พบ 220 รายการ
- การขาดสติทางวัฒนธรรม (culture shock) ในสังคมไทยหลังน้ำท่วมใหญ่
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2554 ในฐานะนักมานุษยวิทยาสังคม (social anthropologist) ข้าพเจ้าคิดว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศครั้งนี้ เกิดภาวะหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในสังคมเป็นจำนวนมากแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เกิดภาวะสติแตกที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า การขาดสติทางวัฒนธรรม (culture shock) ขึ้น โดยเฉพาะคนกลุ่มใหม่ ยุคใหม่ของสังคมอุตสาหกรรมที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านช่องและเข้ามาทำงานในสถานที่ในแหล่งอุตสาหกรรม แหล่งบริการธุรกิจในเขตเมืองและชานเมือง เช่นคนที่มาอยู่ตามคอนโดมีเนียม บ้านจัดสรร และแหล่งนิคมอุตสาหกรรม คนเหล่านี้ถูกครอบงำทางความคิด ค่านิยมและโลกทัศน์แบบตะวันตกที่เป็นวัตถุนิยม ความเป็นปัจเจกเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและประสิทธิผลของความรู้ทางเทคนิควิทยาและเทคโนโลยีที่เน้นปัจจุบันและอนาคต แต่ที่สำคัญก็คือถูกอบรมให้อหังการแบบฝรั่งตะวันตกที่เชื่อว่าจักรวาลนี้จะควบคุมได้ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันแตกต่างไปจากการมองโลกของคนตะวันออกแต่เดิมที่เห็นว่ามนุษย์ต้องอยู่อย่างสยบและกลมกลืนกับจักรวาล เพราะไม่มีพลังอำนาจใด ๆ ที่จะต่อต้านและควบคุมจักรวาลได้ กลุ่มเก่าคือคนที่สยบต่อจักรวาล คือบรรดาผู้คนที่อยู่ในท้องถิ่นแต่เดิมที่เป็นสังคมเกษตรกรรม คนเหล่านี้ไม่กลัวน้ำและไม่หนีน้ำ มีการปรับชีวิตและที่อยู่อาศัยให้ไปกับน้ำได้ และเมื่อเกิดอุทกภัยขึ้นในครั้งนี้ก็ไม่ตระหนกตกใจจนขาดสติ ดังเช่นชาวบ้านชาวเมืองในเขตลุ่มน้ำนครชัยศรีหลายท้องถิ่นที่บอกว่า น้ำมาแล้วก็ไปตามธรรมชาติ เพราะคนเหล่านี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าทางสังคมไม่แปลกแยกเป็นปัจเจก ช่วยเหลือกันในการจัดการที่อยู่อาศัย เมื่อเกิดน้ำท่วมดูแลความปลอดภัยระหว่างกัน รวมทั้งการจัดหาที่หลบภัยพักพิงชั่วคราวระหว่างกัน หลายคนที่ข้าพเจ้าพูดคุยด้วยเห็นว่าปีต่อๆ ไปน้ำอาจจะมามากกว่านี้และรุนแรงกว่านี้ แต่จะไม่อพยพเคลื่อนย้ายไปไหน แต่จะปรับโครงสร้างท้องถิ่นที่อยู่อาศัยให้ไม่กีดขวางทางน้ำ มีการสร้างบ้านเรือนให้สูงขึ้น ต่อเรือและสร้างแพขึ้นเพื่อการคมนาคมและเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว รวมทั้งพัฒนาการเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับนิเวศลุ่มน้ำลำคลองขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้องพึ่งพิงอาหารอุตสาหกรรมประเภทแดกด่วนหรือสะดวกแดกที่แปะเปื้อนด้วยมลพิษและสารก่อมะเร็ง ชาวบ้านรุ่นใหม่หลายคนคิดไหมว่า การใช้พื้นที่ริมลำน้ำหรือหนองน้ำตามหน้าวัดให้เป็นเขตอภัยทานเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาธรรมชาติแทนกระชังของพวกนายทุนที่เลี้ยงปลาด้วยอาหารเคมี และสร้างมลภาวะให้กับพื้นน้ำธรรมชาติ เมื่อปลาโตแพร่พันธุ์และออกไปจากเขตอนุรักษ์ ชาวบ้านก็จะได้จับไปกินไปขายได้ ข้าพเจ้าแลเห็นสติปัญญาบังเกิดขึ้นกับผู้ประสบอุทกภัยที่มีรากเหง้ารู้จักอดีตและรู้จักตนเองเหล่านี้ ทำนองตรงข้ามบรรดากลุ่มคนที่ถูกครอบงำด้วยความเป็นอยู่สมัยใหม่ในสังคมอุตสาหกรรมที่คิดว่าจะควบคุมจักรวาลด้วยเทคโนโลยีกลายเป็นคนสติแตกจากอุทกภัยครั้งนี้ เพราะเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีเทคโนโลยีอันใดที่จะต่อต้านพลังน้ำที่ท่วมบ่ามาอย่างมหาศาลได้ คนเหล่านี้มักเป็นคนที่ลืมอดีตไม่สนใจอดีต โดยเฉพาะพวกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานตามแหล่งอุตสาหกรรมและในเมืองสมัยใหม่เหล่านี้ มักเคลื่อนย้ายมาจากท้องถิ่นต่าง ๆ แบบร้อยพ่อพันแม่ ไม่ใส่ใจและสนใจที่จะรู้ภูมิหลังของถิ่นฐานใหม่นี้อย่างไร อีกทั้งอยู่กันอย่างเป็นปัจเจกไม่เป็นกลุ่มเหล่าทางสังคม (social groups) เป็นชุมชนท้องถิ่นแต่อย่างใด ภาวะดังกล่าวแลเห็นได้จากเมื่อภัยพิบัติมาถึงก็รอแต่พึ่งรัฐและส่วนกลาง หรือไม่ก็หลบหนีเอาตัวรอด เกิดขโมยขโจรลักทรัพย์สิน สร้างความเสียหาย เกิดความอดอยากและถูกทอดทิ้ง ที่น่าสังเวชก็คือบรรดาคนมีเงินมีทองที่อยู่ตามบ้านจัดสรรราคานับหลายล้านและรถราพาหนะล้วนราคาแพงจมน้ำเสียหายหมด หลายแห่งมีการรวมกลุ่มกันป้องกันน้ำไม่ให้เข้าแหล่งที่อยู่อาศัยของตน เลยทำให้น้ำไปท่วมบ้านคนอื่นก็เกิดทะเลาะวิวาทกัน เกิดมีกลุ่มปรปักษ์ (factions) ขึ้นมากมาย เลยไม่เกิดสำนึกร่วมที่จะรวมพลังกันป้องกันน้ำเพื่อส่วนรวมของท้องถิ่น ปรกกฎการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนในสังคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ต่างคนต่างอยู่กันอย่างไม่มีความเป็นชุมชน (------) เพราะไม่มีโครงสร้างสังคมและสำนึกร่วมแต่อย่างใด การที่จะคิดทำอะไรเพื่อช่วยตัวเองและพึ่งพิงกันก็ไม่มี รอแต่ความช่วยเหลือจากทางรัฐและภายนอกแต่อย่างเดียว คนเหล่านี้คือผู้ขาดสติทางวัฒนธรรมที่คิดว่าน้ำท่วมครั้งนี้เกิดความเสียหายจนอยู่ไมได้แล้ว และอยากที่จะทิ้งถิ่นย้ายไปอยู่ที่อื่น ดังเช่นในช่วงเวลาวิกฤติพากันหนีน้ำไปเช่าคอนโด หรือโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวที่คนรู้จัก เช่นที่ปากช่อง หัวหิน ชะอำ พัทยากันอย่างมากมาย บางคนก็พากันไปหาที่ซื้อที่กันตามจังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ เป็นต้น ดูเหมือนว่าความตระหนกแตกตื่นดังกล่าวนี้เข้าทางบรรดานักธุรกิจการเมืองที่มีสิทธิเสียงและอำนาจอยู่ในรัฐบาลที่ไปเที่ยวกว้านซื้อที่ในต่างจังหวัดไว้เก็งกำไร แล้วสร้างกระแสความคิดในการย้ายเมืองหลวงขึ้น เพราะเห็นว่ากรุงเทพฯ อยู่ไม่ได้แล้ว โดยเสนอให้ย้ายไปอยู่ที่นครนายกแทน เรื่องความคิดที่จะย้ายกรุงเทพฯ ไปอยู่ที่อื่นนั้น เคยมีมาแล้วครั้งหนึ่งราว ๑๕-๑๖ ปีมานี้ ที่มีพวกนักวิชาการ นักการเมือง นักธุรกิจเห็นว่ากรุงเทพฯ เป็นมหานครที่แออัด จราจรติดขัด เกิดมลภาวะทั้งอากาศและขยะจนเกินแก้ ควรปล่อยให้น่าไปเองโดยการย้ายไปตั้งหลักแหล่งเมืองใหม่ในที่อื่น แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะกรุงเทพฯ ก็ยังเป็นเมืองที่แออัดและยิ่งเน่าเสียกว่าแต่เดิม และกลายเป็นแหล่งสะสมของคนร้อยพ่อพันแม่ในสังคมเมืองแบบอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น คอนโดมีเนียม บ้านจัดสรร ศูนย์การค้าแหล่งเริงรมย์ขึ้นมากมาย คนเพิ่มขึ้นกว่าแต่เดิมหลายเท่า เกิดโครงสร้างทางการคมนาคมเพิ่มขึ้น เช่น ทางยกระดับ รถไฟฟ้า รถใต้ดิน ถนนหนทางที่เบื้องหลังคือโครงการที่เกิดจากคอรัปชั่นของนักการเมืองที่มีอำนาจในรัฐบาลทั้งสิ้น ในทัศนะของข้าพเจ้า กรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนจากกรุงเทพมหานครมาเป็นกรุงเทพมหานรกแทน เป็นเมืองที่ห่อหุ้มไปด้วยป่าคอนกรีต อันเป็นที่อยู่ของพวกอนารยชนเมืองที่ไม่มีศีลธรรมและจริยธรรม (Urban barbarian) ความเป็นเมืองของกรุงเทพฯ ในสังคมอุตสาหกรรมนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงไปจากกรุงเทพฯ ในอดีตที่คนตะวันตกเรียกว่าเมืองลอยน้ำ และเวนิสตะวันออก เพราะไม่ได้เป็นเมืองที่อยู่กับน้ำอีกต่อไป เกิดถนนหนทางขึ้นมากมาย ถมคูคลอง ลำน้ำ ลำราง ที่เคยมีความหมายในการคมนาคม การระบายน้ำและชักน้ำเพื่อเอาพื้นที่สร้างถนน สร้างแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งเศรษฐกิจ แหล่งอุตสาหกรรมกันไปแทนทุกแห่งอย่างไม่มีระเบียบ และไม่มีแบบแผนและโซนนิ่ง ความต่างกันระหว่างกรุงเทพฯ ครั้งยังเป็นเวนิสตะวันออกที่เป็นศูนย์กลางของสังคมเกษตรกรรมนั้น แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกรับสิ่งเหนือธรรมชาติในการจัดพื้นที่อยู่อาศัยและทำกิน ความเป็นเมืองคลุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาคือทั้งฝั่งธนบุรีและกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ทางสังคม เศรษฐกิจที่ไม่มีทางแยกกันเป็นสองเมือง แต่เวลาเรียนประวัติศาสตร์คนรับรู้แต่เพียงว่ากรุงเทพฯ ธนบุรีเป็นคนละเมืองกัน เพราะไปพิจารณาจากพื้นที่ทางการบริหารและปกครอง ดังเช่นสมัยรัชกาลที่ ๑ ทรงย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงเทพฯ เป็นต้น แต่ความเป็นจริงเพียงย้ายศูนย์อำนาจในการปกครองมาอยู่ทางฝั่งกรุงเทพฯ เท่านั้น คือการย้ายพระราชวังจากเมืองธนบุรีมาสร้างพระบรมมหาราชวังเท่านั้น พร้อมทั้งขุดคูพระนครสร้างกำแพงเมืองขึ้นมาเพื่อเป้องกันข้าศึกศัตรู และการจัดการน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมและเพื่อการคมนาคมเป็นสำคัญ อีกทั้งเป็นฐานในการขยายเขตบ้านเมืองที่เป็นพื้นที่ทางสังคม – เศรษฐกิจมาทางฝั่งตะวันตกที่เป็นทีลุ่มต่ำกว่าทางฝั่งธน การสร้างกรุงเทพฯ ขึ้นมาในระยะแรกของรัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลที่ ๔ การคมนาคมก็ยังคงใช้เส้นทางน้ำที่เป็นแม่น้ำลำคลองอยู่ ยกตัวอย่างเช่นการขยายคูเมืองจากคลองโอ่งอ่างออกไปเป็นคลองผดุงกรุงเกษม การขุดคลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญเชื่อมการคมนาคมขนส่งระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำท่าจีน ประชาชนส่วนใหญ่ล้วนแต่ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมลำน้ำทั้งสองฝั่งน้ำแทบทั้งสิ้น ดังมีรายงานของฝรั่งว่า สมัยรัชกาลที่ ๔ เมืองไทยมีประชากรรวมสี่ล้านหกแสนคน ล้วนอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง โดยเฉพาะคนเมืองทางฝั่งธนบุรีส่วนมากเป็นชาวสวนผลไม้ และตั้งบ้านเรือนอยู่ตามลำคลองลำน้ำแทบทั้งสิ้น บ้านเมืองหนาแน่นอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนฝั่งตะวันออกเป็นที่ลุ่มต่ำเป็นป่าชายเลน และเป็นท้องทุ่งที่น้ำท่วมถึง มีการขุดคลองเพื่อขยายที่อยู่อาศัยและขุดคลองคมนาคมไปเชื่อมกับแม่น้ำบางปะกงก็เพียงคลองสำโรงที่มีมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้นเท่านั้น เพราะคลองส่วนใหญ่มักเป็นคลองเพื่อขยายแหล่งที่อยู่อาศัย ขุดแยกจากแม่น้ำใหญ่ไปลงทุ่งทางตะวันออก ซึ่งคลองเหล่านี้ยังมีหน้าที่ระบายน้ำที่ไหลลงจากทางเหนือที่มาตามลำน้ำเจ้าพระยาเพื่อไปออกทะเลตั้งแต่เขตอำเภอบางพลีจนถึงอำเภอบางปะกง อาณาบริเวณดังกล่าวมีรอยลำรางทั้งเก่าและใหม่ที่รับน้ำมาออกทะเลมากมาย โดยเฉพาะคลองบางเหี้ย คลองเทิน เป็นต้น สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมานั้น อยากเรียกว่าเป็นกรุงเทพฯใหม่ หรือสยามใหม่ เพราะมีการสร้างถนนหนทางและตั้งหลักแหล่งชุมชนเป็นแบบทางตะวันตกเป็นส่วนมาก ซึ่งพิจารณาจากรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่เป็นพระราชวัง วังเจ้านาย คฤหาสน์ของขุนนางคหบดี สถานที่ราชการ ร้านค้าและบ้านเรือที่อยู่อาศัยเป็นยุคที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกในยุคอาณานิคมแทบทั้งสิ้น ความเป็นคนกรุงหรือคนกรุงเทพฯที่มีตัวตนที่เหลื่อมล้ำกับคนจากเมืองอื่นเกิดขึ้นแต่ยุคนี้ สังคมไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ แม้ว่ายังมีสภาพเป็นสังคมเกษตรกรรมก็ตาม แต่หาได้เป็นเกษตรกรรมแบบกสิกร (Farmer) บนฐานเดิมของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา (peasant society) ที่มีมาแต่สมัยอยุธยาหรือก่อนหน้านั้น ลักษณะของการเป็นสังคมเกษตรกรรมกสิกร (farmer) ของสมัยนี้ก็คือ คนมีกรรมสิทธิ์ที่ดิน เกิดคนชั้นกลางและการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจ (cash crops) ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของภูมิวัฒนธรรมให้เกิดเป็นแบบใหม่ขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการเปลี่ยนป่าให้เป็นนา ปรับที่สูงต่ำให้เป็นท้องนา ทุ่งนา เพื่อปลูกข้าวและมีการขุดคลองชลประทานขึ้น ซึ่งหมายถึงการขุดคลองเพื่อการเกษตรนั่นเอง เพราะการขุดคลองแต่ก่อน ๆ นั้นเป็นเพียงการคมนาคมล้วนๆ การปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกแพร่หลายไปตามที่ราบลุ่มทั่วประเทศ และภูมิวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปก็แลเห็นจากการกระจายของชุมชนหมู่บ้านแบบชาวนา (บ้านและวัดเป็นอันหนึ่งเดียวกัน) ออกจากริมน้ำลำคลองไปกลางทุ่ง ชายทุ่งชายดงมากมาย ทุ่งนาเพื่อปลูกข้าวมีการทดน้ำระบายน้ำมีทั้งนาหว่านและนาดำ และสัญลักษณ์ที่แปลกใหม่ในทางภูมิวัฒนธรรมก็คือโรงสีข้าวที่มีปล่องโรงสีสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐแลเห็นแต่ไกล โรงสีข้าวเป็นนิวาสสถานของคนชั้นกลาง ที่ส่วนใหญ่เป็นคนจีนหรือเชื้อสายคนจีนที่รับซื้อข้าว สีข้าวและจำนำข้าว คนจีนกลายเป็นนายทุนและเจ้าของที่ดินในสมัยต่อ ๆ มาหลาย ๆ แห่งกลายเป็นย่านตลาดและศูนย์กลางของตำบลและอำเภอ สมัยรัชกาลที่ ๕ แหล่งปลูกข้าวขยายตัวทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่อยุธยาลงมาถึงกรุงเทพฯ โดยเฉพาะตั้งแต่เชียงรากน้อยในเขตจังหวัดปทุมธานีลงมา มีการขุดคลองเชื่อมระหว่างแม่น้ำท่าจีนกับแม่น้ำเจ้าพระยาทางตะวันตก และระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับบางปะกงเพิ่มขึ้น คลองเหล่านี้เป็นคลองแนวนอนที่ใช้ในการคมนาคมด้วย แต่ขณะเดียวกันก็มีคลองในแนวตั้งเหนือลงใต้ตัดผ่านมากมาย เพื่อการกระจายน้ำกระจายแหล่งที่อยู่อาศัยทำกินและระบายน้ำลงสู่ทะเล ความต่างกันระหว่างการขุดคลองชลประทานและการคมนาคมระหว่างซีกตะวันตกกับซีกตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาก็คือ ทางซีกตะวันออกมีโอกาสขยายตัวได้มากกว่า เพราะเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำมีแหล่งชุมชนน้อยไม่หนาแน่น คลองเดิมก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น ที่สำคัญก็คือคลองรังสิต และคลองแสนแสบขุดแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ เพื่อเชื่อมต่อกับลำน้ำนครนายก คลองรังสิตมีความสำคัญในทางยุทธศาสตร์ในการรบกับเขมรและญวน ในขณะที่คลองแสนแสบที่เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ นั้น นอกจากเพื่อการคมนาคมแล้ว ยังเป็นการกระจายการตั้งหลักแหล่งของผู้คนที่มีทั้งกวาดต้อนเข้ามา หรือเคลื่อนย้ายมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์และต่างศาสนา เช่นคนมุสลิมจากทางใต้และกลุ่มจามมุสลิมที่เรียกว่าแขกครัว เป็นต้น ครั้งรัชกาลที่ ๕ มีการเพิ่มเติมคลองเหล่านี้ทั้งเพื่อการเกษตรและการคมนาคม เช่นการขุดคลองระพีพัฒน์ทั้งตะวันตกและใต้ คลองนครเที่ยงเขตคลองประเวศบุรีรมย์และคลองในแนวตั้งอีกมากมาย แต่พื้นที่ซึ่งโดดเด่นเป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ ทุ่งรังสิตเป็นพื้นที่ชลประทานที่ทางรัฐให้กรรมสิทธิ์ที่ดินตอบแทนแก่บรรดาขุนนางเจ้านายและคหบดีที่รับอาสาขุดคลองเพื่อการชลประทาน สิ่งที่มาพร้อมกับโครงการชลประทานสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็คือ การสร้างประตูน้ำปิดเปิดเพื่อการระบายน้ำเพื่อการทดน้ำในการปลูกข้าว การขุดคลองชลประทานและการสร้างประตูระบายน้ำทดน้ำแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ดังกล่าวนี้ต้องถือได้ว่าเป็นโครงการที่เรียกว่า ชลประทานหลวง อย่างแท้จริง และแต่เดิมการชลประทานเพื่อการเกษตรในแทบทุกหนแห่งในเมืองไทย ล้วนเป็นชลประทานราษฎร์ทั้งสิ้น ดังเช่นการทำเหมืองฝายในภาคเหนือเป็นต้น ถึงแม้ว่าสังคมและบ้านเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๕ การเมืองการปกครองและเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตาม แต่ในส่วนสังคมความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าเป็นชุมชนท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางชีวิตวัฒนธรรมก็ยังคงดำรงอยู่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนที่เห็นได้จากโครงสร้างสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติที่เห็นได้จากนิเวศวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ อันเห็นได้จากการดำรงอยู่ของวัดวาอาราม และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนมาประกอบพิธีกรรมร่วมกันจนเกิดสำนึกร่วมในหลาย ๆ อย่างที่เป็นอัตลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม คนในชนบทมีชีวิตวัฒนธรรมร่วมกันในชุมชนบ้านและเมืองแต่ละถิ่น ในขณะที่ในสังคมเมืองผู้คนหลายชาติพันธุ์หลายศาสนาและอาชีพอยู่ร่วมกันในพื้นที่วัฒนธรรมที่เรียกว่า ย่าน คนในย่านแต่ละย่านรู้จักกันหมดว่าใครเป็นใคร ใครเป็นคนนอกและคนใน มีกลไกต่าง ๆ ในการสร้างความเกาะเกี่ยวทางสังคมที่จะนำไปสู่ความเป็นปึกแผ่นทางสังคมของแต่ละบ้านร่วมกัน ดูแลกันพึ่งพิงกันโดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างใด แต่สังคมในปัจจุบันที่เปลี่ยนเข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมอย่างสุดโต่งในทุกวันนี้ การอยู่รวมกันของผู้คนในท้องถิ่นหนึ่ง ไม่มีชุมชนเพราะไม่มีโครงสร้างสังคมที่ทำให้เกิดคนในขึ้นมาได้ เพราะต่างคนต่างอยู่ดูแลรับผิดชอบตัวเอง แทบจะไม่ได้มีการพึ่งพิงกันแม้แต่น้อย ความเป็นบ้านเป็นเมืองอย่างแต่ก่อนหมดไป มีแต่หมู่บ้านที่เกิดจากการบริหารของรัฐหลากหลายภายใต้การปกครองของผู้ใหญ่บ้าน กำนันและ อ.บ.ต. ล้วนในสังคมเมืองนั้นความเป็นย่านกำลังหมดไปมีแต่เขตการปกครองของ อ.บ.ท.เช่นในกรุงเทพมหานครก็เป็นเขตของก,ท,ม.ไป เป็นต้น การปราศจากความเป็นชุมชนและคนในทั้งในพื้นที่ชนบทและพื้นที่เมืองตามที่กล่าวมานี้ ได้ทำให้ผู้คนในแทบทุกท้องถิ่นมีชีวิตความเป็นอยู่แบบนั่งรอมือ รอตีนให้คนนอกโดยเฉพาะทางรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐมาจัดการให้แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็เห็นเป็นประจักษ์จากเหตุน้ำท่วมในครั้งนี้ แม้ว่าจะประสบความลำบากยากแค้นอย่างที่แลเห็นอยู่ในขณะนี้ก็ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่คิดทำอะไรในการรวมกลุ่มกัน พึ่งพิงกันและช่วยตัวเองก่อนที่จะให้คนนอกเช่นทางรัฐมาช่วย ซึ่งยิ่งเข้ามาช่วยก็ยิ่งทำให้ไปกันใหญ่ ดังเห็นได้จากการดำเนินงานป้องกันน้ำท่วมครั้งนี้ของทางรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความช่วยเหลือต่าง ๆ จากต่างประเทศที่มุ่งแต่จะใช้เพียงเทคโนโลยีและความรู้ทางเทคโนโลยีแต่เดียงอย่างเดียวเพื่อเอาชนะน้ำ แทบไม่นำเอาภูมิปัญญาและความรู้ของท้องถิ่นในอดีตขึ้นมาทบทวนและปรับใช้เป็นการสะท้อนให้เห็นชัดเจนในแนวคิดและวิธีคิดที่จะควบคุมจักรวาลด้วยเทคโนโลยีแบบคนตะวันตก ข้าพเจ้าคิดว่าการดำเนินการของรัฐบาลนี้และรัฐบาลก่อนที่มีมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นต้นมา ในการจัดการน้ำและการพัฒนากายภาพของบ้านเมืองและผังเมือง คือจุดเริ่มต้นของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดสังคมอุตสาหกรรมขึ้นแทนที่สังคมเกษตรกรรมที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ หรือแต่สมัยอยุธยา นับเป็นเวลากึ่งศตวรรษ คือกว่า ๕๐ ปีเข้านี้แล้ว พอที่ทำให้เกิดคนรุ่นใหม่ รุ่นพ่อแม่และลูกที่มีความรู้สำนึกคิดอย่างทางตะวันตกมากมาย ในขณะนี้หลายคนดัดจริตเรียกว่า สยามใหม่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นสยามมั่วมากกว่า เหมือนครั้งหนึ่งรัฐบาลก่อนเคยใช้คำว่าคิดใหม่ ทำใหม่ แต่แท้จริงเป็นการคิดใหม่แต่ทำมั่วเช่นกัน เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯครั้งนี้ทั้งรัฐสยามมั่วกับกลุ่มคนสยามมั่วต่างคิดเหมือนกันในทางเทคโนโลยีเพื่อต่อต้านและควบคุมน้ำหรือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ทั้งรัฐบาลและกรุงเทพมหานครก็ทำเหมือนกัน เน้นการสู้น้ำด้วยการสร้างพนังกั้นน้ำให้สูง เช่น ถึงระดับ ๒.๕๐ เมตรเพื่อพื้นที่ ก.ท.ม. ในขณะที่คนทั่วไปเน้นการใช้กระสอบทรายกั้นน้ำไม่ให้ท่วมบ้านเรือน ร้านค้าและแหล่งกิจกรรมของคน พอระดับน้ำสูงก็ใช้เครื่องสูบน้ำ ปั๊มน้ำสูบไล่น้ำออกไป จากถิ่นหนึ่งแต่ไปท่วมถิ่นหนึ่ง หรือจากบ้านหนึ่งไปท่วมบ้านอื่น เมื่อน้ำมาพบถนนที่มีการสร้างทั้งระดับ high way และ local roads มาแทนที่ลำน้ำลำคลองแต่เดิมก็ปะทะวนเวียนจนเกิดพลังและเมื่อทำลายไม่ได้ ออกไม่ได้ก็เลยกลายเป็นน้ำขังเน่าเกิดโรคระบาดขึ้น รัฐมั่วและสังคมสยามมั่งอันเป็นสังคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ยังหาสำนึกในอดีตไม่ หากยังคงขาดสติเดินหน้าแก้ไขตามครรลองที่ทำมา คือตั้งเงินงบประมาณเพื่อแจกประชาชนแบบประชานิยมดังเดิม รวมทั้งสนับสนุนและอุดหนุนในเรื่องการลงทุนทางอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น นั่นก็คือยังคงคิดที่จะทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมต่อไป ก็ดูน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลและคนนิยมอุตสาหกรรมต่างโง่อ้างว่าจะแก้ไขเหตุน้ำท่วมตามกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะสิ่งที่อยู่ในพระราชดำริและพระราชดำรัสนั้นมีพื้นฐานมาจากสังคมเกษตรกรรมที่คนต้องอยู่กับน้ำ กับธรรมชาติทั้งสิ้น อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ผู้มีบารมี – ผู้แพ้บารมี
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2555 ในช่วงเวลา ๖–๗ ปีที่ผ่านมานี้ คนไทยทั่วไปมักได้ยินคำกล่าวที่คุ้นๆในเรื่อง ผู้มีบารมี อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะผู้ที่กำลังสูญเสียอำนาจทางการเมืองของรัฐบาลในสมัยหนึ่ง มักกล่าวหาว่าเหตุที่ตนต้องเดือดร้อนนั้นมีที่มาจากการกระทำของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ภาพสลักรูปจักรวาทิน [Cakravartin] สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นพระเจ้าอโศกมหาราชอายุราวพุทธศตวรรษที่๓ศิลปอมราวดีจากอันทรประเทศปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กีเมต์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์ในคติแบบเถรวาทจะอยู่ในฐานะพระราชาธิราชหรือจักรวาทินซึ่งเป็นผู้จรรโลงธรรมทั้งปวง ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องของ การกล่าวหา [Accusation] เพราะไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริงมาพิสูจน์ และที่สำคัญก็คือผู้กล่าวหาไม่กล้าที่จะระบุว่าใครคือผู้มีบารมี เลยทำให้เรื่องบานปลาย มีการตีความไปต่าง ๆ นานาว่าใครคือผู้มีบารมี ข้าพเจ้าเห็นว่าในการรับรู้ของคนไทยส่วนใหญ่นั้น รู้ว่าผู้ที่จะมีบารมีได้ในทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวหาดังกล่าวนี้ มีอยู่สองท่านที่โดดเด่น ท่านแรกคือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ท่านที่สองคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นพระประมุขของประเทศชาติ ผู้กล่าวหาซึ่งข้าพเจ้าขอฟันธงในที่นี้ว่า ผู้แพ้บารมี เพราะเมื่อมีผู้มีบารมีก็ควรมีผู้ไม่มีบารมีเป็นคู่ต่อรองกัน ผู้ไม่มีบารมีคือผู้แพ้ได้กล่าวหาในเชิงกล้า ๆ กลัว ๆ เลยเกิดความคลุมเครือในเรื่องว่าจะเป็นท่านใดแน่ เพราะจะโดนเอาผิดมิได้ แต่ในความคิดของผู้ที่เป็นวิญญูชนแล้วตระหนักว่า ผู้มีบารมีนั้นหมายถึงองค์พระประมุขอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สร้างความคลุมเครือให้เห็นว่าเป็นท่านประธานองคมนตรี แล้วเติมให้เต็มไปถึงองคมนตรีทั้งคณะ ซึ่งแต่งตั้งโดยองค์พระประมุข จึงคิดเห็นว่าควรเลิกล้มไม่ให้มีคณะองคมนตรีเสีย เพื่อบ้านเมืองจะได้เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ การเคลื่อนไหวของผู้แพ้บารมีและบริวารครั้งนี้ ดูเข้าทางบรรดานักวิชาการและนักศึกษาที่เรียกว่า กลุ่มไม่เอาเจ้า ที่มีการเคลื่อนไหวแบบกล้า ๆ กลัว ๆ มานานแล้ว มูลเหตุที่มาก็คือ คนเหล่านี้คือผู้ที่ได้รับทุนรัฐบาลรวมทั้งทุนพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ให้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะจากทางอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส เช่นเดียวกันกับครั้ง ร.๕ ที่ส่งออกไป ได้ถูกวิธีการคิดทางการเมือง เศรษฐกิจแบบประชาธิปไตยจากบ้านเมืองเหล่านั้นมาครอบงำจนมองไม่เห็นอดีตรากเหง้าของบ้านเมือง ความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจแบบตะวันตกของประเทศดังกล่าวนี้คือ เห็นว่าสถาบันกษัตริย์นั้นเป็นสิ่งล้าสมัยไม่ก้าวหน้าและไม่เสมอภาคตามอุดมคติในเรื่องประชาธิปไตยที่ตนได้เล่าเรียนมา กลุ่มนักเรียนนอกที่ถูกส่งไปเรียนตั้งแต่สมัย ร.๗ แต่ก็ยังดำรงสถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นก็ได้กำหนดให้พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและไม่ทรงมีพระราชอำนาจทางการบริหาร ซึ่งนับว่าเป็นประชาธิปไตยแบบไทย [Localization Democracy] ในเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงปฏิบัติตามและไม่เคยแสดงพระองค์เองว่าอยู่เหนือกฎหมายแต่อย่างใด แต่ความต่างกันระหว่างนักเรียนนอกรุ่นก่อนคือสมัย ร.๕ กับนักเรียนนอกดอกเตอร์ด๊อกตีนในสมัยนี้ก็คือ นักเรียนนอกรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งไม่เอาสถาบันกษัตริย์และการเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขเป็นกลุ่มที่ไม่ใหญ่โตเท่าใด แต่มีอิทธิพลในเรื่องการถ่ายทอดและส่งต่อความคิดไปให้คนรุ่นเด็ก โดยเฉพาะบรรดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เหตุที่คนเหล่านี้มีอิทธิพลทางความคิดก็คือ มักเป็นผู้ที่เป็นอาจารย์ นักเขียน นักคิด ที่มีเครือข่ายสัมพันธ์กับนักวิชาการและนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศส แถมบางคนยังมีอาจารย์ชาวต่างประเทศที่มีชื่อเสียงหลายคนเป็นพ่อทูนหัวสนับสนุนอบรมและเชื่อมโยงในการเป็นเครือข่ายให้ในต่างประเทศ ทำให้บรรดานักวิชาการและนักศึกษากลุ่มไม่เอาเจ้านี้ดูเป็นคนทันสมัยและหัวก้าวหน้า และมีบทบาทในทางสื่อเป็นประจำ ข่าวคราวที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของนักวิชาการกลุ่มไม่เอาเจ้านี้ เห็นจะเป็นกลุ่มนิติราษฎร์ที่ออกมาเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายมาตรา ๑๑๒ อันเป็นกฎหมายที่ควบคุมในเรื่องการหมิ่นพระมหากษัตริย์และสถาบัน โดยมีรายละเอียดหลายประการที่ทำให้สังคมสงสัยเคลือบแคลง คนเหล่านี้อ้างสิทธิความเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่ตนเล่าเรียนมาซึ่งก็ถูกต้องในอุดมคติแบบตะวันตกที่ทำให้ผู้คนเป็นจำนวนมากเห็นคล้อยตามเเล้วเข้าทางของกลุ่มนักการเมืองและบริวารของผู้แพ้บารมี ผลที่ตามมา ถ้าหากสังคมขาดสติก็อาจกลายเป็นเรื่องขัดแย้งใหญ่ที่รุนแรงได้ ถ้าหากคิดไตร่ตรองให้ดีแล้ว พวกนักวิชาการเด็กๆปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเหล่านี้คือ ผู้ที่มีอัตตาแรงและไม่รู้กาลเทศะ แต่กล้าๆกลัวๆ เพราะการเอาสิ่งที่เป็นอุดมคติในเรื่องมาพูดในยามที่มีความขัดแย้งนั้น ก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนค้ำจุนกลุ่มคนอีกขั้วหนึ่งที่จะล้มเจ้า แต่เมืองไทยที่ผ่านมาประชาธิปไตยไม่เป็นแบบตะวันตก เพราะถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากันกับสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นประชาธิปไตยที่เกิดการปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบท้องถิ่น [Localization] คือ ประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ข้าพเจ้าสะใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อมีการสนทนาถกกันของนักวิชาการกลุ่มไม่เอาเจ้ากับคนที่เป็นกลางและไม่เห็นด้วยในรายการสถานีโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส ครั้งหนึ่งที่ว่า กลุ่มตนเองก็เป็นเช่นเดียวกันกับคณะรัฐประหารสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่ยังคงการเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่กลับไม่ยอมรับว่าการเคลื่อนไหวในการล้ม ก.ม. ๑๑๒ นั้น คือการกระทำเพื่อไม่เอาการเป็นองค์พระประมุขของพระมหากษัตริย์อย่างที่วิญญูชนทั้งหลายเข้าใจกัน ที่น่าสมเพชก็คือต่อหน้าสื่อสาธารณะดูกล้า ๆ กลัว ๆ แต่พอลับหลังในการเสวนาทางวิชาการตามสถาบันการศึกษากลับแสดงความกร่างและโอหังถึงขนาดออกมาจาบจ้วงว่า จะต้องไม่ให้มีการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านเมืองและประชาชนอย่างที่เคยทางปฏิบัติมา โดยภาพรวมที่ข้าพเจ้าเห็นในขณะนี้ก็คือ กลุ่มนักวิชาการวิชาเกินที่ไม่เอาเจ้าเหล่านี้คือผู้ที่กำลังล้มเจ้าเข้าด้วยกับบรรดานักการเมืองผู้พ่ายบารมี เพราะทำหน้าที่เป็นนกต่อสองสถาน สถานแรกเป็นการสนับสนุนและให้แรงใจ [Empowerment] แก่บรรดานักการเมืองว่าดำเนินการถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยแบบตะวันตกแล้ว โดยเฉพาะการที่ผ่านการเลือกตั้งที่ได้เสียงจากประชาชนส่วนใหญ่ในสังคม โดยไม่ยอมรับรู้และรับฟังว่าการได้เสียงจากการเลือกตั้งดังกล่าวมาจากการซื้อเสียงขายเสียงเป็นส่วนใหญ่ สถานที่สองนักวิชาการเหล่านี้เป็นพวกคิดอะไรข้ามชาติเป็นพวกนิยมโลกาภิวัตน์ คือคิดอะไรทำอะไรมักคล้อยตามอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ และประเทศใหญ่ๆ ที่เป็นทุนนิยมที่มุ่งหวังเข้ามาแย่งทรัพยากรในประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยที่ยังมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก ซึ่งนักการเมืองและพรรคการเมืองผู้แพ้บารมีกำลังขายทรัพยากรและประเทศให้กับประเทศนายทุนเหล่านั้น การเคลื่อนไหวในกระบวนการล้มเจ้าของบรรดานักการเมือง นายทุนข้ามชาติ และนักวิชาการข้ามชาติเหล่านี้กำลังใช้สื่อแทบทุกรูปแบบในการที่จะสร้างมวลชนมาสนับสนุนหาความชอบธรรม จึงเกิดการต่อต้านขึ้นโดยผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมที่รักชาติ (แผ่นดินเกิด) และเห็นชอบในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และเชื่อมั่นในพระบารมีเป็นหลักความมั่นคงทางสังคมของบ้านเมือง พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระมหากษัตริย์แม้ว่าจะไม่มีพระราชอำนาจในการสั่งการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่ยังทรงอำนาจทางบารมีที่เกิดขึ้นจากศรัทธาของประชาชนผู้เห็นว่าพระองค์เป็นผู้มีบุญและเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือสภาวะความเป็นบุคคลธรรมดาทั้งหลาย การกระทำใด ๆ ที่เป็นการจาบจ้วงและมุ่งร้ายต่อพระองค์ถือเป็นความชั่วร้ายและอัปมงคลที่นำความวิบัติมาสู่ผู้คนในส่วนรวม โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าที่ยังมองว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ถ้าหากทำร้ายพระมหากษัตริย์ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายพระพุทธศาสนา จึงทำให้สถาบันกษัตริย์และสถาบันศาสนาเป็นสิ่งแยกกันไม่ออก และสถาบันทั้งสองนี้ก็แยกกันไม่ออกจากสถาบันชาติ ซึ่งหมายถึงแผ่นดินเกิดที่มักเรียกว่า มาตุภูมิ ปิตุภูมิ ชาติแปลว่าเกิด ที่ทำให้เกิดสำนึกชาติภูมิร่วมกัน หาได้หมายถึงเรื่องชาติพันธุ์ เชื้อชาติ และชาตินิยมอย่างใดไม่ ความรักในแผ่นดินเกิดจนเกิดสำนึกร่วมกันนี้ฝรั่งเรียกว่า Patriotism เป็นสำนึกอย่างหนึ่งในความเป็นมนุษย์ ซึ่งดูตรงข้ามกันกับพฤติกรรมของกลุ่มคนข้ามชาติและขายชาติในกระแสโลกาภิวัตน์ขณะนี้
- อนิจจาสยามประเทศ : ร่ำรวยวัฒนธรรมเพื่อขาย แต่ล้มละลายในชีวิตวัฒนธรรม
เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2555 สยามประเทศนี้มีกรรม เพราะคนที่อ้างคนเป็นคนไทยในปัจจุบันได้ขุดค้นและขุดคุ้ยเอาศิลปวัฒนธรรม อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อการดำรงชีวิตร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มาจัดการและปรุงแต่งเพื่อขายให้มาซึ่งรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ให้ความสำคัญแก่คุณค่า แต่มุ่งเพียงมูลค่าอันเป็นที่มาของรายได้แต่เพียงอย่างเดียว ข้าพเจ้ากำหนดเรียกวัฒนธรรมที่สร้างขึ้น และทำให้เกิดมูลค่าเป็นเงินเป็นทองเป็นรายได้ดังกล่าวนี้ว่า ศิลปวัฒนธรรม เพราะเป็นการขายรูปแบบสวยงามเป็นของที่ระลึก [Souvenir] และสามารถแยกส่วนออกจากความสัมพันธ์กับความหมายที่เป็นสัญลักษณ์แต่เดิมได้ แต่เป็นการทำลายคุณค่าและความหมายของสิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกว่า ชีวิตวัฒนธรรม ซึ่งมีสภาวะเป็นองค์รวมแยกส่วนไม่ได้ เป็นวัฒนธรรมที่แยกไม่ออกจากสังคม อันหมายถึงกลุ่มคนในพื้นที่ใดที่หนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ร่วมกัน เพราะความหมายที่แท้จริงของคำว่าวัฒนธรรมทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยานั้น คือทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ ประเพณีพิธีกรรมและความเชื่อที่คนในกลุ่มสังคมสร้างขึ้นเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกัน ดังนั้น วัฒนธรรมแต่ละด้านไม่ว่าเศรษฐกิจ หรือความเชื่อและประเพณีพิธีกรรม เป็นต้น แยกไม่ออกจากความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในกลุ่มนั้น ๆ อีกทั้งมีความหมายในการจรรโลงการอยู่ร่วมกันทางสังคม ทำให้เกิดสำนึกร่วมของการเป็นกลุ่มชนเดียวกัน ความเป็นประเทศชาติของสยามนั้นมีวัฒนธรรมสองระดับ ระดับบนหรือระดับชาติ ที่เป็นของส่วนรวม เรียกว่า ประเพณีหลวง [Great tradition] มีหน้าที่บูรณาการ [Integration] ให้ วัฒนธรรมท้องถิ่นในระดับล่าง ซึ่งเรียกว่า ประเพณีราษฎร์ [Little tradition] ที่มีความหลากหลายและแตกต่างกันทางวัฒนธรรม ให้มีสำนึกร่วมเป็นคนในชาติภูมิเดียวกันในนามของ คนไทย หรือ คนสยาม ร่วมกัน วัฒนธรรมหลวงในระดับบนนั้นมักมองไม่เห็นคน หากมีลักษณะที่สร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ คือแลเห็นเป็นรูปแบบทางศิลปวัฒนธรรมที่สื่อสารให้คนในชาติมีปฏิสัมพันธ์กัน รวมทั้งสื่อให้คนภายนอกได้เห็นอัตลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศชาติ เป็นวัฒนธรรมที่มีรูปแบบที่เห็นได้เป็นรูปธรรมและนามธรรม อย่างเช่นรูปแบบของ พระสุเมรุมาศ ที่ถวายพระเพลิงพระศพเจ้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ เห็นเป็นรูปธรรม แต่ประเพณีแนวคิดและขั้นตอนต่างๆ และความหมายเป็นนามธรรมที่พวก UNESCO ดัดจริตเรียกว่า วัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ [Untouchable culture] ส่วนวัฒนธรรมราษฎร์ในระดับล่าง เป็นวัฒนธรรมที่แลเห็นคนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนา ที่มาและประวัติศาสตร์ เป็นวัฒนธรรมที่มีพลวัตร คือเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเทศะของคนที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่น วัฒนธรรมราษฎร์ดังกล่าวนี้ ข้าพเจ้าเรียกว่า ชีวิตวัฒนธรรม หรืออีกนัยหนึ่ง สังคมวัฒนธรรม เพราะเป็นวัฒนธรรมที่ผูกติดอยู่กับกลุ่มคนในชุมชนที่สร้างวัฒนธรรมนั้นขึ้นมาเพื่อการอยู่ร่วมกัน และมีชีวิตรอดร่วมกัน ดังนั้นจะเรียกอีกนัยหนึ่งได้ว่า ชีวิตวัฒนธรรมก็คือ วิถีชีวิตของคนในชุมชนใดชุมชนหนึ่งร่วมกัน แต่ความเป็นชุมชนนั้นหาได้อยู่ที่การเห็นจากภายนอกว่ามีการสร้างบ้านเรือเคียงอยู่เป็นกลุ่ม เช่นบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ตึกแถวอะไรต่าง ๆ นานา แล้วแบ่งเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอไม่ หากการที่จะเป็นชุมชนนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางสังคมของคนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน [Social และ Cultural space] ตั้งแต่ระดับครอบครัว กลุ่มเครือญาติทั้งจากทางสายเลือดและจากการกินดอง (จากการแต่งงาน) มาถึงการอยู่รวมกันเป็นชุมชนซึ่งเป็นพื้นที่ให้คนหลายเหล่าหลายตระกูลและหลายชาติพันธุ์มาอยู่รวมกัน มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมไม่ต่ำกว่า ๓ ชั่วคน พอที่จะสร้างรูปแบบในการดำรงชีวิต ภาษา ระบบความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรม รวมทั้งกติกาต่างในการดำรงชีวิตร่วมกันซึ่งเรียกว่า จารีตประเพณี เกิดการอบรมและถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและภูมิปัญญาในการอยู่ร่วมกัน และแก้ปัญหาความขัดแย้งร่วมกันจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ ปรับเปลี่ยนพื้นที่อันเป็นระบบนิเวศธรรมชาติให้เป็นนิเวศวัฒนธรรม ผลที่ตามมาทำให้เกิดสิ่งที่เป็นโครงสร้างทางกายภาพขึ้นแก่ชุมชน โดยไม่ต้องมีใครมากำหนดจากภายนอก ความเป็นชุมชนจึงอยู่ที่การรู้จักและรับรู้ว่าใครคือคนใน และใครเป็นคนนอกนั่นเอง ชุมชนท้องถิ่น [Local communities] ของเมืองไทย ว่าตามหลักฐานและข้อมูลทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและโบราณคดีแล้ว มีพัฒนาการมาเป็นสังคมชาวนา [Peasant society] มากว่าพันปีทีเดียว คือเป็นสังคมที่ก้าวผ่านสังคมแบบเผ่าพันธุ์ [Tribal society] มาแล้วช้านาน จนปัจจุบันกำลังกลายพันธุ์เป็นสังคมอุตสาหกรรมในยุคโลกาภิวัตน์อย่างรวดเร็ว ที่ว่าเป็นสังคมที่ก้าวผ่านสังคมเผ่าพันธุ์นั้น เพราะมีบูรณาการทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นที่สามารถสลายความเป็นเผ่าพันธุ์ให้อ่อนลงและหมดสิ้นไปได้ สังคมแบบชาติพันธุ์มีศูนย์รวมอยู่ความเป็นชาติพันธุ์ เช่น เป็นไทย เป็นมอญ เขมร ลาว อะไรทำนองนั้น แต่ว่าสังคมชาวนา ความเป็นศูนย์รวมอยู่ที่แผ่นดินเกิดหรือบ้านเกิด สังคมชาวนาในสยามประเทศที่มีความสมบูรณ์ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนั้น เริ่มขึ้นด้วยการที่คนมากกว่าหนึ่งชาติพันธุ์เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน อีกทั้งมีการเคลื่อนย้ายเข้ามาผสมกลมกลืนกันตามช่วงเวลาต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ แต่การเข้ามาอยู่ร่วมกันของคนต่างชาติพันธุ์ดังกล่าวในประวัติศาสตร์สังคมชาวนานั้น หาได้เข้ามาแบบรุกล้ำอ้างสิทธิ์และอำนาจเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องไม่ คนจากข้างนอกต้องได้รับการยินยอมจากคนในท้องถิ่นที่อยู่มาก่อน ต้องยอมรับกติกาในทางสังคมและวัฒนธรรม เพื่อที่จะกลายเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกัน และทำความเจริญมาให้กับท้องถิ่น เมื่อได้รับการยอมรับคนที่เข้ามาอยู่ใหม่ก็ถือว่า ท้องถิ่นนั้นตนต้องอยู่ไปจนตายและกลายเป็นบ้านเกิดของลูกหลานตน และเกิดสำนึกว่าตนเป็นคนของบ้านนี้เมืองนี้ร่วมกับคนที่เป็นชาติพันธุ์อื่น ท้องถิ่นหนึ่ง ๆ เป็นพื้นที่ธรรมชาติที่กว้างขวางที่รอปรับชีวิตความเป็นอยู่ของคนหลาย ๆ ชุมชนได้ คนในทุกชุมชนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมธรรมชาติร่วมกัน โดยการเปลี่ยนแปลงให้เป็นนิเวศวัฒนธรรม ที่มีการแบ่งพื้นที่และทรัพยากรว่าอะไรบ้างที่เป็นของส่วนตัวและของส่วนรวม ของส่วนรวมคือ สมบัติร่วม [Common property] อันได้แก่ พื้นที่สาธารณะ เช่น หนองบึง ลำน้ำ ลำห้วย ป่าเขา ท้องทุ่ง ซึ่งไม่เป็นของส่วนตัวของใครของเหล่ากอใด หากใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างมีกติกา และมีการพัฒนาบำรุงรักษาให้เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจและสังคม มีการกำหนดชื่อ สถานที่พื้นที่ผูกด้วยเหตุผลทางตำนานให้เป็นที่รับรู้ นอกจากพื้นทางเศรษฐกิจและสังคม ก็เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นศูนย์รวมทางศาสนา ความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรม เช่น พื้นที่เป็นวัดเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในชุมชนท้องถิ่นรับทราบและเข้ามาใช้พื้นที่เป็นเจ้าของร่วมกัน สังคมท้องถิ่นที่เป็นสังคมชาวนาในสยามประเทศนั้น ประกอบด้วยบ้านและเมือง บ้านเป็นชุมชนขนาดเล็กที่กระจายอยู่ในปริมณฑลของท้องถิ่น บ้านบางบ้านอาจจะมีชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ก็ได้ ส่วนบ้านอื่นก็เป็นของชาติพันธุ์อื่น แต่ทุกบ้านต้องมีการใช้พื้นที่ร่วมกันและแบ่งปันกัน จึงเกิดประเพณีพิธีกรรมทางศาสนา ความเชื่อและวิธีการและเทคนิคทางเทคโนโลยีที่พัฒนาร่วมกัน และการอยู่รวมกันโดยมีสมบัติร่วมกันดังกล่าวนี้ คือการมีชีวิตรอดร่วมกันจนเกิดสำนึกในเรื่องการเป็นคนท้องถิ่นที่เป็นแผ่นดินเกิดร่วมกัน ศิลปกรรม เครื่องมือเครื่องใช้ รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีพิธีกรรมที่สร้างขึ้นนั้น ล้วนมีหน้าที่ที่จะทำให้โครงสร้างสังคมของคนแม้ว่าจะมีที่มาจากชาติพันธุ์ที่หลากหลายกลายเป็นคนพวกเดียวกัน เป็นคนถิ่นเดียวกัน ส่วนเมืองนั้นก็หมายถึงพื้นที่และชุมชนที่เป็นศูนย์กลาง [Central place] ของบรรดาชุมชนบ้าน ชุมชนเมืองมีขนาดใหญ่มีคนหลายชาติพันธุ์และหลายอาชีพ และมีตลาดอันเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสถานที่อันเป็นแหล่งทำพิธีกรรมและศูนย์กลางในระบบความเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น ศูนย์กลางความเชื่อและกิจกรรมทางสังคมของชุมชนบ้าน คือ วัดที่มีโบสถ์ ซึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า สิม แต่วัดที่เป็นศูนย์กลางของเมืองหรือของท้องถิ่นนั้น นอกจากจะมีโบสถ์แล้วยังมี ธาตุ ซึ่งหมายถึงพระธาตุเจดีย์ที่ผู้คนจากชุมชนบ้านต้องมาทำพิธีกรรมร่วมกัน นอกจากนั้น ชุมชนที่เป็นเมืองยังเป็นศูนย์กลางในการปกครองและบริหารโดยมักจะเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำการของบุคคลที่เป็นหัวหน้าหรือเจ้าเมืองอีกด้วย สังคมท้องถิ่น หรือประกอบด้วยบ้านและเมืองอันเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกนี้ คือพื้นฐานของความเป็นอยู่ที่พอเพียงยั่งยืนและอยู่ได้โดยลำพัง [Self contained] ของผู้คนในสังคมชาวนาที่มีทั้งสมบัติส่วนตัว เช่น พื้นที่อยู่อาศัยทำกิน และพื้นที่สาธารณะอันเป็นสมบัติร่วม คนในสังคมท้องถิ่นเหล่านี้รู้จักดีว่าใครเป็นคนกลุ่มไหน ชาติพันธุ์ไหน มีเหล่ากอเป็นมาอย่างใด และรู้ว่าใครเป็นคนนอกที่รุกล้ำเข้ามาที่ดีหรือไม่ดี แต่ที่สำคัญคนในเหล่านี้มีประวัติศาสตร์ของตนเองและมีสำนึกร่วมของแผ่นดินเกิดร่วมกัน จึงมักจะทักทายกันว่าเป็นคนบ้านไหน เมืองไหนเป็นสำคัญ คนในสังคมท้องถิ่นอันประกอบด้วยบ้านและเมืองดังกล่าวนี้ สร้างศิลปวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความหมาย และมีกาลเทศะ ศิลปวัฒนธรรมที่จับต้องได้เป็นรูปธรรมนั้นเห็นได้ เช่น สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของวัดวาอาราม และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในระบบความเชื่ออื่น ๆ ในขณะที่ศิลปวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้นคือ ประเพณีพิธีกรรม เช่น ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตและประเพณีสิบสองเดือนที่ทำกันทั้งในบ้านและวัดตามกาลเทศะที่กำหนดไว้ บรรดาประเพณีพิธีกรรมเหล่านี้คือกลไกในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมให้คนอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปึกแผ่น ทำให้เกิดความมั่นคงทางสังคมและจิตใจที่นำไปสู่ความมั่นคงของมนุษย์ ในส่วนระบบประเพณีพิธีกรรมเหล่านี้สร้างขึ้นโดยคนท้องถิ่นจึงมีรูปแบบ ขั้นตอน วิธีการและความหมายทางสัญลักษณ์ที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะแต่ละถิ่นมากมาย และแต่ละท้องถิ่นก็ให้ความสำคัญของประเพณีพิธีกรรมแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน ดังเช่นประเพณีขึ้นธาตุและชิงเปรตที่พระบรมธาตุเมืองนครฯ มีความสำคัญในลักษณะที่เป็นอัตลักษณ์ของคนในท้องถิ่นภาคใต้ ในขณะที่ประเพณีจุดบั้งไฟมีความสำคัญกับคนในท้องถิ่นหลาย ๆ ถิ่นในภาคอีสาน หรือประเพณีเทศน์มหาชาติที่มีการแห่ผีตาโขนเป็นอัตลักษณ์ของคนด่านซ้ายในจังหวัดเลย เป็นต้น เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒ ข้าพเจ้าทำการศึกษาชุมชนอยู่ที่บ้านม่วงขาวในเขตตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นชุมชนของคนลาวพวนในท้องถิ่นดงศรีมหาโพธิ์ ที่มี ต้นโพธิศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ของคนท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ อาทิ คนลาวพวน ลาวอีสาน ลาวเวียง คนมอญ คนเขมร คนไทยและคนจีน อยู่ผสมผสานกันตามหมู่บ้านต่าง ๆ มาราวเกือบ ๒๐๐ ปี กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ในระยะแรกที่เคลื่อนย้ายเข้ามานั้น มีลักษณะต่างคนต่างอยู่และเข้ากันไม่ได้ แต่ทุกกลุ่มให้ความสำคัญกับต้นโพธิศรีมหาโพธิเหมือนกัน จะพากันมาไหว้ต้นโพธิศรีมหาโพธิในเดือนหกอันตรงกับประเพณีวิสาขบูชาทางพุทธศาสนา จากการมาพบปะทำบุญร่วมกัน ความสัมพันธ์ทางสังคมก็พัฒนาขึ้น ทำให้ทุกหมู่บ้านของท้องถิ่นรู้จักกัน สัมพันธ์กันในการแต่งงานและกิจกรรมแลกเปลี่ยนสิ่งของและแรงงานในชีวิตทางเศรษฐกิจ คนลาวอีสานคิดจุดบั้งไฟขึ้น ณ ลานวัดต้นโพธิในยามเทศกาล เลยเกิดเป็นประเพณีและศิลปวัฒนธรรมขึ้น เป็นของทุกหมู่บ้านในท้องถิ่น พร้อมกันสร้างบั้งไฟทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในนามของวัดประจำหมู่บ้านมาแห่มาเซิ้ง และนำมาจุดแข่งขันกันที่ลานวัดต้นโพธิ์ ทำให้ผู้คนในท้องถิ่นได้พบปะกัน ทำบุญร่วมกันและเกิดสำนึกในการเป็นคนดงศรีมหาโพธิร่วมกัน แต่ที่สำคัญอย่างมากก็คือ วันจุดบั้งไฟและประเพณีวิสาขบูชานี้ เป็นวันรวมญาติ พ่อแม่ปู่ย่าตายายและลูกหลาน ทำให้คนรุ่นลูกและหลานที่จากบ้านเกิดไปทำงานในเมืองและต่างจังหวัดจะเดินทางกลับมาพบพ่อแม่ ปู่ย่าตายายและทำบุญร่วมกัน สนุกสนานร่วมกัน เป็นประเพณีที่ทุกคนคาดหมายและเตรียมตัวเตรียมใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าได้สังเกตการณ์และร่วมสนุกสนานในชีวิตวัฒนธรรมของคนเหล่านี้ แต่ในปัจจุบันกลับซบเซาและขาดความหมายทางชีวิตวัฒนธรรม เพราะนับเป็นสิบปีมาแล้วที่ทางรัฐและการท่องเที่ยว (ททท.) เข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นคือกรมศิลปากรประกาศต้นโพธิศรีมหาโพธิและบริเวณโดยรอบเป็นหลักฐานทางโบราณคดี กำหนดเขตหวงห้ามไม่ให้ชาวบ้านชาวเมืองเข้าไปใช้สถานที่ดังแต่ก่อน และในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในช่วงเวลาจุดบั้งไฟ มีการกำหนดและสร้างกฎเกณท์ต่าง ๆ รวมทั้งทำให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวแก่บรรดาผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว ประเพณีจุดบั้งไฟของคนในท้องถิ่น ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นประเพณีพิธีกรรมและศิลปวัฒนธรรมของคนในที่คิดขึ้นทำขึ้นในพื้นที่อย่างมีกาลเทศะก็สิ้นสุดลง กลายเป็นของคนนอกที่เข้ามากำหนดรูปแบบและบทบาท รวมทั้งแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่ต้องตามกาลเทศะไป ทุกวันนี้ ประเพณีบั้งไฟท้องถิ่นศรีมหาโพธิจึงกลายเป็นศิลปวัฒนธรรมเพื่อขายไป ซึ่งก็เหมือนกับประเพณีพิธีกรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นอีกมากมายหลายแห่งทั่วประเทศ ประเพณีจุดบั้งไฟของท้องถิ่นศรีมหาโพธินี้ คือสมบัติร่วมของคนในท้องถิ่นที่มีความหมายต่อชีวิตวัฒนธรรมเป็นอย่างยิ่ง ได้ถูกทั้งรัฐและการท่องเที่ยวจากส่วนกลางแย่งยื้อและช่วงชิงไปขายให้กับนักท่องเที่ยวทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งก็คือคนนอกนั่นเองทำให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นมีรายได้ที่รัฐสามารถนำไปโอ่ถึง GDP. จนทำให้เกิดเป็นนโยบายที่ต่อเนื่องอยู่ในปัจจุบัน อีกแห่งหนึ่งที่ดังกว่าศรีมหาโพธิ์คือ ด่านซ้ายในเขตจังหวัดเลยที่มีเทศกาลบุญพระเวส อันมีการจัดขบวนผีตาโขนของคนท้องถิ่นร่วมพิธีและสร้างความสนุกสนาน โดยความหมายผีตาโขนคือพวกผีป่าผีร้ายที่ตามพระเวสสันดรมากรุงสีพีเพื่อเอาบุญเอากุศลเป็นบุคคลในพระพุทธศาสนา เมื่อมาถึงวัดโพนชัยอันเป็นสถานที่เทศมหาชาติก็ปลดเปลื้องบรรดาหน้ากากและหัวโขนที่ทำด้วยเศษผ้าเศษกระดาษอันเป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคลทิ้งลงลำน้ำหมันที่ผ่านกลางเมืองไป แต่ทางรัฐ ททท. และบรรดานายทุนที่หากินกับการท่องเที่ยวก็แย่งชิงการแสดงผีตาโขนของคนท้องถิ่นให้เกิดเป็นจุดเด่นของการท่องเที่ยวไม่ให้ความสำคัญกับการเทศน์มหาชาติ เช่น เน้นเรื่องผีตาโขน พัฒนาหน้ากากหัวโขนให้สวยงามเป็นรูปแบบศิลปกรรมที่ซื้อและเอากลับไปเป็นของที่ระลึกได้ ทำให้ความหมายของหน้ากากหัวโขนที่เป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคล มีมูลค่าเป็นเงินเป็นทองและเป็นของดีที่ระลึกไป นี้คือการนำวัฒนธรรมมาขายแต่ทำลายสิ่งที่เป็นคุณค่าในชีวิตวัฒนธรรมโดยแท้ เมืองด่านซ้ายกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเมื่อฤดูกาลมาถึง ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือคนจากภายนอก ในขณะที่คนในเกิดการแตกแยกเพราะเกิดคนที่เห็นแก่ได้และยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อการขายวัฒนธรรมของคน แต่การขายวัฒนธรรมที่เลวร้ายอย่างสุด ๆ เห็นจะเป็นการแห่เทียนเข้าพรรษาของเมืองอุบลฯ ที่เพียงอ้างแต่ชื่อ แต่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างหมดเพื่อการท่องเที่ยว และความอุบาทว์ที่เกิดขึ้นก็คือ การแห่เทียนเข้าไปแข่งขันและแสดงกันอย่างมโหฬารที่ทุ่งศรีเมืองแทนการแห่เทียนเข้าพรรษาที่วัดอย่างที่เคยมีมาแต่ก่อน กระนั้นก็ดี ประเพณีทางศิลปวัฒนธรรมที่อัปมงคลสุดๆ และอุบาทว์สุด ๆ เห็นจะไม่มีอะไรเกินประเพณีสงกรานต์และลอยกระทง ทั้งสองเป็นประเพณีของการเปลี่ยนผ่านในรอบปี จากปีเก่าสู่ปีใหม่ซึ่งมนุษย์ชาติแทบทุกเผ่าพันธุ์ให้ความสำคัญคล้ายคลึงกัน หากแตกต่างกันทางรูปแบบ สงกรานต์เป็นเรื่องช่วงเวลาที่เกี่ยวกับพระอาทิตย์ในขณะที่ลอยกระทงเป็นเรื่องของพระจันทร์ เป็นประเพณีที่มีความหมายทางสังคมเป็นอย่างยิ่ง คือสร้างความสัมพันธ์ ฟื้นความสัมพันธ์และผ่อนคลายความขัดแย้งของตนตั้งแต่ครอบครัว กลุ่มเครือญาติมาถึงชุมชนและระหว่างชุมชนท้องถิ่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทั้งสองประเพณีนี้ รัฐ การท่องเที่ยวและนายทุนก็แย่งยื้อจากชีวิตวัฒนธรรมของคนที่เคยอยู่รวมกันเป็นครอบครัว มีเครือญาติ มีชุมชน มาเป็นการละเล่นเพื่อปลดปล่อยและระบายอารมณ์ที่เป็นตัณหาราคะของผู้คนร้อยพ่อพันแม่ไม่มีหัวนอนปลายตีนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ ประเพณีทั้งสองนี้เล่นกันอย่างไม่มีกาละเทศทั้งประเพณี [Nationwide] ที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยซึ่งล้วนมีสติปัญญาในทางลบ มักออกแถลงการณ์คาดคะเนว่า ปีนี้จะมีสถิติการตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนเท่าใด แต่ที่น่าทุเรศในเรื่องของความคิดและวิธีคิดก็คือ เรื่อง “เจ็ดวันอันตราย” นี่หรือคือช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของประเพณีสงกรานต์เพื่อความเป็นสวัสดิมงคล อนิจจาสยามประเทศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- “ธรรมาธรรมะสงคราม” กับ “ภควัคคีตา” อุทาหรณ์ในการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน
เผยแพร่ครั้งแรก 30 พ.ย. 2542 ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมในประเทศไทยขณะนี้ น่าที่จะบานปลายเป็นสงครามกลางเมือง [Civil War] ที่อาจยืดเยื้อเป็นเวลานับปี เป็นความขัดแย้งที่อยู่ในสภาพที่สุดโต่งระหว่างรัฐกับสังคม ภาพศึกวันที่ ๑๐ ภีษมะปฏิเสธที่จะสู้กับศิขัณทินที่เกิดเป็นหญิง ทำให้อรชุนระดมยิงธนูไปทั่วร่างของภีษมะด้วยความเศร้าใจ (ภาพจาก ศิลปิน Ramanarayanadatta astri, http://archive.org/details/mahabharata00ramauoft) รัฐเป็นทรราช ที่ใช้ระบอบทักษิณครอบงำบรรดาข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือนให้มาอยู่ภายใต้อำนาจเงินของเผด็จการที่ได้มาจากการคอรัปชั่นโกงกินและหลอกลวงเอาภาษีอากร ตลอดจนทรัพยากรของชาติมาเป็นประโยชน์ของพวกตนและเครือข่ายมาร่วมกว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมา จนประเทศไทยอยู่ในสภาพประเทศเพื่อขาย [For Sale] ให้แก่บรรดาประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มีไอ้กัน ไอ้กิดและไอ้เศส เป็นอาทิ และเพื่อเป็นการตอบแทนบรรดาประเทศมหาอำนาจทุนนิยมดังกล่าวมานี้ ก็ล้วนให้ความสนับสนุนสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐทรราชในทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น ต้องยืนยันช่วยเหลือว่ารัฐบาลทรราชนั้นคือรัฐบาลที่ถูกต้องและชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตยที่มีพรรคการเมืองและรัฐสภาตามแบบอย่างประเทศมหาอำนาจ เช่น อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส แต่หลังจากที่เผด็จการทรราชทักษิณครอบงำบ้านเมืองและสังคมมาร่วมสิบกว่าปี ผู้คนในสังคมก็เกิดอาการตื่นรู้ทั้งสติปัญญา ความรู้ ความกล้าหาญทางจริยธรรม และความเป็นมนุษย์ ในฐานะที่เป็นสัตว์สังคมขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นการตื่นรู้ที่ทันโลกของผู้คนทุกเพศทุกวัยทุกชาติพันธุ์ทุกศาสนาและอาชีพ ในบรรดาบุคคลที่เกิดในดินแดนประเทศไทยที่มีสำนึกในเรื่องบ้านเกิดเมืองนอน [Patriotism] เป็นการตื่นรู้ที่จะปลดปล่อยประเทศชาติบ้านเมืองให้พ้นจากเงื้อมมือทรราชที่กำลังขายประเทศขายแผ่นดิน เป็นการตื่นรู้ที่ทำให้เมืองไทยแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือรัฐทรราชที่อยู่ในสภาพล้มละลายทางศีลธรรม จริยธรรม และความเป็นมนุษย์ ใช้ความรุนแรงด้วยกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีอำนาจบังคับใช้ของรัฐ และบรรดาอันธพาลติดอาวุธเข้าปราบปรามจับกุมและเข่นฆ่าประชาชานที่แสดงอาการประชาขัดขืน [Civil Disobedience] เป็นขั้วหนึ่ง กับสังคมที่ตื่นรู้ทั้งในด้านสติปัญญาความรู้และความเป็นมนุษย์อีกขั้วหนึ่ง สิ่งที่เหลืออยู่หลังความรุนแรงบนถนนราชดำเนิน เป็นการตื่นรู้อย่างพร้อมพรั่งที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมความเสียสละอย่างไม่กลัวความตายที่ทางตำรวจและอันธพาลของรัฐทรราชจะยื่นให้ ทำการต่อสู้ด้วยอหิงสาไม่มีอาวุธ และการสวดมนต์ให้ใจมั่นคงและเปลี่ยนอารมณ์ที่หวาดกลัวมาเป็นความรื่นเริง มีมหรสพควบคู่กันไป จากปรากฏการณ์ที่แลเห็นถึงการใช้ความรุนแรงฆ่าฟันประชาชนของฝ่ายทรราช และการต่อสู้ด้วยอหิงสาสวดมนต์รำลึกถึงพุทธคุณของมวลมหาประชาชน ข้าพเจ้าเรียกการต่อสู้ครั้งนี้ว่า “ธรรมาธรรมะสงคราม” ตาม พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ที่ทรงเปรียบเทียบสงครามโลกครั้งที่ ๑ ว่า เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างเทวดาสองฝ่าย คือ ฝ่ายดีกับฝ่ายชั่ว ฝ่ายชั่วมีกำลังกล้าแข็งและโหดร้าย ยุยงโกหกหลอกให้คนเชื่อในเรื่องชั่วร้ายผิดศีลธรรมและผิดมนุษย์ เป็นฝ่ายได้เปรียบและรุกไล่ฝ่ายดีจนแตกยับและทำท่าจะปราชัย แต่บัดดลฝ่ายอธรรมก็เกิดอาการมืดหน้าอ่อนเพลียและหมดแรง ทำให้ทางฝ่ายธรรมะมีชัยปราบปรามคนชั่วและอบรมสั่งสอนให้คนดี และอยู่ร่วมโลกกันด้วยศีลธรรม เมตตาธรรม เป็นเรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้เห็นเป็นอุทาหรณ์ในการสู้รบของมวลมหาประชาชนชาวสยามสองครั้งที่แล้วมา ครั้งแรกที่สี่แยกหลักสี่ บนถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อขบวนของฝ่ายหลวงปู่พุทธอิสระเดินทางผ่านเข้ามาในบริเวณใต้สะพานลอยหลักสี่ มีกำลังของอันธพาลที่ได้รับการสนับสนุนโดยตำรวจที่ก่อนหน้านั้นมีการชุมนุมระดมพลกันอย่างเปิดเผย พออันธพาลกลุ่มนี้เปิดการทุบตีและยิงอาวุธเข้าใส่ขบวนมหาประชาชนที่มากับเสียงการสวดมนต์ ก็มีกลุ่มคนที่เป็นกองกำลังนิรนาม มีอาวุธสงครามซ่อนไว้ในถุงข้าวโพดล้อมยิงและโต้ตอบ ทำให้กลุ่มอันธพาลบาดเจ็บและล้มตายถอยหนีกระเจิงไป และไม่กล้าที่จะเข้ามาคุกคามมวลมหาประชาชนต่อไป การออกมาขัดขวางของกองกำลังนิรนามนี้ มีผู้ขนานนามว่าเป็นกองกำลังป๊อปคอร์น ครั้งที่สองเกิดขึ้นที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ อันเป็นที่ชุมนุมของกองทัพธรรมของศาสนิกสันติอโศกที่มานั่งคัดค้านรัฐบาลทรราชด้วยการนั่งสวดมนต์และปฏิบัติธรรม รัฐทรราชได้ส่งกองกำลังตำรวจในเครื่องแบบพร้อมทั้งอาวุธสงครามเข้าขับไล่ทุบตีบรรดาผู้ปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะบรรดาสตรีที่ต่อสู้ด้วยการนั่งสวดมนต์ภาวนาอย่างหฤโหดไร้มนุษยธรรม รวมทั้งมีการใช้ปืนยิงใส่เข้าไปในกลุ่มชนด้วย ข้าพเจ้าติดตามรับฟังการถ่ายทอดเหตุการณ์สลายการชุมนุมจากโทรทัศน์และวิทยุด้วยความรู้สึกสลดและสิ้นหวัง คิดว่าฝ่ายธรรมะคงไม่มีทางหยุดยั้งพวกตำรวจอธรรมหฤโหดผิดมนุษย์ได้ แต่บัดดลก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายปาฏิหาริย์ขึ้น เมื่อตำรวจโหดเคลื่อนเข้ามาใกล้กับสมณะโพธิรักษ์ที่นั่งอยู่ด้วยความสงบและเตือนสติให้ผู้ปฏิบัติทำสวดมนต์ต่อไป ก็มีกองกำลังนิรนามที่ออกมายิงใส่ตำรวจจนล้มเจ็บและตายแตกกระเจิงกลับไปในลักษณะที่พ่ายแพ้ แต่ว่าชัยชนะที่เป็นปาฏิหาริย์ดังกล่าวนั้น ก็เป็นเพียงการชนะในการต่อสู้ที่เป็นครั้งคราว [Win the Battle] หาเป็นชัยชนะเด็ดขาดในสงคราม [Win the War] ไม่ เพราะการสู้รบกับรัฐทรราชระบอบทักษิณที่ครอบงำบ้านเมืองมากว่า ๑๐ ปีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เป็นความชั่วร้ายที่แผ่ซ่านไปแทบทุกอณูของประเทศชาติ ในลักษณะเช่นการแพร่กระจายของมะเร็งร้ายขั้นสุดท้าย เกินศักยภาพของมวลมหาประชาชนที่แม้จะออกมาแสดงพลังกันอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ก็ตาม นั่นก็คือ มหาประชาชนไม่มีรัฏฐาธิปัตย์ คืออำนาจเบ็ดเสร็จในการใช้บังคับอย่างของรัฐทรราชที่แม้ว่าจะถูกทำลายความชอบธรรมหมดแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอ้างอิงกติกาในการยืดเยื้อโดยอาศัยรัฐธรรมนูญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นข้ออ้างประการหนึ่ง ประการที่สอง สังคมไทยเป็นสังคมพุทธศาสนาเถรวาทที่มีแต่เมตตาธรรมและการให้อภัยเป็นพื้นฐาน หามีอะไรเด็ดขาดในการจัดการกับความชั่วร้ายที่โหดเหี้ยมและไม่มีศีลธรรมได้ นอกจากรอให้กฎแห่งกรรมมาตามทัน เสมือนเมื่อไหร่มะม่วงจะหล่นก็หาทราบไม่ โดยเฉพาะการเน้นเรื่องการต่อสู้อย่างอหิงสานั้นจึงมีแต่เป็นฝ่ายถูกกระทำด้วยความรุนแรงฝ่ายเดียว กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ เรื่องของการต่อสู้แบบอหิงสานั้น เป็นเรื่องของผู้คนในสังคมอินเดียที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นฮินดูที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในเชิงเดี่ยวอย่างง่าย ๆ ยังผูกพันกับแนวคิดและปรัชญาของอินเดียอีกหลายร้อยเล่มเกวียน กระนั้นก็ดีการต่อสู้ด้วยอหิงสาของคานธีกับอสูรร้ายอังกฤษนั้น กว่าจะได้เสรีภาพคือชัยชนะมา ผู้คนก็ถูกฆ่าฟันล้มตายเป็นอันมาก แม้แต่ท่านคานธีก็ต้องตายในที่สุด ความต่างกันระหว่างอหิงสาของไทยกับของอินเดียก็คือ อหิงสาของอินเดียอยู่ในบริบทของสมัยเวลาที่โลกแห่งคุณธรรมยังดำรงอยู่ มีหลายชาติ และมหาอำนาจที่ไม่เห็นดีงามกับจักรวรรดินิยมอังกฤษ แต่ในบริบทของอหิงสาแบบคนไทยนั้นอยู่ในโลกที่อุดมไปด้วยวัตถุนิยม ความโลภ และอำนาจของบรรดาประเทศมหาอำนาจ เช่น “ไอ้กัน” และพรรคพวก ต่างต้องการจะเข้าครอบครองทรัพยากร ผู้คน และดินแดนที่อุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของไทย และก็พากันสนับสนุนทรราชระบอบทักษิณด้วยแนวคิด “ประชาธิปไตยสาธารณ์” ที่ต้องเลือกตั้งและไม่แคร์กับการซื้อเสียง ขายเสียง และเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ล้วนแต่สร้างความชั่วร้ายให้เพิ่มขึ้น ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ กำลังเปิดทางให้การกระทำรุนแรงผิดมนุษย์ของรัฐทรราชเป็นสิ่งชอบด้วยกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม เพราะฉะนั้นสถานการณ์เมืองไทยที่เป็นอยู่ แม้ว่ามหาประชาชนจะได้ชัยชนะในการต่อสู้แต่ละครั้งมา ก็ไม่แน่ว่าจะชนะสงครามได้ในที่สุด อีกทั้งยังไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเป็นสงครามกลางเมืองได้ในอนาคต อย่างไรก็ตามความหวังยังไม่สิ้น เพราะในสังคมไทยในส่วนรวมก็หาได้มีแต่เพียงกลุ่มคนที่เป็นฝ่ายรัฐทรราชและฝ่ายอหิงสาแต่เพียงอย่างเดียวไม่ ยังแฝงไว้ด้วยบุคคลและกลุ่มคนที่มีมโนธรรมและมีความกล้าหาญทางจริยธรรมอยู่ แลเห็นว่าอะไรถูกอะไรควร แต่ยังไม่มีความเชื่อมั่นและความพร้อมเพียงกันในการออกมาเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย ดังเช่นพวกกองกำลังป๊อปคอร์น เป็นต้น จึงกลายเป็นกองกำลังนิรนามที่แลไม่เห็นบุคคลที่เป็นผู้ทำอย่างเปิดเผย ทั้ง ๆ ที่เวลาได้มาถึงแล้ว ข้าพเจ้าเลยนึกเลยเถิดไปถึงแนวคิดและแนวปรัชญาของคนในสังคมฮินดูของอินเดีย ที่เป็นรหัสซ่อนเร้นอยู่ในมหากาพย์เช่น รามายณะและมหาภารตะ ซึ่งเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับอวตารของพระเป็นเจ้าลงมาปราบยุคเข็ญในโลก แต่ในที่นี้ขอยกเอาจากมหาภารตะก่อน เพราะดูใกล้เคียงกับสังคมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้ มหาภารตะเป็นมหากาพย์ที่รวบรวมเรื่องราวจากตำนานความขัดแย้งในหลายท้องถิ่น หลายภูมิภาคของดินแดนที่เรียกว่าภารตะ คือดินแดนของ “พระภารตะ” ปฐมวงศ์ของบรรดากษัตริย์ในแดนภารตะ มารจนาเป็นเรื่องราวเดียวกัน ที่ผู้อ่านและศึกษาจะนำเอาเรื่องราวหรือเหตุการณ์ตอนใดตอนหนึ่งไปเป็นอุทาหรณ์เพื่อเตือนและสั่งสอนสังคมที่หลากหลาย ไม่จำเป็นเฉพาะภายในอินเดียเท่านั้น ยังแพร่หลายกระจายไปยังบรรดาบ้านเมืองและดินแดนที่รับอารยธรรมอินเดีย เรื่องราวในมหาภารตะในกรณีเกี่ยวกับความขัดแย้งที่รุนแรงในสังคมไทยขณะนี้ก็คือ เรื่อง “ภควัคคีตา” ซึ่งคนทั่วไปแปลอย่างง่าย ๆ ว่าเป็น เพลงของพระเป็นเจ้า แท้จริงเป็นบทฉันท์ที่เรียกว่า โศลก กล่าวถึงเหตุการณ์การสู้รบระหว่างแม่ทัพของฝ่ายธรรมะ คือพวกปานณพ กับฝ่ายอธรรมคือพวกเการพ ทั้งสองกลุ่มนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทำการรบพุ่งเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ในดินแดนในท้องทุ่งที่เป็นสนามรบเรียกกุรุเกษตร ฝ่ายปานณพผู้น้องเป็นฝ่ายธรรมะ เพราะนอกจากมีความชอบธรรมในราชสมบัติและยังเป็นผู้ที่ยึดมั่นในศีลธรรมและคุณธรรม รวมทั้งมีความซื่อสัตย์และความกล้าหาญ ฝ่ายเการพลูกผู้พี่เป็นอธรรมและมีความประพฤติและพฤติกรรมที่เป็นทรราชกดขี่ใช้ความรุนแรงและกระทำการผิดศีลธรรมแก่คนในสังคม และเป็นผู้ที่ยึดครองรัฐและเป็นรัฐบาลอยู่ที่รัฏฐาธิปัตย์และกำลังรบกำลังทัพมากมาย ซึ่งมีบรรดาบุคคลสำคัญทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนที่แต่งตั้งจากเครือญาติตั้งแต่ชั้นผู้ใหญ่ถึงชั้นผู้น้อยมารับราชการทำหน้าที่ด้วยความภักดี แม้ว่าจะขัดกับศีลธรรมก็ตาม แต่ก็ให้ความสำคัญกับหน้าที่มากกว่า ในการทำสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ทั้งฝ่ายปานณพและเการพต่างก็ขอความช่วยเหลือทางกำลังทหารและกำลังทัพจากบรรดารัฐและบ้านเมืองที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมือง โดยเฉพาะบรรดารัฐที่เป็นเครือญาติกัน หนึ่งในรัฐเหล่านั้นก็คือ รัฐทวารกะ ที่มีพระกฤษณะปกครอง พระกฤษณะต้องทรงช่วยเหลือทั้งสองฝ่ายที่เป็นปรปักษ์กัน โดยให้ฝ่ายลูกผู้พี่คือพวกเการพเลือกก่อน พวกเการพเลือกเอากำลังทหารและกองทัพทั้งหมดไปเป็นของฝ่ายตน คงเหลือแต่องค์พระกฤษณะเท่านั้นที่ไม่ได้เอาไป ซึ่งฝ่ายปานณพก็ยินดีเลือกพระกฤษณะ แต่ไม่ใช่มาเป็นขุนพลแม่ทัพ หากมาทำหน้าที่สารถีคือคนขับรถศึกให้ผู้ที่เป็นแม่ทัพคือ อรชุน ผู้เป็นนักรบที่มีความเป็นเลิศในการใช้ธนูสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตรครั้งนี้ พี่น้องทั้งสองฝ่ายสู้รบกันที่มีผลทำลายญาติพี่น้องให้ล้มตายทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์และญาติผู้ใหญ่ จนมาถึงการเผชิญหน้าระหว่างแม่ทัพสำคัญของทั้งสองฝ่ายคือ อรชุนฝ่ายปานณพกับกรรณของฝ่ายเการพ ทั้งคู่นี้เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน แต่คนละบิดา ต่างมีความเลิศในการใช้ธนูเสมอกัน และการสู้รบของคนทั้งสองคือการตัดสินว่าฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะ ในขั้นแรกฝ่ายกรรณได้เปรียบเพราะรถศึกของทางอรชุนขัดข้อง ซึ่งธรรมดาการสู้รบกันตามกติกานั้น อีกฝ่ายหนึ่งต้องหยุดรอเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งแก้ไขสิ่งขัดข้องให้เรียบร้อยก่อนจึงจะดำเนินการต่อไปได้ แต่กรรณผู้เหี้ยมโหดไม่กระทำกลับยิงธนูเข้าประหารอรชุนที่กำลังเสียทีทันที แต่อรชุนก็รอดได้เพราะความสามารถของสารถีคือพระกฤษณะ พอการรบดำเนินต่อไปทางฝ่ายกรรณก็เกิดขัดข้องเชิงเทคนิคในเรื่องรถศึกบ้าง คือเพลาล้อรถหักต้องการซ่อมแซมจึงขอทางอรชุนให้หยุดรอเพื่อซ่อมรถก่อน ซึ่งอรชุนก็ทำท่าลังเลเพราะเป็นคนใจอ่อนมีธรรมะและความเมตตา โดยเฉพาะกรรณซึ่งเป็นพี่ชายต่างบิดา ในช่วงที่รีรอนี้ พระกฤษณะจึงเร่งและยุให้อรชุนเผด็จศึกด้วยการยิงธนูประหารกรรณในขณะที่อยู่ในสภาพขัดข้องในเรื่องรถเสีย อรชุนก็ยังรีรอและเป็นคนใจอ่อนเกรงกลัวต่อบาปที่จะเกิดขึ้น พระกฤษณะจึงต้องรับประกันว่าไม่เป็นบาปในการปฏิบัติหน้าที่นักรบที่ดีในยามสงครามที่ปลอดจากความเป็นธรรมและยุติธรรม แต่ต้องทำเพียงชัยชนะ พระกฤษณะได้แสดงพระองค์ว่า อรชุนไม่บาปก็เพราะพระองค์คือพระเป็นเจ้า เป็นการสร้างความมั่นใจและพลัง [Empowerment] ให้แก่อรชุนผู้ลั่นธนูไปประหารกรรณที่เป็นฝ่ายอธรรม และเป็นการสู้รบที่นำไปสู่การได้ชัยชนะของสงครามของฝ่ายปานณพในที่สุด การกล่อมเกลาและอบรมในลักษณะที่เป็น Dialogue ระหว่างพระกฤษณะกับอรชุน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่อรชุนในการปฏิบัติหน้าที่นี้ คือสิ่งที่เรียกว่า ภควัคคีตาหรือเพลงของพระเจ้า ซึ่งก็มีผู้รู้ในสังคมไทยมักนำมากล่าวถึงในการกระตุ้นให้ฝ่ายทหารออกมาแสดงบทบาทและหน้าที่ในการปกป้องชีวิตของประชาชนที่ถูกย่ำยีและฆ่าฟันโดยกองกำลังตำรวจและอันธพาลของรัฐบาลทรราชทักษิณ ข้าพเจ้าก็ยังไม่แน่ใจว่าทหารจะออกมาป้องกันอย่างเต็มรูปและเต็มตัวมากกว่าการปฏิบัติการของกองกำลังนิรนามป๊อปคอร์นที่อาจจะได้ชัยชนะแต่เพียงการช่วยเป็นครั้งคราวไป เพราะดูแล้วสงครามระหว่างรัฐอสูรกับประชาชนคนมีธรรมะนี้ ดูเกินกำลังกว่ามนุษย์ธรรมดาที่มีธรรมะและอหิงสาจะชนะได้ หากเป็นสงครามของกลียุคที่อำนาจเหนือธรรมชาติหรือพระเป็นเจ้าต้องอวตารลงมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นกลียุคที่มีต้นตอมาจากอสูรร้ายตะวันตก อเมริกัน อังกฤษ ฝรั่งเศสที่เผยแพร่ลัทธิประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีอันเป็นเกราะป้องกันให้แต่บรรดารัฐทรราชทั้งหลาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ประชาธิปไตยเมืองไทย : พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไอ้กันเป็นประมุข?
เผยแพร่ครั้งแรก 4 ก.ค. 2557 ช่วงเวลา ๖–๗ เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ธันวาคมศกที่แล้วมาจนถึงพฤษภาคมจะเข้ามิถุนายนนี้ ข้าพเจ้ากลายเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ไม่ดีสองอย่าง ประธานาธิบดีบารัค โอบามาและนางฮิลรารี คลินตัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเยี่ยมชมวิหารพระพุทธไสยาสน์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร เมื่อ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ (ภาพจาก Jewel Samad, The Gardian) อย่างแรกเป็นอารมณ์โกรธเกลียดและขยะแขยงรัฐบาลไอ้กันและพรรคพวก เช่น ไอ้เศส, ไอ้กิดที่คนไทยทั้งรุ่นใหม่และเก่าเป็นจำนวนมากยังหลงว่าพวกนี้เป็นเทพเจ้า อย่างที่สองคืออารมณ์เกลียดชังปนสมเพชคนในระบอบทักษิณที่เรียกสั้น ๆ ว่า “โจรเสื้อแดง” ซึ่งเป็นเหตุแห่งความวุ่นวายและความแตกแยกที่ทำให้คนไทยฆ่ากันเองมากกว่าทศวรรษ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นต้นมา ข้าพเจ้าเกลียดไอ้กันเพราะเป็นเจ้าลัทธิประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งที่ไม่แคร์กับการซื้อเสียงขายเสียงเพื่อให้พรรค การเมืองที่ชั่วร้ายเข้ามามีเสียงส่วนมากในรัฐสภา จนในที่สุดกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาภายใต้การบัญชาของทศกัณฐ์หน้าเหลี่ยม ขี้ข้าตัวโปรดของไอ้กัน หลังการปฏิวัติของทหาร คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ทำให้รัฐบาลหน้าเหลี่ยมสิ้นสุดลงไปอย่างสิ้นเชิงท่ามกลางความดีใจและโล่งใจของคนส่วนใหญ่ในชาติ ข้าพเจ้าก็พลอยฟ้าพลอยฝนโล่งใจไปกับเขาด้วย เพราะก่อนหน้านี้เป็นทุกข์กับ กปปส. และเครือข่ายเช่น คปท. กองทัพธรรม และกลุ่มหลวงปู่พุทธอิสระที่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวของมวลมหาชนที่ออกมาขับไล่ไอ้หน้าเหลี่ยมและน้องสาวอย่างอหิงสาวิธี ด้วยพลังการตื่นรู้ของคนทุกเพศทุกวัยทุกชาติพันธุ์และหมู่เหล่าในประเทศ แต่ก็ยังไม่เห็นแสงสว่างของความสำเร็จ นับเวลาเข้าถึง ๖ เดือนแต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับรัฐบาลที่ไม่มีศีลธรรมและจริยธรรมได้ แถมยังหน้าด้านหน้าทนอีกต่างหาก ที่สำคัญ อมนุษย์เหล่านี้ยังใช้วิธีการโสมมสองอย่างมาตอบโต้ อย่างแรกก็คือ การอ้างความชอบธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่ไอ้กันและประเทศมหาอำนาจตะวันตกรับรอง กับอย่างที่สองคือใช้กลไกของความมั่นคงภายในของชาติคือตำรวจและโจรเสื้อแดงอันธพาล ออกมาปราบปรามให้ร้าย ใส่ร้าย และทำร้ายประชาชนจนเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก พร้อมกันกับอ้างความเป็นธรรมในระบอบประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวออกมาต่อต้านและขับไล่รัฐบาลทรราชระบอบทักษิณที่ต่อสู้เรื่อยมาถึง ๖ เดือนเต็มนี้ ได้เผยร่างเปลือยกายรัฐบาลที่เป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากการเป็นทรราชอมนุษย์ภายใต้เปลือกของประชาธิปไตยแบบไอ้กันเท่านั้น เพราะนอกจากมีการอ้างอิงอย่างข้าง ๆ คู ๆ ว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว ยังได้รับการรับรองและสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลไอ้กันและบริวาร เช่น ไอ้เศส ไอ้กิด และไอ้ออสซี่ด้วย เมื่อเล่นไม้นี้ให้เห็น ข้าพเจ้าจึงมองไม่เห็นถึงหนทางชนะของฝ่ายมวลมหาประชาชนที่ดูอหิงสาอย่างไร้เดียงสา เพราะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีอำนาจบังคับใช้เช่นอำนาจรัฐ แม้ว่าจะมีพลังมวลมหาประชาชนที่ตื่นรู้ออกมาร่วมต่อสู้เรียกร้องกันมากมายกว่าครั้งใด ๆ ในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ตาม มวลมหาประชาชนกลุ่มหนึ่งมีความคิดให้สู้ต่อไปอย่าได้ถอยโดยวิธีการอหิงสา แต่บางกลุ่มก็เรียกร้องให้ทหารที่ประกาศตัวว่าจะอยู่ข้างประชาชนออกมาจัดการกับรัฐบาลชั่ว แต่ดูไม่ได้ผลเพราะทหารเกรงว่า ถ้าออกมาปฏิวัติรัฐประหารและจะตกหลุมกับดักของรัฐบาลชั่วได้ใช้เป็นข้อกล่าวหาเพื่อยืนยันกับไอ้กันและบริวารว่า ทหารเข้ามาปฏิวัติล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะทหารเคยมีประสบการณ์ดังกล่าวนี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงรีรอแต่ก็เคลื่อนไหวเงียบ ๆ โดยส่งกำลังคนมาคอยดูแลประชาชนไม่ให้ได้รับความรุนแรงอันเป็นการกระทำของพวกตำรวจและโจรเสื้อแดง และดูเหมือนคอยติดตามดูการเคลื่อนไหวของตำรวจและอันธพาลของฝ่ายรัฐบาลอยู่ รอจนถึงขั้นจะแตกหักในตอนปลายเดือนพฤษภาคมที่ทางแกนนำฝ่ายมวลมหาประชาชนขีดเส้นตายว่าต้องยุติในวันที่ ๒๖ พฤษภาคมอย่างเด็ดขาด ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐบาลซึ่งก็ขับเคลื่อนระดมโจรเสื้อแดงและคนเสื้อแดงซึ่งหลงใหลในประชาธิปไตยแบบไอ้กันออกมาชุมนุมต่อต้าน ซึ่งการเคลื่อนดังกล่าวนี้ปากก็ว่าอหิงสาแต่พฤติกรรมเป็นมหิงสา เพราะมีการขน อาวุธสงครามเข้ามาในประเทศและทุกสารทิศในแทบทุกภาค เริ่มก่อความรุนแรงยิงระเบิด M ๗๙ และใช้ปืนสงครามกวาดยิงฆ่าประชาชน ทำให้เกิดการคาดหวังอย่างวิตกว่า ความรุนแรงและการนองเลือดคงจะหนีไม่พ้น จึงเป็นโอกาสเหมาะที่ในความชอบธรรมที่ทหารจะต้องออกมาประกาศกฎอัยการศึกเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของแผ่นดิน ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคมเวลา ๐๓.๐๐ น. ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการทันเวลาและทันกับเหตุการณ์ในการป้องกันชีวิตของประชาชนโดยแท้ แต่ที่สำคัญก็เป็นการช่วยกู้มวลมหาประชาชนผู้อหิงสาให้ไม่ต้องรอไปเผด็จศึกในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ซึ่งข้าพเจ้าค่อนข้างเชื่อว่าคงไม่สำเร็จ แถมจะเกิดการสูญเสียกว่าที่คิดด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนออกมาล้มระบอบทรราชทักษิณด้วยวิธีอหิงสาก็ดีกับการออกมายึดอำนาจและทำการปฏิวัติของกองทัพทหารนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณูปการต่อกันอย่างแยกไม่ออก ซึ่งข้าพเจ้าในฐานะคนแก่ ๆ คนหนึ่งเห็นว่าเป็นบุญของประเทศโดยแท้และนับเป็นเรื่องปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งก็ว่าได้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อยังเป็นสิ่งที่ครอบงำและคุ้มครองคนไทยอย่างไม่น้อย ถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนเพื่ออหิงสาให้ได้มาถึงความเป็นประชาธิปไตย ฝ่ายทหารก็คงไม่สามารถออกมาปฏิวัติได้ เพราะเป็นการต่อสู้ที่ไม่น่าจะสำเร็จได้โดยง่ายโดยไม่ต้องมีการสูญเสียอย่างมากมาย ข้าพเจ้าให้น้ำหนักความสำเร็จในการโค่นอำนาจรัฐบาลทรราชของไอ้หน้าเหลี่ยมอย่างเท่ากันระหว่างผู้นำของขบวนมหาประชาชนกับผู้นำของทหารหาญ และถือว่าเป็นบุญบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่จริงในบ้านเมือง โดยเฉพาะบุญญาบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ความขัดแย้งที่นำไปสู่การเดินขบวนคัดค้านและขับไล่ของมวลมหาประชาชนนั้น หาได้เป็นเรื่องของการเป็นประชาธิปไตยไม่ หากเป็นการล้มล้างระบอบทักษิณที่ทำให้เกิดคอรัปชั่นและฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยรัฐบาลทรราชโดยแท้ แต่ฝ่ายทรราชกลับแก้เกี้ยวอ้างการกล่าวหาว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่คนทั้งโลกเขานิยม เลยมีการปั้นน้ำให้เป็นตัวขึ้นมาด้วยการปลุกระดมบรรดาประชาชนคนระดับล่างที่ตามโลกไม่ทันทางสติปัญญาให้หลงเชื่อด้วยโครงการประชานิยม เช่น เอาเงินภาษีรายได้ของรัฐมาแจกจ่ายโดยไม่ต้องทำมาหากินอย่างสุจริต เช่น เงินกองทุนหมู่บ้าน เงินจำนำข้าว การเพิ่มรายได้ค่าจ้างขั้นต่ำ และเงินเดือนของบรรดาผู้จบการศึกษาขั้นปริญญาอันเป็นสิ่งที่ทำให้บรรดาผู้ประกอบการรายย่อยที่มีทุนน้อยต้องขาดทุนและล้มเลิกกิจการ และรัฐเองก็ไม่สามารถหารายได้มาให้พอเพียงกับรายจ่าย เปิดช่องให้นายทุนรายใหญ่เช่นนายทุนข้ามชาติที่มีทั้งจากในประเทศและจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนยึดครองที่ดินพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติของแผ่นดิน ทั้งหมดนี้เท่ากับเป็นการขายประเทศไทยและแผ่นดินไทยให้ต่างชาติโดยตรง นี่เป็นประการแรก ประการที่สองก็คือ รัฐทรราชให้ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดกับบรรดาปัญญาชนที่เป็นนักวิชาการ ข้าราชการพลเรือน ทหารและตำรวจที่ขาดมนุษยธรรมและจริยธรรมที่อยู่ภายใต้อำนาจเงินของรัฐที่มาจากการโกงกินให้ออกมาต่อต้านกับฝ่ายประชาชน โดยอ้างเหตุผลของการไม่เป็นประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวและการกระทำของคนเหล่านี้นั้นเป็นสิ่งเห็นประจักษ์แก่วิญญูชนทั่วไป แต่ก่อนเคยเห็นเป็นประจักษ์แต่เพียงทรราชหน้าเหลี่ยม ญาติพี่น้องและบริวารสามารถซื้อเสียงการเลือกตั้งให้มีเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาจนเป็นเผด็จการรัฐสภา และการใช้อำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและอามิสสินจ้างหว่านล้อมบรรดาข้าราชการประจำทั้งพลเรือน ทหารบางรุ่นบางเหล่าและตำรวจเกือบทั้งสถาบันให้มาเป็นขี้ข้าเครื่องมือของตนเท่านั้น แต่คราวนี้ก็ได้เห็นแนวร่วมจากกกลุ่มคนชั้นสูง คนเคยเป็นผู้ดีมีตระกูล และคนกลุ่มปัญญาชน เช่น อาจารย์ระดับด๊อกเตอร์ด๊อกตีน นักศึกษา และมิจฉาชีพที่เอาผ้าเหลืองมาห่มพรางกาย คนกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้แม้ว่าจะไม่ออกมาทำการรุนแรง แต่กลับดูร้ายแรงยิ่งเสียกว่าเพราะเป็นกลุ่มที่พยายามอ้างความถูกต้องชอบธรรมของรัฐบาลไอ้หน้าเหลี่ยมและพรรคพวกว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่ถูกต้องและรักษากฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด สมคบกับพวกสื่อที่ชั่วร้ายทางโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ออกมาประนามและขัดขวางการต่อต้านเรียกร้องของมวลมหาประชาชน คนเหล่านี้ก็เช่นเดียวกันที่นอกจากเป็นทาสน้ำเงินของไอ้หน้าเหลี่ยมแล้ว ก็เห็นว่าไอ้กัน ไอ้กิด และไอ้เศสคือพ่อแม่ หลาย ๆ คนเคยเป็นคนใหญ่คนโตและเป็นข้าราชการผู้ใหญ่เคยรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยถวายสัตย์ปฏิญาณดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาหรือเคยสาบานตนต่อธงชัยเฉลิมพล ให้ความสำคัญกับองค์พระมหากษัตริย์ในฐานะพระประมุขในการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ทุกวันนี้กลับแลเห็นว่าไอ้กันเป็นประมุขแทน ก็เลยเข้าทางกับความคิดเชิงวาทกรรมของข้าพเจ้าว่า ความขัดแย้งครั้งนี้คือวาทกรรมของคนฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายทรราชหน้าเหลี่ยมที่อ้างประชาธิปไตยแบบไอ้กันเป็นประมุขว่า ทันสมัยและถูกต้องกับสากลโลก เพื่อนำไอ้กันกับพรรคพวกเข้ามาให้การสนับสนุนและร่วมกันเข้ามาครอบครองและแย่งทรัพยากรทั้งหลายที่มีของประเทศ ที่เคยให้ความสมบูรณ์พูนสุขและการมีชีวิตร่วมกันอย่างไม่ขัดสนและราบรื่นมาแต่โบราณนับหลายศตวรรษในลักษณะที่เรียกว่า สังคมชาวนา ในขณะที่ทางฝ่ายมวลมหาประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวกันมากมายแบบถล่มทลายหลายล้านคนที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็คือระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ที่ประชาราษฎร์ทั่วทั้งประเทศยังมีความเชื่อมั่นในองค์พระมหากษัตริย์ว่ายังเป็นที่พึ่งในยามเกิดยุคเข็ญและเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณของผู้ที่เป็นคนไทยอยู่ การออกมาปฏิวัติของกองทัพครั้งนี้คงไม่เหมือนครั้งใด ๆ ในการปฏิวัติรัฐประหารที่เคยมีมา ซึ่งพอสรุปได้ว่าทุกครั้งของการปฏิวัตินั้นเกิดภาวะขัดแย้งทางเศรษฐกิจการเมืองในชาติอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากรัฐบาลเป็นเผด็จการ ผู้นำทหารที่ทำการปฏิวัตินั้นเริ่มต้นก็เจตนาดี แต่พอมีอำนาจเต็มที่ก็ไม่ยอมปล่อยให้เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยจริงแบบเผด็จการทุกที จากเผด็จการของขุนศึกจนมาถึงเผด็จการของนายทุนจนถึงยุคทรราชหน้าเหลี่ยมที่ทำความพินาศให้บ้านเมืองและผู้คนในทุกมิติของสังคมไม่ว่าเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม จนผู้คนในสังคมรุ่นใหม่ในปัจจุบันทนต่อไปไม่ได้ เกิดการตื่นรู้และรวมตัวกันขับไล่และล้มร้างทรราชในขณะนี้ ซึ่งก็ไม่มีทางสำเร็จด้วยวิธีอหิงสาจึงต้องมีกำลังฝ่ายทหารที่ตื่นรู้รักบ้านรักแผ่นดินและรักพระมหากษัตริย์ออกมาจัดการ แน่นอนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพื่อให้มีการปฏิรูปก่อนที่จะมีการเลือกตั้งนั้น ไม่มีทางใช้อำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยได้ ต้องเป็นอำนาจปฏิวัติแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จากการเฝ้าติดตามและสังเกตพฤติกรรมและบทบาทของคณะทหารที่ทำการปฏิวัติในครั้งนี้ ผู้นำทหารรุ่นนี้ได้เรียนรู้และตื่นรู้ในความล้มเหลวและผิดพลาดของการปฏิวัติมาดีพอ อีกทั้งไม่เคยคิดจะปฏิวัติมาก่อนและพยายามหลบหลีกไม่แสดงอะไรที่เป็นการก้าวร้าวแสดงอำนาจกับทางฝ่ายรัฐบาลตลอดเวลา หากเฝ้าดูพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องด้วยความอดทน อย่างครั้งน้ำท่วมใหญ่ใน พ.ศ. ๒๕๕๓ ตอนเริ่มต้นของรัฐบาลน้องสาวไอ้หน้าเหลี่ยมซึ่งนับได้ว่าเป็นความล้มเหลวที่สำคัญ ทำให้เกิดความเดือดร้อนอย่างสาหัสแก่ผู้คน รัฐบาลไม่มีทางเป็นที่พึ่งได้ แก้ไขอะไรไม่ได้ มีแต่ทหารเท่านั้นที่ออกมาช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงใจ โดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารบกผู้ที่เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติในขณะนี้ แม้ว่าในเวลาต่อ ๆ มาทหารก็ดูยิ่งระวังตัวในการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปกครองและบริหารของรัฐบาลที่แทบไม่มีอะไรเลยที่ไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นและการแสดงอำนาจเถื่อนของบรรดานักการเมืองและบริวารที่มีทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือนและกองกำลังโจรเสื้อแดง แทบทุกครั้งที่ประชาชนมีการเคลื่อนไหว คัดค้าน ต่อต้านรัฐบาลทหารก็ดูเพิกเฉยโดยเฉพาะปล่อยให้พวกตำรวจขี้ข้าออกมาจับกุม ข่มเหงประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้คนเป็นจำนวนมากแม้แต่ข้าพเจ้าเองรู้สึกว่าทหารไม่เอาไหนและถูกซื้อได้ด้วยเงินของทรราชที่คดโกงแผ่นดินมา ทหารเพียงพูดอย่างขอไปทีว่า ไม่เลือกข้างไหนแต่เลือกอยู่ข้างประชาชนและสั่งกองกำลังทหารเข้ามาประจำสถานที่สำคัญที่เกิดความรุนแรงจากการใช้อาวุธสงครามทำร้ายและฆ่าประชาชน และในยามที่ตำรวจของฝ่ายทรราชและอันธพาลเสื้อแดงเข้าโจมตี ฆ่าฟันประชาชนที่ไม่มีอาวุธก็เกิดปรากฎการณ์ที่มีกองกำลังนิรนามซึ่งก็น่าจะเป็นทหารที่รักบ้านรักแผ่นดินออกมาทำการต่อสู้ช่วยเหลือประชาชน ทำให้ทางฝ่ายทรราชไม่สามารถกวาดล้างมวลมหาประชานที่คัดค้านได้สำเร็จ ทหารก็คงทำได้เท่านี้แม้ว่าฝ่ายรัฐบาลทรราชจะถูกกระบวนการศาลยุติธรรมตัดสินให้กลายเป็นรัฐบาลรักษาการณ์ที่ไม่อาจเป็นรัฐบาลโดยชอบธรรมอย่างเต็มที่ได้ การต่อต้านและการขับไล่รัฐบาลทรราชที่ชั่วร้ายนี้ ได้ดำเนินการกว่า ๖ เดือนเต็ม แต่รัฐทรราชก็ยังดื้อด้านอ้างการเป็นรัฐบาลที่มาจากเสียงเลือกตั้งส่วนมากอย่างเดิม ไม่ยอมลาออกเพื่อให้มีการปฏิรูปโครงสร้างการเมืองการปกครองกันใหม่ แต่ยืนกรานให้มีการเลือกตั้งแบบเดิมที่จะทำให้นักการเมืองฝ่ายตนได้เลือกตั้งเข้ามาเป็นเผด็จการรัฐสภาใหม่ ทางฝ่ายมวลมหาประชานจะเคลื่อนไหวกดดันอย่างใดก็ไม่ยินยอม แถมระดมสรรพกำลังของพวกตำรวจโจรและอันธพาลเสื้อแดงนำอาวุธสงครามมาแทบทุกสารทิศ เตรียมการฆ่าฟันประชาชนด้วยอาวุธสงครามอย่างโหดร้าย เพราะได้ใจว่าฝ่ายประชาชนไม่มีอาวุธและทำการต่อสู้ด้วยวิธีอหิงสาอย่างเดียว จนเมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะวิกฤต ทหารจึงได้ออกโลงมาระงับข้อพิพาทด้วยการประกาศกฎอัยการศึก และให้ทั้งฝ่ายรัฐทรราชกับฝ่ายมวลมหาประชาชนตกลงกัน ซึ่งก็ไม่มีทางสำเร็จและความรุนแรงก็เริ่มเพิ่มขึ้น และทหารเองก็ถูกรุมด่าจากทั้งสองฝ่าย ฝ่ายรัฐต้องการปรามไม่ให้ทหารออกมาด้วยวิธีการเช่นเดิม คือกล่าวหาว่าจะทำการปฏิวัติรัฐประหารอย่างที่เคยมีมา ส่วนฝ่ายมวลมหาประชาชนที่ไม่ชอบการปฏิวัติโดยทหารก็มี และที่ต้องการให้ทหารออกมาเป็นกองกำลังให้ฝ่ายประชาชนก็มาก ในวาระเช่นนี้ที่หลายคนสิ้นหวังในทหาร เพราะเชื่อว่าผู้นำทหารหลายคนถูกซื้อโดยทรราช ทหารจึงประกาศยึดอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควบคุมบุคคลที่ออกมาเคลื่อนไหวทั้งสองฝ่ายและปราบปรามกลุ่มคนมีอาวุธสงครามและทำร้ายฆ่าฟันประชาชน ในการปฏิวัติของทหารครั้งนี้ข้าพเจ้าให้ใจกับทหารหาญเต็มร้อย เพราะเป็นปาฏิหาริย์ในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองที่จะช่วยชีวิตประชาชนและประเทศชาติให้อยู่รอดจากทรราชชั่วร้ายของแผ่นดิน และการเป็นขี้ข้าทางเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมของมหาอำนาจทุนนิยมประชาธิปไตย ดังเช่นไอ้กันไอ้กิดไอ้เศสและบริวาร ทหารปฏิวัติครั้งนี้หาได้เป็นไปเพื่อความต้องการอำนาจเพื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแทนอย่างแต่ก่อน ๆ หากปฏิวัติด้วยตื่นรู้และเรียนรู้อย่างแท้จริง ซึ่งก็เห็นได้จากคำกล่าวของหัวหน้าคณะปฏิวัติคือแม่ทัพบก ทหารตระหนักรู้ในบทเรียนของการปฏิวัติที่แล้วมาเป็นอย่างดี หาได้มุ่งยึดอำนาจเพื่อปกครองเป็นรัฐบาลเสียเอง แต่ทนไม่ได้กับการสูญเสียชีวิตของประชาชน ทนไม่ได้กับการกล่าวร้ายให้ร้ายพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักของทุกคนในชาติ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การประนามบุคคลชั่วร้ายในชาติที่ทรยศรับเงินอุดหนุนของรัฐบาลมหาอำนาจเข้ามาแหย่เพื่อเสริมความถูกต้องให้กับทรราชหน้าเหลี่ยมและพรรคพวกในการเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่เสียงส่วนใหญ่มาจากการเลือกตั้งโดยการซื้อเสียงและขายเสียง ในที่สุดการปฏิวัติครั้งนี้มีโรดแมพอย่างคร่าว ๆ ที่สอดคล้องกับของมวลมหาประชาชน คือต้องปฏิรูปก่อนที่จะให้มีการเลือกตั้งที่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความสำคัญอยู่ที่การปฏิรูป ถ้าหากไม่มีการปฏิรูปอย่างถอนรากถอนโคนในทางโครงสร้างการปกครองและการบริหารที่ใช้อำนาจรวมศูนย์อย่างที่เคยมีมาก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น คงเข้าสู่อีหรอบเดิม แต่การปฏิรูปครั้งนี้จะสำเร็จได้ดีก็ต้องอาศัยอำนาจปฏิวัติที่หลีกไม่พ้นการเป็นเผด็จการ หัวหน้าคณะปฏิวัติผู้เป็นผู้นำทางทหารก็จำต้องมีอำนาจสูงสุดในการสั่งการ และคงต้องอาศัยอำนาจตุลาการศาลทหารรวมทั้งการประกาศกฎอัยการศึกในวาระจำเป็นเป็นเครื่องมือ ความสำเร็จจะเกิดได้จากความซื่อตรงและความกล้าหาญทางจริยธรรมของหัวหน้าคณะปฏิวัติโดยตรง หญิงชาวบ้านในสงครามเวียดนามถูกทหารสหรัฐอเมริกาใช้ปืนกลจี้หัว ถือเป็นภาพจากสงครามเวียดนามที่มีชื่อเสียงและเป็นที่คุ้นเคยทั่วโลก ซึ่งเมื่อปฏิรูปให้เกิดโครงสร้างใหม่และการกระจายอำนาจอย่างมั่นคงแล้ว จึงจะถึงเวลาของการเข้าสู่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอีกวาระหนึ่ง ข้าพเจ้าให้ใจและให้ความหวังกับผู้บัญชาการทหารบกคนนี้ซึ่งเป็นผู้นำในการปฏิวัติว่าน่าจะทำได้สำเร็จ เพราะได้แลเห็นพฤติกรรมที่ฉลาดและมีความจริงใจในคำพูดและการกระทำตลอดเวลากว่าสองปีที่ผ่านมาภายใต้รัฐบาลทรราชของน้องสาวไอ้หน้าเหลี่ยม โดยเฉพาะจุดเริ่มต้นของการที่ทหารออกมาช่วยเหลือประชาชนไม่ให้จมน้ำตายในขณะที่ทางรัฐบาล “เอาไม่อยู่” และภายหลังปฏิวัติแล้วดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ถูกโกงจากการจำนำข้าวของรัฐบาลทรราช รวมทั้งการระบุถึงการที่มีกลุ่มนักวิชาการและปัญญาชนออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านโดยได้รับและหนุนจากรัฐบาลไอ้กัน ซึ่งย่อมแสดงให้เห็นว่าทหารและคณะปฏิวัติไม่หวั่นไหวต่อการข่มขู่ของไอ้กันและพรรคพวก ข้าพเจ้าคิดว่าความสำคัญตั้งแต่นี้ไปก็คือ คณะปฏิวัติและมวลมหาประชาชนจะต้องเผชิญกับศึกกับมหาอำนาจทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย เช่นไอ้กันไอ้กิดไอ้เศสและไอ้ออสซี่ที่จะเคลื่อนไหวโดยมีตัวแทนคือบรรดานักวิชาการปัญญาชนและนายทุนข้ามชาติให้บีบคั้นให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว พร้อมกันปลุกปั่นให้คนเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์และสถาบันคือเหตุใหญ่ของความไม่เจริญและล้าหลังของประเทศ และสถาปนารัฐประชาธิปไตยทุนนิยมแบบไอ้กัน ซึ่งอาจเอื้อมไปถึงการมีโรดแมพที่จะมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแทนพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศด้วย เพราะฉะนั้นสังคมไทยกำลังเข้าสู่ทางแยก [Turning Point] ระหว่างการเป็นประชาธิปไตยแบบพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือประชาธิปไตยทุนนิยมแบบไอ้กันคือมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ทางหลังนั้นคือความหายนะล่มสลายของคนไทยทั้งชาติที่บรรดามหาอำนาจทางเศรษฐกิจจะเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์เช่นประเทศไทยแล้ว ยังเป็นการปล่อยให้บรรดานายทุนข้ามชาติทั้งภายในและภายนอกเข้ามาครอบครองประเทศด้วย เพราะบรรดานายทุนเหล่านี้คือพวกมองโลกแบบไร้พรมแดนไม่จำเป็นต้องมีชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์อีกต่อไป สุดท้ายนี้ในความคิดของข้าพเจ้าอย่างตื้น ๆ ในเรื่องทางเลือกทางแรกที่เป็นประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น จำเป็นต้องปฏิรูปให้มีการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นให้เกิดรัฐบาลท้องถิ่นขึ้น ดูแลให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่มีความสัมพันธ์กับฐานทรัพยากรของแต่ละท้องถิ่น ในขณะเดียวกันก็ต้องจัดการในเรื่องการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์ ให้ปลอดจากการที่ถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นกลุ่มทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาแอบแฝงในพระนามของพระมหากษัตริย์ กลุ่มทุนที่แฝงอยู่ในนามของสถาบันดังกล่าวนี้มีความชั่วร้ายพอ ๆ กับกลุ่มทุนข้ามชาติในการทำลายฐานทรัพยากรของท้องถิ่นเหมือนกัน สำหรับการคุกคามข่มขู่ทางเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากไอ้กันและพรรคพวกนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าปัญญาชนที่รู้ซึ้งในฐานทรัพยากรของประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและความอุดมสมบูรณ์ของน้ำและแผ่นดิน ไม่เคยกลัวหรือหวั่นไหวในการที่จะต้องปิดประเทศเพื่อความอยู่รอดเพราะ “เมืองไทยนั้นปิดประเทศ ๕ ปี คนไทยก็มีกินและอยู่ได้ แต่นายทุนที่เป็นขี้ข้าอเมริกันคงไม่รอดสักราย”
- “เสน่ห์เมืองสาย”
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2557 การทำงานทางประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และโบราณคดีโดยเน้นการสำรวจศึกษาจากท้องถิ่นต่าง ๆ ที่ผ่านมาในระยะเวลากว่า ๔๐ ปีของทั้งวารสารเมืองโบราณและมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้บันทึกความทรงจำและความเข้าใจในภูมิวัฒนธรรมอันหลากหลายในประเทศของเรามาไม่น้อย ภาพถ่ายของอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะจากวารสารเมืองโบราณและอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ผู้เป็นทั้งบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณและที่ปรึกษาของมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ถือเป็นมรดกที่สะท้อนภาพของสังคมไทยทางวัฒนธรรมในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากสังคมแบบเกษตรกรรมมาเป็นกึ่งอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้เข้าใจพื้นฐานความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในปัจจุบันได้มากมาย มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ทำหน้าที่ในการแบ่งปันความรู้แก่สังคม จึงทำงานจัดระบบภาพ ฟิล์ม สไลด์เก่าจากการทำงานของผู้ใหญ่ท่านต่าง ๆ ที่ทำงานมาอย่างยาวนานเกือบครึ่งศตวรรษ เริ่มจากอนุรักษ์และทำสำเนาดิจิทัลดูแลรักษา จัดเก็บอย่างเป็นระบบ ศึกษาภาพและทำคำสำคัญ [Keyword] เพื่อสะดวกในการค้นหาต่อไป จากการทำงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง พบเห็นเรื่องราวผู้คนและสภาพแวดล้อมในบรรยากาศต่าง ๆ และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับภาพเก่าที่มีอยู่ในโครงการฯ ที่คณะวารสารเมืองโบราณนำโดย อาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม และคุณสุวพร ทองธิว ไปสำรวจ พูดคุย ถ่ายภาพทั้งสามจังหวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ หลังจากเริ่มทำวารสารเมืองโบราณฉบับแรกมาแล้วประมาณ ๕ ปี ครั้งนี้ได้คุณอานัส พงศ์ประเสริฐ จากกลุ่ม SAIBURI LOOKER ซึ่งบ้านเกิดและรากฐานครอบครัวเป็นคนสายบุรีมาหลายชั่วอายุคน อานัสเป็นคนหนุ่มที่กลับบ้านหลังจากเรียนหนังสือและอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครได้หลายปี และกำลังคร่ำเคร่งกับเพื่อน ๆ ในการทำกิจกรรมเพื่อเมืองสายบ้านเกิดให้เป็นพื้นที่แห่งความสุขและความหวังของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้าสืบต่อมาจากคนรุ่นเดิมๆ เช่นเดียวกับเขา กิจกรรมหลายอย่างแสดงออกถึงความปรารถนาที่จะเห็นสังคมในท้องถิ่นคืนกลับมาสู่เมืองสงบเงียบชายฝั่งทะเลในสภาพแวดล้อมที่สวยงามดังเดิม เสน่ห์ย่านการค้าเมืองสาย เมืองสายบุรีเป็นเมืองเก่าแก่ พื้นที่ตั้งอยู่ติดกับทะเลตรงปากแม่น้ำสายบุรีที่สามารถใช้เส้นทางน้ำนี้เดินทางเข้าสู่เขตที่ราบและเทือกเขาต้นน้ำทางสันกาลาคีรีภายในแผ่นดินได้สะดวก จากสภาพแวดล้อมดังกล่าวทำให้สายบุรีเคยเป็นเมืองท่าในอดีต เพราะเป็นจุดรับส่งแลกเปลี่ยนกระจายสินค้าที่สำคัญ หากกล่าวถึงเส้นทางแม่น้ำสายบุรีก็เปรียบได้ดั่งเส้นทางซูเปอร์ไฮเวย์โบราณ เป็นเส้นทางคมนาคมที่มีการใช้แพ เรือกรรเชียง เรือพาย พัฒนาไปจนถึงเรือกลไฟเมื่อราว ๆ ๖๐ ปีที่ผ่านมา เป็นการเดินทางจากชุมชนที่อยู่ภายในเพื่อมาออกปากแม่น้ำสายบุรี ลำน้ำสายบุรีเป็นเส้นเลือดใหญ่สำหรับการคมนาคมทางน้ำ ขนส่งสินค้าแลกเปลี่ยนสินค้าทางการเกษตร ประมงและสินค้าจากป่าเขาภายใน ตรงปากน้ำมีสถานีสินค้าหรือร้านค้าต่าง ๆ เป็นจุดรับซื้อแลกเปลี่ยนตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของเป็นเถ่าแก่ชาวจีน มีบ้างประปรายที่เจ้าของเป็นคนมลายู บรรยากาศเมืองสายบุรีในขณะนั้นมีเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่จอดทอดสมอเรียงรายเต็มไปหมด ประกอบกับมีอ่าวจอดเรือที่เหมาะกับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ดังนั้น จึงเห็นเรือต่างชาติแวะเข้าจอดรับส่งสินค้าจากสายบุรี จนต้องมีด่านศุลกากร ถือเป็นจุดค้าขายการค้าทางทะเลที่สำคัญ จากคำบอกเล่าของคนสายบุรี ราวช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในพื้นที่สายบุรีเริ่มมีการทำเหมืองแร่ดีบุก บริเวณบ้านกะลาพอในปัจจุบันและอีกหลายแห่ง มีเรือกลไฟฝรั่งจอดรอรับตรงท่าเรือสายบุรี จนทำให้คนจีนและอินเดียและคนจากนอกพื้นที่ต่างหลั่งไหลเข้ามาทำมาหากินที่เมืองสายบุรีเป็นจำนวนมาก ย่านการค้าสายบุรีในสมัยนั้นคึกคักไปด้วยบรรยากาศการค้าขายเพราะมีอาคารร้านค้าของพ่อค้าเชื้อสายจีนที่อาศัยตั้งถิ่นฐานอยู่ตรง “ถนนสายบุรี” ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นถนนที่ตัดตรงไปยังบ้านปากน้ำสุดทางตรงสถานีดับเพลิงในปัจจุบัน ซึ่งเป็นท่าเรือเก่าและด่านศุลกากรในอดีต ตึกแถวอาคารร้านค้าเก่าในย่านเส้นทางสายเศรษฐกิจเก่า “ถนนสายบุรี” ตรงบริเวณในภาพนี้ช่วง ๔๐-๕๐ ปีที่ผ่านมามีโรงเรียนสอนพิเศษภาษาไทยและภาษาจีนระดับชั้นอนุบาล คุณครูที่สอนเป็นคนจีนสายบุรีชื่อแปะเบ่ง ทุกวันหลังเลิกเรียน นักเรียนก็จะถือกระดานชนวนเพื่อมาเรียนพิเศษที่นี่ บริเวณนั้นยังมีร้านค้าของชำ โรงแรมที่พักต้อนรับพ่อค้าขาจรที่แวะค้าขายหรือผ่านทาง สองฟากถนนเป็นเรือนแถวค้าขายกึ่งตึกกึ่งไม้ของเถ่าแก่จีนชาวสายบุรี และมีการประดับตกแต่งฉลุลวดลายแบบท้องถิ่น ร้านค้า โรงแรม บ้านเรือน สองฟากถนนเป็นเรือนแถวค้าขายกึ่งตึกกึ่งไม้ของเถ้าแก่จีนชาวสายบุรี และมีการประดับตกแต่งฉลุลวดลายแบบท้องถิ่น ร้านค้า โรงแรม บ้านเรือน ตลาด วิกโรงหนังถึง ๓ โรง เกวียนเทียมควาย เกวียนเทียมวัว รถม้า รถขนแร่ และสินค้าเครื่องมือเครื่องไม้ต่าง ๆ ที่ทันสมัยก็ใช้เส้นทางเส้นนี้เพื่อมุ่งหน้าไปส่งสินค้าตรงท่าเรือ รวมทั้งยังมีพ่อค้าจากยะลาหรือนราธิวาสก็จะเข้ามาซื้อสินค้าจำนวนมากจากที่นี่ นอกจากนี้ถนนสายบุรียังเป็นที่ตั้งของอาคารที่ว่าการอำเภอ สถานีตำรวจ ที่ทำการของรัฐหลายแห่ง ดังนั้น บริเวณสองฝั่งถนนสายบุรีจึงเป็นย่านการค้าที่สำคัญมากในเขตสามจังหวัดชายแดนใต้ทีเดียว เรือนแถวส่วนหนึ่งคือที่อยู่อาศัยของคหบดีจีนต้นตระกูลเก่าแก่ของสายบุรี เช่น วิเศษสุวรรณภูมิ, ชาญอิสระ, พิธาน ฯลฯ สภาพอาคารบางแห่งในปัจจุบันก็ยังคงสภาพดี แต่บางส่วนถูกต่อเติมเปลี่ยนแปลงจากสภาพเดิม หรือถูกรื้อไปเปลี่ยนเป็นตึกแถว บ้างเปิดเป็นร้านค้าที่อยู่อาศัย บ้างก็ถูกปิดทิ้งไว้ เมื่อการคมนาคมเปลี่ยนแปลงพัฒนาจากทางน้ำเป็นทางบก เส้นทางรถไฟสายใต้ถูกสร้างขึ้น รวมทั้งมีการตัดถนนหลวงสายปัตตานี-นราธิวาสในปัจจุบันหรือที่คนในแถบนี้รู้จักในนามถนนเกาหลี ผู้คนจึงเลือกใช้ขนส่งผ่านเส้นทางรถยนต์มากขึ้นเพราะย่นเวลาได้เร็วขึ้น ค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า ส่งผลให้บรรยากาศการค้าการขนส่งสินค้าทางน้ำซบเซาลง เรือนแถวเป็นอาคารไม้สองชั้น เป็นทั้งเรือนที่พักและค้าขาย มีลวดลายฉลุสวยงาม เจ้าของเป็นคนมลายูมุสลิม หนึ่งในห้องแถวในภาพนี้เคยเป็นร้านยาของคุณหมอไสวคนสายบุรีรุ่นอายุ ๕๐-๖๐ ปีขึ้นไปจะรู้จักดี หมอไสวมีเชื้อสายจีน ท่านผู้นี้ทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างทีมฟุตบอลฉลามบก ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลเยาวชนสายบุรีที่โด่งดังมากในยุคนั้น และบริเวณข้างเคียงมีร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง ร้านขายของชำ และร้านขายหนังสือ ปัจจุบันตึกเก่าย่านการค้าบางส่วนก็ยังคงมีให้เห็นอยู่บ้าง บางแห่งก็ผุพังถูกรื้อถอนออกไป หรือถูกซ่อมแซมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดซึ่งกำลังหายกับพร้อมอาคารตึกไม้เก่าแก่ก็คือ เรื่องเล่าของเมืองท่าแห่งนี้ แม้จะมีร่องรอยหลักฐานที่ยังพอให้เราเห็นได้รับรู้ถึงบรรยากาศเมืองสายครั้งยังรุ่งเรืองในอดีตอยู่บ้างจากคำบอกเล่า จากตึกอาคารร้านค้าอายุราวร้อยกว่าปีและภาพถ่ายเก่าที่ยังคงหลงเหลือให้เห็น แต่โดยทั่วทั้งคนในสายบุรีและคนนอกน้อยคนนักที่จะรับรู้ถึงเรื่องราวความรุ่งเรืองในความเป็นเมืองท่าที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนเมืองสายบุรีก็ถือเป็นหน้าที่ของคนในท้องถิ่นที่จะฟื้นภาพของเมืองสายบุรีให้ปรากฏเรื่องราว เพื่อยืนยันหลักฐานร่องรอยจากความรุ่งเรืองเหล่านี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- เมืองสกลนครโบราณในรัฐ “ศรีโคตรบูร” และตำนานอุรังธาตุ
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2558 การพังทลายลงหักเป็นสามท่อนส่วนฐานซึ่งเป็นของเดิมถูกเครื่องบนกระแทกลงมาแตกเป็นผุยผง มองเห็นส่วนยอด อิฐก่อแบบสอปูนซึ่งเป็นฝีมือการปฏิสังขรณ์ สมัยพระไชยเชษฐาจากเวียงจันทน์กับยอดบนเป็นฝีมือปฏิสังขรณ์สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองไทยรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามสมัยแรก ทุกวันนี้เรารู้จักพระธาตุพนมในลักษณะที่ว่าเป็นพระธาตุเจดีย์ที่เก่าแก่และมีความศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยแต่ปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่ามีมานานเท่าใดใครเป็นผู้สร้างอยู่ในแว่นแคว้นใดมาก่อนตลอดจนมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพียงใดนั้นยังเป็นที่คาดคะเนไม่ได้แน่นอนและมักเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันในวงการโบราณคดี สิ่งที่พอจะกล่าวได้อย่างมั่นใจขณะนี้ก็คือลักษณะของศิลปกรรมอันได้แก่ลวดลายและภาพที่สลักบนแผ่นอิฐซึ่งประดับรอบพระธาตุเจดีย์ตอนล่างทั้งสี่ด้านเป็นลักษณะศิลปกรรมที่เป็นตัวเองไม่ใช่ลักษณะศิลปะของจาม มอญ และขอม ทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่า เป็นของที่สร้างโดยชนกลุ่มหนึ่งซึ่งในสมัยโบราณคือเจ้าของดินแดนสองฝั่งแม่น้ำโขง หลักฐานทางโบราณคดีขณะนี้ยังไม่มีเพียงพอส่วนใหญ่เป็นตำนานพงศาวดารซึ่งเรียบเรียงขึ้นภายหลังเหตุการณ์เป็นจริงที่เกิดขึ้นช้านาน เอกสารที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติของพระธาตุพนมและเรื่องราวของประชาชนตลอดจนแว่นแคว้นที่เกี่ยวข้องซึ่งถือได้ว่าดีที่สุดขณะนี้ก็คือตำนานอุรังคธาตุ คำว่าอุรังคธาตุนั้นหมายถึงพระบรมธาตุส่วนหน้าอกของพระพุทธเจ้าซึ่งพระมหากัสสปะนำมาประดิษฐานไว้ ณ ดอยกัปปนคีรีหรือภูกำพร้า อีกนัยหนึ่งก็คือพระธาตุพนมนั่นเอง พระพุทธรูปปางสมาธิและชิ้นส่วนของรูปสลักจากหิน ตำนานเล่มนี้การเรียงลำดับเหตุการณ์และสถานที่ดูค่อนข้างสับสนจึงมีผู้นำไปเรียบเรียงใหม่ให้อ่านง่ายขึ้นหรือไม่ก็มีผู้ตัดตอนเอาเรื่องราวของสถานที่ไปแยกเขียนเป็นประวัติตำนานของท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ตำนานพระธาตุเชิงชุม ตำนานพระบาท ตำนานพระธาตุนารายณ์เจงเวง ฯลฯ สาระสำคัญในตำนานอุรังคธาตุนั้นอาจวิเคราะห์เป็นเรื่องสำคัญได้ดังนี้ เรื่องแรกคือพุทธทำนายเป็นสิ่งที่จะต้องมีประจำอยู่ในทุก ๆ ตำนานคือการที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดสัตว์ยังท้องถิ่นใดถิ่นหนึ่งในสุวรรณภูมิแล้วทรงทำนายการเกิดของบริเวณที่จะเป็นศาสนสถานวัดวาอารามหรือบ้านเมือง ตลอดจนการกำหนดพระมหากษัตริย์หรือบุคคลที่จะทะนุบำรุงพระศาสนา ในตำนานอุรังคธาตุนี้พระพุทธองค์เสด็จมาโปรดดินแดนในลุ่มแม่น้ำโขงโดยเฉพาะทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้ในท้องที่ต่าง ๆ เช่นที่ หนองคาย สกลนคร และนครพนมทรงกำหนดภูกำพร้าในเขตอำเภอธาตุพนมเป็นสถานที่บรรจุพระ อุรังคธาตุ และทำนายการเกิดของนครเวียงจันทน์ในบริเวณหนองคันแทเสื้อน้ำ ถัดจากพุทธทำนายก็เป็นนิยายปรัมปรา [Myth] เกี่ยวกับประวัติการเกิดของภูมิประเทศอันได้แก่ แม่น้ำ ที่ราบ และภูเขา ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกลุ่มชนที่อยู่อาศัย ตำนานอุรังคธาตุกล่าวถึงการเกิดของแม่น้ำสำคัญๆตามลำแม่น้ำโขงว่าเป็นการกระทำของพวกนาค ซึ่งแต่เดิมมีที่อยู่อาศัยในหนองแสเขตยูนนานทางตอนใต้ของประเทศจีน นาคเหล่านั้นได้เกิดทะเลาะวิวาทกันจนเป็นเหตุให้ต้องทิ้งถิ่นฐานเดิมล่องมาตามลำแม่น้ำโขงทางใต้ขุดควักพื้นดินทำให้เกิดแม่น้ำสายต่างๆ ขึ้น เช่น แม่น้ำอู แม่น้ำพิง แม่น้ำงึม แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล ฯลฯ ข้อความที่เกี่ยวกับหนองแสและการวิวาทกันของพวกนาคจนเป็นเหตุให้ต้องหนีลงมาทางใต้ตามลำแม่น้ำโขงนั้นตรงกันกับข้อความในตำนานอื่นคือตำนานสุวรรณโคมคำและตำนานสิงหนวัติ อันเรื่องราวเกี่ยวกับนาคนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่นิยมกันมากในบรรดาบ้าน เมืองสองฝั่งแม่น้ำโขงตั้งแต่หนองแส ซึ่งเป็นตอนต้นน้ำในเขตยูนนาน ลงมาจนถึงเมืองเขมรตอนปากแม่น้ำโขงมีลัทธิเคารพบูชานาค เชื่อกันว่านาคเป็นผู้บันดาลให้เกิดแม่น้ำลำคลองเกิดความสมบูรณ์พูนสุขแก่บ้านเมืองและอาจบันดาลภัยพิบัติให้น้ำท่วมเกิดความล่มจมแก่บ้านเมืองได้ นาคมีความสัมพันธ์กับคนในฐานะเป็นบรรพบุรุษ เช่น ในประวัติของอาณาจักรฟูนันในจดหมายเหตุจีนกล่าวว่าพราหมณ์มาแต่งงานกับลูกสาวนาคแล้วตั้งตัวเป็นกษัตริย์ปกครองฟูนัน ตำนานอุรังคธาตุกล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงทรมานพวกนาคจนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา กลายเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาไป ยิ่งไปกว่านั้น นาคยังเป็นสถาบันที่ศักดิ์สิทธิ์ ในการปกครองและความยุติธรรม กษัตริย์องค์ไหนเจ้าเมืองคนไหนประพฤติผิดในการปกครองหรือประชาชนมีจิตใจไร้ ส่วนฐานแตกกระจายเป็นกองอิฐร่วนคลุมส่วนใกล้พื้นอันเป็นส่วนสำคัญของ องค์พระธาตุยังไม่เปิดเห็นการหักแบบขาดกลางน้ำหนักอันมหาศาลนั้นได้กด ทับฐานส่วนล่าง ซึ่งเป็นอิฐก่อไม่สอปูนมีลายจำหลักบนอิฐ ศีลธรรมจะได้รับการลงโทษจากนาค ทำให้บ้านเมืองพิบัติล่มจมไปแต่ผู้ใดเจ้าเมืองใด ยึดมั่นในพระพุทธศาสนานาคก็จะทำตัวเป็นผู้คุ้มกันและช่วยเหลือนิยายปรัมปราคติ อันเกี่ยวกับนาคซึ่งเชื่อกันว่าเป็นความจริงนี้ถ้าหากวิเคราะห์และแปลความหมายตามหลักวิชามานุษยวิทยาแล้วอาจมองได้ ๒ ลักษณะ คือ ๑. นาคในลักษณะที่เป็นกลุ่มชนดั้งเดิม ๒. นาคในลักษณะที่เป็นลัทธิหนึ่งในทางศาสนา ถ้าหากแบ่งขั้นตอนของการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนที่มาจากหนองแสตามตำนานแล้วก็กล่าวได้ว่า “ตำนานสุวรรณโคมคำและตำนานสิงหนวัติ” เป็นเรื่องของกลุ่มชนที่เคลื่อนย้ายมาตั้งรกรากอยู่ในเขตลุ่มน้ำโขงตอนบน คือตั้งแต่เขตจังหวัดเชียงรายหลวงพระบางลงมาจนถึงจังหวัดเลย ส่วนตำนานอุรังคธาตุนั้นเป็นเรื่องของผู้ที่เคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงตอนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยตั้งแต่เขตจังหวัดหนองคายลงไปจนถึงอุบลราชธานี ส่วนเรื่องที่ว่า นาคเป็นลัทธิหนึ่งในทางศาสนานั้นหมายความว่าระบบความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชนที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงตั้งแต่หนองแสลงมา เป็นลัทธิที่เกี่ยวกับการบูชานาค พระธาตุพนมล้ม วันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘ เวลา ๑๙.๓๘ น. เพราะฝนตกพายุพัดแรงติดต่อหลายวันพระธาตุพนมจึงได้ล้มทลายลงมาทั้งองค์ ประชาชนทั้งประเทศได้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์ และรัฐบาลได้ก่อสร้างองค์พระ ธาตุขึ้นใหม่ตามแบบเดิมเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๒ นาคเป็นสิ่งนอกเหนือธรรมชาติที่สำคัญ บันดาลให้เกิดแม่น้ำ หนอง บึง ภูเขา และที่อยู่อาศัย ครั้นเมื่อวัฒนธรรมอินเดียโดยเฉพาะพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์แพร่หลายเข้ามาลัทธิบูชานาคก็ได้ผสมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิศาสนาที่เข้ามาใหม่ จะเห็นได้ว่าเรื่องการที่พระพุทธเจ้าทรงทรมานนาคก็ดีเรื่องพระอิศวรและพระนารายณ์ (พระกฤษณะ) รบกับพญานาคก็ดีในตำนานอุรังคธาตุนั้นเป็นการแสดงถึงชัยชนะของศาสนาใหม่ที่มีต่อระบบความเชื่อเก่า แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าระบบความเชื่อดั้งเดิมจะสลายตัวไป กลับถูกผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาใหม่ด้วย ดังจะเห็นได้ว่าบรรดานาคได้กลายมาเป็นผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชน กษัตริย์หรือเจ้าเมืององค์ใดเป็นผู้ยึดมั่นในพระพุทธศาสนาก็มักจะได้รับความช่วยเหลือจากนาคในการสร้างบ้านแปงเมืองและบันดาลความอุดมสมบูรณ์ให้แก่บ้านเมือง แต่ถ้ากษัตริย์หรือประชาชนไม่ยึดมั่นในพระศาสนาขาดศีลธรรมนาคก็จะกลายเป็นอำนาจนอกเหนือธรรมชาติที่บันดาลความวิบัติให้บ้านเมืองนั้นล่มจมเป็นหนองเป็นบึงไปอย่าง เช่น เมืองหนองหารหลวงและเมืองมรุกขนคร เป็นต้น ลวดลายบนแผ่นอิฐไม่สอปูนที่สันนิษฐานภายหลังว่าน่าจะเป็นศิลปะแบบจาม การบรรจุพระอุรังคธาตุและการสร้างตลอดจนบูรณะพระธาตุพนมเป็นเรื่องของการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นหรือบ้านเมืองต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วอาจแบ่งระยะเวลาออกได้เป็น ๒ ระยะ ระยะแรก เป็นเรื่องราวที่เป็นนิยายปรัมปราคติ [Myth] คือเริ่มแต่สมัยพุทธกาลในรัชกาลของพระยาติโคตรบูรผู้ครองแคว้นศรีโคตรบูรพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดสัตว์ทรงกำหนดให้พระกัสสปะนำพระอุรังคธาตุมาบรรจุ ณ ภูกำพร้าหลังจากพระองค์นิพพานแล้ว ครั้งพระมหากัสสปะนำพระอุรังคธาตุมาบรรจุนั้นพระยาติโคตรบูรสิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระยานันทเสนราชอนุชาขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งศรีโคตรบูรแทนได้ร่วมกับพระยาสุวรรภิงคารแห่งแคว้นหนองหานน้อย พระยาอินทปัฐนครแห่งแคว้นอินทปัฐนครและพระยาจุลณีพรหมทัตแห่งแคว้นจุลณี เสากลมของ พระธาตุพนมตามซุ้มทิศ หลังจากก่อองค์พระธาตุเสร็จแล้วพระอินทร์และเทพยดาทั้งหลายก็พากันมาสักการะพระอุรังคธาตุสร้างเสริมตกแต่งพระธาตุให้งดงาม ทำรูปกษัตริย์ทั้งหลายจากแคว้นต่างๆที่มีส่วนร่วมในการก่อพระธาตุทรงช้างทรงม้าพร้อมทั้งลวดลายประดับไว้บนผนังรอบๆองค์พระธาตุทั้งสี่ทิศ รูปเหล่านี้เชื่อกันว่าคือที่ปรากฏบนลวดลายสลักอิฐนั่นเอง เหตุนี้จึงเป็นสิ่งที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์เรื่อยมา ต่อมาบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่ร่วมกันก่อพระธาตุก็สิ้นพระชนม์ไปแต่ว่าไปประสูติใหม่ในวงศ์กษัตริย์ของแคว้นต่าง ๆ ที่กล่าวนามมาแล้ว ในที่สุดพระยาติโคตรบูรก็ได้เสวยพระชาติเป็นพระยาสุมิตตธรรมครองเมืองรุกขนครแห่งแคว้นศรีโคตรบูรส่วนกษัตริย์องค์อื่น ๆ ได้บวชเรียนจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ทรงมาพบกันอีกทีและทรงร่วมกันบูรณะก่อสร้างพระธาตุพนมครั้งที่สองขึ้น ในครั้งนี้เชื่อกันว่าพระธาตุพนมมีรูปร่างเป็นคูหาสี่เหลี่ยมสองชั้นก่อด้วยอิฐซ้อนกัน ส่วนยอดชั้นบนของพระธาตุพนมปฏิสังขรณ์สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม หักลงมาทั้งท่อนยังเห็นลายดอกจันทร์และลายกระจังปิดทอง ต่อจากรัชกาลพระยาสุมิตตธรรมแห่งมรุกขนครแล้วแคว้นโคตรบูรก็เสื่อมลงความสำคัญของบ้านเมืองได้ย้ายไปอยู่ที่นครเวียงจันทน์อันมีพระยาจันทรบุรีอ้วยล้วยเป็นต้นวงศ์กษัตริย์ และได้ทรงอุปถัมภ์พระธาตุพนมต่อมา ระยะหลังเหตุการณ์เกี่ยวกับพระธาตุพนมเป็นเรื่องในสมัยล้านช้างซึ่งถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์แล้ว ตำนานอุรังคธาตุกล่าวว่าพระยาโพธิสาราชได้เสด็จมาบูรณปฏิสังขรณ์สร้างวิหารและถวายข้าพระเป็นจำนวนมากเพื่อคอยดูแลรักษาพระบรมธาตุพระยาโพธิสาราชนี้มีหลักฐานว่าขึ้นครองราชย์ในล้านช้างเมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๓ สมัยหลัง ๆ ลงมาก็ถึงรัชกาลพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงทราบเรื่องราวของพระธาตุพนมจากตำนาน ได้เสด็จมานมัสการพระบรมธาตุและทรงบูรณปฏิสังขรณ์ เรื่องของตำนานอุรังคธาตุที่มีมาแต่โบราณมาหมดสิ้นเอาในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้าง พระธาตุพนม ณ วัดพระธาตุพนมวรวิหาร ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ในปัจจุบันในวันเพ็ญเดือน ๓ ถึง แรม ๑ ค่ำ เดือน ๓ ของทุกปีจะมีงานประจำปี ต่อมาพระพนมเจติยานุรักษ์ (ปัจจุบันคือพระเทพรัตนโมลี) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมซึ่งเป็นปราชญ์มีความรอบรู้ในเรื่องอักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และโบราณคดีคนหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รวบรวมเรียบเรียงตำนานอุรังคธาตุขึ้นใหม่ให้ชื่อว่า “อุรังคนิทาน” ได้นำเอาเรื่องราวและเหตุการณ์เกี่ยวกับพระธาตุพนมในสมัยหลังรัชกาลพระเจ้าไชยเชษฐาลงมาจนปัจจุบันซึ่งมีบันทึกอยู่ในศิลาจารึกตำนานพงศาวดารและความทรงจำของผู้รู้ในท้องถิ่นมาเพิ่มเติมไว้ จากเรื่องราวที่เพิ่มเติมนี้ทำให้ทราบว่าพระธาตุพนมเป็นศาสนสถานที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือทุกยุคทุกสมัยการบูรณปฏิสังขรณ์แต่ละครั้งเป็นเหตุการณ์ในทางประวัติศาสตร์ซึ่งเจ้าบ้านผ่านเมือง ขุนนางข้าราชการ ประชาชน และพระภิกษุสงฆ์ต้องมาร่วมกันดำเนินการการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งสำคัญในภายหลังนี้ได้แก่ครั้งพระครูหลวงโพนสะเม็กใน พ.ศ. ๒๒๓๕ ครั้งพระครูวิโรจน์รัตโนบลจากวัดทุ่งศรีเมือง อุบลราชธานีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ และครั้งสุดท้ายกรมศิลปากรมาบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ (เรียบเรียงจากบทความเรื่อง ตำนานอุรังคธาตุกับความคิดคำนึงทางโบราณคดี ตีพิมพ์ในวารสารเมืองโบราณ ฉบับพระธาตุพนม, ๒๕๑๘) อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ปัตตานีในความทรงจำ
เผยแพร่ครั้งแรก 4 พ.ย. 2558 ท้องทุ่งข้างทางและละแวกบ้านในท้องถิ่น [ภาพ 1-2] ภาพท้องทุ่งริมทางเป็นที่โล่งที่ชาวบ้าน ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงเล็มหญ้า โดยการปล่อยสัตว์เลี้ยงในตอนเช้าและจะมาต้อนให้เข้าคอกในตอนเย็น ส่วนเจ้าของสัตว์เลี้ยงก็จะไปทำงานอย่างอื่น ในสมัยนั้นไม่มีปัญหาการลักขโมยมากนัก ผมมีโอกาสไปร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการกับมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในระหว่างการบรรยายคุณวลัยลักษณ์ ทรงศิริ ได้ฉายภาพถ่ายขาวดำที่ถ่ายจากกล้องฟิล์มชุดหนึ่ง ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นภาพของอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะหรือ น. ณ ปากน้ำ ที่ถ่ายเมื่อครั้งลงพื้นที่ในสามจังหวัดภาคใต้เมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปีก่อน นอกเหนือจากความตื่นตากับภาพถ่ายเก่าๆ และอารมณ์ของภาพขาวดำที่ดูขรึมขลังแล้ว ภาพแห่งความทรงจำในวัยเยาว์ของผมก็ได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง เรื่องราวและสถานที่ต่าง ๆ ที่เคยพบเห็นและลืมเลือนไปแล้วตามกาลเวลา ก็ได้ถูกสะกิดให้หวนคืนมาอีก เรือนไม้ [ภาพ 3] เรือนไม้ในรูปแบบสถาปัตยกรรมท้องถิ่นปาตานีเป็นเรือนที่อยู่แถบบ้านกรือเซะและอยู่ไม่ห่างจากมัสยิดกรือเซะมากนักปัจจุบันคงถูกรื้อไปแล้ว เป็นเรือนไม้ประเภทเรือนเครื่องสับยกใต้ถุนสูง หลังคาทรงจั่ว ฝากระดานลูกฟัก และใช้ปั้นลมตามลักษณะของท้องถิ่นมลายู ปัจจุบันแทบจะไม่สามารถพบเห็นเรือนลักษณะนี้ในท้องถิ่น และเมื่อหันมาดูรูปภาพเหล่านั้นอย่างพินิจถี่ถ้วน สิ่งที่พบเห็นอย่างสามัญในโมงยามที่ภาพถูกบันทึกนั้น กลับไม่สามารถพบเห็นได้แล้วในปัจจุบัน ภาพชาวบ้านที่เทินสิ่งของไว้บนหัวอย่างสามัญดาษดื่นน่าจะเป็นเรื่องที่คนอายุไม่เกิน ๒๐ ปี ไม่เคยได้เห็นมาก่อน สภาพบ้านเรือน การแต่งกาย วิถีชีวิตที่ดำเนินอย่างเชื่องช้า เหมือนอย่างที่ปรากฏในภาพถ่าย ก็คงเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากจินตนาการของผู้คนในยุคนี้ มัสยิดกรือเซะ [ภาพ 4-7] มัสยิดเก่าแก่ของเมืองปาตานี สร้างในสมัย สุลต่านมุซอฟฟัร ชาห์ แห่งราชวงศ์ศรีวังษา หลังจากที่พญาอินทิรา หรือสุลต่านอิสมาแอล ชาห์ ต้นวงศ์ เปลี่ยนมารับศาสนาอิสลามไม่นานนักมัสยิดกรือเซะเป็นสถาปัตยกรรมที่ก่อซุ้มประตูโค้งแบบเปอร์เซีย-เอเชียกลาง ก่อด้วยอิฐ รกร้างมานาน และกรมศิลปากรประกาศให้เป็นโบราณสถาน ปัจจุบันได้มีการบูรณะและใช้งานเป็นมัสยิด (ศาสนสถานของศาสนาอิสลาม) สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว [ภาพ 8-9] ตั้งอยู่ติดกับมัสยิดกรือเซะ ทางด้านทิศตะวันตก มีตำนานเล่าว่า ลิ้มกอเหนี่ยว หญิงชาวจีน เดินทางมาตามหาพี่ชายที่มาสร้างมัสยิดกรือเซะ ให้กลับบ้านที่เมืองจีน แต่ลิ้มเต้าเคี่ยนผู้เป็นพี่ชายไม่ยอมกลับ นางจึงน้อยใจและผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ด้านหลังมัสยิด ชาวจีนจึงตั้งฮวงซุ้ยให้นางในบริเวณนั้น จนมีการสร้างศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในชุมชนชาวจีนที่เมืองปัตตานี อารมณ์แรกในยามที่เห็นภาพถ่าย นอกเหนือจากการย้อนคืนความทรงจำของชีวิตวัยเด็กที่เติบโตในสังคมมลายูปาตานีอันเป็นความทรงจำส่วนตัวแล้ว ผมกลับกระหายที่จะเล่าเรื่องราว อยากแบ่งปันบรรยากาศแบบ มลายูปาตานี ที่ผมเติบโตมาให้กับคนรุ่นใหม่และคนนอกสังคมมลายูปาตานีที่ไม่มีโอกาสได้เห็น มีโอกาสได้สัมผัสถึงเรื่องราวเหล่านั้นบ้าง รวมไปถึงอยากสืบค้นถึงภาพหลายๆ ภาพที่ผมมองไม่ออก จำไม่ได้แล้วว่า เป็นภาพที่ถ่ายจากที่ไหนในสามจังหวัดชายแดนใต้ ผมอยากจะถ่ายภาพในสถานที่เดียวกัน มุมเดียวกันกับภาพเหล่านั้น เพื่อที่จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นผ่านกาลเวลาช่วงหนึ่งและบอกเล่าถ่ายทอดเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ และจะนำเสนอบอกเล่าผ่านภาพถ่ายเก่าและการเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศใหม่ร่วมกับมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ต่อไป สุสานสุลต่านสุไลมาน ชารีฟุดดีน เจ้าเมืองปัตตานี [ภาพ 10-11] ตัวสุสานทำด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ แกะสลักลวดลายเครือเถาแบบมลายู จารึกข้อความเป็นภาษามลายูอักษรยาวี หลักบนสุสานหรือที่เรียกในภาษามลายูว่า Batu Nisan ซึ่งทำจากหินอ่อนแกะสลักได้ถูกโจรกรรมไป ปัจจุบันมีหลักที่สร้างใหม่มาทดแทน ภาพนี้ถ่ายในช่วงที่หลักบนสุสานถูกโจรกรรมไปแล้ว จึงไม่ปรากฏ Batu Nisan ให้เห็นในภาพ กุโบร์โต๊ะอาเยาะห์ [ภาพ 12-15] เป็นกุโบร์หรือสุสานที่ตั้งใกล้กับมัสยิดรายาปัตตานี ตั้งอยู่ที่จะบังติกอและไม่ห่างจากวังของเจ้าเมืองปัตตานีมากนักกุโบร์โต๊ะอาเยาะห์เป็นที่ฝังศพของสุลต่านสุไลมาน ชารีฟุดดีน เจ้าเมืองปัตตานีและบรรดาญาติวงศ์ในสายตระกูลของสุลต่านมูฮำหมัดหรือตนกูเปาะสา รวมทั้งเป็นที่ฝังศพของขุนนางเมืองปัตตานีตั้งแต่ย้ายเมืองจากบ้านบานามาตั้งยังที่ใหม่ที่บ้านจะบังติกอ ในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ภายในอาณาเขตกุโบร์ที่กว้างขวางแห่งนี้ ยังแบ่งพื้นที่โดยการสร้างกำแพงแก้ว มีซุ้มทางเข้าตามแบบอย่างสถาปัตยกรรมของจีน เพื่อฝังศพแยกเป็นสายตระกูลต่างๆ และสะดวกในการดูแลรวมทั้งการอ่านบทขอพร (ดุอาร์) ให้ผู้ล่วงลับ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- ภราดรภาพที่จันเสน
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ธ.ค. 2542 หลวงพ่อโอดและชาวบ้านร่วมปล่อยปลาในบึงวัดจันเสน เมื่อวันเสาร์ที่ ๓๐ ตุลาคมที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ไปร่วมการเสวนาเรื่อง "ท้องถิ่นควรจัดการท่องเที่ยวด้วยตัวเอง" อันเป็นโครงการเพื่อสังคมที่เครือซีเมนต์ไทยจัดขึ้นที่วัดจันเสน อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ วัดนี้เป็นศูนย์กลางทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนขนาดใหญ่ในตำบลจันเสนที่พัฒนาขึ้นริมทางรถไฟที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ คือเมื่อมีทางรถไฟตัดผ่านและมีสถานีรับส่งผู้โดยสารเกิดขึ้น ชุมชนที่เคยเป็นบ้านขนาดเล็กที่ผู้คนดำรงชีพด้วยการทำนาและพืชไร่ ก็มีการเติบโตเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของท้องถิ่น มีพวกคนจีนเข้ามาตั้งหลักแหล่ง เกิดย่านตลาดริมทางรถไฟ มีห้องแถวและศาลเจ้าขึ้นมา รวมทั้งโรงสีข้าวด้วย ทำให้เปลี่ยนจากชุมชนบ้านมาเป็นชุมชนเมืองขนาดเล็ก เกิดบ้านเรือนของคนจนคนรวย รวมทั้งมีผู้คนหลายเผ่าพันธุ์เข้ามาอยู่อาศัยและแต่งงานผสมปนเปกันจนเกิดเป็นชาวจันเสนขึ้น โดยมีศูนย์รวมในทางพิธีกรรมและสำนึกร่วมทางจิตใจอยู่ที่วัดจันเสน อันเป็นวัดที่เกิดมาพร้อม ๆ กับชุมชน ความเด่นของชุมชนจันเสนมีที่มาจากการที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นเมืองโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยทวารวดีกับการที่มีพระเกจิอาจารย์ทางวัตถุมงคลเป็นเจ้าอาวาสวัดจันเสน คือ หลวงพ่อโอด (พระครูนิสัยจริยคุณ) กรมศิลปากรและมหาวิทยาลัยเพ็นซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกาเคยร่วมมือกันขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองโบราณ แต่ภายหลังจากการขุดค้น แสดงผลงานทางโบราณคดี และการตีพิมพ์รายงานให้เป็นที่รู้จักของคนทั้งหลายอยู่พักหนึ่งแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็คืนสู่ภาวะปรกติ คือความเงียบที่ผสมผสานไปกับการสูญสลายของหลักฐานทางโบราณคดีเพราะกรมศิลปากรได้รวบรวมเอาของที่พบไปเก็บไว้เป็นของรัฐหมด ในขณะเดียวกันก็มีพ่อค้านักเล่นของเก่าเข้ามาเที่ยวซื้อของเก่าจากชาวบ้าน บางรายก็สนับสนุนให้มีการขุดมาขายกันอย่างมากมาย เช่นพวกลูกปัด ดวงตราดินเผา ตุ๊กตาดินเผา พระพุทธรูป และบรรดาภาชนะที่ทำด้วยดินเผา เป็นต้น จนอาจกล่าวได้ว่าแทบไม่มีอะไรเหลือหรออยู่เลย หลวงพ่อโอด งานฝังลูกนิมิตอุโบสดวัดจันเสน แต่ความเป็นเมืองโบราณเก่าแก่ของจันเสนได้สร้างสำนึกในความภูมิใจให้แก่คนจันเสนหลายผู้หลายนาม โดยเฉพาะหลวงพ่อโอดผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดจันเสน จนเกิดความปรารถนาขึ้น ๒ อย่างในการฟื้นฟูอดีตและสร้างความรุ่งเรืองให้แก่ท้องถิ่น อย่างแรก คือ การสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ให้เป็นศูนย์กลางความศักดิ์สิทธิ์ของท้องถิ่น อย่างที่สอง คือ สร้างพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับความเป็นเมืองโบราณเก่าแก่ของจันเสนให้เป็นเกียรติภูมิของคนในท้องถิ่น ความปรารถนาของหลวงพ่อโอดทั้งสองอย่างนี้ ไม่เพียงแต่เพื่อชุมชนจันเสนเท่านั้น หากยังแผ่กว้างไปในเรื่องของท้องถิ่นด้วย เพราะหลวงพ่อโอดมีบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งที่เป็นพ่อค้า คหบดี ครู อาจารย์ และประชาชนมากมายในเขตอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดใกล้เคียง ความโด่งดังในเรื่องวัตถุมงคลทำให้วัดจันเสนมีเงินทองพอเพียงสำหรับการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์และจัดตั้งพิพิธภัณฑ์โดยไม่ต้องพึ่งพิงทางราชการ ที่น่าประหลาดใจก็คือ การสร้างพิพิธภัณฑ์จันเสนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องมีโบราณวัตถุที่พบในท้องถิ่นมาแสดง แต่กรมศิลปากรและฝรั่งรวมทั้งบรรดาพ่อค้าของเก่าเอาไปกันจนหมดสิ้นแล้ว แทนที่หลวงพ่อโอดในฐานะผู้นำท้องถิ่นที่มีบารมีพอที่จะเรียกร้องให้ทางราชการคืนโบราณวัตถุที่เอาไปจากท้องถิ่นคืนมา ท่านกลับพยายามรวบรวมสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นเศษ ที่เหลือจากการเอาไปของคนอื่นมาไว้ที่วัด รวมทั้งขอของที่ชาวบ้านและคนที่ศรัทธาตัววัดมาเก็บไว้ โดยคิดว่าจะทำเท่าที่มีของพอแสดงได้เท่านั้น แต่การสร้างพระมหาธาตุเจดีย์และพิพิธภัณฑ์วัดจันเสนก็หาได้แล้วเสร็จในช่วงเวลาที่หลวงพ่อโอดมีชีวิตอยู่ไม่ ถึงกระนั้นสิ่งที่ท่านเริ่มต้นไว้ก็เป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในสมัยต่อมา คือ สมัยที่หลวงพ่อเจริญซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อโอดเป็นเจ้าอาวาส นั่นก็คือหลวงพ่อโอดนอกจากมีเงินทุนสะสมไว้เพียงพอแล้ว ยังมีบารมีที่ทำให้มีผู้คนจากภายนอกเข้ามาช่วยเหลือ เช่น อาจารย์วนิดา พึ่งสุนทร สถาปนิกจากมหาวิทยาลัยศิลปากร อาจารย์จากภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร มูลนิธิประไพ วิริยะพันธุ์ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร วิศวกร ครู อาจารย์ และคหบดีในท้องถิ่นต่างมาให้ความร่วมมือ ทุกฝ่ายตอบสนองศรัทธาและเจตนารมณ์ของหลวงพ่อโอดเป็นอย่างดี จนเป็นเหตุให้เกิดมีพระบรมธาตุเจดีย์ที่มีความสวยงามเป็นที่สักการะและประกอบพิธีกรรมของท้องถิ่น รวมทั้งพิพิธภัณฑ์ที่แสดงความเป็นมาทางวัฒนธรรมและสังคมของท้องถิ่นที่ทำให้คนภายในภูมิใจและคนจากภายนอกพากันมาเคารพพระบรมธาตุ เช่าวัตถุมงคล และชมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น มีคนเล่ามาว่าพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของจันเสนนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดนครสวรรค์ มีผู้คนต่างถิ่นและชาวต่างประเทศมาชมจำนวนมากกว่าผู้เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ลพบุรีเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เห็นประจักษ์มากกว่าคำบอกเล่าหรือข่าวลือก็คือ ในการไปร่วมเสวนากับ "โครงการท้องถิ่นควรดูแลมรดกทางวัฒนธรรม" ของเครือซีเมนต์ไทย เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคมที่แล้วมาก็คือ ความร่วมมือร่วมใจของคนในท้องถิ่นที่ร่วมกันจัดการต้อนรับผู้มาเยือน ความเด่นของพิพิธภัณฑ์จันเสนนั้นไม่ได้อยู่ที่มีอะไรให้ผู้เข้ามาเยือนได้ชม หากอยู่ที่ทางชุมชนได้ให้เด็กนักเรียนของโรงเรียนท้องถิ่นทำหน้าที่เป็นผู้นำชม โดยกำหนดให้เป็นผู้อธิบายแต่ละช่วงตอนไป กว่าจะดูทั่วก็ใช้เด็กหลายคนทีเดียวและหลายชุดด้วย เพราะจะมีการผลัดเปลี่ยนกัน ผู้เข้าชมบางคนไม่ค่อยสบอารมณ์และวิจารณ์ว่าเด็กท่องจำเรื่องราวมาอธิบาย ดูไม่เป็นประโยชน์อะไร แต่หลายคนกลับบอกว่าดี เพราะเท่ากับฝึกเด็กให้มีความรู้และรักในมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เด็กคือพระเอกของทั้งหมด เพราะจะเป็นผู้สืบสานทางภูมิปัญญาของสังคม แต่เบื้องหลังการฝึกเด็กก็คือครู โดยเฉพาะครูสตรีของท้องถิ่นเพื่อให้สนใจในการศึกษาและรวบรวมข้อมูลความรู้มาอบรมเด็ก ตลอดจนช่วยเหลือในกิจกรรมต่าง ๆ ทางวิชาการให้กับชุมชน ถัดจากครูก็เป็นกลุ่มแม่บ้าน นับเป็นกลุ่มที่มีพลังมาก เพราะประกอบด้วยแม่บ้านของคนทุกระดับในท้องถิ่น คือ แม่บ้านของชาวบ้าน พ่อค้า คหบดี และข้าราชการต่างเข้ามาทำหน้าที่ในเรื่องการจัดอาหาร การนำสิ่งของที่ท้องถิ่นผลิตมาขายแก่ผู้เข้ามาเยือน ภายในเขตวัดจันเสน หลวงพ่อเจริญผู้เป็นเจ้าอาวาสได้จัดสถานที่ให้เป็นแหล่งทอผ้าพื้นเมือง และประดิษฐ์สิ่งหัตถกรรมแก่กลุ่มแม่บ้าน เพื่อให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ทำให้เกิดมีรายได้จากนักท่องเที่ยวเป็นผลตามมา ซึ่งนอกจากความสามารถในงานหัตถกรรมแล้ว พวกแม่บ้านหลายคนยังมีฝีมือในการทำกับข้าวและอาหารที่เอร็ดอร่อยอีกด้วย ส่วนพวกผู้ชายดูเหมือนเป็นช้างเท้าหลัง ช่วยเป็นแรงงานด้วยความเต็มใจ ในขณะที่บรรดาผู้อาวุโส ผู้รู้ของท้องถิ่น และผู้นำ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพ่อค้าของท้องถิ่นก็เข้ามาร่วมสนทนาอย่างเป็นกันเอง ต่างแสดงออกในการเห็นคุณค่าของกิจกรรมทางวัฒนธรรม และขนบประเพณีใหม่ที่คนในท้องถิ่น นักวิชาการ และผู้รู้จากภายนอกที่ได้ช่วยกันรังสรรค์ขึ้นมา แทบไม่มีใครเลยที่แสดงตัวตนว่าเป็นคนสำคัญ แต่ทุกคนมีความพร้อมเพรียงและมีความสุขภายใต้ปัญญาบารมีของหลวงพ่อโอด ผู้ที่แม้จะมรณภาพไปแล้ว แต่ก็ได้สร้างสำนึกร่วมของความเป็นท้องถิ่นแก่คนในสังคมได้ดีกว่าบรรดาผู้นำในทางราชการและการเมือง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
- พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น : กระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน
เผยแพร่ครั้งแรก 30 พ.ค. 2559 การจัดพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่ของใหม่ในประเทศไทย เพราะปัจจุบันมีพิพิธภัณฑ์มากมายหลายแห่งทุกภูมิภาคทั้งในระดับชาติ ระดับจังหวัด และท้องถิ่น แต่พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นสิ่งใหม่ไม่เหมือนพิพิธภัณฑ์เหล่านั้น หลายคนอาจจะคัดค้านว่าพิพิธภัณฑ์ตามท้องถิ่นก็มีอย่างมากมายอยู่แล้ว จะไม่เรียกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นได้อย่างไร คำตอบในที่นี่ก็คือ บรรดาพิพิธภัณฑ์เหล่านั้นแสดงหรือให้อะไรที่ทำให้เห็นว่าเป็นความรู้เฉพาะท้องถิ่นนั้นบ้าง เพราะประเพณีการจัดพิพิธภัณฑ์ทั้งในระดับชาติ ระดับจังหวัด และท้องถิ่นที่เป็นอยู่ขณะนี้ คือการนำเอาบรรดาโบราณวัตถุมาจัดแสดง ถ้าในระดับชาติ โบราณวัตถุส่วนใหญ่ก็เป็นศิลปวัตถุที่มีคุณค่าราคาแพง มีความเก่าแก่ เพราะมุ่งที่จะแสดงความเก่าแก่และความรุ่งเรืองของชาติเป็นสำคัญ การจัดพิพิธภัณฑ์แบบนี้มุ่งในรูปแบบของการจัดแสดง มีตึกอาคารที่หรูหราราคาแพง แต่ของที่นำมาแสดงนั้นซ้ำซ้อนกันมากมายจนน่าเบื่อ เพราะดูแล้วก็สวยงามเก่าแก่ซ้ำ ๆ กัน หารู้ไปถึงความหมายความสำคัญของวัฒนธรรมของกลุ่มชนที่เป็นเจ้าของโบราณวัตถุเหล่านั้นไม่ ส่วนในระดับท้องถิ่นก็เช่นเดียวกัน ลอกเลียนแบบอย่างในการนำเอาสิ่งของซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาจัดแสดง ที่มีเงินหน่อยก็จัดได้สวยงาม แต่ถ้ายากจนหน่อยก็ดูเป็นโกดังเก็บของไป มองดูแล้วไม่รู้เรื่อง แต่ทั้งหมดแล้วก็สรุปได้ว่า เป็นการจัดแสดงสิ่งของที่ไม่เห็นคนและชีวิตของคนในท้องถิ่นแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังมีผลร้ายตามมาก็คือ เกิดมีการโจรกรรมสิ่งมีค่าจากพิพิธภัณฑ์เหล่านั้นอยู่บ่อย ๆ และถ้าผู้ใดจะจัดพิพิธภัณฑ์ขึ้นก็ต้องคำนึงถึงก่อนแสดงว่ามีของหรือไม่ มีเงินในการสร้างอาคารที่มีราคาแพงหรือไม่ จนทำให้ผู้ที่อยากมีพิพิธภัณฑ์แต่ไม่มีของและไม่มีเงินใจฝ่อกันไปตาม ๆ กัน ข้าพเจ้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยได้รับเชิญให้ไปพูดเกี่ยวกับการจัดพิพิธภัณฑ์ที่สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง มีผู้อภิปรายทั้งหมด ๕ คน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าและผู้อภิปรายอีกท่านหนึ่ง กลายเป็นชนกลุ่มน้อย เพราะไม่เห็นด้วยกับชนกลุ่มใหญ่จำนวน ๓ ท่าน ที่ต่างผลัดกันมาพูดถึงความยิ่งใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศ เช่น บริติชมิวเซียม (British Museum) หรือการจัดพิพิธภัณฑ์ในประเทศก็ต้องใช้เงินอย่างมหาศาลจึงจะทำได้ ถ้าหากไม่ได้ตามนั้นก็จะไม่ถูกหลักทางวิชาการและเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เลยทำให้การมีพิพิธภัณฑ์และการจัดพิพิธภัณฑ์กลายเป็นเรื่องยากไป แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับจากการอภิปรายครั้งนั้นคือ ความคิดในเรื่องพิพิธภัณฑ์ของผู้ร่วมอภิปรายอีก ๓ ท่านนั้นว่า ไม่ใคร่สนใจในเรื่องเนื้อหาของสิ่งที่แสดงเลย ดูเหมือนจะมองในแง่ปริมาณของที่แสดงด้วยซ้ำ อย่างเช่น การอ้างถึง บริติชมิวเซียมที่กรุงลอนดอน เป็นต้น ในทัศนะของข้าพเจ้าพิพิธภัณฑ์นี้คือพิพิธภัณฑ์มหาโจรในสมัยล่าอาณานิคมที่ไปเที่ยวเอาสมบัติวัฒนธรรมของชาติโน้นชาตินี้มาสุมไว้ แต่ละเรื่อง แต่ละอย่าง มีจำนวนมากชิ้นจนเกินความจำเป็น ดูจนหมดเวลาชมก็จับอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ เพราะเหตุที่ยัดเยียดมากเกินไปนั้นเอง ทั้งหมดที่เล่ามานี้เป็นเรื่องที่ต่างกันกับแนวคิดของข้าพเจ้าที่เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นทั้งสิ้น เพราะข้าพเจ้าไม่สนใจว่าจะมีของที่เป็นวัตถุมีพอตั้งแสดงหรือไม่ อีกทั้งไม่สนใจกับรูปแบบของอาคารพิพิธภัณฑ์และวิธีการจัดแสดงด้วยเทคนิคต่าง ๆ อีกทั้งการสร้างพิพิธภัณฑ์ก็ไม่จำเป็นต้องมีเงินอย่างมหาศาลอีกด้วย พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและความเป็นท้องถิ่น รศ. ศรีศักร วัลลิโภดม "คนนอก" ที่มีส่วนสำคัญในการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์บ้านยี่สาร ในทัศนะของข้าพเจ้า พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นของคนท้องถิ่น ไม่ใช่ของข้าพเจ้า ของหน่วยราชการ หรือของคนอื่น ๆ จากภายนอก สิ่งที่นำมาจัดแสดงก็คือ เนื้อหาที่เป็นชีวิตวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วคนท้องถิ่นก็เป็นเจ้าของ เจ้าหน้าที่ดูแลกันเองรวมทั้งการอธิบายและการนำชม เท่าที่แล้วมาการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นอาจวิเคราะห์ได้เป็น ๒ อย่าง • เป็นการจัดโดยคนจากภายนอกที่มีความรู้เรื่องการจัดพิพิธภัณฑ์ คำว่า "ท้องถิ่น" หมายถึง พื้นที่ ไม่ใช่คนผู้รับผิดชอบ เช่น จากหน่วยราชการ ก็จะไปรวบรวมโบราณวัตถุทั้งทางด้านโบราณคดี และชาติพันธุ์ ภายในพื้นที่ของท้องถิ่นมาตั้งแสดง ผู้จัดนอกจากตั้งสิ่งของในการแสดงแล้ว ยังกำหนดเนื้อหาที่ตนได้ตีความจากบรรดาวัตถุเหล่านั้น โดยไม่เชื่อมโยงไปถึงสภาพและความเป็นไปของสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นแม้แต่น้อย • เป็นการดำเนินการโดยคนในท้องถิ่นเอง อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์ที่เกิดขึ้นตามวัด อันเนื่องมาจากพระภิกษุสงฆ์รวบรวมสิ่งของไว้ แล้วอาศัยลูกศิษย์ลูกหาจัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ขึ้น นำสิ่งของที่สะสมไว้มาจัดแสดงพิพิธภัณฑ์แบบนี้เป็นเพียงแต่นำวัตถุที่เก็บไว้มาตั้งแสดงเท่านั้น หาได้พยายามสื่อเจ้าของความหมายและเนื้อหาของสังคมวัฒนธรรมแต่อย่างใดไม่ หลาย ๆ แห่งในชั้นแรก ก็ดูน่าสนใจ แต่ความเป็นภาพสถิตจึงทำให้ดูบ่อย ๆ ก็เบื่อ และเมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้าก็ปล่อยไปตามยถากรรม ซึ่งถ้าหากถูกปล่อยปะละเลยแล้วพิพิธภัณฑ์เหล่านั้นก็มีสภาพเป็นโกดังเก็บของไป เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงคิดว่าการจะจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขึ้นนั้น สิ่งที่จะนำมาแสดงหาใช่รูปแบบอาคารพิพิธภัณฑ์และบรรดาโบราณวัตถุแต่เพียงอย่างเดียวไม่ หากจะต้องสัมพันธ์กับเนื้อหาในด้านประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์สังคม และชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนที่อยู่ตามชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่หรือท้องถิ่นเดียวกัน ทั้งนี้เรื่องราวประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์สังคม และชีวิตของผู้คนในท้องถิ่น จะเป็นตัวตั้งหรือสิ่งกำหนดว่าจะเอาโบราณวัตถุประเภทใดมาจัดแสดง แต่ถ้าไม่มีก็จำต้องหามาด้วยวิธีอื่น อาจแสดงจากภาพถ่าย หุ่นจำลอง ภาพเขียน หรืออื่น ๆ เป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางและหัวข้อในการจัดแสดง เป็นสิ่งที่แสดงลักษณะเฉพาะ หรืออีกนัยหนึ่ง เอกลักษณ์ของท้องถิ่นซึ่งจะนำไปสู่การแลเห็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม ดังนั้น เมื่อมีการนำเอาเนื้อหาของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแต่ละแห่งมาเปรียบเทียบกัน ก็จะแลเห็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมอันเนื่องมาจากความแตกต่างกันของท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะดำเนินการเรื่องต่อไป ก็ใคร่ทำความเข้าใจคำว่า " ท้องถิ่น " ในที่นี้เสียก่อน จะได้ไม่ไปซับซ้อนหรือสับสนกับคำว่า "ท้องถิ่น " ในที่อื่น ๆ "ท้องถิ่น " ในที่นี้ ข้าพเจ้าหมายถึงพื้นที่ในลักษณะภูมิประเทศหนึ่งที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ อาจจะเป็นพื้นที่ในเขตหุบเขา พื้นที่ในบริเวณลุ่มน้ำ พื้นที่ตามชายฝั่งทะเลก็ได้ พื้นที่ดังกล่าวนี้มีความกว้างขวางพอที่จะทำที่จะทำให้ผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชน (Community) ได้หลายชุมชน มีพื้นที่สาธารณะ (Public Space) ที่ไม่เป็นของชุมชนใดชุมชนหนึ่ง เช่น บริเวณที่เป็นป่าเขา บริเวณที่เป็นหนองบึง แม่น้ำและลำคลอง เป็นที่ลุ่มหรือทุ่งหญ้า อะไรทำนองนั้น พื้นที่สาธารณะเหล่านี้แม้ว่าจะไม่เป็นของชุมชนใดชุมชนหนึ่งก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่ชุมชนทุกชุมชนในท้องถิ่นเดียวกันร่วมกันดูแลและใช้ประโยชน์ร่วมกัน จนมีผลทำให้กฎเกณฑ์ประเพณี หรือจารีตที่ป้องกันไม่ให้มีการเอาเปรียบซึ่งกันและกัน รวมทั้งป้องกันการรุกล้ำจากบุคคลต่างกลุ่มจากภายนอกด้วย การปรับตัวของคนในแต่ละชุมชนเข้ากับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น ตลอดจนการใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกันนั้น ทำให้เกิดรูปแบบในการดำรงชีวิตและวิถีชีวิตที่เหมือนกัน รูปแบบดังกล่าวนี้คือสิ่งที่เรียกว่า "วัฒนธรรมท้องถิ่น" และสิ่งที่แสดงออกถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เด่นชัดก็คือ บรรดาขนบประเพณี พิธีกรรมและจารีต ที่คนในทุกชุมชนของท้องถิ่นมีเหมือนกัน มีนิทาน นิยายท้องถิ่น รวมทั้งภาษาท้องถิ่นที่สื่อกันได้ระหว่างกัน เช่น นิทานเรื่องพระรถเมรีในท้องถิ่นอำเภอพนัสนิยม จังหวัดชลบุรี ที่ถูกนำมากำหนดสถานที่ต่าง ๆ ของท้องถิ่นให้เป็นเอกภาพ เช่น เมืองพระรถ ถ้ำนาง สิบสอง เป็นต้น ในบริเวณพื้นที่สาธารณะมักจะมีการสร้าง ศาลผี ศาลเจ้า หรือ วัด ให้ผู้คนในท้องถิ่นได้กราบไหว้ ประกอบพิธีกรรมร่วมกัน และดูแลร่วมกัน ส่วนผู้คนในชุมชนต่าง ๆ ของท้องถิ่นก็มักมีประสบการณ์ร่วมกันในทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดสำนึกในความเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกันขึ้น การจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์บ้านยี่สาร มิได้จัดแสดงโดยเน้นที่ปริมาณของโบราณวัตถุ หากแต่เป็นการจัดแสดงโดยมุ่งเน้นที่คุณภาพ เป็นคุณภาพที่สามารถทำให้ผู้มาชมได้เข้าใจ และรู้จักบ้านยี่สารอย่างถ่องแท้ ท้องถิ่นแต่ละท้องถิ่นจะมีขนาดและความซับซ้อนทางสังคมและวัฒนธรรมไม่เท่ากัน อันเนื่องมากจากพัฒนาการของชุมชนในท้องถิ่น บางท้องถิ่นอาจประกอบด้วยชุมชนบ้าน (Village) เพียงไม่กี่ชุมชน ซึ่งก็มักเป็นท้องถิ่นห่างไกลความเจริญของสังคมเมือง แต่บางท้องถิ่นก็มีขนาดใหญ่มีทั้งชุมชนบ้าน (Village) และชุมชนเมือง (Town) อยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้น "ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น" (Local History) จึงมีได้ทั้งในระดับชุมชนบ้านและชุมชนเมือง "ใบเสมา" โบราณวัตถุจากวัดเขายี่สาร วัดกับสังคมไทยเป็นสิ่งที่แทบจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ในหลายๆท้องถิ่น โบราณวัตถุ ศิลปกรรม สถาปัตยกรรมต่างๆภายในวัด ยังเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงประวัติความเป็นมาของท้องถิ่นนั้นๆได้ด้วย มีสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับท้องถิ่น (Locality) และชุมชน (Community) ที่ข้าพเจ้าใคร่อธิบายเพิ่มเติมไว้ในที่นี้ก็คือ ในกระบวนการศึกษาและพัฒนาชุมชนในสังคมไทยขณะนี้ มีนักวิชาการบางกลุ่มกำหนดพื้นที่สาธารณะที่เป็นป่าเขาว่า เป็นป่าชุมชนเพื่อการอนุรักษ์และป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า เลยเป็นเหตุให้มีความขัดแย้งเกิดขึ้น ในประการแรก เป็นการดึงพื้นที่ป่าเขาที่เป็นพื้นที่สาธารณะอย่างหนึ่งให้กลายเป็นของชุมชนใดชุมชนหนึ่งไป มีผลทำให้เกิดการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของระหว่างชุมชนในท้องถิ่นเดียวกัน ประการที่สอง เป็นการละเลยพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง และท้องถิ่นที่ลุ่มไป ซึ่งพื้นที่สาธารณะเหล่านี้ ล้วนเป็นฐานเศรษฐกิจในระบบยังชีพของผู้คนในท้องถิ่นมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ เพราะเป็นที่ซึ่งมีอาหารและทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นประโยชน์ในการดำรงชีพของมนุษย์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อไปป้องกันแต่เพียงป่าเขาอย่างเดียว ก็เลยเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกอาศัยอำนาจรัฐจากส่วนกลางเข้ามาบุกรุก ยึดครอง และแย่งทรัพยากรธรรมชาติในระบบยังชีพของคนในท้องถิ่นไปได้ กรณีเช่นนี้มีพบในท้องถิ่นแทบทุกภูมิภาคของประเทศไทยในขณะนี้ เช่น ในท้องถิ่นลุ่มน้ำสงคราม ระหว่างเขตจังหวัดนครพนมและสกลนคร เป็นต้น ได้มีนายทุนอาศัยการออกเอกสารสิทธิ์โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ครอบครองพื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetland) ที่ชาวบ้านเรียกรวมๆกันว่า บุ่งทาม ในการรับรู้ของเจ้าหน้าที่รัฐ เห็นว่าพื้นที่บุ่งทามเป็นพื้นที่ไร้ประโยชน์ (Wasteland) ใช้ทำอะไรไม่ได้ จึงออกเอกสารสิทธิ์ให้นายทุนไปทำประโยชน์ คือ ไปใช้ปลูกป่ายูคาลิปตัสรวมแล้วประมาณ ๔,๐๐๐ ไร่ แต่ในส่วนของชาวบ้านจากชุมชนในท้องถิ่น พื้นที่บุ่งทามแห่งนี้ คือ พื้นที่สาธารณะที่ใช้ร่วมกันในการหาอาหารและวัสดุตามธรรมชาติเพื่อดำรงชีวิต เช่น ฤดูแล้งก็เก็บเห็ด หน่อไม้ และสัตว์เล็ก ๆ ในขณะที่เมื่อถึงฤดูน้ำ น้ำท่วมก็เป็นที่จับหอย ปู ปลา และพืชพันธุ์ที่เกิดตามฤดูกาล ยิ่งกว่านั้น พื้นที่นี้ยังเป็นที่ปลาและสัตว์น้ำนานาชนิดมาวางไข่อีกด้วย ที่สำคัญ ในพื้นที่บุ่งทามก็มีที่ดอนเป็นป่ามีต้นไม้ใหญ่อยู่ส่วนหนึ่ง สามารถมองเห็นได้แต่ไกล ชาวบ้านกำหนดให้เป็นที่หวงห้ามศักดิ์สิทธิ์ มีศาลผีเป็นที่เคารพบูชา ไม่มีใครเข้ามาตัดไม้หรือล่าสัตว์จับหอย ปู ปลา แต่อย่างใด ผี คือผู้ที่ดูแลพื้นที่สาธารณะทั้งที่เป็นป่าและบุ่งทามเหล่านี้ การเข้ามาแสวงหาอาหารและผลประโยชน์จะต้องอยู่ในระดับพอดี ไม่มากเกินที่คนในสังคมท้องถิ่นเห็นว่าเป็นการทำลายและเห็นแก่ตัว ผู้ที่รักษากติกานี้คือ ผี และ ชาวบ้าน เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผีกับคน และระหว่างคนต่อคน ด้วยการประกอบพิธีกรรม ไหว้ผี เซ่นผี ร่วมกันในเวลาที่กำหนดในรอบปี การยึดครองพื้นที่สาธารณะบุ่งทาม อันเป็นฐานยังชีพของชาวบ้านตามชุมชนต่าง ๆ ในท้องถิ่น เป็นผลให้เกิดการขัดแย้งระหว่างชาวบ้านและนายทุน ชาวบ้านพร้อมใจกันสู้โดยเรียกร้องให้รัฐดำเนินการคืนพื้นที่สาธารณะนี้ให้กับชุมชนท้องถิ่นจนเป็นผลสำเร็จ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นปัญหาอันเนื่องมาจากการมีป่าชุมชนที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นลุ่มน้ำสงครามที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสมาก็คือ ในที่ประชุมทางวิชาการเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ได้มีคนใช้คำว่า "ป่า" กับพื้นที่บุ่งทาม โดยเรียกว่า "ป่าบุ่งป่าทาม" ทำให้เกิดการตีราคาค่าเสียหายพื้นที่บุ่งทามเป็นจำนวนต้นไม้ไป ซึ่งไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง ยิ่งกว่านั้น นักวิชาการจากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งก็นำเรื่องความเป็นป่าของบุ่งทามมาตีความกันอย่างมาก ทำให้มองข้ามประเด็นที่สำคัญหลาย ๆอย่างไป นับเป็นการเสียเวลาและเปลืองสมองเป็นอย่างยิ่ง ถ้าจะมองคำว่า "ท้องถิ่น" ให้ลุ่มลึกซึ้งไปกว่านี้ ก็ใคร่เสนอว่า ท้องถิ่นนั้นหมายถึงสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Ecological Niche หรือ Microenvironment ณ ที่ใดที่หนึ่งที่มีมนุษย์ พืช สัตว์ ดำรงอยู่ร่วมกัน ทำให้มนุษย์ต้องปรับตัวเองกับสภาพแวดล้อมเพื่อมีชีวิตอยู่ร่วมกัน ดังนั้น การที่จะเข้าใจวิถีชีวิตของมนุษย์ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "วัฒนธรรม" (Culture) นั้น จึงต้องดูจากกระบวนการปรับตัวเองของมนุษย์เข้ากับสภาพแวดล้อมดังกล่าว ศักยภาพและกระบวนการปรับตัวเองกับสภาพแวดล้อมนั้น ทำให้เกิดรูปแบบทางวัฒนธรรมแตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่นที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างกันออกไป ผู้ที่จะรู้เรื่องวัฒนธรรม ศักยภาพ และการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมของผู้คนในชุมชนแต่ละท้องถิ่นอย่างถูกต้องและลุ่มลึกนั้น คงไม่มีใครดีกว่าคนในท้องถิ่นเอง นับเป็นเรื่องของภายในโดยแท้ แต่ทว่าการศึกษาทางวัฒนธรรมที่แล้วมานั้น มักเป็นเรื่องของคนภายนอกเข้าไปศึกษาให้กับคนภายในท้องถิ่น โดยการสัมภาษณ์ การเข้าไปสังเกต และการบันทึกคำบอกเล่าของคนภายในท้องถิ่นที่นำมาวิเคราะห์ตีความและเขียนเป็นเรื่องราวขึ้นมา เรื่องเช่นนี้ถ้าหากทำกันจริง ๆ โดยเฉพาะการเข้าไปอยู่ในท้องถิ่นด้วยเวลาที่ยาวพอสมควร จนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมได้ดี และเป็นที่ยอมรับของคนในท้องถิ่นเป็นอย่างดีแล้ว ก็อาจมีความเข้าใจอย่างลุ่มลึกได้ แต่เท่าที่ทำกันมามักง่ายในที่นี้คือ มักจะมาโอ่กันถึงเรื่องวิธีการศึกษา เช่น เป็นแบบคุณภาพหรือแบบปริมาณ แทนการพูดถึงความลุ่มลึกและความเข้าใจ จากการที่เข้าไปศึกษาลักษณะและสถานภาพทาง สังคมและวัฒนธรรมของท้องถิ่นมา จุดอ่อนที่เห็นได้ในเรื่องนี้ก็คือ เรื่องเวลา บางคนเข้าไปในท้องถิ่นเดือนละครั้ง หรือเข้าไปอยู่เพียงเดือนหรือสองเดือนก็นำมาโอ่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อควบคุมมิติทางเวลาที่นักวิชาการหรือนักวิจัยภายนอกไม่อาจควบคุมได้ก็ต้องหาทางเลือก และทางเลือกที่ดีก็คือ การให้เกียรติคนภายในเข้ามามีส่วนร่วม และต้องเป็นส่วนร่วมที่ เสมอภาค เพราะที่แล้วมานั้น การมีส่วนร่วมของคนภายในเป็นสิ่งไม่เสมอภาค เท่าที่ปฏิบัติกัน คนภายในคือคนนำทางและให้ข้อมูลช่วยเหลือในการติดต่อสอบถามกับชาวบ้าน โดยที่นักวิจัยจากภายนอกอาจจะอ้าง หรือตอบแทนโดยให้ของขวัญเท่านั้น แต่ถ้าจะให้เสมอภาค คนภายในที่ถูกเลือกควรมีฐานะเป็นนักวิจัยด้วย ซึ่งในที่นี้ข้าพเจ้าเรียกว่า "นักวิจัยท้องถิ่น " และปรับเปลี่ยนคำว่าวิจัยเสียใหม่ว่า เป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน การที่พิจารณาว่าการวิจัยเป็นกระบวนการเรียนรู้นี้ ต้องขอให้เกียรติ ท่านศาสตราจารย์ ดร. เสน่ห์ จามริก ที่แสดงความเห็นไว้ในที่ประชุมหารือกันในการจัดตั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ณ โรงแรมโซฟิเทล ที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นคำนิยามที่แสดงศักยภาพที่เป็นธรรมชาติขิงมนุษย์อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้อันเนื่องมาจากการค้นพบองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในสมัยนี้เป็นจำนวนมาก หาได้มาจากบรรดานักวิจัยที่เรียนจบการวิจัยมาจากมหาวิทยาลัย หรือสถาบันของรัฐแห่งหนึ่งแห่งใดไม่ ในทำนองตรงข้าม บรรดาชาวสวนชาวไร่ที่ไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัย ยกตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม เป็นต้น สามารถเป็นนักวิจัยที่มีคุณภาพได้อย่างดียิ่ง แต่ที่น่าละอายก็คือ ผลงานของผู้ที่ยกย่องว่าเป็นนักวิจัยดีเด่นหลายคนนั้น แท้จริงก็คือ การเรียบเรียง นั่นเอง ซึ่งเกิดจากการเอาข้อมูลจากคนนั้นคนนี้ จากหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ มาเชื่อมโยงและตีความใส่สีให้ดูมีอะไรแปลกตาไปเท่านั้น หาได้นำมาทำประโยชน์อะไรได้ไม่ ซึ่งแน่นอนว่าวิธีการในการเรียบเรียง อ้างอิง และการเสนอข้อมูลออกมาเป็นเรื่อง เป็นหนังสืออย่างมีระบบนั้น นักวิจัยจากภายในทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าจัดการให้มีการร่วมมือระหว่างนักวิจัยจากภายในและภายนอกในลักษณะที่เสมอภาคแล้ว งานวิจัยก็จะออกมาอย่างลุ่มลึกและสมบูรณ์ด้วย การวิจัย หรืออีกนัยหนึ่ง กระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ระหว่างคนในกับคนนอกนี้ มีประโยชน์มหาศาลอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรก คือทำให้ได้ความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงและลุ่มลึก อันอาจนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน ส่วน อย่างที่สอง คือการพัฒนาคนท้องถิ่นให้รู้จักตัวเอง มีความรู้และความมั่นใจในตัวเอง เท่ากับเป็นการปูพื้นฐานการศึกษาที่จะรองรับการกระจายอำนาจในการปกครองมายังท้องถิ่นจามระบบประชาธิปไตย และที่สำคัญ ก่อให้เกิดบุคคลที่เป็นผู้รู้ท้องถิ่นที่มีสติปัญญา สามารถเป็นแกนนำของท้องถิ่นในการทำประชาพิจารณ์ ที่กำลังจะเป็นกลไกที่สำคัญอย่างหนึ่งของประชาสังคมในการประเมินการกระทำที่ไม่ชอบมาพากลของรัฐ ดังนั้น ในการดำเนินการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของข้าพเจ้า จึงยึดความต้องการจากภายในมาก่อน และที่จะได้มาซึ่งเนื้อหาในเรื่องที่จะแสดงนั้นนับเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน เมื่อได้เนื้อหามาแล้วจึงนำมาหารือ กำหนดเป็นหัวข้อที่จะแสดงว่ามีเรื่องอะไรบ้าง และแต่ละเรื่องนั้นสื่อด้วยวัตถุทางวัฒนธรรมหรือศิลปวัตถุอะไรบ้าง เนื้อหาในเรื่องประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์สังคม และวัฒนธรรมท้องถิ่น จะต้องมาก่อนบรรดาสิ่งที่เป็นโบราณสถานวัตถุ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ขัดกับประเพณีการจัดพิพิธภัณฑ์แต่เดิม ที่บรรดาศิลปวัตถุมาก่อนเนื้อหา เพราะมุ่งที่จะจัดแสดงแต่ในเรื่องวัตถุเท่านั้นหาให้ความสำคัญแก่เนื้อหาไม่ เพราะฉะนั้นพิพิธภัณฑ์ในลักษณะเดิมจึงออกมาเป็น ๒ แบบด้วยกัน แบบแรก มีตึกรูปร่างหน้าตาสวยงามใหญ่โต และมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมตามความคิดคำนึงของสถาปนิก ทำให้บางแห่งใหญ่โตและราคาแพงจนเกินไป ส่วนการจัดแสดงมีระบบในการให้แสง สี ดูแล้วสวยงามประทับใจ บางแห่งที่ร่ำรวยก็มีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประกอบด้วย ทำให้ดูเพลิดเพลิน แบบที่สอง คือ ที่มีประสบการณ์น้อย มีเงินทุนน้อย ซึ่งเพียงอาศัยอาคารที่มีมาก่อนแล้ว และนำสิ่งของเข้าไปจัดหมวดหมู่ตั้งแสดง สิ่งที่สำคัญก็คือ มีของเท่าใดก็แสดงให้หมดเลย เน้นในเรื่องจำนวนมากกว่าคุณภาพ ทำให้พิพิธภัณฑ์มีสภาพเป็นห้องเก็บของหรือโกดังเก็บของไป ดูแล้วไม่สวยงามเป็นระเบียบเท่ากับแบบแรก แต่ทว่าทั้งสองแบบก็มีความคล้ายคลึงกัน ในแง่ของการแสดงสิ่งของซ้ำๆกัน และเน้นในเรื่องสิ่งของมากกว่าเนื้อหา การเน้นในเรื่องของมากกว่าเนื้อหานี้ก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องการป้องกันและการดูแลรักษาขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะบรรดาโบราณวัตถุทั้งหลายนั้นปัจจุบันเป็นของที่มีราคาค่างวด เพียงกระดึงวัว กระดึงควาย ที่ทำด้วยเศษไม้ก็มีราคาค่างวดเป็นร้อนเป็นพันแล้ว ย่อมเป็นสิ่งล่อตาล่อใจแก่พวกคนมาชมที่เป็นหัวขโมย นักเล่นของเก่า และมิจฉาชีพ เป็นสิ่งที่ยากแก่การดูแลเป็นอย่างยิ่ง โดยเหตุนี้พิพิธภัณฑ์แบบนี้จึงต้องมีคณะบุคคลที่จะดูแลเป็นอย่างยิ่ง โดยเหตุนี้พิพิธภัณฑ์แบบนี้จึงต้องมีคณะบุคคลที่จะดูแลและมีมาตรการในการที่จะรักษาป้องกัน เป็นเหตุให้ท้องถิ่นที่ไม่มีกำลังเงินและกำลังคนไม่อาจควบคุมหรือจัดทำได้ จุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเน้นเฉพาะเรื่องของนั้น ทำให้ความสนใจของคนทั้งจากภายนอกและภายในดำรงอยู่ได้ชั่งครั้งคราว คือ ตื่นเต้นอยู่พักหนึ่งก็ซาไป เหตุนี้ทำให้พิพิธภัณฑ์แบบนี้ในที่สุดก็ดำรงอยู่ไม่ได้นาน "เครื่องปั้นดินเผาต่างๆ" โบราณวัตถุที่ได้รับการบริจาคจากชาวบ้าน แม้จะเป็นเครื่องปั้นดินเผาธรรมดา ไม่สวยงามเหมือนที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์อื่นๆ แต่มีความสำคัญในฐานะเป็นเครื่องใช้ที่ทุกบ้านภายในชุมชนต้องมี รูปแบบของเครื่องปั้นดินเผา ยังสื่อให้เห็นถึงการติดต่อสัมพันธ์กับต่างชุมชนได้ด้วย ในทำนองตรงข้าม พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่เน้นการแสดงโดยใช้เนื้อหาทางวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดนั้นกลับมีลักษณะยั่งยืน เพราะเนื้อหาคือสิ่งที่ปลูกสำนึกคนให้ตื่น ให้ภาคภูมิในตัวเองและท้องถิ่นตลอดเวลา ทำให้พิพิธภัณฑ์เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง หากเป็นของส่วนรวมของคนในชุมชนทุกรุ่นทุกสมัย กระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ดังได้กล่าวมาแล้วว่าการจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นนั้น ในสถานการณ์และสภาพการณ์ทางสังคม ในขณะนี้เป็นสิ่งที่ทั้งบุคคลภายในท้องถิ่นและนอกท้องถิ่นใดข้างหนึ่งไม่อาจทำได้ตามลำพัง หากต้องร่วมมือกันในลักษณะเสมอภาค เคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน อีกทั้งมีความจริงใจต่อกันด้วย การริเริ่มมาจากความต้องการภายในชุมชนใดชุมชนหนึ่งของท้องถิ่นก่อน ในท้องถิ่นมีหลายชุมชน แต่ไม่ทุกชุมชนที่มีความคิดริเริ่มและมีศักยภาพในการจัดพิพิธภัณฑ์ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดมีพิพิธภัณฑ์ขึ้นแล้ว พิพิธภัณฑ์นั้นจะเป็นของชุมชนใดชุมชนหนึ่งเท่านั้น เพราะการดูแลรักษาตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะเป็นเรื่องของชุมชนหนึ่ง ในทำนองตรงข้าม เนื้อหาที่จะแสดงจะไม่เป็นเรื่องของชุมชนที่เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์เท่านั้น หากคลุมไปทั้งหมดของท้องถิ่น ซึ่งถ้าท้องถิ่นที่มีขนาดใหญ่แล้วก็จะเป็นเรื่องราวทางสังคมวัฒนธรรมของบ้านและของเมืองในท้องถิ่นนั้น ๆ ทีเดียว เหตุที่ต้องเป็นเรื่องของท้องถิ่นทั้งหมดที่มีชุมชนหลาย ๆ ชุมชนอยู่รวมกันเนื่องจากว่า ถ้าไปเน้นเฉพาะชุมชนใดชุมชนหนึ่งแล้ว เนื้อหาที่จะแลเห็นเรื่องราวทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นองค์รวมไม่เพียงพอ ยิ่งกว่านั้นจะเป็นการเสนอภาพชุมชนในลักษณะที่โดดเดี่ยวอยู่ตามลำพัง ไม่สัมพันธ์และพึ่งพิงกับใคร เป็นสิ่งที่ขัดกับความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม ในสังคมชาวนา (Peasant Society) ในดินแดนประเทศไทยที่มีพัฒนาการมากกว่าพันปี และกำลังเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่จะเป็นสังคมเมืองและสังคมอุตสาหกรรมในขณะนี้ เพราะฉะนั้น เพื่อเข้าใจในเนื้อหาของสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่น ในการดำเนินการเก็บข้อมูลจึงต้องอาศัยการออกไปสำรวจศึกษาตามชุมชนต่างๆของท้องถิ่น นอกเหนือไปจากชุมชนที่จะเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นนั้น โดยทั่วไปและตามความเป็นจริง ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องแนวคิด ทฤษฎี และวิธีการ ตลอดจนเทคนิคในการจัดพิพิธภัณฑ์นั้นไม่ใช่คนจากภายใน หากเป็นคนภายนอกที่เป็นนักวิชาการ การวางแผน การกำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล จึงเป็นเรื่องของคนจากภายนอก โดยมีขั้นตอนในการศึกษาดังต่อไปนี้ • เริ่มด้วยการประชุมกลุ่มทำงาน ที่ประกอบด้วยบุคคลจากภายในและภายนอก เพื่อให้รู้จักบทบาทและหน้าที่ของแต่ละคนแต่ละฝ่าย เพื่อให้เข้าใจแนวคิด วิธีการ รวมทั้งภาพรวมของท้องถิ่นร่วมกัน โดยเฉพาะการเข้าใจภาพรวมของท้องถิ่น จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือที่สร้างความสะดวกด้วย เช่น การจัดหาภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่มาเป็นสื่อให้เข้าใจตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ลักษณะพืชและสัตว์ รวมทั้งการตั้งถิ่นฐานและการกระจายตัวของชุมชนมนุษย์ในท้องถิ่น การดำรงอยู่ และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและสังคม เมื่อเห็นภาพรวมร่วมกันจนเป็นที่เข้าใจแล้ว ก็กำหนดกรอบและเนื้อหาที่จะต้องศึกษาและรวบรวมเข้ามาทำการวิเคราะห์กำหนดเป็นหัวข้อในการจัดแสดง ซึ่งประกอบด้วย พื้นที่ (Space) หรืออีกนัยหนึ่งคือ ท้องถิ่น ว่ามีพัฒนาการทางวัฒนธรรมเป็นมาอย่างไร กลุ่มคนในท้องถิ่น ว่ามาจากไหน และมีวิถีที่จัดเป็นอย่างใด การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างไร • เป็นการเก็บข้อมูล ทั้งด้านเอกสารและการสำรวจค้นคว้าหลักฐานทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น โดยพยายามให้ทราบว่าท้องถิ่นนี้มีกล่าวถึงในเอกสารทั้งโบราณและปัจจุบันอย่างไรบ้าง แล้วมีการสำรวจหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมาวิเคราะห์ให้เห็นว่า ในท้องถิ่นนี้มีร่องรอยให้เห็นการมีคนเข้ามาอยู่อาศัยแต่โบราณ ก่อนที่จะเกิดชุมชนในปัจจุบันอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะหลักฐานทางโบราณคดีเป็นสิ่งที่มีความหมายมาก เพราะเป็นสิ่งที่เป็นหลักฐานทางความคิดที่มีความแน่นอนกว่าหลักฐานเอกสาร การศึกษาในข้อนี้อาจใช้วิธีการทางโบราณคดีได้และนำหลักฐานมาวิเคราะห์ ตีความ เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม ผลของการศึกษาในชั้นนี้ นอกจากจะรู้ว่าเคยมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาแต่เมื่อใดแล้ว ยังทำให้ทราบได้ว่ามนุษย์ในสมัยโบราณของท้องถิ่น มีการปรับตัวเองเข้ากับสภาพแวดล้อม ธรรมชาติในท้องถิ่นอย่างไรบ้าง และเห็นได้จากอะไรบ้าง • การออกแบบและการผลิต คือ สิ่งที่จะวัดศักยภาพและพลังของชุมชน ว่ามีความพร้อมเพรียงและมั่นคงแค่ไหน เพราะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนที่ชุมชนจะต้องรับผิดชอบ ต่างกับสองขั้นตอนแรกที่เกี่ยวกับการทำทะเบียนและการวิจัยศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและวัฒนธรรมร่วมกับการกำหนดหัวข้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางมูลนิธิหรือองค์กรต่าง ๆ จากภายนอกช่วยเหลือได้ในรูปของการช่วยเหลือทางวิชาการ แต่ในขั้นตอนหลัง ถ้าหากชุมชนไม่พร้อมเพรียง ไม่มีสำนึกร่วมก็ทำไม่ได้ สิ่งที่ข้าพเจ้าคาดหวังในความพร้อมเพรียงก็คือ ทั้งคนรวยและคนจนต้องร่วมมือกันตามกำลังของทุนทรัพย์หรือแรงงาน และถ้าหากเกิดขึ้นจากการระดมทุนจากภายในด้วยแล้ว ก็นับได้ว่าเป็นผลสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในการปลูกสำนึกของชุมชน แต่เท่าที่ดูแล้วในหลาย ๆ แห่งนั้น บรรดาคนรวยยังคงสงวนท่าทีอยู่ เช่น บอกว่าไม่มีแต่มักสนับสนุนด้วยลมปาก ผิดกับคนที่พอมีหรือคนจนที่พร้อมจะให้แรงงานและความช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ พวกนี้มักรวมกันหาทางออกด้วยการจัดงานรื่นเริงหรือพิธีกรรมของชุมชน เช่น ทอดกฐิน ผ้าป่า งานสงกรานต์ เป็นต้น แต่ผู้ที่เป็นหัวหอกที่ดีในการหาทุนเห็นจะได้แก่ วัดและพระสงฆ์ ที่มีชื่อเสียงและเจ้าอาวาส เพราะมักจะมีทางที่ได้ทุนจากภายนอกเข้ามา โดยเฉพาะเจ้าอาวาสนั้น ดูเหมือนมีบทบาทมากทีเดียว ดังเห็นได้จากกรณีวัดม่วงและวัดจันเสน เป็นต้น Model จำลองภาพชีวิตของชุมชนคนเผาถ่านที่บ้านยี่สาร ตัวอย่างการจัดแสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นบ้านยี่สาร ที่นอกจากจะมีอาชีพในการทำประมง การค้าขายแล้ว อาชีพการเผาถ่านก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีความสำคัญ เลยทำให้คิดต่อไปว่า ความมั่นคงของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นนั้น ถ้าหากตั้งอยู่ที่วัด วัดดูแลและมีชาวบ้านมาช่วยในด้านแรงงาน ทำความสะอาด รวมทั้งทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้แล้ว ดูจะมั่นคงกว่าพิพิธภัณฑ์ที่อยู่นอกวัดและชาวบ้านดูแลกันเอง ยิ่งไปกว่านั้น ในตัววัดเองก็มีฐานะเป็นพิพิธภัณฑ์ตามธรรมชาติ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างทั้งอาคารสถานที่และวัตถุล้วนเป็นของส่วนกลางของชุมชนที่ชุมชนสร้างขึ้นหรือสะสมไว้ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและศิลปกรรมที่แสดงฐานะและความมีหน้ามีตาขอวงชุมชน ที่แล้วมาทางราชการไม่ว่าทางกรมการศาสนาหรือกรมศิลปากร มักจะกำหนดให้มีการอนุรักษ์สิ่งที่เป็นโบราณสถานวัตถุที่อยู่ในวัดเสมอ โดยเฉพาะทางกรมศิลปากรนั้น ถึงกับขึ้นทะเบียนไว้แทบทุกภาคของประเทศจนไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง ทำให้ของเหล่านี้ผุพังและเสื่อมสลายไปมาก พร้อมกันก็ทำให้ทางวัดและชุมชนไม่กล้าเข้าไปแตะต้องเพราะเป็นของหลวง "ตุ่มน้ำเคลือบสีน้ำตาลขนาดใหญ่" ที่ชาวบ้านเรียกว่า ตุ่มสุโขทัย สื่อสัญลักษณ์ที่สะท้อนภาพความแร้นแค้นกันดารน้ำของชุมชน รวมถึงพลังสร้างสรรค์ของบรรพชนในการแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านยี่สารก็ยังคงใช้ตุ่มเหล่านี้ในการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในครัวเรือน แต่ถ้าทางหน่วยงานราชการเปลี่ยนท่าทีเมื่อใด โดยเฉพาะการสนับสนุนการมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นให้เกิดขึ้นที่วัด และรวมเอาบรรดาโบราณวัตถุสถานที่ขึ้นทะเบียนไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์แล้วให้วัดและชุมชนดูแลโดยที่ทางราชการเป็นพี่เลี้ยงให้ ทั้งในด้านวิธีการเทคนิคในการจัดแสดง รวมทั้งสนับสนุนให้ทุนในการจัดพิพิธภัณฑ์พอสมควรแล้ว การเกิดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นอย่างมั่นคงนั้นจะมีขึ้นอย่างมากมายในเวลาไม่นานทั่วทั้งประเทศทีเดียว เพราะเหตุว่า ปัจจุบันความอยากมีพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งสำนึกร่วมของชุมชมที่อยากเป็นตัวเองนั้น มีมากมายจนเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในทางสังคมและวัฒนธรรมก็ว่าได้ ในกระแสของวิวัฒนาการทางสังคมที่ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคของประชาสังคม (Civil Society) ที่สังคมมีบทบาทในการจัดการตนเองมากกว่าที่จะพึ่งพิงรัฐเหมือนอย่างแต่ก่อนนั้น พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น คือ คลังทางภูมิปัญญาของสังคมที่ผู้คนในท้องถิ่นจะต้องรับรู้และเรียนรู้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำรงชีพ และปรับตัวเองเข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างมีดุลยภาพ ทั้งในด้านวัตถุและจิตใจ ซึ่งนับได้ว่าเป็นสถาบันทางวัฒนธรรมที่จะต้องมีขึ้น และอาจกล่าวได้ว่าเป็นสถาบันย่อยที่สัมพันธ์กับวัดอย่างแยกกันได้ยากทีเดียว แต่ก่อนสมัยเมื่อท้องถิ่นแต่ละแห่งต่างก็อยู่ในสภาพที่โดดเดี่ยวเป็นสังคมแบบเรียบง่าย (Simple Society) นั้น วัด คือ สถาบันที่เป็นองค์รวมของความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม คนต้องมาศึกษาเล่าเรียนกันในวัด แต่ทว่าความรู้ทางโลกที่ทางวัดสอนให้นั้นเป็นลักษณะเน้นความรู้ภายในท้องถิ่น ซึ่งเป็นการมองแต่ภายใน (Inward Looking) เป็นสำคัญ พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๕-๖ มีการปฏิรูปบ้านเมืองไปเป็นแบบตะวันตก จึงมีกระบวนการที่แยกทางโลกออกจากทางธรรม (Secularization) ทำให้เกิดมีโรงเรียนที่แยกออกจากการดูแลของพระสงฆ์ขึ้น แม้ว่าที่ตั้งของโรงเรียนส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตวัดก็ตาม เลยทำให้บทบาทของวัดทางสังคมน้อยลงไป และการศึกษาในโรงเรียนก็กลายเป็นการมองแต่ข้างนอก (Outward Looking) มากกว่าข้างในอย่างสุดโต่ง ที่ว่าอย่างสุดโต่งก็คือ การรับรู้และการมองแต่สิ่งห่างไกลจนไม่เห็นของจริง ทำให้คิดอะไรไม่เป็น นอกจากเชื่อโดยวิธีท่องจำอะไรทำนองนั้น ผลการศึกษาแบบนี้ทำให้สังคมไทยมีนิสัยเลียนแบบและอ้างอิงแต่สิ่งที่ห่างไกลตัวเองทั้งสิ้น เลยเป็นผลให้ลืมภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเป็นศักยภาพที่อยู่ภายใน จนบางกลุ่มบางเหล่าถึงขนาดดูถูกตนเองก็มี เกิดการดูหมิ่นดูแคลนผู้ใหญ่ผู้อาวุโสว่าล้าหลัง แต่ทว่าการที่จะเอาโรงเรียนไปอยู่กับวัดและกับพระดังเดิม ก็จะเป็นการถอยหลังกลับเข้าคลองโดนแท้ เพราะบ้านเมืองและสังคมได้เปลี่ยนแปลงเข้าสู่สมัยโลกาภิวัตน์แล้ว สังคมในท้องถิ่นแทบทุกแห่งคือสังคมซับซ้อน (Complex Society) จำเป็นต้องมีสถาบันใหม่ที่ทำหน้าที่เฉพาะอย่างขึ้น ซึ่งในกรณีนี้ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นก็ คือ สถาบันการศึกษานอกระบบที่เกิดขึ้น อีกทั้งเป็นสิ่งที่นำไปเชื่อมโยงกับวัดและพระสงฆ์ในสถาบันเดิมได้ การจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น คือ กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้ที่มาร่วมจากภายนอก เช่น ข้าพเจ้าและคณะกับผู้ที่อยู่ภายใน คือ ผู้คนในชุมชนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เพราะการจัดพิพิธภัณฑ์ตามแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องของการเอาสิ่งที่เป็นโบราณวัตถุมาตั้งแสดง หรือเพียรพยายามหาสิ่งของที่เก่าแก่มีราคาค่างวดมาแสดงอย่างที่พิพิธภัณฑสถานที่แสดงศิลปวัตถุทำกัน หากเป็นเรื่องที่จะต้องเอาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในท้องถิ่นมาจัดแสดง จึงเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาร่วมกัน พึ่งพิงซึ่งกันและกันระหว่างคนนอกกับคนใน การจัดนิทรรศการนอกสถานที่เกี่ยวกับบ้านยี่สาร กระบวนการต่างๆ ในการจัดทำพิพิธภัณฑ์จะไม่บังเกิดผล หากไม่มีการเผยแพร่ความรู้ต่างๆที่ได้มาให้แก่ชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กับเยาวชนในท้องถิ่นได้รับรู้ คนนอก คือ ผู้ที่มีความรู้ มีวิธีการในการวิเคราะห์ข้อมูล เชื่อมโยงข้อมูล และตีความให้เป็นองค์ความรู้ ในขณะที่คนใน คือ เจ้าของข้อมูล เพราะไม่มีใครรู้เรื่องราว ทั้งในอดีตและปัจจุบันของวัฒนธรรมและสังคมท้องถิ่นได้ดีกว่าพวกตน เมื่อให้ข้อมูลกับคนนอกมาจัดเป็นเรื่องราวแล้ว ก็ยังต้องทำหน้าที่ในการประเมินว่าถูกต้องหรือสอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคมท้องถิ่นหรือเปล่า ก่อนที่จะรับรองร่วมกันว่าสิ่งที่จัดทำขึ้นนั้น คือ องค์ความรู้ จากนั้นก็จะได้เอาเรื่องราวและความรู้เหล่านั้น มากำหนดเป็นหัวข้อในการแสดงเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นจึงเป็นความร่วมมือในการเรียนรู้ร่วมกัน ระหว่างคนในและคนนอกนั่นเอง