่รู้ว่าคนพูดภาษาไหน มาจนถึงมีการรวมตัวผสมผสานกันเป็นรัฐเป็นอาณาจักรที่มีภาษาและวัฒนธรรมร่วมกันเป็นสยามประเทศและเป็นคนไทยซึ่งเป็นชนชาติโดยสมมติในที่สุด โดยเหตุนี้สุจิตต์จึงรู้และแยกคำว่า คนไทยที่เป็นชื่อสมมติของคนในดินแดนประเทศไทยออกจากคนไทยที่เป็นความจริงทางชาติพันธุ์ที่มาจากภายนอกได้ดี เพราะฉะนั้น เรื่องที่สุจิตต์บอกว่า คนไทยอยู่ที่นี่ คือในดินแดนประเทศไทยมาแต่ก่อนสมัยสุโขทัย จึงเป็นเรื่องที่ถูก แต่ในขณะเดียวกันที่เสนอเรื่องกว่าจะเป็นคนไทย อันเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยที่อยู่นอกดินแดนประเทศไทยก็ถูกอีกเช่นกัน แก่นของการศึกษาเรื่องชนชาติไทยของสุจิตต์อยู่ที่ เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งในและนอกประเทศไทยที่มีมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะหลักฐานทางโบราณคดีนั้นแสดงว่าก่อนยุคสำริดและเหล็ก ผู้คนในดินแดนประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงไม่ว่าลาว เขมร พม่า ญวนมีน้อยมาก แต่มีที่ราบลุ่มและอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ทำให้ผู้คนจากภายนอกทั้งจากตอนใต้ของจีนและโพ้นทะเล เคลื่อนย้ายเข้ามาทั้งทางบกและทางทะเลเพื่อการค้าขายแลกเปลี่ยนส่วนตัวและตั้งถิ่นฐานให้เกิดเป็นบ้านเป็นเมือง สุจิตต์ไม่ได้มองการเคลื่อนย้ายของคนที่มาจากภายนอก เป็นการเคลื่อนย้ายแบบยกโขยงกันมาหมด อย่างเช่นเรื่องที่เชื่อว่าคนไทยหนีร่นยกโขยงจากตอนใต้ของจีนมาตั้งสุโขทัย เป็นต้น ทำนองตรงข้ามเป็นการเคลื่อนไหวแบบไป ๆ มา ๆ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างที่มาและที่ไปอย่างต่อเนื่อง จึงมีหลักฐานทางโบราณคดีและชาติพันธุ์สนับสนุนให้เห็นได้ชัดเจน ที่สำคัญก็คือ กลองกบหรือกลองมโหระทึก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เนื่องในพิธีกรรมเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ และเป็นสิ่งของสมมติแสดงสถานภาพของบุคคลสำคัญที่เป็นประมุขของบ้านเมืองและชนเผ่า ผลิตขึ้นในบ้านเมืองที่มีอารยธรรมทางตอนใต้ของประเทศจีน แพร่เข้ามาตามเส้นคมนาคมทางบกและทางน้ำในดินแดนประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง โดยเฉพาะมโหระทึกที่เข้ามาตามเส้นคมนาคมทางบกนั้น ดำรงอยู่อย่างสืบเนื่องจนกลายมาเป็นวัตถุทางชาติพันธุ์ที่ท้องถิ่นสามารถผลิตเองได้ เช่น กลองกบของพวกกระเหรี่ยงในประเทศพม่าและกลองมโหระทึกในราชสำนักของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น ถ้าดูการเคลื่อนไหวของผู้คนจากภายนอกตามเส้นทางที่พบกลองมโหระทึกหรือกลองกบแล้ว ก็พูดได้อย่างเต็มปากว่ามีคนเคลื่อนย้ายไปมาและตั้งถิ่นฐานในดินแดนประเทศไทยแล้วทั้งทางบกและทางทะเลแต่ยุคสำริดและเหล็กลงมา คนที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยคือคนหลายเผ่าพันธุ์หลายชนชาติที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งและมีบูรณาการทางวัฒนธรรมขึ้นเป็นคนไทย การเคลื่อนไหวมีหลายยุคหลายสมัยในประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจศึกษาวิเคราะห์ได้จากหลักฐานทางโบราณคดี แต่น่าเสียดายว่านักโบราณคดีไทยทั้งที่เรียนมาจากต่างประเทศและในประเทศ วิเคราะห์ไม่เป็น ทำเป็นแต่แจกแจงรูปแบบศิลปะแต่ละยุคแต่ละสมัยหรือไม่ก็แยกแยะชั้นดิน ชั่งเศษหม้อเศษไหเพื่อกำหนดอายุของแหล่งโบราณคดีเท่านั้น เมื่อไม่มีการศึกษาและวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีที่จะเชื่อมโยงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มชน นักประวัติศาสตร์ก็ไม่สามารถเอาหลักฐานทางด้านเอกสารมาเชื่อมโยงและตีความได้ เพราะหลักฐานลายลักษณ์ในด้านจารึกนั้นกระท่อนกระแท่น ในขณะที่หลักฐานทางตำนานส่วนใหญ่เป็นเรื่องสร้างขึ้นทีหลัง เลยทำให้บรรดานักประวัติศาสตร์ไม่กล้าใช้ตำนานมาสร้างเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ แต่สุจิตต์มีแนวคิดและวิธีการทางภูมิศาสตร์ที่สามารถเชื่อมโยงหลักฐานทางโบราณคดีให้เข้ากับหลักฐานทางลายลักษณ์เช่นจารึกและตำนานพงศาวดารได้ดี คือมองหลักฐานทางโบราณคดีในลักษณะที่เชื่อมโยงเป็นชุมชนบ้านเมืองและเส้นทางคมนาคมที่โยงใยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองเข้าด้วยกัน จึงทำให้เห็นการเกิดและเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองและผู้คนในแต่ละยุคแต่ละสมัย สุจิตต์แลเห็นการเคลื่อนไหวของผู้คนทั้งจากภายนอกและภายในบนเส้นทางบกและทางทะเล ที่เข้ามาสัมพันธ์กันจนทำให้เกิดบ้านเมืองและรัฐขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘–๑๙ ลงมา ที่เกิดบ้านเมืองใหม่ ๆ ที่มีชื่อบ้านนามเมืองสืบมาจนทุกวันนี้ เช่น นครศรีธรรมราช ปัตตานี เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี สุโขทัย และอยุธยา เป็นต้น บ้านเมืองเหล่านี้มีตำนานพงศาวดารที่แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และเส้นทางคมนาคมแล้ว ยังกล่าวถึงชื่อคนสำคัญทั้งที่เป็นบุคคลในตำนานอันเป็นเรื่องสมมติและที่มีตัวตนในความเป็นจริงที่ทำให้เห็นได้ว่า บรรดาผู้คนในดินแดนประเทศไทยตามเมืองต่าง ๆ ที่เอ่ยชื่อมานั้นมีทั้งที่มาจากภายนอกทั้งทางบกและทางทะเล จึงเป็นเหตุให้ รองศาสตราจารย์ปรานี วงษ์เทศ ผู้ภรรยา นำความคิดไปอธิบายกำเนิดของคนบนพื้นแผ่นดินใหญ่เอเชียอาคเนย์เชิงสัญลักษณ์เป็นรูปของน้ำเต้าปุงและเรือสำเภาที่แสดงไว้ในห้องนิทรรศการทางวัฒนธรรม ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เรือสำเภาคือสัญลักษณ์ของคนที่เข้ามาทางทะเล ที่สุจิตต์เห็นว่าสอดคล้องกับตำนานของพระเจ้าอู่ทองที่มีระบุไว้ในจดหมายเหตุฟอนฟลิตว่า เป็นลูกเจ้ากรุงจีนถูกเนรเทศเข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองตั้งแต่ปัตตานี นครศรีธรรมราช กุยบุรี เพชรบุรี และอยุธยาตามลำดับ แต่สุจิตต์ไม่สนใจว่า พระเจ้าอู่ทองมีตัวตนจริงหรือไม่ หากเป็นเพียงสัญลักษณ์ของการเคลื่อนเข้ามาของคนรุ่นใหม่ ยุคใหม่ที่เข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองตั้งแต่ปากน้ำเพชรบุรี แม่กลอง ท่าจีน จนถึงเจ้าพระยา ผู้คนตามบ้านเมืองเหล่านี้โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ นนทบุรี ถึงอยุธยา คือผู้คนที่มาจากทางทะเลนั่นเอง และคนเหล่านี้แหละที่มีการสังสรรค์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองกับคนที่อยู่ภายในที่เคลื่อนย้ายมาจากภายนอกทางบกไม่ว่าจะเป็นสุโขทัย พิษณุโลก เชียงใหม่ ทำนองนั้น ดังนั้นในสำนึกไพร่ของสุจิตต์ วงษ์เทศ ซึ่งแม่เป็นลูกเจ๊กผู้เป็นเชื้อสายของคนที่เข้ามาทางทะเล ในขณะที่พ่อเป็นคนลาวเป็นพวกมาจากทางบก นี่คือความเป็นจริงทางชาติพันธุ์ แต่ถ้าเชื่อเรื่องสมมติก็เป็นคนไทย เพราะอยู่ในดินแดนประเทศไทย นับถือพระพุทธศาสนา และพูดภาษาไทยสื่อกับคนอื่น ๆ ได้ทั้งราชอาณาจักร แต่ถ้าเชื่อตามฝรั่งบอก ฝรั่งสอน ความเป็นคนไทยมาจากทะเลก็คือความโง่เพียงอย่างเดียว อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “เด็กเป็นศูนย์กลาง”วาทกรรมคำโตๆ ที่แสนกลวง
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2547 การใช้คำโต ๆ เพื่อสื่อความคิดและเจตนารมย์ของรัฐบาลให้ผู้คนทั่วไปในสังคมไทยรับรู้นั้น มีมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อราวสี่สิบปีที่ผ่านมานับเป็นวิธีการที่รับอิทธิพลมาจากฝรั่งโดยแท้ เพราะเป็นยุคที่การศึกษาไทยทั้งระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างก็ถูกครอบงำโดยวัฒนธรรมอเมริกันอย่างสิ้นเชิง คำโต ๆ ที่ใช้กันอย่างติดปากติดใจในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของยุคนั้นก็คือ “งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข” นับว่ามีฤทธิ์มากเพราะนอกจากทำให้คนไทยเกิดสำนึกในเรื่องความเป็นปัจเจกแล้วยังกระตุ้นนิสัยบริโภคนิยมทางวัตถุอย่างเพลิดเพลิน ภาวะความเป็นเศรษฐกิจฟองสบู่ที่ยังความพินาศให้กับชีวิตคนเป็นจำนวนมากอาจนับได้ว่าเกี่ยวเนื่องกับคำโต ๆ นี้ไม่ใช่น้อย กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูกับลูกศิษย์ที่เลือก “เรียนโดยการกระทำ” คือการเรียนโดยการปฏิบัติหรือเรียนรู้อย่างมีประสบการณ์ พอมาถึงยุคนี้ในทศวรรษนี้ คำโต ๆ ก็กลับมามีฤทธิ์อีกตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาจนถึงพรรคไทยรักไทย คราวนี้ไม่ใช่เอามาใช้ในการพัฒนาประเทศแต่เป็นเรื่องการปฏิรูปการศึกษา รู้สึกว่ามีการขานรับกันอย่างมากมายในหมู่ปัญญาชนสมัยใหม่ที่นิยมชมชื่นกับการสร้างวาทกรรมในยุคหลังสมัยใหม่ ทำให้เกิดการรื้อและปรับเปลี่ยนโครงสร้างแต่เดิม มีนโยบายและการดำเนินการในระบบโครงสร้างใหม่ๆ ขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะทำให้เกิดการแบ่งเขตการศึกษาและการสร้างหลักสูตรท้องถิ่นใหม่ ๆ ให้เด็กเรียน เพื่อที่จะได้เรียนรู้ในสิ่งใกล้ตัวที่ทำให้คิดเป็นทำเป็นไม่ใช่เอาแต่เรียนแบบท่องจำเพื่อให้ได้คะแนนดีอย่างแต่ก่อน แถมยังมีคนที่เป็นเจ้าความคิดหลายคนมาสนับสนุนให้มีการสอนการเรียนที่ทำให้เด็กมีความสุขและเพลิดเพลินด้วย แต่ผลที่ทำให้เกิดปัญหาและความขัดข้องขึ้นในขณะนี้ทำให้มีผู้ที่เกิดความทุกข์ขึ้นก็คือครู โดยเฉพาะครูตัวเล็กๆ ที่ต้องทำหน้าที่ปฏิบัติในการสอนและสร้างความรู้และหลักสูตรท้องถิ่นให้เด็กได้เรียน ความทุกข์อย่างแรกก็คือ ไม่รู้จะสร้างหลักสูตรท้องถิ่นอย่างใดที่ทำให้เด็กหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลางได้ ในขณะที่ความทุกข์ที่ตามมาก็คือ การปรับตัวเองเข้าสู่โครงสร้างและสถานภาพแบบใหม่ที่ตนเองกำลังถูกประเมินในเรื่องศักยภาพจากเจ้านายใหม่ โดยเฉพาะผู้บริหารโรงเรียนและหัวหน้าเขตการศึกษา ความขัดแย้งและปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น รัฐและผู้รับผิดชอบไม่สนใจที่จะรับรู้ เพราะเคยชินกับการแก้ไขปัญหาแบบ why หาได้ใส่ใจกับการที่จะทำอย่างไรที่เรียกว่า how ให้เป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่ การเน้นแต่เพียง why แบบลอย ๆ ด้วยคำโต ๆ ที่เรียกว่าเด็กเป็นศูนย์กลางนั้น ถ้านำมาสัมพันธ์กับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมแล้ว ก็คือเรื่องของการเปลี่ยนขั้วโดยตรง เพราะทั้งประเพณีและพฤติกรรมทางสังคมไทยที่มีมาช้านานนั้น ครูคือศูนย์กลาง เพราะถือว่าเด็กยังเป็นผู้อ่อนผู้เยาว์ต้องได้รับการสั่งสอนทั้งทางโลกและทางธรรมจากครู ทั้งทำหน้าที่เสมือนตัวแทนของพ่อแม่ ครูในสังคมไทยจึงนับเป็นปูชนียบุคคลที่เป็นสถาบันมาช้านาน เด็กจะดีหรือไม่ดีนั้นครูมีส่วนร่วมด้วยเสมอ ถ้าเด็กเรียนไม่ดีประพฤติไม่ดีครูนั่นแหละที่จะถูกสังคมประเมินและกล่าวหา ถ้าจะมองปัญหาการศึกษาของนักเรียนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จากระบบการศึกษาที่ผ่านมาก็จะพบว่ารัฐและผู้บริหารการศึกษาระดับสูงคือผู้ที่สร้างปัญหานี้ ซึ่งก็ประเมินได้จากความรู้สึกและประสบการณ์ของข้าพเจ้าเอง กรณีเด็กนักเรียนสมัยข้าพเจ้านั้นต้องเรียนทั้งท่องจำและคิดตามครู แต่ก็สามารถนำเอาสิ่งต่าง ๆ ที่เรียนมานั้นเชื่อมโยงให้เป็นเรื่องราวได้จากการแต่งเรียงความ ซึ่งทำให้สามารถแลเห็นการคิดที่เป็นเหตุผลและนำมาเรียบเรียงเป็นภาษาที่สื่อกับคนทั่วไปได้รวมทั้งเป็นสิ่งที่จะทำให้ครูหรือคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์และประเมินข้อดีข้อเสียได้ด้วย แต่นับแต่ที่รัฐนำเอาระบบการศึกษาแบบปรนัยเข้ามาให้ครูสอนกัน ความสามารถของนักเรียนที่จะแต่งเรียงความก็หมดความหมายไป หันมาเรียนอะไรที่เป็นเสี่ยง ๆ และท่องจำกันเอาไปตอบเป็นเรื่อง ๆ จนเชื่อมโยงอะไรไม่เป็น ครูเองก็ได้รับการอบรมชี้แนะในเรื่องเทคนิคและวิธีการสอนที่ทันสมัยแบบฝรั่งมากกว่า ที่จะนำไปปรับให้เข้ากับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมทั้งระดับบ้านและเมือง ความเก่งของครูจะไปขึ้นอยู่กับการได้เล่าเรียนวิชาการศึกษาที่เน้นแต่แนวคิดทฤษฎีและเทคนิควิธีการจากสังคมตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ และดูเหมือนบรรดาอรหันต์ห้าร้อยที่รับผิดชอบในการปฏิรูปการศึกษาในทุกวันนี้ก็คือผลพวงของวิชาการศึกษาแบบที่ว่านี้ทั้งสิ้น จึงแลไม่เห็นบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับครูและเด็กแต่อย่างใด ดูเหมือนการมีปฏิกิริยาโต้ตอบวาทกรรมเรื่องเด็กเป็นศูนย์กลางที่สร้างความฮือฮาให้แก่คนทั่วไปในสังคมได้อย่างน่าประทับใจก็คือ การที่เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งขึ้นมากล่าวว่าการปฏิรูปการศึกษานั้นทำให้เกิดควายเซ็นเตอร์มากกว่าเด็กเป็นศูนย์กลาง ความรุนแรงของคำนี้ก็คือการที่จะทำให้เด็กกลายเป็นคนโง่แบบควายมากกว่าที่จะเป็นคนฉลาด อันที่จริงแล้วก็มีนักวิชาการศึกษาหลายคนในบ้านเมืองที่ไม่พยายามสร้างตัวเองให้เป็นอรหันต์ ได้นำเอาความคิดในเรื่องเด็กเป็นศูนย์กลางนี้มาศึกษาและถกเถียงกันนานแล้ว เพราะเป็นแนวคิดที่มาจากทางตะวันตก โดยเฉพาะจากนักคิดคนสำคัญคนหนึ่ง คือ จอห์น ดิวอี้ แก่นของความคิดที่เป็นวาทกรรมอย่างหนึ่งก็คือ “การเรียนโดยการกระทำ” นั้นคือการเรียนโดยการปฏิบัติหรือเรียนอย่างมีประสบการณ์นั้นเอง เมื่อปฏิบัติและมีประสบการณ์นั่นแหละจะสามารถทำให้คิดได้และทำได้เป็นผลตามมา แต่ดูเหมือนบรรดานักการศึกษาใหญ่ ๆ ของไทยถอดรหัสแก่นแท้ของความหมายนี้ไม่ได้ เพราะขาดความเข้าใจในบริบทของความเป็นมนุษย์และสังคม จึงมาคิดเป็นโครงสร้างและระบบเชิงเทคนิคที่ห่างความเป็นจริงไป นั่นคือการทำให้เด็กเรียนรู้อย่างเป็นปัจเจกบุคคลซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากว่าเด็กในยุคต่อไปจะเรียนเก่งหรือทำอะไรเก่ง ๆ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวเท่านั้น เมื่อเกิดขึ้นก็เท่ากับเป็นการขานรับค่านิยมในเรื่องปมด้อยปมเด่นที่สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่มีการเสนอมาอย่างตลกก็คือ การสร้างครูต้นแบบซึ่งก็เป็นเรื่องของการเป็นปัจเจกที่ผิดจากความเป็นมนุษย์อีกนั่นแหละ “โรงเรียนเพลินพัฒนา” โรงเรียนแบบใหม่ที่สามารถตอบสนองการเรียนรู้อย่างมีสติปัญญา เมื่อมาถึงตอนนี้ทำให้คิดไปถึงเรื่องต้นแบบอีกอย่างหนึ่ง คือเรื่องของโรงเรียนต้นแบบ ดูเหมือนจะเข้าท่ากว่าครูต้นแบบเป็นไหน ๆ เพราะมีอยู่แล้วในสังคมไทย เช่น โรงเรียนวชิราวุธที่รัชกาลที่ ๖ ทรงสร้างขึ้นโดยทรงเอาความคิดและแบบอย่างมาจากโรงเรียนในประเทศอังกฤษ หรือไม่ก็โรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ควรจะได้มีการนำมาเปรียบเทียบและวิพากษ์วิจารณ์เพื่อหาอะไรที่ใหม่และเหมาะสมขึ้นมาเป็นโรงเรียนต้นแบบในปัจจุบันได้ แต่ข้าพเจ้าก็ยังนึกไปถึงโรงเรียนในภาคเอกชนอีกหลายแห่ง ที่ดูเหมือนประสบผลสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษาให้เด็กนักเรียนได้ดีและชัดเจนกว่าของรัฐบาล ดังเช่น โรงเรียนรุ่งอรุณ และโรงเรียนเพลินพัฒนา เป็นต้น ข้าพเจ้าเคยเห็นการเรียนการสอนที่น่าสนใจของโรงเรียนเหล่านี้ แต่ไม่เคยเห็นอะไรที่เด็กเป็นศูนย์กลางหรือแม้กระทั่งครูเป็นศูนย์กลางอย่างแยกขั้ว แต่ในขณะเดียวกันแลเห็นการถอดรหัสการเรียนโดยการกระทำของจอห์น ดิวอี้ได้อย่างดีมาก นั่นคือแลเห็นการเรียนรู้ร่วมกันของครูและนักเรียนในเวลาเดียวกัน โดยครูต้องทำหน้าที่ค้นคว้าและคิดหัวข้อหรือโจทย์ให้เด็กไปทำการหาคำตอบร่วมกัน จะเป็นเรื่องของการค้นคว้าในห้องสมุดหรือจากประสบการณ์นอกสถานที่ก็ได้ ในการดำเนินงานนั้นครูไม่ได้ทิ้งลูกศิษย์ หากเฝ้าติดตาม ค้นคว้า แนะนำและเพิ่มเติมตลอดเวลา ในขณะที่เด็กเองก็มีการปรึกษาหารือแบ่งกันไปทำงานตามความถนัดหรือความสนใจของแต่ละคนโดยมีความมุ่งหมายที่ผลสำเร็จร่วมกันอย่างไม่จำเป็นว่าใครเก่งกว่าคนโน้นคนนี้ นับเป็นการเรียนโดยประสบการณ์ที่เป็นกลุ่ม เมื่อเป็นเช่นนี้ความเป็นปัจเจกก็ไม่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการรับรู้และยอมรับความสามารถและความถนัดของแต่ละคนที่มีส่วนร่วม เมื่อทำงานเสร็จก็เป็นความภูมิใจของทุกคน สิ่งนี้นำไปสู่การเกิดสำนึกร่วมกันของการเป็นกลุ่มที่มีจริยธรรมเยี่ยงมนุษย์ในฐานะเป็นสัตว์สังคมโดยแท้ ข้าพเจ้าใคร่ฝากความหวังไว้กับการเรียนรู้ร่วมกันทั้งของครูและนักเรียนแบบนี้มากกว่าคำโต ๆ ที่แสนกลวงอย่างเด็กเป็นศูนย์กลางของนักวิชาการแบบอรหันต์ของรัฐบาล อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- เมืองโบราณสยามประเทศ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2547 วันที่ ๑๗ พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ตรงกับวันที่คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ จากไปเป็นปีที่สี่ เพื่อระลึกถึงท่าน มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จึงจัดกิจกรรมทางปัญญาเพื่อเด็กและบุคคลที่สนใจขึ้นที่เมืองโบราณอย่างเช่นที่เคยทำมาแต่ปีที่แล้ว เนื่องในวันเล็ก-ประไพ รำลึก ครั้งที่ ๒ เล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณ ปีนี้เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งและยุ่งยากทางสังคมและวัฒนธรรมขึ้นในบ้านเมืองหลายแห่งและหลายครั้ง บางแห่งก็เกิดอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงขึ้น เช่นเหตุการณ์ในเขตสามจังหวัดภาคใต้ที่ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่เป็นคนมุสลิม เหตุหนึ่งของความยุ่งยากก็คือการที่ทั้งรัฐและสังคมมหาชนเชื่อว่าความวุ่นวายและความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะคนมุสลิมต้องการอยากที่จะแบ่งแยกดินแดนจึงก่อการร้ายขึ้น รัฐจำเป็นต้องใช้กำลังปราบปรามอย่างเด็ดขาด นับเป็นเรื่องน่าสนใจที่การแสดงออกในเรื่องความคิดเห็นของคนในสังคมมองทางนั้นเห็นว่าคนมุสลิมไม่ใช่คนไทยเพราะพูดภาษาไทยไม่รู้เรื่องและเป็นคนนอกศาสนา ข้าพเจ้าเห็นว่าการแสดงออกของคนในสังคมหาชนในเรื่องความเป็นคนไทยนี้ คือ ผลผลิตของการสร้างประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยมที่มีการอุปโหลกกันมาแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะครั้งนั้นได้มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก ประเทศสยาม มาเป็นประเทศไทย โดยเปลี่ยนใช้ชื่อของดินแดนมาเป็นชื่อของชนชาติ หลายคนไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ถึงกับได้เขียนบทความขึ้นมาแสดงความคิดเห็นคัดค้าน กรุงศรีอยุธยา คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ เป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับชื่อประเทศสยามเพราะท่านเข้าใจและแลเห็นการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของคนหลายชาติหลายภาษา หลายเผ่าพันธุ์ และหลายศาสนาในดินแดนสยามประเทศ คุณเล็กแลเห็นกลไกที่เชื่อมโยงให้ผู้คนที่หลากหลายได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในเรื่องของความเป็นคนไทย ความเป็นคนไทยเป็นเรื่องสมมุติที่เกิดจากกระบวนการดูดกลืนให้ผู้คนหลากหลายทางวัฒนธรรมและเผ่าพันธุ์มาเป็นพวกเดียวกัน สถาบันกษัตริย์และระบบศักดินานับว่ามีบทบาทสูงในการสร้างความเป็นคนไทย นั่นคือ พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของประเทศนั้นหาได้เป็นคนของเผ่าพันธุ์ใดไม่ คติทางพระพุทธศาสนาได้ยกให้พระองค์เป็นพระสมมุติราชเพราะเป็นผู้ที่อเนกนิกรสโมสรหรือผู้คนทั้งหลายในแผ่นดินพร้อมใจกันยกย่องและเทิดทูน พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก คือทรงดูแลประชานิกรในทุกพระศาสนาอย่างเสมอภาค คงเห็นได้จากการพระราชทานที่ดินให้คนต่างแดนต่างชาติที่เข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารตั้งหลักแหล่งชุมชน มีวัดและสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาตามประเพณีความเชื่อของพวกตน อีกทั้งยังให้กลุ่มชนนั้นๆ ปกครองกันเอง เลือกผู้ปกครองที่ทางรัฐให้การยอมรับและให้ตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ ยิ่งกว่านั้นบุคคลใดในชนชาติและเผ่าพันธุ์ใด ถ้าหากมีความรู้ความสามารถในวิทยาการต่าง ๆ ก็มีโอกาสที่เข้ามารับราชการเพื่อทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองและสังคมได้ เหตุนี้เองที่บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อยเป็นจำนวนมากแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาลงมาจนถึงกรุงเทพฯ ที่เรียกว่า ขุนนางหรือผู้ลากมากดี นั้น คือคนที่มีรากเหง้ามาจากเผ่าพันธุ์และศาสนาที่หลากหลายทั้งสิ้น ความเป็นคนไทยจึงเป็นเรื่องสัญลักษณ์ที่เกิดจากการดูดกลืนและบูรณาการทางวัฒนธรรมให้เป็นพวกเดียวกันในส่วนรวมเป็นสำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนที่หลากหลายทางเผ่าพันธุ์และศาสนาก็ยังคงธำรงสำนึกทางชาติพันธุ์และความเชื่อทางศาสนาของตนอยู่ ดังปรากฏให้เห็นในความเป็นชุมชนเมืองแทบทุกแห่งในประเทศสยามที่มีตลาดเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนและสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมล้วนมีผู้คนหลายเผ่าพันธุ์และศาสนาอยู่ด้วยกัน จนนับเป็นอัตลักษณ์อย่างหนึ่งของบ้านเมืองในสยามประเทศทีเดียว คุณเล็ก วิริยะพันธุ์เป็นผู้หนึ่งที่เติบโตมาในย่านสังคมเมืองที่มีความหลากหลายดังกล่าวนี้ ทำให้แลเห็นและซาบซึ้งว่า สังคมของคนสยามคืออะไร การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมอันสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนชื่อประเทศนั้น คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณเล็กสร้างเมืองโบราณขึ้น เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และรับรู้ถึงความสงบสุขและเรียบง่ายของสังคมสยามที่มีความสมดุลย์ในทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมนั้นเป็นอย่างใด ท่านต้องการทำให้เห็นว่าเมืองโบราณคือ “สยามประเทศ” ที่เต็มไปด้วยคนหลากหลายเผ่าพันธุ์และศาสนาได้อยู่กันอย่างสงบเป็นเวลานับพันปี สิ่งที่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความพยายามในเรื่องนี้ก็คือ การสร้างตลาดบกและตลาดน้ำที่คุณเล็กบอกว่าไม่ได้เป็นเพียงเป็นแค่ตลาดที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของ หากเป็นเมืองที่คนหลายชาติหลายศาสนาอยู่ร่วมกันตามที่ชาวต่างชาติที่มาเยือนแต่สมัยอยุธยาได้เขียนเล่าและบันทึกภาพไว้ โดยเฉพาะย่านที่เรียกว่าตลาดบกนั้น คุณเล็กให้ชื่อว่า “นครสยาม” คุณเล็กคือตัวอย่างของคนไทยสมัยก่อนเปลี่ยนชื่อประเทศ ที่แลเห็นว่าความเป็นคนไทยหาใช่เป็นเรื่องของเชื้อชาติ หากเป็นสิ่งที่เกิดจากการบูรณาการทางการเมืองและวัฒนธรรมของผู้คนที่หลากหลายในสยามประเทศมากกว่า ประเทศสยามคือดินแดนที่คนหลากหลายทางชาติพันธุ์และผู้คนมาอยู่ร่วมกันอย่างเสรีและสงบสุข “สยาม” คือประเทศ ผู้คนที่อยู่ร่วมกันคือ “คนไทย” สยามกับไทยจึงเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก เป็นสิ่งที่มีอยู่ในพระราชสำนึกของพระมหากษัตริย์ไทยทุกรัชกาล โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ซึ่งนับว่าทรงเป็นผู้นำในเรื่องชาตินิยมที่สำคัญ ดังในพระราชนิพนธ์โคลงสี่สุภาพที่มีการติดประดับไว้หน้ากระทรวงกลาโหมว่า หากสยามยังอยู่ยั้ง ยืนยง เราก็เหมือนอยู่คง ชีพด้วย หากสยามพินาศลง ไทยอยู่ ได้ฤา เราก็เหมือนมอดม้วย หมดสิ้น สกุลไทย แผนที่ “สยามประเทศ” ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ค.ศ.๑๖๘๖ ทุกวันนี้ประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยมคือสิ่งเหลวไหลแต่ว่ามีอิทธิพลทำให้คนในรุ่นใหม่ที่เป็นคนส่วนใหญ่ในสังคมมหาชนคลั่งไคล้กับความเป็นไทยอย่างสุดโต่ง เปิดโอกาสให้คนรู้เท่าไม่ถึงการณ์และคนชั่วร้ายที่มี “ช่องทาง” ทางราชการและเศรษฐกิจ อ้างอิงความเป็นไทยในจำนวนกว่า ๖๐ ล้านคนอันเป็น “สิ่งสมมติ” แสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองและพรรคพวก ด้วยการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติของคนท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเผ่าพันธุ์ อันเป็น “สิ่งที่เป็นความจริง” ของสยามประเทศอย่างไม่หยุดหย่อน การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ดำรงมาตลอดเวลากว่าสี่สิบปีที่ผ่านมาคือประจักษ์พยานในเรื่องนี้ คนรุ่นใหม่ขาดความเข้าใจกับรากเหง้าที่แท้จริงของความเป็นสยามประเทศที่ให้ความร่มเย็นและให้ความสมดุลย์ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม แก่ผู้คนในสังคมมากว่าพันปี ทางมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จึงถือโอกาสในวันครบรอบสี่ปีในการจากไปของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ จัดกิจกรรมทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเพื่อให้แลเห็นความเป็นสยามประเทศ ในปีนี้ที่เมืองโบราณ อันประกอบด้วย การเสวนาทางประวัติศาสตร์เรื่อง อยุธยาสยามประเทศ โดยมีอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม และดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ เป็นวิทยากรหลัก การนำชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสยามประเทศในเมืองโบราณให้กับครูและนักเรียนที่สนใจ รวมทั้งมีนิทรรศการเกี่ยวกับความเป็น อยุธยาสยามประเทศ เมืองหลวงเก่าแก่ที่รวมความหมายทางสังคมหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมจากหลักฐานทางวรรณคดี จิตรกรรม และโบราณคดี-โบราณสถาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่: