top of page

พบ 220 รายการ

  • พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยกับการพลิกฟื้น ตำรายาโบราณที่ อภัยภูเบศร

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.พ. 2553 หากกล่าวถึง “อภัยภูเบศร”  หลายท่านคงนึกถึงผลิตภัณฑ์และยาจากสมุนไพรของไทยรวมถึงชื่อโรงพยาบาลขึ้นชื่อจนเป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชนที่ต้องการทางเลือกในการรักษาสุขภาพ โดยเห็นได้จากยาสมุนไพรที่โรงพยาบาลผลิตออกสู่ท้องตลาด กลายเป็นสินค้าในตลาดยาสมุนไพรไทยที่มีคุณภาพสูง เนื่องจากมีกรรมวิธีในการแปรรูปยาสมุนไพรไทยที่รับประทานยากมาบรรจุในแคปซูลที่ทันสมัย ง่ายต่อการบริโภค ความนิยมในตัวยาสมุนไพรของที่นี่ นอกจากมีแหล่งจำหน่ายทั่วประเทศแล้ว ทุกวันก็จะกลุ่มนักท่องเที่ยวมาแวะซื้อสมุนไพรถึงภายในโรงพยาบาลเลยทีเดียว นอกจากสินค้าและความรู้เรื่องยาสมุนไพร ที่นี่ยังมีความสำคัญในด้านประวัติศาสตร์และการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมเพราะมีสถานที่สำคัญในพื้นที่โรงพยาบาล คือตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น ศิลปะแบบบาร็อค [Baroque] ของยุโรป สง่าและสวยงาม สร้างโดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ในปี พ.ศ.๒๔๕๒ ที่ในปัจจุบันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลแห่งนี้ ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร กว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ได้ว่าจ้างบริษัทโฮวาร์ด เออร์สกิน จำกัด  สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ในกรณีที่พระองค์เสด็จมายังมณฑลปราจีนบุรี แต่ภายหลังพระองค์ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อนจึงมิได้ใช้รับเสด็จฯ กระทั่งในอีก ๓ ปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวใช้ประทับเมื่อคราวเสด็จมายังมณฑลปราจีนบุรี เมื่อเจ้าพระยาอภัยภูเบศรถึงแก่อนิจกรรมลงตึกแห่งนี้ได้ตกเป็นมรดกของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ ๖ (พระนามเดิมคือ คุณเครือแก้ว อภัยวงศ์) ผู้เป็นหลานปู่ของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงค์) จากนั้นในปี พ.ศ.๒๔๘๒ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงมอบตึกหลังนี้ให้แก่ทางราชการ และในช่วง พ.ศ.๒๔๘๔ นับจากเกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตึกหลังนี้กลายมาเป็นโรงพยาบาลสำหรับทหารที่ทำการรบในเขตเมืองพระตะบอง เสียมราฐและศรีโสภณ จนกระทั่งในช่วงหลังสงครามก็ยังถูกใช้เป็นโรงพยาบาลเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ.๒๕๑๒ จึงย้ายส่วนของการรักษาพยาบาลออกไปยังตึกผู้ป่วยที่สร้างขึ้นใหม่และตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้เปลี่ยนมาเป็นอาคารสำนักงานของโรงพยาบาลอภัยภูเบศรนับแต่บัดนั้น ด้วยความสถาปัตยกรรมที่งดงามและความเก่าแก่ของตัวอาคารที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญของประเทศหลายท่าน ในวันที่ ๒๕  ม.ค.๒๕๓๓ กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเป็นโบราณสถานแห่งชาติ และในปีพ.ศ.๒๕๓๖ ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร  พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศรเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมองค์ความรู้และภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทยที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ โดยมีการเก็บรวบรวมและจัดแสดงตัวอย่างสมุนไพร เครื่องมือยาสมัยโบราณ รวมไปถึงตำรายาโบราณ ที่ส่วนใหญ่ได้รับมาจากมูลนิธิหมื่นชำนาญแพทยา (พลอย แพทยานนท์) และบางส่วนมาจากการบริจาคจากประชาชนทั่วไป ตำรายาโบราณดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเขียนด้วยลายมือเป็นภาษาบาลี สันสกฤตและไทย จำนวนทั้งหมด ๒๓๓ เล่ม ประกอบด้วย หนังสือใบลาน ๑๖ ผูก สมุดข่อย ๑๓๐ เล่ม และหนังสือหายาก ๘๗ เล่ม ซึ่งในปัจจุบันทางโรงพยาบาลอภัยภูเบศรได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการหลายสาขาวิชาชีพเพื่อสังคายนาตำรายาโบราณ  พร้อมทั้งจัดหมวดหมู่และแปลตำราเผยแพร่ให้นำไปสู่การใช้ประโยชน์จากการแพทย์แผนไทยให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ปริวรรต พลิกฟื้นตำรายาโบราณ...พลิกฟื้นใบลานสู่การรักษา   นับจากการสร้างตึกแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๒ จนถึงปัจจุบัน ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็จะมีอายุครบ ๑๐๐ ปี ด้วยเหตุนี้ในวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา โรงพยาบาลอภัยภูเบศรจึงได้จัดงาน “เสวนาตำรายาโบราณเนื่องในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปี ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรและฉลองพระชนมายุ ๘๔ พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี” ขึ้น โดยเชิญนักวิชาการในหลายสาขาอาทิเช่น รศ. ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษามูลนิธิเล็ก – ประไพ วิริยะพันธุ์ ดร.สุรสิทธิ์ ไทยรัตน์ และ ผศ.ดร.จักร แสงมา จากหน่วยปฏิบัติการเคมีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คุณกีรติวจน์ ธนภัทรธุวานันท์ จากศูนย์จารึกและเอกสารโบราณ สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คุณเกริก อัครชิโนเรศ จากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และดร.อุษา กลิ่นหอม จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมีอาจารย์ฆัสรา ขมะวรรณ มุกดาวิจิตร รองผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินรายการ และเภสัชกรหญิง.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นผู้สรุปและบันทึกการเสวนา ผู้ร่วมเสวนาได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการวิเคราะห์เนื้อหาของตำรายาที่อยู่ในคัมภีร์ใบลานซึ่งมีความเชื่อและคติแฝงอยู่ด้วย ทั้งที่เป็นคัมภีร์ใบลานที่เก็บไว้ในวัด เช่น แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์  ที่มีเนื้อหาประกอบด้วย คัมภีร์ปฐมจินดา คัมภีร์พรหมปุโรหิต คัมภีร์ธาตุวิภังค์ ว่าด้วยธาตุพิการตามฤดู และคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัยซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการวินิจฉัยโรคและประกอบตัวยา ซึ่งในหนึ่งหน้ามีตัวยาแก้โรคหลายชนิด  ห้องจัดแสดงยาสมุนไพรของหมื่นชำนาญแพทยา(พลอย แพทยานนท์) ในศาสนาอิสลามพบว่าได้มีการบัญญัติวิธีการรักษาโรคไว้ในคัมภีร์กุรอ่าน นอกจากนี้ ในกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ เช่น ไทยใหญ่ มอญ ก็มีการบันทึกสูตรยารักษาโรคไว้ในคัมภีร์ใบลานของตนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งกระบวนการสำคัญของการศึกษาตำรายาโบราณดังกล่าว คือการปริวรรตคัมภีร์ใบลานที่ต้องอาศัยการถอดรหัสและตีความภาษาที่เป็นปริศนาเกี่ยวกับสูตรยา ซึ่งต้องใช้ความรู้และเวลาที่ยาวนานในการศึกษา  เมื่อผ่านการปริวรรตจนได้สูตรยาต่าง ๆ มาแล้ว ในทางวิทยาศาสตร์จะนำเอาพืชสมุนไพรที่ถูกระบุว่าเป็นองค์ประกอบของสูตรยานั้น ๆ ไปศึกษาหาสารเคมีประกอบของตัวยาที่มีผลต่ออาการของโรค ว่ามีสรรพคุณทางยาเป็นอย่างไร จึงเรียกได้ว่าเป็นการระดมสรรพวิชาทั้งภาษาศาสตร์ สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ในการถอดรหัสและตีความเพื่อนำสู่การทำความเข้าใจและศึกษาอย่างมีระบบระเบียบอย่างเป็นวิทยาศาสตร์  รวม-แลกสูตรยา เพื่อร่วมพัฒนาตำรายาไทย  นอกจากการศึกษาเรื่องตำรายาโบราณที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของตนเองแล้วโรงพยาบาลอภัยภูเบศรยังได้ใช้วิธีการแลกเปลี่ยนสูตรยาระหว่างกัน โดยหากมีผู้สนใจจะมาขอสูตรยาของโรงพยาบาลก็จะต้องมีสูตรยาของตนมาแลกเปลี่ยนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหลังจากที่โรงพยาบาลได้สูตรยาเหล่านั้นไปแล้วก็จะรวบรวมนำไปศึกษาและพัฒนาให้เป็นสูตรยาสมุนไพรเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ ให้ได้ผลดีต่อไป ในวันนี้ผลของการแบ่งปันองค์ความรู้เรื่องตำรายาของโรงพยาบาลอภัยภูเบศรได้ส่งผลให้เกิดเครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนายาแผนไทยให้ก้าวหน้ามากขึ้น โดยเห็นจากกลุ่มสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรมในการเสวนาในครั้งนี้ต่างมาจากหลากหลายท้องถิ่นซึ่งนับว่าเป็นแนวโน้มที่ดีในการพลิกฟื้นตำรายาโบราณให้กลับมามีคุณค่ามากกว่าจะถูกเก็บไว้ในตู้โชว์เพียงอย่างเดียว ภาณุพงษ์ ไชยคง อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • การผนวกรัฐพิธีสู่พิธี "กรรมเมือง" ของท้องถิ่นที่แม่สาย

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2554 แม่สายเคยเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กเมื่อครั้งก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ความเป็นช่องทางเดินทางผ่านเทือกเขาแดนลาวที่เรียกว่า “ฮ่องลึก” ทำให้เป็นด่านพรมแดนโดยธรรมชาติ ผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ทั้งที่อาศัยอยู่บนพื้นราบและชาวเขาต่างอาศัยเดินทางผ่านและโยกย้ายกลุ่มไปมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้เกิดชุมชนบ้านเมืองเก่าแก่ เช่นที่เวียงโบราณเชิงเขาต่อกับทุ่งราบใกล้เมืองแม่สายในปัจจุบันที่เรียกว่า “เวียงพางคำ” ร่องรอยการขุดลำเหมือง “เหมืองแดง” ที่ชักน้ำจากลำน้ำสายมาหล่อเลี้ยงส่วนหนึ่งของทุ่งราบเชียงแสน-แม่จันอันอุดมสมบูรณ์ และมีตำนานการสร้างบ้านเมืองที่เล่าสืบต่อกันมาอย่างหลากหลายและน่าติดตาม และภายหลังถูกเขียนขึ้นใหม่อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรโดยพระภิกษุแห่งล้านนา ในยุคที่พุทธศาสนาแบบเถรวาทเข้ามาสู่ดินแดนนี้และตั้งมั่นอย่างรุ่งเรืองจนกลายเป็นโลกทัศน์ทางศาสนาที่ปะปนกับการดำเนินชีวิตอย่างแยกไม่ออก บริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราชที่แม่สาย ผู้คนจากแม่สายพื้นเดิมอพยพมาจากลำพูนเมื่อมีเหตุการณ์เนื่องจากภาวะอดอยากแห้งแล้ง แบ่งออกเป็นกลุ่มคนยองที่ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองยองในยุคพระเจ้ากาวิละเก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง กวาดต้อนผู้คนจากหัวเมืองทางเหนือไปอยู่ที่เชียงใหม่และลำพูนสืบเนื่องมาจากศึกครั้งพม่าและกรุงเทพฯ เมื่อเกิดภาวะหาอยู่หากินยากหลังจากหมดยุคเจ้าเมืองเมื่อเปลี่ยนแปลงมาเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาลในราวสมัยรัชกาลที่ ๕ คำเล่าลือถึงพื้นที่ราบอันอุดมสมบูรณ์และเป็นทางผ่านที่จะเดินทางไปสู่เมืองไตทั้งหลายทั้งฝั่งน้ำโขงและสาละวิน ที่ “ต้นข้าวใหญ่ราวต้นตะไคร้” ปลูกอะไรก็งอกงามดี ทำให้คนที่ถูกกวาดต้อนไปย้อนกลับมาอยู่ที่เมืองยองเดิมบ้าง และส่วนหนึ่งมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่แม่สาย เมืองแม่สายผ่านสงครามโลกครั้งที่ ๒ ด้วยความเป็นเมืองด่านชายแดน ซึ่งเป็นปากประตูของทหารไทยที่เดินทัพไปยึดเชียงตุง และการสร้างถนนพหลโยธินมาจรดทางด้านเหนือสุดของประเทศต่อกับฝั่งท่าขี้เหล็กของรัฐฉาน ทำให้ชุมชนชายแดนทั้งสองฝั่งกลายเป็นเมืองด่านสำคัญและมีผู้คนอพยพโยกย้ายมาตั้งถิ่นฐานมากขึ้น หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีการสร้างตลาดใหม่และมีผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ย้ายมาอยู่จนกลายเป็นท้องถิ่นที่ประกอบด้วยกลุ่มคนหลากภาษา ศาสนา และความเชื่อ เมื่อท่าขี้เหล็กเปลี่ยนแปลงเพราะถูกยึดโดยรัฐบาลทหารพม่าในภายหลัง การค้าทางฝั่งท่าขี้เหล็กที่เคยคึกคักและมีสินค้ามากมายกว่าทางฝั่งแม่สายก็กลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม การค้าทางฝั่งนั้นซบเซาลง ในขณะที่ทางฝั่งแม่สายคึกคักขึ้น จากตลาดท้องถิ่นก็กลายเป็นตลาดภูมิภาคขนาดใหญ่ มีการรับและส่งสินค้ามากขึ้น ชาวบ้านที่ทำการเกษตรแต่เดิมก็ปรับตัวจากการขายที่ดิน กลายเป็นคนค้าขายและประกอบอาชีพในเมืองที่เปลี่ยนแปลงขยับขยายบ้านเรือน โรงเรียนต่าง ๆ หนาแน่นกลายเป็นเขตเทศบาลแม่สาย ซึ่งภายหลังทางฝั่งท่าขี้เหล็กของพม่ามีการลงทุนมากขึ้น ก็เปลี่ยนจากตลาดที่เคยซบเซาเป็นอาคารร้านค้า คาสิโน และเส้นทางที่นำไปสู่เมืองเชียงตุงและเมืองในเขตมณฑลยูนนานในประเทศจีนด้วย ทั้งสองฝั่งน้ำแม่สายภายหลังการเปิดให้เป็นด่านชายแดนสากลก็เปลี่ยนแปลงทางกายภาพ กลายเป็นเมืองที่ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็วภายในเวลาราว ๒๐ ปีที่ผ่านมา จากลักษณะความเป็นท้องถิ่นเก่าแก่ และสำคัญมาแต่เดิม ที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ยุคแรกเริ่มของการตั้งถิ่นฐานในเขตที่ราบลุ่มเชียงแสน-เชียงราย ซึ่งสัมพันธ์กับตำนานสิงหนวัติกุมารที่กล่าวถึงวีรบุรุษทางวัฒนธรรมองค์หนึ่งที่สืบต่อมาจนถึงพระเจ้าพรหมกุมาร ตำนานเหล่านี้ถูกเขียนขึ้นจากพระภิกษุในพุทธศาสนา ดังนั้นห้วงเวลาจึงกลายเป็นอุดมคติและใช้ศักราชหลายแบบ ซึ่งสร้างให้สัมพันธ์กับพุทธประวัติ เวลาที่ปรากฏและเนื้อเรื่องจึงเป็นโลกทัศน์ที่เป็นผลมาจากคัมภีร์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นชาดกทางศาสนาจนไม่อาจค้นหาความจริงจากช่วงเวลาที่ปรากฏ ทั้งธรรมเนียมการเขียนตำนานบ้านเมืองนั้นเกี่ยวพันกับเจ้าผู้ปกครองมากกว่าที่จะพรรณนาถึงสภาพแวดล้อมทั่วไปของสังคมในยุคนั้น ทุกอย่างที่ปรากฏในเอกสารตำนานจึงกลายเป็นภาพสะท้อนที่ต้องถอดรหัสและตีความสารที่ปรากฏในสื่อเช่นนี้ ซึ่งการเขียนประวัติศาสตร์ยุคแรก ๆ ของประเทศไทยขาดการวิเคราะห์ตำนานในลักษณะดังกล่าว แต่เป็นการนำข้อมูลไปใช้โดยตรง ดังนั้น พระเจ้าพรหมกุมารจึงถูกนักประวัติศาสตร์ตีความว่าเป็นบรรพบุรุษของกษัตริย์ในราชวงศ์แห่งอยุธยา ซึ่งมีความเชื่อเหล่านี้สืบทอดมาตั้งแต่สมัยปลายอยุธยาแล้ว พิธีกรรมเมืองคือการใช้รูปแบบการเลี้ยงผีเมืองแบบท้องถิ่น ผนวกเข้ากับการสืบชะตา สวดนพเคราะห์ เพื่อความเป็นสิริมงคลของบ้านเมืองที่แม่สาย (ขอภาพที่บอม) การเขียนประวัติศาสตร์ในยุคแรก ๆ ซึ่งอยู่ในสมัยสร้างชาติไทยในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ และในภายหลัง จนผลิตงานประวัติศาสตร์แบบชาตินิยมจำนวนมากออกมาเผยแพร่และใช้เป็นแบบเรียน จึงทำให้พระเจ้าพรหมกลายเป็นมหาราชพระองค์แรกและเป็นปฐมกษัตริย์ของชาติไทยหลังจากที่ชาติไทยถอยร่นมาจากทางทิศเหนือ พระเจ้าพรหมมหาราชจึงถูกหยิบยกกล่าวถึงในหมู่นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ข้าราชการ ครูบาอาจารย์และปราชญ์ในพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือในเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง รวมทั้งในแม่สายเอง จนกระทั่งเวียงพางคำซึ่งยังคงปรากฏคูน้ำคันดิน รวมทั้งสถานที่ต่าง ๆ ที่ปรากฏในตำนานและการสร้างวัดที่เกี่ยวเนื่องกับทั้งพระบิดา และตัวพระเจ้าพรหมเองก็ถูกผนวกให้กลายเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่จับต้องได้ในตำนานของพระเจ้าพรหมมหาราชในภายหลัง การสร้างพิธีกรรมการบวงสรวงที่ปรากฏมาเกือบสิบปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นพิธีกรรมแบบรัฐที่ระดมกลุ่มชาวบ้านที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์จากบริเวณอำเภอแม่สายทั้งที่สูงและพื้นราบมาร่วมเดินขบวนเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าพรหมฯ และสนับสนุนให้มีการจัดแสดงละครกลางแจ้งประกอบแสงสีในเวลาค่ำคืน ในเนื้อหาที่ดึงออกมาจากตำนานในทำนองเรื่องแต่ง ซึ่งสะท้อนความเป็นผู้นำของพระเจ้าพรหมกุมารที่มีชัยเหนือฝ่ายตรงข้ามมากกว่าเรื่องอื่น ๆ  แต่ส่วนที่สำคัญและชาวบ้านชาวเมืองมีส่วนร่วมมากที่สุดคือการทำบุญสืบชะตาและทำพิธีนพเคราะห์ที่ถือเสมือนเป็นพิธีกรรมเพื่อความเป็นสิริมงคลของคนแม่สาย ชาวบ้านจึงแต่งชุดขาวมาโดยสมัครใจอย่างล้นหลามมากกว่าการแห่ขบวนบวงสรวงที่ดูว่าเป็นพิธีการที่ทางอำเภอขอความร่วมมืออย่างมีส่วนร่วมกับคนในท้องถิ่น  แต่อย่างไรก็ตาม พิธีกรรมที่เพิ่งสร้างเหล่านี้ก็กำลังกลายเป็นพิธีกรรมเมืองในรูปแบบใหม่ ผสมผสานกับรูปแบบการเลี้ยงเมืองหรือเลี้ยงผีบรรพบุรุษหรือผีเจ้านายของเมืองที่ปรากฏอยู่ทั่วไปตามเมืองต่าง ๆ ในท้องถิ่นภาคเหนือในปัจจุบัน และเริ่มมีผู้เข้าร่วมในงานอย่างเต็มใจมากขึ้นทุกปี พิธีกรรมเมืองในรูปแบบใหม่นี้กำลังกลายเป็นการยกเอาวีรบุรุษในตำนานของท้องถิ่นผสมผสานกับตำนานจากประวัติศาสตร์ชาติไทยแบบจารีต เป็นการฟื้นตัวตนของวีรบุรุษในตำนานให้กลายเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ ผ่านกระบวนการพิธีกรรมบวงสรวงแบบเป็นทางการผ่านอำนาจรัฐและแบบประเพณีท้องถิ่นในเชิงความเชื่อและศาสนา   เป็นการแสดงอัตลักษณ์ของคนแม่สายที่มีความหลากหลายทางกลุ่มผู้คน คือในชาติพันธุ์ ความเชื่อ เศรษฐกิจและการเมืองให้มารวมภายใต้ความคุ้มครองของพระเจ้าพรหมมหาราชผู้ปกปักรักษาเมืองแม่สายมาตั้งแต่สมัยอดีตจนในทุกวันนี้ วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • พิธีสุหนัตของบรรดาลูกหลานแขกมอญ ทุ่งครุ

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 25542 ในบรรดากลุ่มชนมุสลิมในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล ชาวมลายูมุสลิมจัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่มากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่น ด้วยเข้ามาตั้งถิ่นฐานหลายครั้งหลายช่วงเวลา ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงยุคต้นรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในช่วงรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓ ได้ส่งกองทัพไปตีหัวเมืองปัตตานีอยู่เนือง ๆ ชาวมลายูที่เข้ามาส่วนใหญ่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่รอบนอกพระนคร ทั้งปทุมธานี นนทบุรี พระโขนง มีนบุรี หนองจอก ปากลัด ไปจนถึงนครนายก ฉะเชิงเทรา ฯลฯ    ตามประวัติกล่าวว่ามุสลิมปากลัดที่นครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง สมุทรปราการ) ได้มาตั้งถิ่นฐานแต่ต้นรัตนโกสินทร์ โดยอาจมีชาวมุสลิมดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้ว และต่อมามีชาวมลายูมุสลิมจากแหล่งอื่นทยอยมาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนร่วมด้วย จนเป็นชุมชนใหญ่ที่อยู่ร่วมกับกลุ่มชนชาวมอญ ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้มาตั้งบ้านแปงเมืองแต่ครั้งสร้างนครเขื่อนขันธ์ นานวันเข้าเกิดการผสมผสานถ่ายเททางวัฒนธรรมระหว่างกัน เมื่อชาวมุสลิมปากลัดขยายตัวออกมาทำนาทำสวนในเขตทุ่งครุ จนที่สุดก็กระจายตัวมาตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวร จึงทำให้มุสลิมในเขตทุ่งครุส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติกับทางปากลัด และยังสืบวัฒนธรรม ประเพณี การละเล่นต่าง ๆ จากปากลัดมายังพื้นที่ทำกินแหล่งใหม่ด้วย สำหรับเด็กชายชาวมุสลิมต้องผ่านการเข้าสุหนัต หรือที่คนมลายูเรียก มาโซะยาวี  อันเป็นการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศออกโดยหมอผู้กระทำพิธี ซึ่งเป็นมุสลิมที่มีความรู้ความชำนาญในการขลิบ อาจไม่ใช่แพทย์โดยตรง แต่มีวิชาความรู้ด้านนี้และมักตกทอดต่อกันในสายตระกูล  การเข้าสุหนัตไม่ได้กำหนดเรื่องอายุ แต่มักนิยมทำในวัยเด็กช่วงระหว่าง ๔-๑๐ ปี โดยมีจุดประสงค์เพื่อสุขอนามัยส่วนตัว และรวมถึงสุขอนามัยในการดำเนินชีวิตภายภาคหน้า และเป็นการป้องกันการเกิดโรคจากการมีเพศสัมพันธ์  หลังช่วงการถือศีลอดผ่านไปไม่นาน ที่กลุ่มบ้านหนึ่งริมคลองทางควาย ไม่ไกลจากสุเหร่าอาจารย์เซ็งหรือมัสยิดอัลอิสติกอมะห์ ในค่ำคืนวันศุกร์ (หมายถึงคืนวันพฤหัสบดี โดยการกำหนดปฏิทินทางจันทรคติของมุสลิมที่ถือเป็นการเข้าสู่วันศุกร์แล้ว) ที่ชาวมุสลิมถือว่าเป็นวันมงคลในรอบสัปดาห์ ภายในบ้านแน่นไปด้วยผู้คนที่มาช่วยกันตระเตรียมอาหารที่จะใช้เลี้ยงบรรดาแขกเหรื่อซึ่งจะมาร่วมยินดีกับบรรดาเด็ก ๆ ที่กำลังจะเข้าสู่พิธีสุหนัต เพื่อแสดงถึงความเป็นมุสลิมโดยสมบูรณ์  เด็กๆ ได้รับการเอาใจให้กินไก่ย่างคนละตัว ข้าวเหนียวสามสีคนละถาด แต่ก่อนกินก็ต้องสวดขอพรเสียก่อน  การกินครั้งนี้ในระยะหลังมีการนำไปสัมพันธ์กับการทำนายอุปนิสัยใจคอของเด็กว่าเป็นอย่างไร    พิธีสุหนัตหนนี้เจ้าของบ้านบอกว่าจัดขึ้นตามแบบดั้งเดิมของมุสลิมมลายูปากลัดและทุ่งครุ ที่จะมีการตั้งน้ำดุอาอฺ ทำซะละมะตี และขึ้นเบญจา รวมทั้งมีการเล่นกระบี่กระบอง อันเป็นสัประยุทธ์ศิลป์ของชาวปากลัด-ทุ่งครุ ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คณะในปัจจุบัน แม้ว่าการปฏิบัติดังกล่าว มุสลิมบางกลุ่มบางคณะอาจเห็นว่าไม่ใช่วิถีทางของมุสลิม แต่บรรดาผู้จัดงานเห็นว่าเป็นจารีตที่มิได้ขัดต่อหลักการของศาสนา แต่เป็นรากเหง้าทางสังคมของมุสลิมมลายูที่ปฏิบัติกันมานาน และวิถีการปฏิบัติเช่นนี้ยังช่วยให้เกิดความสามัคคี รวมทั้งเกิดสำนึกในอัตลักษณ์ของความเป็นมลายูมุสลิมอีกด้วย   ระหว่างรอการขลิบ ลูกมะกรูดจะถูกแจกให้เด็กไว้ดมกันเป็นลม ด้วยบางคนกลัวและเริ่มวิตกกังวล พ่อแม่ญาติพี่น้องจึงมักเข้ามาปลอบขวัญด้วยเงินทองและสิ่งของ การประกอบพิธีจะมีการเชิญผู้มีความรู้ทางศาสนามาเป็นอิหม่ามผู้ทำพิธี ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่การตั้งน้ำดุอาอฺ คือ การนำน้ำที่จะใช้ชำระล้างร่างกายของบรรดาเด็กๆ ที่จะเข้าพิธี โดยสวดขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าให้เป็นสิริมงคล มีการนำกริชประจำตระกูลของเด็กแต่ละคน รวมถึงข้าวตอก แป้ง น้ำ ข้าวสาร หมากพลู ใส่ถาด มาร่วมทำพิธีด้วย เช่นเดียวกับเด็กๆ ก็จะต้องจัดเตรียมถาดใส่ผ้าขาว หมากพลู บุหรี่ ด้ายดิบ ผลมะกรูด และเงินจำนวนหนึ่งมาให้อิหม่ามเพื่อประกอบพิธี    เมื่อเสร็จการทำน้ำดุอาอฺสำหรับเด็กแต่ละคนที่จะเข้าสุหนัตแล้ว น้ำนั้นจะถูกนำไปอาบให้แก่เด็กๆ ตั้งแต่ตอนเช้า เพื่อจะได้เกิดความเป็นสิริมงคล หลังจากนั้นผู้เป็นอิหม่ามจะนำข้าวสารที่ผ่านพิธีไปซัดรอบ บ้านที่จะใช้เป็นที่ทำพิธี เรียกว่า การทำซะละหว่า  (หมายถึง การกล่าวสรรเสริญท่านศาสดาในศาสนา) โดยการทำเพื่อซะละมะตี (ขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า) อันมีที่มาจากคำอาหรับว่า ซะละมัต ที่แปลว่า ความสันติ  การทำเช่นนี้ก็เพื่อขจัดสิ่งอัปมงคลและสร้างขวัญกำลังใจ และป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่เด็ก ๆ ด้วย ในอดีตการทำสุหนัตมิได้มียาหรือเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยเช่นปัจจุบัน ความเสี่ยงในการกระทำจึงมีอยู่ไม่น้อย   คืนวันเสาร์ก่อนจะสู่เช้าของวันทำสุหนัต จะมีบรรดาญาติพี่น้องและแขกเหรื่อมาร่วมแสดงความยินดีและอวยพรแก่เด็ก ๆ โดยเฉพาะค่ำคืนนี้จะมีการฉลองให้เด็กที่จะเข้าสุหนัต โดยครั้งนี้มีเด็กที่จะทำสุหนัตเพียง ๔ คน ทั้งหมดจะแต่งตัวตามแบบวัฒนธรรมมลายู พร้อมเหน็บกริชราวกับเจ้าชายองค์น้อย ๆ เพื่อแห่แหนรอบ ๆ บ้านก่อนขึ้นเบญจาชมการแสดงกระบี่กระบอง เพื่อให้เด็กเกิดความสนุกสนานและเพลิดเพลิน ไม่วิตกกังกลกับการเข้าสุหนัตในวันรุ่งขึ้น  การเข้าสุหนัตในอดีตจะทำกันตามบ้านเมื่อมีเด็กถึงวัยอันควรกระทำ และทุกงานฉลองก็จะมีการเล่นกระบี่กระบองเสมอ ๆ ซึ่งวันหนึ่ง ๆ คณะกระบี่กระบองอาจต้องรับหลายงาน แต่มาปัจจุบันมักรวมเด็กๆ มาประกอบพิธีร่วมกันเพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยทางมัสยิดหรือหน่วยงานราชการในพื้นที่มักรับเป็นเจ้าภาพจัดงานใหญ่ ซึ่งจะมีเด็ก ๆ เข้าร่วมจำนวนมาก และนิยมจัดในช่วงปิดภาคการศึกษา เพื่อเด็กจะได้มีเวลาพักรักษาตัวโดยมิต้องขาดเรียน   พ่อแม่ของเด็กที่เข้าพิธีจะเลือกเสื้อผ้า เครื่องประดับ มาแต่งตัวให้ลูกๆ ของตนอย่างเต็มที่ แม้ผ้าไหมจะถือเป็นข้อห้ามสำหรับสวมใส่ของผู้ชายมุสลิม แต่กับเด็ก ๆ ในพิธีนี้ดูจะไม่เคร่งครัดมากนัก ผ้าโสร่งจึงเป็นไหมสีสดโดดเด่น แถมยังสะพายแล่งผ้าไหมสีเดียวกันที่บ่าทั้งสองข้างทับเสื้ออีกด้วย ส่วนศีรษะโพกผ้าสะระบั่นแบบแขก แถมสวมสร้อยปะวะหล่ำ กำไลทองอย่างงดงาม ยิ่งกว่านั้นหน้าตาของเด็กน้อยทุกคนจะได้รับการแต่งเติมสีสันและแต้มด้วยแป้งกระแจะเป็นดอกดวง ดูคล้ายกับบวชลูกแก้วของชาวไทใหญ่หรือไม่ก็พ่อนาคของชนชาวมอญ   ซึ่งการแต่งแต้มเช่นนี้ในหมู่มุสลิมมลายูทางใต้ไม่มีให้เห็น หรือแม้แต่กลุ่มมุสลิมมลายูในกรุงเทพฯ ก็มิได้ทำเช่นกัน เว้นแต่กลุ่มปากลัดหรือบางบัวทองที่มีชุมชนอยู่เคียงใกล้บ้านมอญ อาจเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมบางอย่างเข้าด้วยกันก็เป็นได้  เมื่อแต่งตัวเสร็จ เด็ก ๆ จะมารับการเจิมขวัญจากอิหม่ามผู้ทำพิธี แล้วจึงถูกแห่แหนไปรอบๆ ลานแสดงกระบี่กระบอง โดยมีการขึ้นเบญจาเพื่อใช้ทำพิธีซะละมัตก่อนจะสัประยุทธ์กัน  จากนั้นจึงนำเด็กทั้งสี่เข้านั่งรอบเบญจาเพื่อชมการเล่นกระบี่กระบอง ที่เต็มไปด้วยลีลาการปะทะแลกเปลี่ยนเชิงยุทธ์อย่างดุดัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชาย  ค่ำคืนนี้เป็นช่วงเวลาอันสนุกสนานที่เด็กทั้งสี่จะปรากฏรอยยิ้มอันเบิกบานบนใบหน้า ผิดกับในสายวันถัดมาที่เด็กบางคนเริ่มมีสีหน้ากังวล เมื่อถูกเรียกให้ไปอาบน้ำแต่งตัว โดยเปลี่ยนเป็นผ้าโสร่ง เพื่อเตรียมรอหมอที่จะมาทำสุหนัต ในอดีตการทำสุหนัตจะทำโดยหมอชาวบ้านที่สืบทอดต่อกันมาเป็นสายตระกูล เพราะนอกจากจะต้องมีเทคนิค ความชำนาญในการทำแล้ว ยังต้องปฏิบัติให้ถูกหลักการในศาสนาอีกด้วย ปัจจุบันมีมุสลิมส่วนใหญ่ที่ไปคลอดตามโรงพยาบาลแล้วมักขอให้คุณหมอทำการขลิบทารกแต่แรกเกิดเพื่อความสะดวก แต่มาระยะหลังมีปัญหาด้วยหมออาจทำไม่ถูกวิธีครบถ้วนตามหลักศาสนา มุสลิมบางส่วนจึงหันกลับมาทำพิธีตอนเด็กโตขึ้นแล้ว และนิยมให้หมอที่เป็นมุสลิมเป็นผู้ทำมากกว่า   ครั้งนี้ก็เช่นกัน หมอพิธีที่มาทำเป็นมุสลิมและยังเป็นผู้สืบทอดวิชาจากบิดาซึ่งเป็นหมอผู้ทำสุหนัตให้กับบรรดาลูกหลานมุสลิมกำปงต่างๆ มานับไม่ถ้วน ช่วงเวลาที่หมอตระเตรียมเครื่องมือ บรรดาพ่อแม่และเครือญาติของเด็กจะเข้ามาปลอบโยน เรียกขวัญกำลังใจของเด็ก ๆ บ้างก็มีการตบรางวัลเป็นธนบัตรใบเขียว ใบแดง คนแล้วคนเล่า  จากนั้นเด็กแต่ละคนจะถูกเรียกไปให้หมอพิธีตรวจดูอวัยวะว่าสามารถทำการขลิบได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ หากยังไม่พร้อมก็ต้องเลื่อนไปทำในปีถัดไป   เด็กทุกคนเมื่อผ่านตรวจสอบแล้ว หมอพิธีจะเรียกเข้าไปทีละคน ซึ่งตอนนี้เด็กน้อยต่างผลักไสให้เพื่อนนำหน้าไปก่อน และที่สุดก็มีผู้กล้าหาญ ซึ่งหมอพิธีจะเลือกเด็กที่เห็นว่ามีความเข้มแข็งอดทน เพราะหากคนแรกร้องไห้ก่อนแล้ว ก็จะทำให้รายต่อ ๆ ไปเสียขวัญตามไปด้วย ...ซึ่งเป็นไปตามคาด เด็กคนแรกยังไม่ทันร้องหรือรู้ตัวก็ถูกเข็มฉีดยาชาเข้าไปแล้ว เพราะหมอพิธีจะใช้วิธีการพูดคุยหลอกล่อจนเด็กเผลอไผลไปกับเรื่องที่พูดคุยเหล่านั้น เด็กแต่ละคนจะถูกฉีดยาทิ้งไว้ เพียงครู่เดียวยาเริ่มออกฤทธิ์จึงเริ่มการขลิบและเย็บจนเรียบร้อย โดยหมอพิธีจะให้กินยาแก้ปวดทันทีก่อนจะหมดฤทธิ์ยาชา เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเจ็บแผลมากนัก หลังจากนั้นเด็กที่ถูกขลิบจะต้องนอนพักรักษาตัวราวสัปดาห์ ก็จะกลับมาวิ่งเล่นได้เหมือนเดิม   เด็กผู้เข้าสุหนัตจะได้รับการแต่งตัวราวกับเจ้าชายน้อย ๆ พร้อมเหน็บกริชของบรรพบุรุษ และแต่งหน้าเป็นดอกดวงอย่างสวยงาม พิธีสุหนัตที่ทุ่งครุครั้งนี้ นอกจากจะเห็นความศรัทธาที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ยังเห็นอัตลักษณ์และประเพณีของชาวมลายูมุสลิมที่แสดงออกถึงตัวตนและความสามัคคี ร่วมแรงกายแรงใจมาช่วยกันลงแขกในงานบุญเฉกเช่นครั้งอดีต โดยไม่ต้องมีการว่าจ้างให้ทำงานแต่ละอย่างเหมือนที่นิยมทำกันในปัจจุบัน รวมทั้งยังเห็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างแขกกับมอญที่กลมกลืน จนยากจะแยกแยะว่าใครเป็นเจ้าของวัฒนธรรม   และนี่ก็คือความงดงามของสังคมพหุลักษณ์ ที่มีทั้งความแตกต่างและการผสมผสานจนก่อเกิดเป็นพลวัตทางวัฒนธรรมใหม่ ๆ ในสังคม                                                                                                      สุดารา สุจฉายา ขอขอบคุณ : คุณศักดา บินซาเล็ม คณะสะเลมานลูกปีกกา ทุ่งครุ และบรรดาเจ้าภาพในวันงานทุกท่าน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • บ้านทวาย สิ้นชื่อ สิ้นคน เหลือแต่ยำทวาย

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2555 อุโบสถหลังเก่าของวัดดอนทวายหรือวัดบรมสถลซึ่งถูกรื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ ปัจจุบันเมื่อพูดถึงคำว่า ‘ทวาย’ คนทั่วไปมักไพล่คิดไปถึงมะม่วงทะวายหรือผลไม้ที่ออกผลไม่ตรงตามฤดูกาล หรือไม่ก็นึกถึงโครงการอภิมหาโปรเจ็คต์ที่กำลังมีการก่อสร้างทางหลวงจากเขตบ้านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า จ.กาญจนบุรี ข้ามเขาไปยังเมืองทวายในพม่า ตามโครงการสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม อันถือเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ ด้วยวงเงินลงทุนถึง ๔ แสนล้านบาท น้อยคนที่จะนึกถึงว่า ทวาย นอกจากเป็นชื่อเมืองแล้วยังเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่เข้ามาตั้งรกรากในกรุงเทพฯ เมื่อต้นรัตนโกสินทร์ และถิ่นฐานของพวกเขาได้กลายเป็นชื่อบ้านนามเมืองในอดีต เรียกว่า บ้านทวาย หรืออำเภอบ้านทวาย แทนชื่อเดิมที่เรียกขานย่านนี้ว่า ตำบลคอกควาย  สมัยต่อมาตำบลคอกควายหรืออำเภอบ้านทวายนี้ก็ถูกปรับเปลี่ยนนามอีกครั้ง เป็นเขตยานนาวาและเขตสาทรในปัจุบัน   ย่านบ้านทวาย แหล่งของชนนานาชาติ ตำบลคอกควายหรือบ้านทวายตั้งอยู่ตอนใต้ของคลองผดุงกรุงเกษม ประชิดริมแม่น้ำเจ้าพระยา  เนื่องจากอยู่ติดแม่น้ำสายสำคัญอันเป็นเส้นทางสัญจรจากปากอ่าวไทยเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา บริเวณนี้ในสมัยอยุธยาจึงน่าจะมีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้ำแล้ว ด้วยปรากฏวัดที่สร้างขึ้นปลายสมัยอยุธยาอยู่ไม่น้อย อาทิ วัดคอกควาย (วัดยานนาวาปัจจุบัน) วัดพระยาไกร วัดจรรยาวาส วัดราชสิงขร  เป็นต้น มาสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๐ รัชกาลที่ ๑ และกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จนำทัพไปตีเมืองทวาย อันเป็นเมืองที่อยู่ประชิดชายแดนด้านตะวันตกของไทย จึงเคยตกอยู่ใต้พระราชอำนาจของทั้งกรุงศรีอยุธยาและหงสาวดี ขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลานั้นเมืองใดมีความเข้มแข็งมากกว่า นับแต่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ เมืองทวาย มะริด ตะนาวศรี ตกอยู่ใต้พระราชอาณาเขตของพม่า กองทัพสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปตีคืนกลับมาได้ แต่ถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองทวายไม่ยอมอ่อนน้อมต่อรัชกาลที่ ๑ พระองค์จึงยกทัพตีเมืองทวาย ในเวลาเดียวกันเมืองทวายถูกพระเจ้าปดุงบังคับให้ส่งส่วย เป็นที่เดือดร้อนแก่ชาวทวายอย่างมาก เจ้าเมืองทวาย-มังจันจ่า จึงนำชาวเมืองเข้าสวามิภักดิ์กองทัพสยาม พระองค์ได้นำชาวทวายเหล่านั้นเข้ามายังพระนคร แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองรอบกรุง ด้านหลังวัดสระเกศ ก่อนจะพระราชทานที่หลวงให้ตั้งถิ่นฐานพำนักถาวรอยู่ตอนใต้ของพระนครบริเวณวัดคอกควาย ชาวทวายจึงตั้งหลักปักฐานพร้อมกับได้สร้างวัดของพวกตนขึ้น คือ วัดดอน ซึ่งนามที่เรียกนั้นมาจากลักษณะพื้นที่ที่ตั้งวัดอันเป็นที่ดอนสูงกว่าบริเวณโดยรอบที่เป็นที่ลุ่ม จนสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้ทรงเปลี่ยนนามวัดนี้ใหม่ว่า วัดบรมสถล แต่คนทั่วไปก็ยังนิยมเรียกตามความเคยชินว่า วัดดอนทวาย และอีกประการหนึ่งเพื่อแยกแยะให้ชัดกับวัดแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นใกล้ ๆ กัน คือ วัดดอนกุหล่าหรือวัดดอนไทใหญ่ (ในแผนที่เก่าเรียก วัดดอนพม่า เนื่องจากเจ้าอาวาสท่านที่ ๒ เป็นพระพม่าที่เข้ามาปกครองวัด) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีชาวไทใหญ่เข้ามาทำมาหากินอยู่ในกรุงเทพฯ มาก โดยส่วนใหญ่เป็นพวกพ่อค้าพลอยและเป็นคนในบังคับของอังกฤษ ของฝรั่งเศสบ้าง เมื่อมีชาวทวายซึ่งพูดจากันรู้เรื่องอยู่ในย่านนี้ อีกทั้งเป็นพื้นที่ตอนใต้เขตพระนครที่ทรงอนุญาตให้ชาวต่างชาติอาศัยอยู่ได้ จึงอาจพากันมาตั้งบ้านเรือนอยู่ในแถบนี้ เช่นเดียวกับพวกพม่าที่เป็นคนในบังคับและเข้ามาพร้อมเจ้าอาณานิคม ก็อาศัยอยู่ในย่านนี้จำนวนไม่น้อย จนสามารถสร้างวัดของพวกตนขึ้น เรียกว่า วัดปรก แต่ปัจจุบันวัดแห่งนี้ได้เปลี่ยนจากวัดของคนพม่ามาเป็นวัดของคนมอญไป อาจเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างชาวไทใหญ่กับพม่าที่อาศัยรอบ ๆ วัด ทะเลาะกันรุนแรงจนถึงขั้นเผาวัดดอนกุหล่าราบเรียบไปกับกองเพลิง ทำให้มีพระภิกษุสงฆ์ตายไปจำนวนไม่น้อย และพระสงฆ์รวมถึงชาวบ้านของทั้งสองเชื้อชาติก็กระจัดกระจายโยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น ๆ  สภาพของวัดดอนในอดีต กุฏิอูสะยาหน่วยอุทิศที่ชาวพม่าสร้างถวาย ขณะเดียวกันก็มีกุฏิที่ชาวไทใหญ่สร้างเช่นกัน ชื่อ “ กุฏิไทใหญ่สามัคคี ” เจดีย์ดำ ตามประวัติกล่าวว่ามองส่วยตอง ราชวงศ์พม่าผู้ลี้ภัยจากบ้านเมืองมาอยู่อาศัยที่บ้านทวาย ได้สร้างขึ้น รูปแบบศิลปะทวายพม่า เดิมองค์เจดีย์สีขาว แต่ถูกทิ้งจนตะไคร่จับ ชาวบ้านจึงเรียกเจดีย์ดำ ก่อนที่อาจารย์จินดา เมตตาจิตต์ จะมาปฏิสังขรณ์ดังที่เห็นในปัจจุบัน ศาลยายกะตาที่สร้างขึ้นใหม่ในบริเวณอุโบสถ ไม่เพียงสามกลุ่มชนข้างต้นที่อาศัยกันอยู่ ณ บ้านทวายแห่งนี้เท่านั้น ยังมีชนเชื้อชาติอื่น ๆ ที่อพยพเข้ามาอยู่ในช่วงเวลาต่าง ๆ อีกหลายกลุ่ม เช่น พวกลาวเวียงจากบ้านลาว บางไส้ไก่ ฝั่งธนบุรี ที่ถูกเกณฑ์ให้มาเป็นแรงงานสำหรับการต่อเรือรบที่อู่เรือสำเภาหลวง ปากคลองกรวย บ้านทวาย เมื่อครั้งสยามทำสงครามกับญวนในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระองค์ทรงส่งกองทัพเรือจากกรุงเทพฯ ไปรบกับทัพเรือญวนที่ฮาเตียนและไซ่ง่อน  ชาวลาวเหล่านี้ต่อมาได้ลงหลักปักฐานที่ปากคลองกรวยนั้นเอง และได้สร้างวัดของกลุ่มตนขึ้นเรียกว่า วัดลาว ที่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดสุทธิวราราม ชาวจีน ฝรั่งชาติตะวันตก แขกยะวา-มลายู และแขกฮินดู ซึ่งกลุ่มชนเหล่านี้กระจายเติบใหญ่ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ หลังจากทำสนธิสัญญาเบาวริงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ และเมื่อมีการตัดถนนเจริญกรุงตอนนอกใน พ.ศ. ๒๔๐๔ ส่งผลให้อาณาบริเวณบ้านทวายได้กลายเป็นย่านท่าเรือและแหล่งอุตสาหกรรมใหม่ของกรุงเทพฯ เกิดโรงสี โรงเลื่อย อู่ต่อเรือ และห้างร้านของทั้งพ่อค้าชาวจีนและชาติตะวันตกเรียงรายลงไปทางด้านใต้ตลอดสองฝั่งแม่น้ำ ซึ่งปัจจุบันยังคงปรากฏร่องรอยให้เห็นอยู่ ไม่ว่าอู่เรือกรุงเทพฯ หรือเดิมคือ อู่เรือบริษัทบางกอกด๊อก ของพระวิสูตรสาครดิฐ (กัปตันบุช) สุสานฝรั่ง มัสยิดหลายแห่งบนถนนเจริญกรุง วัดวิษณุของชาวฮินดูจากอุตตรประเทศ ศาลเจ้าต่าง ๆ รวมถึงสุสานวัดดอน ซึ่งเป็นสุสานของชาวจีนแต้จิ๋วและชาวไทยเชื้อสายจีน ตลอดจนตลาดการค้าและท่าเทียบเรือสำเภาจีน อย่างท่าเรือหวั่งหลี ที่กลายมาเป็นชุมชนหวั่งหลีในที่สุด  คนทวายกับยำทวาย “ผมเป็นลูกครึ่งทวาย-พม่า ไม่ใช่ทวายแท้” อาจารย์จินดา เมตตาจิตต์ หรือมีชื่อพม่าว่า เอหม่อง ที่บรรดาพระสงฆ์ในวัดดอนและชาวบ้านย่านนั้นต่างชี้เป้าเพียงหนึ่งเดียวให้ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ หลังจากที่ตระเวนถามหาลูกหลานเชื้อสายทวายเพื่อขอสนทนาเรื่องบ้านทวาย  อาจารย์จินดาออกตัวก่อนจะอธิบายว่า คนทวายไม่ใช่มอญและก็ไม่ใช่พม่า แต่เป็นอีกเชื้อชาติหนึ่ง มีภาษาพูดของตนเอง แต่ไม่มีภาษาเขียน ซึ่งในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานก็ระบุว่า ทวาย เป็นคำเรียกชนเผ่าหนึ่งในสาขาของชาวยะไข่ ตระกูลทิเบต-พม่า แม้แต่คนไทยในอดีตก็แยกแยะความเป็นคนมอญ พม่า ทวาย ได้ชัดเจน ดังปรากฏในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนหนึ่งว่า “ชาวประชามาดูอยู่สลอน เขมรมอญพวกพม่าเสียงหวาเหวย ญวนกะเหรี่ยงเจ๊กฝรั่งยังไม่เคย ไทยว่าเฮ้ยมึงกล้าก็มาดู “นางทวายอายเอียงเสียงแปร่งแปร่ง แมงขะแวงเฉมะราฉะมาหลู เจ้ามอญว่าอาละกูลทิ้งปูนพลู ลาวบ่ฮู้บ่หันข้อยยั่นจริง” อาจารย์จินดาเล่าว่าผู้หญิงทวายแต่งกายคล้าย ๆ หญิงพม่า ผมมวยก็เกล้ากลมอยู่ข้างบนศีรษะแบบพม่า ไม่เหมือนมอญ ผู้หญิงมักทำงานเป็นลูกจ้างบ้านฝรั่ง ส่วนชายบ้านทวายเมื่อก่อนมีอาชีพเป็นครู สอนหนังสือที่โรงเรียนบ้านทวาย  กับเป็นช่างไม้ นิยมไว้หนวด ถือตะพดเดินไปไหนมาไหน ที่เห็นเจนตาก็คือตาของตนที่เป็นคนทวาย ชื่อนายบุญ เด่นดาวเสือ ยายชื่อแม่เล็ก ส่วนปู่นั้นเป็นคนพม่ามาจากเมืองพม่า เป็นครูช่างทอง ที่เข้ามาเมืองไทยก็เพราะสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพศาสตร์ศุภกิจ พระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชากรมช่างในพระบรมมหาราชวัง ได้เชิญปู่มาดูแลเรื่องการทำเครื่องใช้ในวังและสอนช่างทอง ทำให้ปู่มาได้ภรรยาที่บ้านทวาย บิดาของตนจึงเกิดที่บ้านทวาย เป็นลูกครึ่งทวาย-พม่า อย่างไรก็ดีถึงปู่จะมีภรรยาและลูกที่เมืองไทย แต่ปู่ยังขึ้นเป็นคนบังคับอังกฤษ เพราะท่านกลัวเสียเปรียบด้านกฎหมาย มาตอนหลังปู่กลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองพม่า แล้วไปเสียชีวิตที่นั่น ซึ่งในเวลานั้นบิดาของตนยังเล็กอยู่ แต่ย่าก็ได้ส่งกลับไปเมืองพม่าเพื่อไปเรียนวิชาทำทองกับลูกศิษย์ของปู่ พ่อจึงมีชื่อพม่าว่า หม่องจ่ายุ้น คู่ไปกับชื่อ บัว ในภาษาไทย เพราะบิดาเมื่อกลับมาจากพม่าได้ไปสอบเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่โรงเรียนเพาะช่าง บ้านทวายในอดีตไม่เพียงเป็นถิ่นอาศัยของคนทวาย แต่ยังเป็นศูนย์กลางของชนกลุ่มต่าง ๆ ที่เดินทางมาจากพม่าด้วย โดยเฉพาะชาวมอญ พม่า และไทใหญ่ หรือที่ชาวบ้านมักเรียกว่า พวกกุหล่า ซึ่งมีความเคารพศรัทธาในพุทธศาสนาเหมือนกัน และมีศิลปะสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมประเพณีหลายอย่างใกล้เคียงกันด้วย ในเรื่องนี้อาจารย์จินดาแยกแยะอัตลักษณ์ของคนทวายที่ไม่มีในกลุ่มอื่น นั่นคือ การทำบุญแก้ชะตาที่เรียกว่า หม้อจ่าโฮ้ คนทวายคนไหนหากดวงไม่ดี มีเคราะห์ ก่อนเข้าพรรษาจะต้องไปหาพระผู้ใหญ่ ให้ดูตำราว่าคนเกิดปีไหน ควรทำบุญหม้อจ่าโฮ้วันไหน เมื่อได้วันเวลาแล้วก็จะไปหาหม้อดิน นำดอกไม้ ใบมะพร้าว ใส่ไปในหม้อแล้วนำไปถวายที่วัด เอาหม้อตั้งไว้ในโบสถ์จนกว่าจะครบพรรษา จึงนำออกจากโบสถ์ได้ นอกจากนี้ชาวทวายยังมีตำราโหราศาสตร์เกี่ยวกับหมอดู การจับยาม ของกลุ่มตนเอง เรียกตำรา “อัตถกาลยาม” ซึ่งอาจารย์จินดาได้สืบทอดวิชาดังกล่าวจากอาจารย์สัญญา เมตตาจิตต์ (อู่ชั่นญะ) ผู้เป็นลุงของตน “พม่ามียามอุบากอง ของเราเป็นอัตถกาลยาม จะใช้ดูในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเริ่มงานอะไร จะทำสำเร็จไหม มีปัญหาไหม หรือแม้แต่ของหาย ก็จะดูเวลาและจับยามว่าของอยู่ตรงไหน ไม่ใช่คนทวายทุกคนจะดูได้ ต้องเรียนเท่านั้นถึงจะมีวิชา” อาจารย์จินดาย้ำ อัตลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในวิถีชีวิตของคนทวาย นั่นก็คือวัฒนธรรมอาหาร โดยเฉพาะการทำยำทวาย ที่ได้กลายเป็นอาหารในสำรับของคนไทย จนวันนี้ แม้แต่คนกินคนทำเองก็ไม่รู้ถึงที่มาของต้นตำรับเดิมเสียแล้ว    “อาหารทวายจะเน้นผัก นำมาต้ม อย่างยำทวายนี่สลัดของคนทวายเลยละ ที่ผมจำได้มีแกงทวายเรียก ตะโบชก ทำจากปลาโอ เพราะเนื้อมันแข็งหน่อย แล้วใส่มะเขือยาว ตัดเป็นท่อนๆ ผ่าครึ่ง ต้มกับกะทิ ส่วนผัดใบกระเจี๊ยบ แกงฮังเลเป็นของพม่า เรื่องยำทวายมีเครื่องปรุงอะไร ทำอย่างไร ผมไม่ค่อยรู้ละเอียดหรอก ต้องถามภรรยาผม...” ยังกล่าวไม่สิ้นคำ อาจารย์จินดาก็เรียกภรรยามาแจกแจงวิธีการทำยำทวายตามตำรับคนทวาย ที่ภรรยาได้สืบทอดการทำมาจากมารดาของอาจารย์เอง การทำยำทวายเริ่มจากนำถั่วงอก มะเขือยาว ผักบุ้งไทย (ที่กินกับเย็นตาโฟ) พริกชี้ฟ้าอ่อนสด มาล้างแล้วหั่น โดยพริกเม็ดยาวผ่าครึ่ง ผักบุ้ง มะเขือ ตัดเป็นท่อน นำไปต้มกับน้ำขมิ้น โดยต้มทีละอย่างจนผักนิ่มเปื่อย ตักขึ้นมาวางบนผ้าบางเพื่อบีบเอาน้ำออก แล้วมากองรวมไว้ในกะละมัง จากนั้นปรุงน้ำยำ โดยนำมะพร้าวขูดมาคั้นกะทิ นำไปเคี่ยวให้แตกมัน ใส่เครื่องปรุง ประกอบด้วยพริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเม็ดออก เอาแต่เปลือกมาตำพร้อมกับหอมแดงที่ปอกแล้วและกุ้งแห้งไม่ย้อมสี หรือจะใช้เครื่องปั่นก็ได้  จากนั้นนำมาเคี่ยวในน้ำกะทิ คนให้เข้ากัน เคี่ยวจนแตกมันแล้วน้ำงวดลงหน่อย ใส่น้ำมะขามเปียก เกลือ (ห้ามใส่น้ำปลา) น้ำตาล เคี่ยวจนเข้ากัน ชิมให้รสออกเปรี้ยว หวาน เค็ม  โดยออกหวานมากกว่าเปรี้ยว เคี่ยวจนได้ที่ก็ยกลง จากนั้นนำหอมแดงที่เหลือมาหั่นฝอย นำไปเจียวให้เหลืองหอม ตักใส่ถ้วยไว้ เอางาขาวคั่วแล้วตักขึ้นใส่ถ้วยไว้ นำน้ำยำที่คลายร้อนแล้วมาเทใส่กะละมังผักต้ม คลุกเคล้าให้เข้ากัน เอาหอมเจียวและงาขาวคั่วโรย ก็จะได้ยำทวายน้ำขลุกขลิกที่มีรสเผ็ดนิด ๆ จากพริกชี้ฟ้าอ่อนที่เคล้าแล้วแตกรสเผ็ดออกมา “ยำทวายอร่อยนะ มีแต่ผักทั้งนั้น สมัยก่อนบ้านทวายเคยมีคนทำขาย...ป้าสวนไง จะทำในวันพระ พวกลูกหลานทวายไปจองซื้อกันเลย เพราะทำเองก็ยุ่งยาก...ใช้เวลามาก” อาจารย์จินดาสรุป พร้อมกับรับประกันความอร่อยของยำทวายตำรับทวายแท้ ๆ สำหรับหม้อจ่าโฮ้จะเหมือนกับกระบุงผีหรือหีบผ้าผีของชาวมอญ ที่บ้านคนมอญทุกบ้านจะตั้งไว้ข้างเสาเอกของเรือน หรือหม้อยายของชาวหนองขาว จ.กาญจนบุรี หรือไม่ อาจารย์จินดาไม่สามารถอธิบายเปรียบเทียบได้ แต่อาจารย์เล่าว่าในอดีตตรงตรอกทางเข้าวัดดอนทวายใกล้ถนนเจริญกรุง ตรงข้ามอู่เรือกรุงเทพฯ เคยมีศาลยายกะตา เป็นศาลผีประจำชุมชนตั้งอยู่ คนเก่าแก่เล่าขานกันว่า เมื่อชาวทวายแรกอพยพเข้ามานั้น ได้นำ “หม้อไฟ” อันเป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณยายกะตา ซึ่งเดิมตั้งอยู่ในศาลประจำบ้านที่เมืองทวายทูนมาเหนือหัว แล้วนำมาวางไว้ในศาลยายกะตาที่สร้างขึ้นใหม่ ทำให้ตรอกนั้นใคร ๆ ก็เรียกว่า ตรอกยายกะตา ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ซอยดอนกุศล หลังจากมีการตัดถนนเข้าวัดดอน เลยรื้อศาลออก แล้วมาสร้างศาลหลังใหม่ในบริเวณวัดดอนแทน  “ศาลยายกะตาปัจจุบันไม่มีหม้อแล้ว สมัยผมเด็ก ๆ ก็จำไม่ได้ว่ามีหม้อหรือเปล่า แต่เดี๋ยวนี้ในศาลเขาปั้นเป็นรูปยายกะตานั่งอยู่ในศาลแทน คนทวายนี่นับถือบรรพบุรุษนะ แต่ไม่ได้มีหม้อตาหม้อยายในบ้าน เราใส่โกศใส่โถกระดูกปู่ย่าตายายไว้บูชา พอสงกรานต์ ลูกหลานมารวมตัวกันเอาโกศไปให้พระสวดบำเพ็ญกุศล สรงน้ำกัน อ้อ ศาลยายกะตาปัจจุบันตั้งอยู่แถบหน้าโบสถ์นะ ไม่ใช่ศาลตรงประตูทางเข้า นั่นเป็นศาลเจ้าพ่อฯ ที่คนตามทุ่งในละแวกบ้านทวายเขานับถือกัน” อาจารย์จินดาย้ำว่า วันนี้บ้านทวายแทบไม่เหลือคนเชื้อสายทวายอยู่ในพื้นที่อีกแล้ว เพราะหลังจากมีการตัดถนนเหนือ-ใต้และทางด่วนถนนเจริญราษฎร์ผ่านเข้ามาในพื้นที่บ้านทวายและตรอกโรงน้ำแข็ง ชาวบ้านส่วนใหญ่สูญเสียที่ดิน ต้องโยกย้ายออกไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่ คนที่อาศัยอยู่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นลูกหลานคนจีนที่ค้าขายอยู่ในชุมชน และคนจากที่อื่น ๆ ซึ่งอพยพเข้ามาอยู่ตอนหลัง “ตอนนี้หาลูกหลานทวายแทบไม่มี เท่าที่ผมทราบก็มีพระครูณรงค์ เจ้าอาวาสคนปัจจุบัน ที่เป็นลูกหลานทวาย และใครอีกคน ผมจำชื่อไม่ได้ พวกไทใหญ่ พม่า ก็ไม่เหลือเชื้อแล้ว ที่วัดปรกเป็นพระมอญไปแล้ว พวกพม่า กุหล่านั้นแตกหายไปตอนเกิดเรื่องเผาวัดดอนกุหล่านั่นแหละ ตอนนี้ที่ดินของวัดดอนกุหล่าก็มีคนรุกเข้าไปอยู่เต็มหมด ที่เห็นกำแพง ขาว ๆ ล้อมอยู่น่ะ ส่วนทวายเราหมดตอนทางด่วนมา มีบ้านผมนี่แหละที่เป็นติ่งอยู่หลังวัด ตอนนี้ถามหาคนทวาย บ้านทวาย ไม่มีใครรู้จักกันแล้ว”  ภายในศาลปั้นรูปยายกะตาแทนหม้อดินเผาที่ปู่ย่าตายายบอกเล่ามา เป็นข้อสรุปสั้น ๆ ที่เห็นถึงความแปรเปลี่ยนของบ้านเมือง โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ที่นับวันชุมชนเก่าแก่ซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานมายาวนานต้องหลีกทางให้กับความเจริญที่คนยุคใหม่ให้ค่าในการพัฒนาบ้านเมืองมากกว่ารากเหง้า ที่บอกเล่าความเป็นมาของผู้คนและประวัติศาสตร์สังคมของการก่อร่างสร้างเมือง เชิงอรรถ เดิมในบ้านทวายมีโรงเรียนประชาบาลตำบลทวาย ตั้งอยู่ในบริเวณวัดดอน ต่อมาได้ตั้งโรงเรียนสตรีบ้านทวาย ซึ่งพัฒนามาจากโรงเรียนสตรีวัดสุทธิวราราม จน พ.ศ. ๒๔๘๒ กระทรวงธรรมการได้แยกโรงเรียนสตรีบ้านทวายออกเป็น ๒ โรงเรียน คือโรงเรียนบ้านทวาย (โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ปัจจุบัน) กับโรงเรียนการช่างสตรีพระนครใต้ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ พระนครใต้ ปัจจุบัน) เอกสารประกอบการเขียน พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) เรียบเรียง. “เปิดตำนานวัดดอน” . อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ  พระครูวิสุทธิ์กัลป์ยาณกิจ (สุมน์ ญาณธมฺโม) วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓, กรุงเทพฯ : วัดบรมสถล, ๒๕๕๓. องค์ บรรจุน. “อาจารย์จินดา เมตตาจิตต์ ชาติเชื้อทวายพม่าบ้านทวายยานนาวาที่หลงเหลือ,”  ใน ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๐ ฉบับที่ ๑๐ (สิงหาคม), ๒๕๕๒. ขอขอบคุณ : พระครูณรงค์ เจ้าอาวาสวัดบรมสถล, อาจารย์จินดา เมตตาจิตต์ กับภรรยา, และคุณระพีพัฒน์ เกษโกศล สุดารา สุจฉายา : เรื่องและภาพ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • สถูปเจ้าฟ้าอุทุมพรและลูกหลานชาวโยดะยาในพม่า คุณหมอ ทิน มอง จี

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ธ.ค. 2555 เรื่องราวของสถูปชานเมืองอมรปุระซึ่งตั้งอยู่ในสุสานลินซิน-กอง ใกล้กับปลายด้านหนึ่งของสะพานอูเบงอันโด่งดัง ที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสถูปบรรจุอัฐิของพระมหากษัตริย์จากกรุงศรีอยุธยาก่อนที่จะเสียแก่พม่าเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ อดีตกษัตริย์ผู้ถูกกวาดครัวอพยพไปพร้อมกับคนจากฝั่งสยามอีกไม่น้อย ข้ามเทือกเขารอนแรมไปยังพม่า พระองค์ท่านอยู่ในเพศบรรพชิตจนมรณภาพที่พม่าเมื่อราว พ.ศ. ๒๓๓๙ (จากเอกสารทางฝ่ายพม่าและฝ่ายไทย) แต่หลายคนยังสงสัยว่าสถูปนี้คือที่บรรจุอัฐิของเจ้าฟ้าอุทุมพร ขุนหลวงหาวัด พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาก่อนพระองค์สุดท้าย เจ้าฟ้าเอกทัศน์จริงหรือไม่ เรื่องสถูปเจ้าฟ้าอุทุมพรเป็นข่าวขึ้นมาอีกครั้งราวเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากนโยบายจากเขตปกครองมัณฑะเลย์ดำริให้ปรับปรุงพื้นที่ซึ่งเป็นป่าช้าเก่าชื่อลินซิน-กอง ซึ่งเป็นสถานที่เสื่อมโทรมขั้นสุดยอด มีร่องรอยของที่เก็บศพทั้งเก่าและใหม่ ทั้งแบบจีนและคนท้องถิ่น ตลอดจนศาสนสถานแบบเจดีย์เก่าทรุดโทรมขนาดใหญ่กว่าสถูปองค์นี้ที่น่าจะมีอายุเก่าแก่อยู่ใกล้เคียงอีกแห่งหนึ่งด้วย จิตรกรรมฝาผนังที่วัดเจาตอจี อีกฝั่งหนึ่งของสะพานอูเบง เป็นรูปวิถีชีวิตและแผนที่ดาวซึ่งน่าสนใจมาก ภาพที่ฝาผนังนี้บางส่วนเป็นภาพเด็กๆ ไว้ผมจุก ผมแกละ ล้อมวงเล่นสนุกกันบริเวณลานบ้านแบบพม่า บางท่านสันนิษฐานว่าได้สะท้อนชีวิตวัฒนธรรมแบบสยามอยู่ด้วย จิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์วัดมหาเตงดอจี ทั้งรูปแบบขนบการเขียนภาพ และฝีมือช่างคล้ายคลึงกับภาพจิตรกรรมในโบสถ์และวิหารแบบอยุธยา   บริเวณโดยรอบของที่ตั้งสถูปนี้ ด้านหนึ่งอยู่ติดกับวัดชื่อชเวมอตันเจดีย์ซึ่งเป็นย่านชุมชนของเมืองอมรปุระ ด้านหนึ่งติดกับชายขอบทะเลสาบต่าวตะหมั่น [Taung-tha-man lake] และบริเวณที่ต่อเนื่องกับสะพานอูเบงฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นสะพานไม้ทอดยาว อีกด้านหนึ่งมีวัดเจาตอจีซึ่งเป็นวัดที่มีภาพจิตรกรรมบนผนังและเพดานเป็นรูปวิถีชีวิตและแผนที่ดาวที่น่าสนใจมาก ภาพที่ฝาผนังนี้บางส่วนเป็นภาพเด็กๆ ไว้ผมจุก ผมแกละ ล้อมวงเล่นสนุกกันบริเวณลานบ้านแบบพม่า มีผู้สันนิษฐานหลายท่านว่ารูปแบบการดำเนินชีวิตและการแต่งกายบางอย่างผสมผสานกับแบบพม่า และเสนอกันว่า “น่าจะเป็นการสะท้อนรูปแบบชีวิตบางประการแบบคนโยดะยาที่หลงเหลืออยู่” (คนพม่าเรียกคนไทยทั่วๆ ไปต่อเนื่องจากในอดีตว่าคน โย-ดะ-ยา) สถูปที่สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าฟ้าอุทุมพร หลังจากถูกนำไปอยู่ที่พม่า และมรณภาพในเพศบรรพชิต ที่สุสานลินซิน-กอง ชานเมืองอมรปุระ  เมื่อเปรียบเทียบกับธาตุฝุ่นที่บรรจุอัฐิธาตุของพระครูหลวงโพนสะเม็ก ยาคูขี้หอม ที่จำปาสัก ลาวตอนใต้ จะพบว่าเป็นการทำสถูปรูปบัวที่มักใช้บรรจุอัฐิของพระผู้ใหญ่หรือผู้มีสถานภาพในวัฒนธรรมไต-ลาว   คนเฝ้าสุสานแห่งนี้เป็นครอบครัวที่เรียกได้ว่าไร้บ้าน อยู่อาศัยในเรือนไม้เก่าผุพังคร่ำคร่าท่ามกลางกองขยะและดัดแปลงพื้นที่บางส่วนเป็นโรงเลี้ยงหมู หากไม่ใช่ถูกกล่าวขานว่าเป็นสถูปบรรจุอัฐิเจ้าฟ้าอุทุมพรก็คงไม่มีใคร (โดยเฉพาะคนไทย) เข้าไปดูหรือสนใจแต่อย่างใด แต่เธอก็ให้ข้อมูลสำคัญว่า บริเวณนี้จะถูกปรับให้เป็นสวนสาธารณะ โดยการนำเอาที่บรรจุศพทั้งหลายทั้งปวงออกให้หมด ปรับภูมิทัศน์ใหม่ และหลงเหลือไว้แต่เพียงสถูปบรรจุอัฐิและเจดีย์เก่าใกล้เคียงเท่านั้น แต่ทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังคงเป็นเพียงเรื่องเล่า เพราะหลังจากนั้นได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ในมัณฑะเลย์ท่านหนึ่งที่กล่าวว่า รัฐบาลท้องถิ่นไม่น่าจะมีงบประมาณเพียงพอที่จะบูรณะปรับปรุงพื้นที่แบบนั้นได้ ทางข้าราชการฝ่ายไทยบางคนยังไปปล่อยข่าวว่าจะมีนักการเมืองหนีคดีบางคนเสนอตัวสนับสนุนทางการเงินไปเสียอีก ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าลือไปต่างๆ นานา และไม่เห็นบทสรุปที่ควรจะเชื่อถือว่าจะมีการปรับปรุงภูมิทัศน์หรืออนุรักษ์บริเวณนี้อย่างชัดเจนในขณะนี้แต่อย่างใด เรื่องเล่าเกี่ยวกับกษัตริย์อยุธยาที่ถูกจับไปเป็นเชลยยังบ้านเมืองพม่าในลุ่มอิระวดี ถือเป็นเรื่องเล่าให้ความรู้สึกเศร้าสะเทือนใจสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ที่ได้ฟังเรื่องราวเช่นนี้ เพราะการเล่าเรื่องในช่วงเสียกรุงฯ ถือเป็นความสะเทือนใจร่วมในการบรรยายภาพประวัติศาสตร์ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ หรือกรณีการพลัดบ้านพลัดเมืองไปอยู่ต่างแดนในฐานะเชลยศึกสงครามหรือผู้อพยพ ไม่ว่ายุคสมัยใดก็สร้างความเห็นอกเห็นใจให้เกิดขึ้นแก่บุคคลที่ได้รับรู้ทั้งฝ่ายที่เป็นผู้พลัดพรากและผู้อยู่ข้างหลัง  หากตั้งข้อสังเกตโดยเฉพาะในสังคมไทย เรื่องสะเทือนใจในการพลัดพรากเช่นนี้มักถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชาดกนอกพระสูตรทางพุทธศาสนาที่เน้นเรื่องของกรรมในการพลัดพรากจากผู้ที่เป็นที่รัก และต้องจากบ้านจากเมืองดังกล่าว ดังนั้นเรื่องราวของสถูปเจ้าฟ้าอุทุมพรและเรื่องราวของชาวโยดะยาในพม่าจึงสร้างความสนใจแก่คนไทยในปัจจุบันได้อย่างมากมาย คนไทยสะเทือนใจกันง่ายๆ เมื่อรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ผ่านการสื่อสารที่อาจจะสร้างเน้นการบอกเล่าแบบนี้ หรือเติมแต่งให้กลายเป็นข่าวเชิงประวัติศาสตร์แบบตำนานที่ใช้ “ความเชื่อ” มากกว่าจะพิสูจน์หาหลักฐานหรือข้อเท็จจริง สถูปเจ้าฟ้าอุทุมพร การสำรวจและสันนิษฐานจากนายแพทย์ทิน มอง จี เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นจากการสำรวจของนายแพทย์ผู้สมัครจะเป็นนักวิชาการทางสังคมศาสตร์หลังเกษียณอายุชื่อ “นายแพทย์ทิน มอง จี” [Dr.Tin Maung Kyi] ที่อ้างอิงว่าค้นพบสถูปองค์นี้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๐ ความที่เป็นคนสายเลือดสืบมาจากกลุ่มชาวโขนละครจากราชสำนักอยุธยาที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ไม่ไกลจากกำแพงพระราชวังมัณฑะเลย์ โดยคุณปู่มักบอกเล่าเรื่องราวภายในครอบครัวที่ถูกบอกเล่าสืบต่อมาให้ท่านฟัง และกล่าวว่า “อย่าลืมว่าเธอเป็นคนไทย” ในขณะที่คุณพ่อของคุณหมอไม่สนใจเลย   การเป็นคนไทยของบริบทของคุณปู่คุณหมอนั้นไม่ใช่เรื่องของชาตินิยมแบบที่คนไทยทุกวันนี้ชอบสรุปกัน เพราะท่านเพียงจะบอกว่า “อย่าหลงลืมรากเหง้าของพวกเรา” คงเหมือนกับเรื่องเล่าในครอบครัวอีกหลาย ๆ ครอบครัว แม้จะเป็นหมอมากว่า ๒๗ ปี และเกษียณอายุเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ จึงเปลี่ยนมาทำงานเป็นนักวิชาการศึกษาด้านพม่าและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาเต็มตัว ได้รับเชิญไปเสนองานวิจัยในต่างประเทศหลายแห่ง และได้รับเชิญจาก SPAFA  มาทำงานที่กรุงเทพฯ ระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๐๓-๒๐๐๗ ปัจจุบันคุณหมออายุ ๗๔ ปีแล้ว คุณหมอเขียนบทความสั้นๆ เรื่องการสำรวจสถูปที่สุสานลินซิน-กอง เรื่อง “A Thai King’s Tomb” และนำไปรวมพิมพ์ไว้ในหนังสือ “The various facets of Myanmar” ซึ่งปัจจุบันพิมพ์ครั้งที่ ๒ แล้ว จากนั้นราว พ.ศ. ๒๕๓๘ มัคคุเทศก์ชาวพม่าก็นำมาเล่าและนำคนไทยบางกลุ่มไปชมตามรอยและสู่การรับรู้ของไกด์ชาวไทย และคนไทยตื่นเต้นมากในช่วงเวลานั้น โดยใช้คำบอกเล่าจากชาวบ้านและพระสงฆ์ในบริเวณใกล้เคียงที่บอกแต่เพียงว่า “นี่คือสถูปบรรจุอัฐิของกษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่ง” โดยไม่มีจารึกอื่นใดระบุการยืนยันไปมากกว่านี้  ส่วนเอกสารสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่ระบุว่าเป็นภาพเจ้าฟ้าอุทุมพร (ที่เขียนว่าเจ้าฟ้าเอกทัศน์) ทรงเครื่องกษัตริย์ ที่พบจากเอกสารชเว-นัน-เล-ทง [Shwe-nan-let-thone] แต่เป็นฉบับที่ถูกคัดลอกต่อมาเมื่อราว พ.ศ.๒๔๓๗ จากต้นฉบับจริง ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ห้องสมุดอาณานิคมในกรุงลอนดอน มีการเขียนข้อความใต้รูปบุคคล คุณหมอแปลจากภาษาพม่าเก่าแบบบรรทัดต่อบรรทัดความว่า “ผู้ก่อตั้งที่สามแห่งรัตนปุระ (อังวะ) และพระเจ้าช้างเผือก ต่อสู้และชนะอโยธยา, กับกษัตริย์ กษัตริย์ถูกนำตัวมาที่นี่ ในช่วงการครองราชย์ของพระเชษฐาของพระองค์ (กษัตริย์บาดุง) กษัตริย์ (ไทย) ขณะอยู่ในสมณเพศ, มรณภาพที่อมรปุระ ที่ลินซิน-กอง สุสาน, พระองค์ถูกบรรจุ/เผาพระศพด้วยสมพระเกียรติในความเป็นเชื้อพระวงศ์  นี่คือภาพของเจ้าฟ้าเอกทัศน์” คุณหมอทิน มอง จี ผู้อุทิศตัวให้กับการศึกษาสำรวจทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ท่านมีเชื้อสายชาวโขนละครจากราชสำนักอยุธยา และได้รับการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ สืบต่อมาจากปู่และศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ภาพวาดในเอกสารเก่าที่เขียนบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าฟ้าอุทุมพรที่มีข้อผิดพลาดบางประการ แต่เนื้อความกล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของเจ้าฟ้าอุทุมพรในพม่าและการปลงพระศพที่สุสานลินซิน-กอง ตรงนี้คุณหมอสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นความเข้าใจผิดเรื่องชื่อที่ปรากฏ เพราะควรเป็นชื่อของเจ้าฟ้าอุทุมพร เนื่องจากในประวัติศาสตร์พม่าและประวัติศาสตร์ไทย กษัตริย์จากกรุงศรีอยุธยาองค์สุดท้ายสวรรคตที่กรุงศรีอยุธยานั่นเอง และเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ที่เพิ่งผ่านมา คุณหมอพบหญิงชราอายุ ๑๐๑ ปีที่เล่าให้ฟัง ยืนยันในสมมติฐานของคุณหมอว่า เธอทราบเรื่องราวของสถูปที่สุสานลินซิน-กอง ถูกบอกเล่าต่อกันมาว่าบรรจุอัฐิของกษัตริย์ไทยมาตั้งแต่เธอเรียนหนังสือในโรงเรียน บ้านของเธออยู่ที่ซิน-ชเว-พุท ที่อยู่ห่างจากบริเวณนี้เพียงราว ๖๐๐ เมตร สำหรับฝ่ายไทย เรื่องเล่าของเจ้าฟ้าอุทุมพรเสด็จสวรรคตที่พม่านี้ เมื่อคราวสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จพม่า  ทรงปรารภเรื่องข่าวการพบสถานที่เก็บอัฐิพระเจ้าแผ่นดินสยามที่แพร่เข้ามาในสยามราวรัชกาลที่ ๕ ซึ่งท่านนึกไปถึงเจ้าฟ้าอุทุมพร แม้จะทรงสอบถามตลอดการเดินทางจากย่างกุ้งไปอมรปุระและมัณฑะเลย์ที่ปรากฏในหนังสือ “เที่ยวเมืองพม่า” ก็ไม่มีใครทราบเรื่องดังกล่าว  ส่วนบทความของอาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ที่อ่านงานเขียนของคุณหมอทิน มอง จี ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรมเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๔๕ และคงได้เคยไปเห็นสถูปองค์นี้ที่เมืองอมรปุระแล้วสรุปว่า ไม่เชื่อว่าเป็นสถูปบรรจุอัฐิของเจ้าฟ้าอุทุมพรตามสมมติฐานของคุณหมอทิน มอง จี  อาจารย์พิเศษไม่เห็นว่าสถูปนี้ควรตั้งอยู่ที่อมรปุระ เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ ระบุว่ามีการย้ายเชลยมาอยู่ที่อมรปุระซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งขึ้นภายหลังเสียกรุงฯ ราว ๑๐ กว่าปี อีกทั้งสภาพของสถูปทั้งรูปทรงและลวดลายไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับศิลปะอยุธยาแต่อย่างใด  อาจารย์พิเศษเห็นว่าข้อมูลที่ทำให้เชื่อกันว่าสถูปดังกล่าวเป็นสถูปบรรจุอัฐิเจ้าฟ้าอุทุมพร เป็นเพียงข้อมูลจาก “คำบอกเล่า” ของชาวบ้านในท้องถิ่นที่พูดกันปากต่อปากว่าเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่งเท่านั้น ส่วนเรื่องราวที่ปรากฏในข้อเขียนของคุณหมอทิน มอง จี อาจารย์พิเศษเห็นว่าเป็นการปะติดปะต่อเรื่องราวให้เติมแต่งกันทั้งเอกสารฝ่ายพม่าและฝ่ายไทยเท่าที่มีการแปลออกเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น   สำหรับสถูปทรงดังกล่าวนี้ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม แนะนำให้ไปเปรียบเทียบกับสถูปรูปยอดบัวที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก อันเป็นที่บรรจุอัฐิธาตุของพระครูหลวงโพนสะเม็กหรือ “ยาคูขี้หอม” ที่วัดธาตุฝุ่น เมืองจำปาสักทางเขตลาวตอนใต้ ลักษณะสถูปที่บรรจุอัฐิธาตุของพระสงฆ์ผู้ใหญ่ของคนสองฝั่งโขงมีรูปแบบแทบจะเหมือนทั้งหมด หรือคล้ายคลึงจนกล่าวได้ว่าน่าจะมีวิธีคิดและความตกผลึกในทางวัฒนธรรมจากแหล่งที่มาที่ใกล้เคียงหรือในกลุ่มเดียวกัน การใช้สถูปที่บรรจุอัฐิธาตุของบรรพบุรุษเป็นรูปยอดบัวและตัวเรือนเป็นเสารูปกลมหรือสี่เหลี่ยม ไม่ใช่เป็นเรื่องประหลาดแต่อย่างใดในสังคมการปลงศพและบูชาบรรพบุรุษหรือผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้วในสังคมไต-ลาวที่นับถือพุทธศาสนา ดังที่พบสถูปบรรจุอัฐิของพระสงฆ์ผู้ใหญ่ของชุมชนในวัดทางอีสานหลายแห่ง เช่นที่วัดเก่าแก่แบบคนลาวบ้านลุมพุก อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งอยู่ในกลุ่มคนเชื้อสายเขมรเป็นส่วนใหญ่ ก็มีการสร้างสถูปบรรจุอัฐิธาตุของพระผู้ใหญ่ของชุมชนแบบดั้งเดิม และรูปแบบสถูปเป็นแบบคู่สองแห่ง รูปแบบเช่นนี้พบคล้ายคลึงกับการทำสถูปคู่ทำจากหินทรายที่เชิงเขาทางฝั่งไทย ก่อนทางขึ้นปราสาทพระวิหารเช่นกัน “การเข้าบัว” เป็นประเพณีบูชาบรรพบุรุษที่สำคัญอย่างหนึ่งทางภาคใต้ “บัว” คือสถูปที่บรรจุกระดูกของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วในตระกูลต่างๆ การใช้สัญลักษณ์เป็นรูปดอกบัวในการบรรจุอัฐิธาตุไว้สำหรับบูชานั้น จึงเป็นพื้นฐานของสังคมทางพุทธศาสนาแบบไต-ลาว ที่รวมไปถึงวัฒนธรรมการบูชาบรรพบุรุษของผู้นับถือพุทธศาสนาทางคาบสมุทร รูปแบบสถูปบรรจุอัฐิเช่นนี้คงไม่พบในสังคมการปลงศพแบบพม่าหรือทางมอญ จึงถูกกล่าวว่า รูปแบบของสถูปที่ค้นพบไม่เหมือนกับสถูปหรือเจดีย์อื่นใดในกลุ่มเมืองเก่า เช่น สะกาย อังวะ อมรปุระ หรือมัณฑะเลย์   คุณหมอทิน มอง จี ก็ไปสันนิษฐานว่า รูปแบบของเจดีย์นี้เป็นเสมือนแท่งเขาพระสุเมรุที่มีสัตว์หิมพานต์เฝ้าที่เชิงฐาน ซึ่งท่านเคยเห็นเพียงครุฑกับนาคเท่านั้น แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบสัญลักษณ์ของการเป็นสถูปรูปดอกบัวที่ยอดแต่อย่างใด แต่ถ้าเราพิจารณาไปถึงรูปแบบของสถูปที่คล้ายคลึงกับธาตุฝุ่นที่บรรจุอัฐิธาตุของพระครูหลวงโพนสะเม็กในจำปาสักแล้ว เราก็อาจเห็นภาพของสังคมของพม่าในราชวงศ์อลองพญาหรือคองบองที่ประกอบไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์จากผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมาพร้อมกับการสงครามไม่แตกต่างไปจากสังคมสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือกรุงเทพฯ ที่ประชากรส่วนหนึ่งประกอบจากกลุ่มผู้คนหลากชาติพันธุ์และความเชื่อเช่นเดียวกัน และในกลุ่มหลากหลายชาติพันธุ์นั้นก็ยังคงการสร้างสรรค์หรือถูกกลืนกลายตามสถานการณ์แวดล้อมต่างๆ ของบ้านเมืองแต่ละแห่ง  โอกาสที่สถูปบรรจุอัฐิขนาดใหญ่รูปบัวที่พบในสุสานลินซิน-กอง ชานเมืองอมรปุระ ริมชายฝั่งของทะเลสาบ จะเป็นของพระผู้ใหญ่หรือผู้มีสถานภาพในกลุ่มชาวไต-ลาว ที่อาจจะเป็นชาวล้านช้างที่คนพม่าเรียกว่า เลิง-ซิง หรือคนจากอยุธยาก็ถือว่าเป็นไปได้สูง  เพราะเช่นที่เมืองสะกายใกล้กับวัดมหาเตงดอจี ซึ่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งรูปแบบขนบการเขียนภาพและฝีมือช่างคล้ายคลึงกับภาพจิตรกรรมในโบสถ์และวิหารแบบสยาม แม้ชุมชนชาวอโยธยาไม่เหลืออยู่แล้ว แต่ก็มีชาวบ้านที่ถูกเรียกว่าเลิง-ซิง หรือชาวล้านช้างที่อาศัยไปทำบุญที่วัดของคนมอญที่อยู่ใกล้เคียง  เอกสารทางฝ่ายไทยรับรู้กันว่า “เมืองสะกาย” หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อเมืองจักกายบ้าง เมืองสแคงบ้าง เป็นบริเวณที่คนไทยสมัยกรุงแตกถูกกวาดต้อนไปอยู่อาศัยที่นี่ แต่ทุกวันนี้ร่องรอยของชุมชนคนอโยธยาที่สะกายแทบไม่พบเห็นและไม่มีรายงานยืนยันว่าคนไทยอยู่ที่สะกายดังที่เราเข้าใจกัน เมืองอมรปุระสร้างหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาราว ๑๕ ปี และจดหมายเหตุบันทึกไว้ว่า เจ้าฟ้าอุทุมพรสวรรคตในสมณเพศเมื่อราว พ.ศ. ๒๓๓๙ มีการปลงพระศพที่สุสานลินซิน-กอง ก็อาจจะเป็นสุสานหลวงที่เผาศพของพระผู้ใหญ่หรือผู้มีสถานภาพทางสังคมที่คนพม่าให้ความนับถือ อาจจะมากพอๆ กับชาวบ้านผู้ถูกกวาดต้อนอพยพมาในช่วงนั้น ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ทั้งชาวล้านช้างหรือชาวอโยธยา โดยการบรรจุอัฐิธาตุภายในสถูปองค์ที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพระสถูปของเจ้าฟ้าอุทุมพรหรือไม่ คงไม่สามารถพิสูจน์อย่างแน่ชัดไปได้มากกว่านี้้ เพียงสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นสถูปบรรจุอัฐิธาตุของบุคคลผู้มีความสำคัญในช่วงเวลานั้น ที่อาจจะเป็นชาวล้านช้างหรือชาวโยดะยาที่ถูกกวาดต้อนมากับการสงครามในสมัยราชวงศ์อลองพญาอย่างชัดเจน ซึ่งไม่สมควรถูกทุบรื้อทิ้งหรือทำลายไป และต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมสุดขีดนี้เสียใหม่ จะเป็นความร่วมมือกันระหว่างรัฐฐานของสองประเทศก็สมควรจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในขณะนี้ ร่องรอยของคนพม่าเชื้อสายโยดะยา สิ่งที่น่าสนใจศึกษาไม่เพียงจบลงที่การพิสูจน์ว่าสถูปนี้บรรจุอัฐิธาตุของเจ้าฟ้าอุทุมพรในขณะเป็นสมณเพศจริงหรือไม่เท่านั้น  คุณหมอทิน มอง จี ยังเสนองานค้นคว้าสำรวจเรื่องราวทางวัฒนธรรมของคนเชื้อสายโยดะยาในท้องถิ่นแถบลุ่มอิระวดีนี้ต่อไป และเตรียมจัดพิมพ์เป็นหนังสือถ้าคนไทยสนใจและมีผู้จัดพิมพ์หนังสือเผยแพร่ในประเทศไทยให้ โดยกล่าวว่าพระเจ้ามังระ [King Hsin-byu-shin] ผู้เข้าตีกรุงศรีอยุธยากวาดต้อนผู้คนตามรายทางทั้งเมืองระแหง สุโขทัย พิษณุโลก รวมทั้งชาวโยนทางเชียงใหม่ไปยังอังวะ และแยกกลุ่มออกเป็นหลายกลุ่ม โดยพระราชทานที่ดินสร้างบ้านเรือนหลายแห่ง พวกที่เป็นศิลปินและนาฏศิลป์มักจะตั้งถิ่นฐานไม่ไกลจากเมืองอังวะเท่าใดนัก ซึ่งสามารถเดินทางติดต่อค้าขายถึงกันทางเรือในลำน้ำชเว-ตะ-จอง [Shwe-ta-chaung] คลองขุดที่ขนานไปกับแม่น้ำอิระวดี และคุณหมอพบร่องรอยที่น่าจะเป็นชุมชนชาวโยดะยาในอดีตหลายแห่งตั้งอยู่ริมลำน้ำนี้ น่าเสียดายที่เส้นทางน้ำสายนี้กลายเป็นคลองน้ำเสียและแคบจนหมดสภาพไปแล้ว สิ่งที่เป็นร่องรอยให้น่าขบคิดก็คือ ชุมชนที่น่าจะเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวโยดะยามักมีการสร้างพระเจดีย์ทรายขนาดย่อมๆ และมีประเพณีฉลอง ปัจจุบันยังคงพบเห็นได้เพราะถูกรักษาด้วยการสร้างเจดีย์แบบแข็งแรงคลุมอีกชั้นหนึ่ง และถือเอาช่วงวันวิสาขบูชาเป็นช่วงเวลาทำพิธีกรรม  อีกร่องรอยที่เหลืออยู่คือการบูชาศาลพระราม [Rama shrine] หรือที่คนพม่าเรียกว่า “ยามะ” (หมายถึงรามายณะหรือรามเกียรติ์) คุณหมอทิน มอง จี เห็นว่าศาลพระรามคือส่วนสำคัญในการสืบค้นว่า ผู้คนในบริเวณที่อยู่อาศัยใกล้เคียงนั้นเคยเป็นชาวโยดะยาหรือไม่ ท่านพบศาลยามะเป็นศาลาไม้โถงขนาดย่อมๆ ที่ “ทาดา-โอ” [Tada-Oo] ในบริเวณเมืองอังวะตรงข้ามฝั่งเมืองสะกาย อีกแห่งหนึ่งเป็นศาลพระรามที่เมืองอมรปุระทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบต่าว-ตะ-หมั่น ใกล้กับที่ตั้งของเจดีย์ [Pa-hoo-daw-gyi] แม้จะเป็นศาลเล็กๆ ในทุกวันนี้ แต่ก็มีการสืบทอดรักษาแบบดั้งเดิม โดยไม่มีเรื่องของไสยศาสตร์ให้แก่ผู้ที่มาเคารพกราบไหว้เลย  แถบนอกกำแพงพระราชวังมัณฑะเลย์เป็นถิ่นที่อยู่ของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์มาแต่ดั้งเดิม พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์อลองพญาพระราชทานพื้นที่ว่างริมคลองขุดชเว-ตะ-จอง [Shwe-ta-chaung] ให้เป็นที่อยู่อาศัยแก่ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมาเพราะการสงครามตั้งแต่ยังไม่สร้างเมืองมัณฑะเลย์ และเมื่อสร้างเมืองในปี พ.ศ. ๒๔๐๐ โดยกษัตริย์มินดง บริเวณนี้จึงกลายเป็นย่านเมืองไป หนึ่งในกลุ่มนั้นคือชุมชนชาวโขนละครจากอยุธยาที่มาอยู่อาศัยบริเวณระหว่างบล็อกของถนน ๘๓ ถนน ๒๙ และถนน ๓๐ ในปัจจุบัน  แต่ชาวบ้านปัจจุบันที่บริเวณตลาดโยดะยาเก่าซึ่งยังคงมีศาลยามะตั้งอยู่ ส่วนวัดของชุมชนซึ่งมีพระเจดีย์เรียงกันสามองค์ และยังพอเห็นร่องรอยของการทำให้เป็นพระเจดีย์องค์ระฆังขนาดใหญ่ที่ดูแปลกไปบ้างจากเจดีย์ขนบธรรมเนียมนิยมแบบพระธาตุมุเตาหรือแบบมอญที่มักพบเห็นทั่วไป ตรงนี้ไม่แน่ใจนักว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างพระเจดีย์สามองค์ตามแบบวัฒนธรรมสยามอย่างไร ในศาลยามะมีการวางเศียรพระฤาษีอยู่ด้านขวามือสุด ลำดับต่อมาคือพระราม พระลักษมณ์ นางสีดา และหนุมาน ทั้งหมดเห็นว่าเป็นของที่สร้างขึ้นใหม่และพยายามเลียนแบบของดั้งเดิมที่เป็นหัวโขนในวัฒนธรรมการบูชาครูโขนละครแบบสยามนั่นเอง ศาลที่นี่ยังคงอยู่ แต่ชาวบ้านซึ่งเป็นคนเชื้อสายจากโยดะยาไม่มีอยู่แล้ว สอบถามได้ว่าเป็นคนจากที่ต่างๆ ที่เข้ามาอยู่ใหม่เมื่อราวก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เล็กน้อย  ปลูกบ้านเรือนล้อมรอบอย่างหนาแน่น ผู้คนที่นี่ยังบำรุงรักษาศาลยามะและเปลี่ยนจากศาลาไม้มาเป็นศาลาก่ออิฐถือปูน และวางลำดับรูปแบบเศียรที่น่าจะเกี่ยวเนื่องกับหัวโขนเหมือนกับศาลพระรามซึ่งพบที่อื่น ๆ  ศาลยามะหรือศาลพระรามที่คุณหมอทิน มอง จี กล่าวถึงมีรูปแบบคล้ายคลึงกัน คือบูชาหัวโขนทั้งห้าแบบ ซึ่งเป็นตัวละครจากเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งทางฝ่ายไทยมักจะเห็นการบูชาหัวโขนจากตัวละครที่สำคัญๆ นี้จากพิธีไหว้ครูและการครอบครูโขนละคร ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่มีแบบแผนเฉพาะและมักถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด การครอบครูโขนละครของฝ่ายนาฏศิลป์ไม่นิยมให้ตัวละครเช่น ลิง ยักษ์ นาง เป็นผู้ทำพิธีครอบ โดยส่วนใหญ่จะใช้เศียรของครูหรือที่เรียกกันว่า “พ่อแก่” หรือพระพรตมุนี (มหาฤาษีผู้แต่งตำรารำฟ้อน) หรือเทริดพระพิราพมาครอบให้ลูกศิษย์เพื่อเป็นสิริมงคล ทางฝ่ายไทยเชื่อว่าผู้ที่ผ่านพิธีครอบครูจะได้รับความคุ้มครองดูแลจากครู และครูจะอยู่ช่วยเหลือให้ศิษย์มีความจำในกระบวนการรำ จังหวะดนตรี หากมีสิ่งใดที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นกับศิษย์ ครูจะช่วยปัดเป่าให้ผ่านพ้นไป การแสดงรามายณะในพม่านั้นมีการศึกษาและพบว่าได้รับอิทธิพลจากราชสำนักอยุธยาอย่างชัดเจน วรรณคดีที่รู้จักกันดีในพม่าเรื่อง “รามา สะ-กาน” [Rama sa-khyan] น่าจะประพันธ์ขึ้นในราว พ.ศ. ๒๓๑๘ โดย อู ออง เพียว [U aung Phyo] และยังมีวรรณคดีและระบำละครจากรามายณะอีกหลายเรื่องที่พัฒนาขึ้นในยุคสมัยนี้ ในสมัยราชวงศ์อลองพญาหรือคองบอง หลังจากมีการกวาดต้อนชาวโขนละครจากราชสำนักอยุธยามาที่พม่านี้ และดังเราได้เห็นร่องรอยของศาลยามะที่เหลืออยู่หลายแห่งดังกล่าว  เรื่องของศาลยามะนี้แตกต่างไปจากศาลนัตที่ชาวพม่านับถือกันอยู่ เพราะนัตที่ชาวบ้านนับถือนั้นเคยมีชีวิตอยู่จริง แต่ประสบเคราะห์ร้ายตายอย่างผิดปกติ และต่อมาชาวบ้านตลอดจนชาวเมืองจึงนับถือยกขึ้นเป็นนัตของท้องถิ่นต่าง ๆ ส่วนศาลยามะบางแห่งก็ยังคงแบบดั้งเดิม คือไม่มีการไปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงกันที่เรียกว่าเขตเมงทา สุ [Mintha-Su Quarter] ที่หมายถึง “ย่านเจ้าฟ้า” ซึ่งคุณหมอทิน มอง จี สันนิษฐานว่าเป็นกลุ่มชุมชนที่อยู่อาศัยสำหรับเชื้อพระวงศ์จากโยดะยาได้รับพระราชทานที่ดินในพื้นที่กว้างขวางพอควร เพราะมีสถานที่หนึ่งซึ่งคุณหมอวิเคราะห์ว่าเป็นคำที่มีความหมายว่า “พระองค์ท่าน” ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในระหว่างกษัตริย์ด้วยกัน  [Ah-kyi-daw-min Win] ปัจจุบันบริเวณนี้อยู่ทางด้านหนึ่งของถนนสาย ๘๔ และผู้ครอบครองที่ดินหลังจากนั้นบริจาคให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนประถมศึกษาหมายเลข ๒๑ และเมื่อ ๒๐ ปีก่อน เล่ากันว่าเคยขุดพบเศษภาชนะที่มีการเขียนอักษรไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีสะพานระแหงที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นสะพานชเวดอง [Shwe-don bridge] ตลาดระแหงก็เปลี่ยนชื่อเป็น แมง เมียว เซ [Man-myo-Zay]   ภาพวาดแผนที่แสดงตำแหน่งที่สันนิษฐานจากการก่อเจดีย์ทรายในชุมชนที่คาดว่าน่าจะเคยมีชาวโยดะยาอยู่อาศัยตลอดลำคลองชเว-ตะ-จอง [Shwe-ta-chaung] ภาพจากการวาดของคุณหมอทิน มอง จี ศาลยามะหรือศาลพระรามที่มีการทำหัวโขนจำลองที่เป็นรูปพระมหาฤาษี พระราม พระลักษมณ์ นางสีดา และหนุมาน พร้อมเครื่องบูชา ที่ย่านชาวโยดะยาเก่าในเมืองมัณฑะเลย์ คนเชื้อสายของชาวโยดะยาในสถานที่เหล่านี้ส่วนใหญ่ย้ายออกและผสมปนเปไปกับชาวพม่าในมัณฑะเลย์ กระนั้นก็ตาม อย่างน้อยก็ยังมีผู้ที่ยังจดจำเรื่องราวในวงศ์ตระกูลและเล่าสืบต่อกันมา เช่น ครอบครัวของคุณหมอที่คุณปู่เป็นผู้เล่าเรื่องผ่านจากรุ่นปู่สู่รุ่นหลาน และยังมีการจารึกข้อความลงบนแผ่นหินเก็บไว้ที่เจดีย์ทรายมหาวาลุกะ [Maha Valuka Sand Pagoda] ในเขตเมงทาสุเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๔ ข้อความในจารึกกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนชาวโยดะยาอย่างย่อ ๆ ว่า “ราว พ.ศ. ๒๓๑๐ พระเจ้าช้างเผือกตั้งพระนครอยู่ที่เมืองอังวะ เมื่อชาวเชลยจากอยุธยา สุโขทัย และเชียงใหม่ถูกจับกุมมาที่นี่ รวมทั้งพระราชวงศ์ ขุนนางต่างๆ ก็ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ห่างจากนครอังวะ ที่ระแหงและเมงทา ซู ใกล้กับคลองที่เรียกว่าชเว ตะจอง  รวมทั้ง “เจ้าฟ้าดอก” กษัตริย์ผู้ต้องนิราศจากราชบัลลังค์ พระองค์อุปสมบทเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ที่วัดพังเลไต [Paung Le Tike] และสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๙ คลองชเวตะจองเป็นคลองขุดโดยขุนนางรักษาวังหน้าในรัชกาลพระเจ้าปดุง ลำน้ำไหลจากเมืองมัณฑะเลย์ลงสู่ทะเลสาบเต๊ด เต [Tet Thay] ที่เมืองอมรปุระ และเคยถูกเรียกว่า Ne Kotho (ซึ่งคุณหมอสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นภาษาไทย) พระเจ้าปดุงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้คนเชื้อสายไทยสร้างพระเจดีย์ทรายตลอดริมคลองชเวตะจองตามคำขอของพระภิกษุเจ้าฟ้าดอก เป็นผู้นำในการก่อสร้างทุกปีไม่เคยขาดที่มหาวาลูกะ [Maha Valuka] พระเจดีย์ทราย และเริ่มกลายเป็นประเพณีปฏิบัติในการบูชาสืบมา เมื่อพระเจ้ามินดงผู้สร้างเมืองมัณฑะเลย์ขึ้นครองราชย์ ก็มีพระบรมราชานุญาตให้มีการจัดฉลองที่ตลาดระแหงและจัดงานรื่นเริง สืบเนื่องจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน ผู้เฒ่าผู้แก่ในเขตนี้ก็เป็นผู้นำในการจัดงานฉลองและงานบูชาพระเจดีย์ทรายนี้ เช่น พ่อเฒ่า Poh tun Kyaw ซึ่งเป็นผู้นำในการทำพิธีกรรมจนอายุถึง ๑๐๐ ปี และตายในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เจดีย์ทรายสูงจากพื้นราว ๒๕ ฟุต ทำจากทรายและสร้างเสร็จภายในหนึ่งวัน เริ่มทำประเพณีนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๗ จนถึงวันที่จารึก พ.ศ. ๒๕๒๗ จึงครบ ๒๐๐ ปี การจารึกนี้เพื่อเฉลิมฉลองครบ ๒๐๐ ปี ทุกผู้ทุกคนโมทนาสาธุมา ณ ที่นี้” เรื่องของสถูปองค์หนึ่งซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่ามีความสำคัญต่อคนไทย ตั้งอยู่กลางสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมเช่นนี้ และอยู่ในเขตพื้นที่การท่องเที่ยวชานเมืองอมรปุระที่มีคนไทยเข้าไปเยี่ยมชมอยู่เสมอ การบูรณะหรือปรับสภาพพื้นที่เพื่อดูแลรักษา ไม่ว่าจะเป็นสถูปบรรจุอัฐิของอดีตพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งแห่งอยุธยาหรือไม่ก็ตาม ก็สมควรทำอย่างยิ่ง ทางรัฐบาลไทยควรช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของมัณฑะเลย์ปรับปรุงบูรณะพื้นที่ดังกล่าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือประชาชนต่อประชาชน ที่ดูจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเสียมากกว่ารัฐเสียอีก เพราะสถูปบรรจุพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ไทยที่พระนครศรีอยุธยาทุกวันนี้ คนไทยยังไม่ทราบว่าเป็นองค์ใดหรืออยู่ที่ใด หรือถูกทำลายไปแล้ว ทั้งที่เป็นผืนแผ่นดินของตนเองด้วยซ้ำ ดังนั้นการบูรณะสถูปองค์หนึ่งในประเทศพม่าที่ไม่ว่าจะจริงเท็จประการใดก็ควรทำเพื่อความรู้สึกที่ดี และความสัมพันธ์ในฐานะบ้านเมืองที่มีความสัมพันธ์ร่วมกัน แต่สิ่งที่น่าทำอย่างต่อเนื่องเพิ่มเติมไปอีกคือ รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักผู้คนที่มีความหลากหลายความเป็นมา และส่วนหนึ่งยังคงมีเยื่อใยต่อรากเหง้าแห่งอดีตของตน เหมือนที่คุณหมอทิน มอง จี แห่งมัณฑะเลย์ที่ใช้ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปกับการค้นคว้าศึกษาสิ่งเหล่านี้ท่ามกลางความเข้มงวดกวดขันของรัฐบาล พวกเราชาวสยามที่มีโอกาสในการศึกษาค้นคว้าอย่างเต็มที่ และแทบจะสำลักอิสรภาพในการพูด อ่าน เขียน ก็น่าจะใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่ คุณค่าของการพบประเด็นสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเราจึงจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่เรื่อง “ใช่”  หรือ “ไม่ใช่” เพียงเท่านั้น วลัยลักษณ์  ทรงศิริ (เนื่องจากผู้เขียนไม่สามารถอ่านภาษาพม่าอย่างถูกต้องได้ ดังนั้นชื่อบุคคลและชื่อสถานที่ในภาษาพม่าจึงถอดเสียงอย่างไม่เป็นระบบและเท่าที่พอจะรับรู้ได้เท่านั้น จึงไม่ควรอ้างอิงชื่อในภาษาพม่าตามที่ปรากฏในบทความนี้ - ผู้เขียน) อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ฟื้นพลังความสัมพันธ์เครือญาติสายผู้ดูแลพระเพลา นางเลือดขาวฉบับวัดเขียนบางแก้ว จากการสร้างประวัติศาสตร์แห่งชาติสู่กระบวนการสร้างประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2556 บ้านของนายคลุ้มและนางพุ่ม ชูสุวรรณ ครอบครัวผู้ดูแลพระเพลาและตกเป็นสมบัติ ของลูกสาวหนึ่งในแปดของตระกูล ซึ่งอยู่อาศัย สืบต่อจนถึงเจ้าของในปัจจุบันผู้เป็นหลานตาและยายทวด “เพลานางเลือดขาว” ฉบับวัดเขียนบางแก้ว ต้นฉบับเป็นกระดาษเพลาจารหรือเขียนด้วยเส้นดินสอดำ อักษรไทยย่อ ภาษาไทยจำนวน ๓๐ หน้า ๑๗๑ บรรทัด พรรณนาแบบร้อยแก้ว สันนิษฐานว่าน่าจะเริ่มบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรราวแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๑ และคงมีการคัดลอกต่อกันมาอีกหลายฉบับ ต่อมา พระครูอินทเมาลีฯ เจ้าคณะป่าแก้ว หัวเมืองพัทลุงบูรณะ วัดเขียนบางแก้ว วัดสทัง และวัดสทิงพระ และสันนิษฐานว่าจารเป็นฉบับสุดท้ายเมื่อราว พ.ศ. ๒๒๗๒ ในรัชกาลพระเพทราชา ซึ่งเป็นฉบับที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เนื้อหาแบ่งออกเป็นสองตอนคือ เล่าเรื่องนางเลือดขาวเรื่องหนึ่ง และตำนานพระราชูทิศของพระมหากษัตริย์ การกัลปนาอุทิศที่ดิน ไร่นา ถวายข้าพระโยมสงฆ์ให้เป็นประโยชน์ของวัดอย่างเด็ดขาดเรื่องหนึ่ง เนื้อหาหลักของการบอกเล่าในตำนานนางเลือดขาวกล่าวถึงศรัทธาในพระพุทธศาสนาของนางเลือดขาวและกุมารผู้สามีที่ได้สร้างกุฏิ วิหาร อุโบสถ พระธรรมศาสนา พระพุทธรูป และพระมหาธาตุไว้ตามท้องถิ่นต่าง ๆ มากมาย จนเกิดคำร่ำลือถึงความดีงามในศรัทธาต่อพระศาสนาของเธอ เมื่อเดินทางไปที่ใดก็มีเรื่องเล่าติดพื้นที่ในทุกแห่งที่นางเลือดขาวเดินทางไปถึงและอุปถัมภ์พระศาสนาและสาธารณูปโภคท้องถิ่นในรูปแบบต่าง ๆ ส่วนเนื้อหาเป็นตำนานพระราชูทิศซึ่งปรากฏว่ามีหลายฉบับและหลายสำนวนตามวัดต่าง ๆ โดยที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพชี้แจงว่า ท่านพบตั้งแต่เมืองนครศรีธรรมราชจนถึงเมืองพัทลุง และสันนิษฐานว่าน่าจะมีต้นแบบที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยามาเพียงไม่กี่ฉบับ แต่มาเขียนคัดลอกเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก โดยมีเนื้อความเช่นเดียวกันคือเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ขอพระราชทานการซ่อมแซมดูแลวัดและข้าพระโยมสงฆ์ไว้แก่ท้องถิ่นนั้น ๆ ห้ามไม่ให้เจ้าเมืองหรือเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ มาข่มเหง หากไม่เชื่อฟังก็มีการแช่งให้ตกนรกอเวจี เมื่อรวบรวมมาไว้ที่หอพระสมุดวชิรญาณในกรุงเทพมหานครต่อมาจึงนำเอาตำราพระกัลปนาฉบับต่างๆ รวม ๓ ฉบับในจำนวนทั้งสิ้นจากการเก็บรวบรวมไว้ ๑๖ ฉบับมารวมพิมพ์อยู่ใน “ประชุมพระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนา” จัดพิมพ์โดยสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๑๐ ตำราพระกัลปนาเหล่านี้ถือเป็นเอกสารที่มีการลงตราประทับเพื่อยืนยันเอกสิทธิ์ที่ท้องถิ่นต่างๆ ได้รับจากการเป็น “ข้าพระโยมสงฆ์” หรือ “ข้าโปรดคนทานพระกัลปนา” โดยพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาพระราชทานกลุ่มคนเหล่านี้เพื่อดูแลรับใช้วัดในท้องถิ่นนั้น ๆ โดยไม่ควรมีผู้ใดแม้จะเป็นขุนนางหรือเจ้าเมืองล่วงละเมิดถือสิทธิ์เพื่อประโยชน์ในชาวข้าพระเป็นส่วนตนมิได้ ในเอกสารกล่าวว่า ข้าพระกัลปนา หรือ พวกข้าโปรดคนทาน เหล่านี้ มีระเบียบแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ห้ามสมรสและห้าม (เป็น) มหาดอาษา ซึ่งน่าจะเป็นการสร้างกฎเกณฑ์เพื่อให้เป็นข้อกำหนดช่วงเวลาเพียงหนึ่งชั่วคนเพื่อมิให้กลายเป็นชุมชนอิสระ ไม่ขึ้นแก่ผู้ใดหรือเจ้าเมืองใด ๆ จนถึงขั้นลูกหลานจนกลายเป็นปัญหาแก่การปกครองในท้องถิ่นนั้น ๆ ได้ นักวิชาการทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีหลายท่าน (เช่น ศรีศักร วัลลิโภดม, ชุลีพร วิรุฬหะ) สันนิษฐานว่าพระตำราเหล่านี้คือพระราชสารตราที่กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาให้ไว้แก่ชุมชนหนึ่ง ๆ ที่มีความสำคัญมาก จนสามารถติดต่อโดยตรงกับราชสำนักที่กรุงศรีอยุธยาโดยผ่านอำนาจของเจ้าเมืองที่หัวเมืองพัทลุง และสันนิษฐานว่าเป็นการสร้างชุมชนหน้าด่านที่อยู่ในเขตติดต่อกับหัวเมืองมลายูซึ่งมีพระสงฆ์เป็นผู้นำอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อดูแลปกป้องตนเองจากการรุกรานของกลุ่มโจรสลัดมลายู หรือการลุกขึ้นสู้กับอำนาจของผู้นำท้องถิ่นที่อาจไม่มีความชอบธรรมในยุคสมัยนั้น จนกลายเป็นสิ่งเทียบกับของศักดิ์สิทธิ์แสดงถึงการไม่ต้องส่งส่วยหรือเสียภาษีให้หลวง จึงต้องมีการเก็บรักษาและสืบต่อมอบตกทอดกันเป็นอย่างดี ดังนั้นทำให้คนทั่วไปห้ามนำหนังสือเพลาหรือตราพระราชสารกัลปนานี้มาอ่านโดยพลการ ผู้ที่อ่านได้คือผู้รักษาเพลาเท่านั้น โดยมีธรรมเนียมแต่ดั้งเดิมเล่าสืบต่อกันมาว่าวิธีการอ่านเพลา ผู้อ่านต้องนุ่งขาวห่มขาว เป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ในศีลธรรม ก่อนอ่านจะต้องจำลองรูปช้างเผือกขึ้นมาแล้วให้ผู้ถือเพลานั่งอ่านเพลาบนหลังช้าง การเก็บรักษาหนังสือเพลา นิยมเก็บรักษาไว้ในกระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่ซึ่งสามารถป้องกันแมลง ดูแลรักษาง่าย และสามารถสะพายติดตัวได้สะดวก และไม่ได้กล่าวว่ามีการเก็บรักษาไว้ที่วัดแต่ประการใด ความสำคัญของพระเพลาที่มีต่อชาวบ้านเมืองพัทลุงนอกเหนือไปจากเรื่องเล่าในเวลาต่อมาแล้วก็มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานเอกสารการบันทึกเหตุการณ์เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงพระนิพนธ์ในจดหมายระยะทางไปตรวจราชการแหลมมลายู ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๖) (อ้างถึงในหนังสือศิลปากร ๑๗ (๒) : ๒๓-๔๕ กรกฎาคม ๒๕๑๖) กล่าวว่าชาวบ้านนับถือหนังสือเพลาว่าเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ สตรีจับต้องไม่ได้ “เพลานาวัดคูหา เป็นของเก่าไม่มีใครกล้าอ่าน เป็นแต่บูชาไว้...ได้ยืมยายแก่เจ้าของไปดู ยายแก่เป็นเมียตาแก่ ผัวมา ไม่รอด ให้ลูกชายถือมา ผู้หญิงถูกไม่ได้” การที่ผู้หญิงจับต้องไม่ได้น่าจะมีการถือกันเป็นปกติว่าผู้หญิงมีรอบเดือนอันเป็นสิ่งที่ถือว่ามีมลทิน ไม่สามารถจับต้องสิ่งของหรือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ เพลานางเลือดขาวจากวัดเขียนบางแก้วถือว่าเป็นสำนวนสำคัญ เพราะนำมาจากวัดพระบรมธาตุสำคัญในเขตทะเลสาบสงขลาและเป็นชุมชนดั้งเดิมที่สำคัญมาแต่โบราณ เมื่อมีการเขียนพงศาวดาร หัวเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศหลังจากการปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเต็มที่แล้ว สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้แนะนำให้หลวงศรีวรวัตร (พิณ จันทโรจวงศ์) ลูกหลานเจ้าเมืองพัทลุงใช้เพลานางเลือดขาวอ้างอิงและเขียนขึ้นใหม่เป็นพงศาวดารเมืองพัทลุงฉบับ พ.ศ. ๒๔๖๐ โดยใช้ต้นฉบับจากวัดเขียนบางแก้วเขียนเป็นภาคเมืองพัทลุงยุคดึกดำบรรพ์ เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เสด็จไปราชการหัวเมืองฝ่ายใต้ เมื่อไปถึงวัดเขียนบางแก้ว อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุงในปัจจุบัน พระรัตนธัชมุนี พระสงฆ์ผู้ใหญ่แห่งเมืองนครศรีธรรมราชบันทึกไว้ว่า มีเอกสารโบราณที่เขียนไว้ในพระเพลาทั้งอักษรไทยโบราณและอักษรเขมรจำนวนมาก และสอบถามเพื่อขอยืมเพื่อให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตรวจ แต่ผู้ดูแลก็ไม่อยากให้มา (เรื่องรายงานการจัดการศึกษาและการพระศาสนากับกวีนิพนธ์ของท่านเจ้าคุณพระรัตนธัชมุนี หนังสือในงานพระราชทานเพลิงศพพระครูรัตนธาตุมุนี, ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙) แต่ต่อมาอีกระยะหนึ่งผู้ดูแลพระเพลาคงเปลี่ยนใจ เพราะพบว่าหลังจากนั้นในราวสิบปีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ ต้นฉบับพระเพลาฉบับวัดเขียนบางแก้วได้มาอยู่ที่หอพระสมุดวชิรญาณแล้ว ในฐานะเป็นของประทานจากสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อไปตรวจสอบในท้องถิ่นใกล้เคียงกับวัดเขียนบางแก้วที่อำเภอเขาไชยสนจังหวัดพัทลุงในปัจจุบัน ก็พบว่ามีการบอกเล่าเรื่อง “ตำราพระเพลา” หรือ“พระเพลา” ซึ่งเชื่อมโยงกับข้อมูลเหตุการณ์ที่มีการบันทึกไว้ในคราวที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเล่าว่าเสด็จโดยเรือแจวจากวัดเขียนมายังบ้านของผู้ดูแลพระเพลาที่ “บ้านพรุ” ริมคลองบางแก้ว ห่างจากวัดเขียนราว ๑-๒ กิโลเมตร ชาวบ้านจำนวนมากยังจำคำบอกเล่าของบรรพบุรุษที่เล่าถึงครั้งที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรง-ราชานุภาพเสด็จขึ้นที่ท่าน้ำริมคลองบางแก้ว แล้วเดินข้ามทุ่งในระยะไม่ไกลนักไปที่บ้านของ “นายคลุ้มและนางพุ่ม” ที่มีนามสกุลต่อมาคือ “ชูสุวรรณ” ผู้ดูแลพระเพลาวัดเขียนบางแก้วและขอต้นฉบับพระเพลาฉบับนี้ไปเก็บรักษาไว้ ณ หอพระสมุดวชิรญาณในกรุงเทพมหานคร แม้หลักฐานข้อมูลต่าง ๆ จากส่วนกลางจะไม่มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงนี้แต่อย่างใด แต่ลูกหลานผู้ดูแลรักษาพระเพลายังเก็บภาพสำคัญ ซึ่งคาดว่าเป็นภาพถ่ายในช่วงเวลาที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จ ณ บ้านของนายคลุ้มและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกซึ่งน่าจะอัดล้างภาพและส่งมาให้ภายหลังเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๔๒ หรือประมาณ ๑๑๔ ปีมาแล้ว ต้นฉบับภาพถ่ายนั้น ยังคงเก็บรักษาอยู่ที่ลูกหลานในตระกูลจนถึงปัจจุบัน เมื่อเราอ่านจากเอกสารต่าง ๆ คงมองเอกสารฉบับนี้ในฐานะหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองพัทลุงที่ถูกนำมาใช้เป็นเอกสารชั้นต้นเพื่ออ้างอิงในการเขียน “พงศาวดารเมือง” หรือการเขียนประวัติศาสตร์สมัยใหม่ในช่วงหลังการปฏิรูปการปกครอง เป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ซึ่งเป็นช่วงที่เมืองไทยก้าวเข้าสู่การเป็นรัฐชาติแบบสมัยใหม่อย่างเต็มตัว [Modern State] และการเขียนประวัติศาสตร์ก็ถือเป็นความจำเป็นในการสร้างชาติหรือสร้างความเป็นประเทศในยุคนั้น และเราคงไม่เข้าใจในมิติหน้าที่ของพระเพลาหรือพระตำราในฐานะของการเป็น “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ในครอบครองของผู้คนในตระกูลหนึ่งที่เคยมีหน้าที่ดูแลพระเพลาแทนวัดเขียนบางแก้วและชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นทั้งหมด ชาวบ้านผู้ดูแลเรียกพระเพลานี้ว่า“ตาหลวงตาเพลา” ริมคลองบางแก้วซึ่งแต่ก่อนเป็นท่าน้ํา ชาวบ้านบ้านพรุเคยใช้เป็นท่าเรือสัญจรไปมา และสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพเสด็จจากวัดเขียนบางแก้วขึ้นที่ท่าน้ํา เพื่อเดินลัดทุ่ง ไปยังบ้านของนายคลุ้มและนางพุ่มครอบครัวผู้ดูแลพระเพลา นายคลุ้มและนางพุ่ม ซึ่งมีภาพปรากฏเป็นหลักฐาน และน่าจะถ่ายในช่วงที่มีการขอพระเพลานำไปไว้ที่หอพระสมุดวชิรญาณ โดย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จล่องเรือจากวัดเขียนมาถึงท่าน้ำหน้าบ้าน มีบุตรชายหญิง ๘ คน เป็นชาย ๕ คน หญิง ๓ คนตระกูล “ชูสุวรรณ” บ้านอยู่ริมคลองบางแก้ว เรียกว่าบ้านพรุ จะทำพิธีสมโภชเพลาหรือ “สมโภชทวดเพลา” ในวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๖ ของทุกปี กลุ่มเครือญาติที่เป็นลูกหลานผู้ดูแลพระเพลาในสายของนายแคล้ว ชูสุวรรณ ผู้เป็นแพทย์ ตําบลจองถนนซึ่งย้ายบ้านมาอยู่กับภรรยาที่บ้านทุ่งแซะ ไม่ไกลจากบ้านพรุ บ้านเดิมของพอเท่าใดนัก และสืบประเพณีสมโภชพระเพลาต่อมาจนสิ้นชีวิต แต่ไม่มีทายาทผู้ใดสืบประเพณีนี้ต่อ เนื่องจากส่วนใหญ่ทําอาชีพรับราชการ ลูกชายคนโตคือนายแคล้ว ชูสุวรรณ เป็นแพทย์ตำบลจองถนนเป็นหมอแผนโบราณได้วิชาและตำรายามาจากนายคลุ้มผู้พ่อ และมีตำรายาที่เรียกว่าหนังสือบุดอยู่เป็นจำนวนมากทั้งภาษาไทยและภาษาขอม แต่ช่วงหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดสืบทอดเพราะร่ำเรียนวิชาแบบสมัยใหม่กันหมด บางคนมีความเชื่อว่าเอาหนังสือบุดไปฝนแล้วเอามาพ่นเป็นยาแก้หูน้ำหนวก หลังจากสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพนำหนังสือเพลาจากไป เล่ากันว่าน้องชายคนสุดท้องของนายแคล้วเจ็บหนัก เมื่อเราอ่านจากเอกสารต่างๆ คงมองเอกสารฉบับนี้ในฐานะหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองพัทลุงที่ถูกนำมาใช้เป็นเอกสารชั้นต้นเพื่ออ้างอิงในการเขียน “พงศาวดารเมือง”หรือการเขียนประวัติศาสตร์สมัยใหม่ในช่วงหลังการปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ซึ่งเป็นช่วงที่เมืองไทยก้าวเข้าสู่การเป็นรัฐชาติแบบสมัยใหม่อย่างเต็มตัว [Modern State] และการเขียนประวัติศาสตร์ ก็ถือเป็นความจำเป็นในการสร้างชาติหรือสร้างความเป็นประเทศในยุคนั้น และเราคงไม่เข้าใจในมิติหน้าที่ของพระเพลาหรือพระตำราในฐานะของการเป็น “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ในครอบครองของผู้คนในตระกูลหนึ่งที่เคยมีหน้าที่ดูแลพระเพลาแทนวัดเขียนบางแก้วและชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นทั้งหมด ชาวบ้านผู้ดูแลเรียกพระเพลานี้ว่า “ตาหลวงตาเพลา” คนทรงบอกว่า ตาหลวงตาเพลาไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วและทางบ้านไม่ได้ทำพิธีต่อเนื่อง การเจ็บป่วยจึงเป็นการเตือนให้ทำพิธีกรรมต่อไป หลังจากนั้นนายแคล้วและต่อมาจนถึงนายคลุ้มยังคงทำพิธีกรรมไหว้ตาหลวงตาเพลามาโดยตลอด แม้ตัวจริงจะไม่อยู่เสียแล้ว ใช้พระสงฆ์จากวัดขียนบางแก้วอย่างน้อย ๑ รูป ในจำนวนนิมนต์ ๕ รูป ซึ่งจะนิมนต์วัดอื่น ๆ มาสมทบก็ได้ และเชื่อว่าหาก คนในครอบครัวเจ็บป่วยมีทุกข์หรือลำบากใจในสิ่งใดก็จะนึกถึงและบนตาหลวงตาเพลากันเป็นประจำ เมื่อนายคลุ้มแต่งงานจึงแยกออกมาทำพิธีที่ “บ้านทุ่งแซะ” ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชื่อนางชุมที่อยู่ห่างจากบ้านเดิมไม่ไกลราว ๒-๓ กิโลเมตร พี่น้องของนายคลุ้มที่เป็นหญิงยังอยู่ที่บ้านพรุชื่อ “นางลอย คชปักษี” เป็นแม่ของ “นางเรือง คชปักษี” ซึ่งปัจจุบันอายุราว ๘๐ ปีแล้ว ก็ยังทำพิธีต่อเนื่องที่บ้านเดิมของนายแคล้ว และเพิ่งหยุดทำพิธีไปหลังจากนางลอยเสียชีวิต เมื่อนายคลุ้มนิมนต์พระมาสวดมนต์และทำบุญ ทางบ้านพรุก็จะทำเพียงตั้งของไหว้เท่านั้นจะเห็นรูปแบบสิ่งของที่เคยใช้ดูเป็นของดั้งเดิมและเก่ากว่าทางบ้านพรุอย่างเห็นได้ชัด นายคลุ้มและนางชุมมีบุตรชายหญิง ๘ คน เป็นชาย ๔ คนหญิง ๔ คน คือ นางคล่อง แต่งงานกับคนบ้านทุ่งแซะแล้วย้ายไปอยู่ที่พังงา อายุราว ๘๗ ปี มางานบุญแทบทุกครั้ง, นายประจบ อายุ ๘๒ ปี เคยรับราชการเป็นตำรวจย้ายไปมาหลายแห่งจนเกษียณอายุราชการจึงมาอยู่กับลูกสาวที่อำเภอเมือง แต่ก็มางานบุญโดยตลอด, นายจรัญ อายุราว ๘๐ ปี ได้ภรรยาอยู่บ้านท่ามะเดื่อ, นางคลี่ เมืองสง (ชูสุวรรณ) อายุ ๗๗ ปี อยู่ที่บ้านป่าโยง เขาชัยสน, นางคล้ายเสียชีวิตไปแล้ว เป็นแม่ของพิกุล ไชยชนะ ผู้รื้อฟื้นประเพณี, นายวัน อายุ ๗๑ ปี อยู่บ้านโคกแค, นายอุทัย อายุ ๖๙ ปี ออกไปทำงานข้างนอกแล้วย้ายไปอยู่ที่ระโนด, นางจิต ลูกสาวคนสุดท้าย ไม่ค่อยสบายจึงอาศัยอยู่ที่บ้านเดิม พอมาถึงรุ่นหลานมีจำนวนทั้งหมดขณะนี้ ๓๓ คน ออกไปทำงานต่างถิ่นทั้งในเขตใกล้เคียง เช่น พังงา สงขลา และพื้นที่ห่างไกล เช่น กรุงเทพฯ เพชรบูรณ์ และอินเดีย หลังจากลูกนายคลุ้มแยกย้ายออกไปทำงานหรือแต่งงานยังต่างถิ่น การทำบุญสมโภชตาหลวงตาเพลาของตระกูลก็ดูเหมือนจะขาดช่วงห่างไป และเมื่อบรรดาน้องสาวของนายคลุ้มที่บ้านท่าแซะเสียชีวิตไปจนหมดก็ไม่มีผู้ใดทำพิธีหรือสืบทอดประเพณีต่อไปอีก และหยุดทำพิธีกรรมนี้มานานนับสิบปี จนเมื่อ “พิกุล ไชยชนะ” ลูกสาวของนางคล้าย หลานตาของนายแคล้วในภาพถ่ายครั้งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพอพยพครอบครัวกลับบ้านหลังจากไปทำงานที่โรงงานในจังหวัดสมุทรปราการ และได้รับการบอกเล่าถึงการทำพิธีกรรมในครอบครัวจากน้าสาวที่อยู่บ้านมาตลอดชีวิต เริ่มมีทุนทรัพย์มากพอที่จะจัดงานสมโภช ตาหลวงตาเพลา โดยการทำบุญใหญ่เชื้อเชิญญาติมิตรจากทุกสายมาพร้อมกับการหาหนังตะลุงวงดังมาเล่นตลอดคืน ซึ่งสามารถทำได้เพราะมีทุนช่วยเหลือจากกลุ่มเพื่อนที่ทำงานการเมืองในท้องถิ่นสนับสนุนด้วย  วันนี้แม้จะเป็นการเริ่มต้นรื้อฟื้นพิธีกรรมขึ้นมาใหม่ในสายตระกูล แต่ก็ถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญอย่างมากสำหรับเครือญาติในสายตระกูลของผู้นับถือพระเพลาเป็น “ตาหลวงตาเพลา” และเป็นการแสดงถึงการฟื้นพลังของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ธรรมดา ๆ ชิ้นหนึ่งในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ให้กลับมามีความหมายต่อผู้คนในชุมชนหนึ่งในฐานะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลเช่นเดิม แม้จะไม่ได้ย้อยรอยเก่าไปถึงความหมายดั้งเดิมที่มีฐานะเป็นสิ่งแสดงความเป็นอิสระ ไม่ต้องเสียภาษี และส่งส่วยแก่เจ้านายผู้ปกครองก็ตาม การสมโภชตาหลวงตาเพลาอย่างเต็มที่ทั้งการทำบุญนิมนต์พระสงฆ์จากวัดเขียนบางแก้วมาในงาน การไหว้ตาหลวงตาเพลาและเพิ่มจัดมหรสพสมโภชตามแบบนิยม ที่สำคัญคือสามารถเตรียมการบอกข่าวแก่สายเครือญาติให้มาทำบุญร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรก จึงเป็นการทำพิธีสมโภชพระเพลาที่รื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางเครือญาติและสืบเรื่องราวของเหล่าญาติที่ห่างหายกันไปนานให้แน่นแฟ้นขึ้นอีกครั้งในท่ามกลางสังคมที่ผู้คนต่างเคลื่อนไหวไปคนละทิศละทาง การนำเอาพระเพลาฉบับนางเลือดขาวไปเก็บรักษาไว้ที่หอพระสมุดวชิรญาณ และนำไปใช้เป็นหลักฐานชั้นต้นเพื่ออ้างอิงในการเขียนประวัติศาสตร์เมืองพัทลุงขึ้นใหม่ เอกสารนี้ถือเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ของชาติในยุคนั้น และถูกมองในฐานะเป็นบันทึกในอดีตที่มีคุณค่าต่อการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ก่อตัวและรวบรวมเอาบ้านเมืองต่างๆ อยู่ภายใต้ประเทศสยามหรือประเทศไทย เอกสารนี้จึงไม่ต่างไปจากวัตถุทางประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่งในเอกสารทางประวัติศาสตร์อีกมากมายที่มีอยู่ในหอพระสมุดหรือหอจดหมายเหตุแห่งชาติในทุกวันนี้ และนับจากวันที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพนำเอาพระตำราหรือพระเพลาออกไปจาก “บ้านพรุ” ที่ริมคลองบางแก้วเมื่อกว่า ๑๑๔ ปีก่อนนั้น ความหมายของพระเพลาในฐานะ “ตาหลวง ตาเพลา” สำหรับชาวบ้านตระกูลหนึ่งที่วัดเขียนบางแก้วก็หมดลง กลับมีบทบาทเฉพาะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ถูกใช้สำหรับการผูกขาดการเป็นเจ้าของอดีตหรือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประวัติศาสตร์แห่งชาติไว้แต่ที่ส่วนกลางในระยะหนึ่ง ก่อนจะมีการพิจารณาหลักฐานชิ้นนี้ในแง่มุมอื่น ๆ ในเวลาต่อมา แต่วันนี้เมื่อลูกหลานในสายตระกูลผู้ดูแลพระเพลาคิดฟื้นพิธีกรรมมาสู่การขยายความเข้าใจ การตีความใหม่ให้แก่เอกสารของท้องถิ่นในฐานะสิ่งของศักดิ์สิทธิ์มีค่าที่หายสาบสูญไป และถือเป็นการได้รับรู้ว่ามีเอกสารตัวจริงอยู่ที่ไหน บริเวณใดในกรุงเทพมหานคร เนื้อหาในเอกสารเหล่านั้นกล่าวถึงสิ่งใด และลูกหลานไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็สามารถจับต้องเอกสารที่เป็นสำเนาเหล่านั้นอย่างตื้นตันใจ เสมือนข้าวของที่บรรพบุรุษเคยรักษาไว้ได้กลับมาสู่มืออีกครั้ง นอกจากจะฟื้นความสัมพันธ์ในหมู่เครือญาติที่แตกฉานซ่านเซ็นออกไปตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง จากชุมชนในสังคมชาวนาเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ครอบครัวของผู้ดูแลพระเพลาต่างแยกย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในท้องถิ่นต่าง ๆ และหากไม่มีพิธีกรรมบางอย่าง เส้นใยในสายสัมพันธ์ที่มีมาแต่เดิมคงจะมีอยู่เฉพาะวันทำบุญสารทเดือนสิบและวันสงกรานต์ เท่าที่จะพอมีเวลามาทำบุญที่บ้านเก่าและพบปะญาติมิตรกันเท่านั้น ระบบเครือญาติอันเปราะบางที่มีอยู่ในปัจจุบันก็คงทำให้ลูกหลานในรุ่นต่อไปไม่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้แต่อย่างใด ความหมายของ “ตาหลวงตาเพลา” ที่กลายมาเป็นสิ่งของสัมพันธ์นับถือเป็นหนึ่งเครือญาติหรือยกให้เป็นบรรพบุรุษและเป็นสัญลักษณ์ของตระกูล ซึ่งน่าจะเป็นรูปแบบเดียวกับระบบความเชื่อแบบ Totemism ได้ ก็จะหายสาบสูญไปอย่างถาวร วันนี้แม้จะเป็นการเริ่มต้นรื้อฟื้นพิธีกรรมขึ้นมาใหม่ในสายตระกูล แต่ก็ถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญอย่างมากสำหรับเครือญาติในสายตระกูลของผู้นับถือพระเพลาเป็น ตาหลวงตาเพลา และเป็นการแสดงถึงการฟื้นพลังของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ธรรมดา ๆ ชิ้นหนึ่งในหอจดหมายเหตุแห่งชาติให้กลับมามีความหมายต่อผู้คนในชุมชนหนึ่งในฐานะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลเช่นเดิม แม้จะไม่ได้ย้อยรอยเก่าไปถึงความหมายดั้งเดิมที่มีฐานะเป็นสิ่งแสดงความเป็นอิสระ ไม่ต้องเสียภาษีและส่งส่วยแก่เจ้านายผู้ปกครองก็ตาม วลัยลักษณ์ ทรงศิริ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • ศาลเจ้าการศรัทธาและเกื้อกูลชุมชน

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2556 ศาลเจ้าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของชุมชนชาวจีนเพราะเมื่อชาวจีนเข้าไปตั้งถิ่นฐานที่ใด มักมีการสร้างศาลเจ้าขึ้นในกลุ่มของตนตามแต่จะนับถือแบบใด ซึ่งนอกจากเป็นศูนย์รวมจิตใจและเพื่อให้เกิดสิริมงคลในถิ่นฐานที่อยู่แห่งใหม่แล้ว ศาลเจ้ายังเป็นที่พบปะสังสรรค์และช่วยเหลือเกื้อกูลกันของคนในชุมชน ยิ่งไปกว่านั้นองค์กรที่เกิดขึ้นจากความศรัทธาในศาลเจ้าหลายแห่งได้พัฒนาไปสู่การทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์และสังคมภายนอกด้วย  ดังเช่นศาลเจ้าสำคัญ ๓ แห่งในย่านพลับพลาไชย ใกล้สี่แยกแปลงนามซึ่งเป็นศาลของชาวจีน ๓ กลุ่มที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพฯ แม้มีแนวทางความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ล้วนมีบทบาทเกื้อหนุนชุมชนและสังคมเช่นเดียวกัน ศาลขงจื๊อของชาวจีนกวางตุ้ง กลุ่มชาวจีนกวางตุ้งที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพฯ เริ่มเข้ามาเป็นจำนวนมากในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งชาวกวางตุ้งที่เข้ามาส่วนหนึ่งได้เปิดกิจการช่างยนต์และโรงกลึงในแถบบางรัก อีกจำนวนหนึ่งได้ประกอบกิจการค้าในย่านสำเพ็งและถนนเจริญกรุง ต่อมาได้มีการรวมกลุ่มของชาวกวางตุ้งโดยก่อตั้ง “บ้านพักกว๋องสิว” ขึ้น ซึ่งในเวลาต่อมาคือ “สมาคมกว๋องสิว” เพื่อช่วยเหลือและเป็นสวัสดิการให้กลุ่มชาวจีนกวางตุ้งด้วยกัน สถานที่ตั้งของสมาคมกว๋องสิวอยู่ที่ถนนเจริญกรุงใกล้สี่แยกแปลงนาม ซึ่งมีศูนย์รวมจิตใจเป็นศาลเจ้ากวางตุ้ง และมีโรงพยาบาลกว๋องสิวมูลนิธิตั้งอยู่ใกล้เคียง ศาลเจ้ากวางตุ้งเป็นศาลเก่าแก่ของชาวจีนกวางตุ้งในกรุงเทพฯ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ พร้อมกับการเกิดขึ้นของสมาคมกว๋องสิว คุณสมชัย กวางทองพาณิชย์ ผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นย่านเยาวราชกล่าวว่า ศาลเจ้ากวางตุ้งเป็นศาลที่ตั้งขึ้นตามลัทธิขงจื๊อหรือลัทธิหยู ซึ่งเป็นลัทธิบัณฑิต คนจีนให้ความสำคัญกับขงจื๊อในฐานะบรมครู ผู้มุ่งเน้นในการสั่งสอนเกี่ยวกับหลักจริยธรรมและข้อปฏิบัติที่ดีงามในการดำรงชีวิต สมัยก่อนบทบาทสำคัญของสถานที่นี้อีกอย่างหนึ่งคือการเป็นสถานศึกษาด้วย ศาล-เจ้าขงจื๊อในย่านสำเพ็งเท่าที่สำรวจข้อมูลมาพบว่ามีแค่ ๒ ศาล อีกที่หนึ่งได้เสียสภาพความเป็นศาลเจ้าไปหมดแล้ว อีกแห่งคือศาลเจ้ากวางตุ้ง แต่ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนการนับถือเทพเจ้าที่หลากหลายมากขึ้น ปัจจุบันภายในศาลยังมีรูปเคารพของปรมาจารย์ขงจื๊อตั้งเคียงคู่อยู่กับเทพเจ้าอื่น ๆ เช่น เทพเจ้ากวนอู เทพเจ้าหลู่ปาน (เทพเกี่ยวกับการก่อสร้าง) และเจ้าแม่กวนอิมที่ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานเป็นประธานของศาลเจ้า นอกจากความสำคัญในฐานะศูนย์กลางความศรัทธาของชาวจีนกวางตุ้งแล้ว บทบาทที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการดูแลผู้คนในชุมชน ด้านหน้าของศาลเจ้าเป็นที่ตั้งของ โรงพยาบาลกว๋องสิวมูลนิธิ สถานพยาบาลเก่าแก่ของสมาคมชาวจีนกวางตุ้ง เมื่อเริ่มแรกเป็นเพียงหน่วยแพทย์ภายในบ้านพักกว๋องสิวที่ให้บริการรักษาโรคโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งเป็นหนึ่งในสวัสดิการสำคัญที่มีในระยะแรกคือ การรักษาโรค งานสุสานกวางตุ้งที่ถนนสีลม และงานพิทักษ์หญิงดี เพื่อช่วยเหลือหญิงสาวกวางตุ้งที่ถูกล่อลวงมาค้าประเวณีในสมัยนั้น  ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ยกสถานะขึ้นเป็นโรงพยาบาลกว๋องสิว รับรักษาผู้ป่วยทั่วไปโดยไม่แบ่งเชื้อชาติ ถึงแม้ว่าโรงพยาบาลกว๋องสิวจะไม่ใช่สถานพยาบาลขนาดใหญ่มากนัก แต่ยังคงเป็นพึ่งพาของคนในชุมชนรอบ ๆ มาถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุชาวจีนที่เข้ามาพักรักษาตัวอยู่เสมอ “เซียมซียา” ศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยว จากศาลเจ้ากวางตุ้งเดินขึ้นมายังแยกแปลงนามก่อนไปตามถนนพลับพลาไชยไม่ไกลนัก จะพบกับ ศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยว ซึ่งเป็นศาลเจ้าของสมาคมฮากกาแห่งประเทศไทย หรือกลุ่มชาวจีนแคะศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งขึ้นตามความศรัทธาในลัทธิเต๋า นับถือเทพเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ ผู้เป็นประมุขของเทพเจ้าบนสวรรค์ นอกจากนี้แล้วยังมีการผสมผสานความเชื่อแบบพุทธศาสนามหายานด้วย ศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยวมีประวัติว่าสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ได้เกิดเพลิงไหม้ศาล แต่เปลวเพลิงมิได้ลุกลามไปยังชุมชนที่อยู่โดยรอบ ชาวบ้านจึงเชื่อว่าเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ทางสมาคมฮากกาจึงดำเนินการก่อสร้างขึ้นใหม่จนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ รูปเคารพไต้ฮงกง ตั้งเป็นประธานของศาลเจ้าปอเต็กตึ๊ง ห้องจัดยาสมุนไพรจีนของศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยวสำหรับให้บริการผู้ที่มาเสี่ยงเซียมซียาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เอกลักษณ์ที่สำคัญของศาลเจ้าแห่งนี้คือ การเสี่ยงเซียมซียา ที่ผสานความเชื่อเข้ากับการบำบัดโรคตามแพทย์แผนจีน ลักษณะของใบเซียมซีที่ศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยวนั้น นอกจากเป็นการเสี่ยงทายเพื่อขอโชคลาภแล้ว ยังมีใบเซียมซีสำหรับบำบัดโรคต่าง ๆ ได้แก่ ยาจักษุ รักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับตา ยาภายนอก รักษาอาการผิดปกติทางภายนอกหรือผิวหนัง ยารักษากุมาร หรือยาสำหรับเด็ก ยาสำหรับบุรุษ และ ยาสำหรับสตรี ส่วนใหญ่เป็นยาบำรุงเลือดลม ขั้นตอนการเสี่ยงเซียมซียา ทางศาลเจ้าจะจัดเตรียมกระบอกเซียมซีไว้ โดยจำแนกตามประเภทไว้ ได้แก่ ยาจักษุ รักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับตา ยาภายนอก รักษาอาการผิดปกติทางภายนอกหรือผิวหนัง ยารักษากุมาร หรือยาสำหรับเด็ก ยาสำหรับบุรุษ และ ยาสำหรับสตรี ผู้ที่จะเสี่ยงเซียมซีต้องเลือกให้ตรงกับลักษณะอาการของตนเช่น หากผู้ป่วยเป็นเด็กให้เลือกยากุมาร แต่ถ้าป่วยเป็นโรคทางตาผิวหนัง ต้องเลือกยารักษาจักษุและยาภายนอกเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพศหรือวัยใดก็ตาม และในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นเด็กหรือมีอาการเจ็บป่วยมาก ญาติสามารถมาเป็นตัวแทนเสี่ยงเซียมซียาได้ เมื่อเลือกกระบอกเซียมซีแล้วจะต้องไปจุดธูปบอกอาการต่อเทพเจ้าและขอพรให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ จากนั้นลงมือเขย่าเซียมซีจนได้ไม้เซียมซีที่ระบุหมายเลขไว้ แล้วจึงหยิบใบเซียมซีที่มีหมายเลขตรงกัน ซึ่งในเซียมซีแต่ละใบจะระบุตำรับยาขนานต่าง ๆ ทั้งชนิดสมุนไพรและกรรมวิธีการปรุงยา ต่อจากนั้นจึงนำใบเซียมซีไปจัดยายังห้องจ่ายยาทางด้านล่างซึ่งจะมีซินแสคอยจัดยาและแนะนำวิธีการใช้ยาแต่ละขนาน ยาทั้งหมดเป็นสมุนไพรจีน ส่วนใหญ่ มีสรรพคุณบำรุงร่างกายและปรับธาตุต่าง ๆ ในร่างกายให้สมดุลเมื่อผู้ป่วยรับยาไปแล้วและมีอาการดีขึ้น มักจะกลับมาเซ่นไหว้ขอบคุณเทพเจ้า หากยังไม่หายดี จะกลับมาเสี่ยงทายอีกครั้งว่าจะใช้ยาชุดเดิมต่อไป หรือต้องเปลี่ยนยาชุดใหม่ ถึงแม้ว่าสมุนไพรบางตัวมีราคาสูง แต่การมาเสี่ยงเซียมซียาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เว้นแต่จะบริจาคตามกำลังทรัพย์เพื่อสนับสนุนกิจการของศาลเจ้าต่อไป จากการสอบถามผู้ดูแลศาลเจ้าพบว่า แม้ปัจจุบันการเข้าถึงบริการทางการแพทย์แผนปัจจุบันจะแพร่หลายมากขึ้น แต่เซียมซียาที่ศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยวยังคงมีคนมาใช้บริการอยู่ไม่ขาด ส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นคนจีนแคะกวางตุ้ง ไหหลำ ฮกเกี้ยน หรือแต้จิ๋ว ส่วนใหญ่ผู้มาใช้บริการเป็นกลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัวที่เคยใช้บริการเซียมซียามาหลายรุ่นสะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ของคนในชุมชนกับศาลเจ้าที่ยังไม่ลบเลือน นอกจากศาลเจ้าหลี่ตีเมี้ยวที่มีเซียมซียาแล้ว ยังมีที่วัดมังกรกมลาวาสหรือวัดเล่งเน่ยยี่อีกแห่งหนึ่งด้วย “ปอเต็กตึ๊ง” จากศาลเจ้าสู่งานสาธารณประโยชน์  ศาลเจ้าสำคัญอีกแห่งหนึ่งบนถนนพลับพลาไชย คือศาลเจ้าปอเต็กตึ๊ง ตั้งอยู่ถัดจากวัดคณิกาผล ศาลแห่งนี้เป็นศาลของชาวจีนแต้จิ๋ว สร้างขึ้นตามความเคารพศรัทธาในไต้ฮงกง พระภิกษุชาวจีนผู้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้คน ตามประวัติของท่านกล่าวว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตได้เดินทางไปยังเมืองแต้จิ๋ว ประเทศจีน ซึ่งเกิดภัยพิบัติบ่อยครั้งและมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ท่านได้ช่วยเก็บศพไปฝังอย่างไม่รังเกียจ ทั้งยังช่วยรักษาโรคและจัดหาอาหาร สิ่งของจำเป็นให้ผู้ยากไร้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในหมู่คนจีนแต้จิ๋วอย่างมาก  การสร้างศาลเจ้าแห่งนี้เริ่มจากชาวจีนนามว่า เบ๊จุ่นเซียง ได้อัญเชิญรูปจำลองไต้ฮงกงมาจากเมืองแต้จิ๋ว มลฑล กวางตุ้ง ประเทศจีน เพื่อสักการบูชา โดยในขั้นแรกได้นำไปประดิษฐานไว้ที่บ้านในย่านวัดเลียบ (วัดราชบูรณะ) ต่อมาได้มีผู้เลื่อมใสศรัทธาพากันไปสักการบูชามากขึ้นทุกวัน จึงย้ายไปประดิษฐานไว้ข้างสมาคมกว๋องสิว ถนนเจริญกรุง เวลาต่อมากลุ่มพ่อค้าคหบดีนำโดยพระอนุวัตรราชนิยม (ฮง เตชะวาณิช หรือ ยี่กอฮง) ได้ดำเนินการจัดซื้อที่ดินเพื่อสร้างศาลประดิษฐานรูปจำลองขององค์ไต้ฮงกง ณ ถนนพลับพลาไชย ข้างวัดคณิกาผล แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ซึ่งนอกจากเป็นศาลเจ้ายังเป็นสถานที่ดำเนินงานสาธารณกุศลต่าง ๆ มาตั้งแต่สมัยเริ่มแรก เช่น เก็บศพไม่มีญาติ แจกยารักษาโรค และช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ ดังมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ในช่วงที่ชาวจีนโพ้นทะเลเดินทางเข้ามายังประเทศไทย “ปอเต็กตึ๊ง” ถือเป็นกลุ่มองค์กรแรก ๆ ที่เข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งสอดคล้องกับหลักปฏิบัติของท่านไต้ฮงกงที่มุ่งช่วยเหลือผู้ยากไร้ ด้วยเหตุที่ยึดมั่นในงานสาธารณกุศลมาโดยตลอด ในปี พ.ศ.๒๔๘๐ ได้ก่อตั้งมูลนิธิชื่อว่า “มูลนิธิฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง” โดยมีสำนักงานอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ นอกจากการช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ แล้ว ยังได้ก่อตั้งโรงพยาบาลและสถานศึกษาคือ โรงพยาบาลหัวเฉียวและมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ คำว่า “หัวเฉียว” (華僑) เป็นภาษาจีน หมายถึง ชาวจีนโพ้นทะเลซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการไม่แบ่งแยกว่าเป็นชาวจีนกลุ่มใด หากเป็นการสร้างสำนึกร่วมของชาวจีนทั้งหมด นอกเหนือจากบทบาทของศาลเจ้าในด้านการสาธารณ-ประโยชน์แล้ว การเกิดขึ้นของศาลเจ้าหลายแห่งในย่านนี้ได้ส่งผลต่อวิถีอาชีพของชุมชนโดยรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ชุมชนเจริญไชย ที่ถูกห้อมล้อมด้วยศาลเจ้าหลายแห่ง รวมถึงวัดมังกรกมลาวาส ทำให้ในชุมชนมีอาชีพสำคัญคือการผลิตและจำหน่ายเครื่องกระดาษสำหรับไหว้เจ้าและใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวจีน ถึงแม้ว่าปัจจุบันความเปลี่ยนแปลงในย่านนี้กำลังเกิดขึ้น อันมีสาเหตุมาจากการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินที่พาดผ่านถนนเจริญกรุง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในชุมชนและศาลเจ้าเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันยังได้สร้างสำนึกร่วมของชุมชนให้เข้มแข็งมากขึ้นด้วย อ้างอิง อู๋จี้เยียะ, ปนัดดา เลิศล้ำอำไพ (บรรณาธิการแปล). ๖๐ ปีโพ้นทะเล. กรุงเทพฯ : โพสต์บุ๊กส์, ๒๕๕๓. อภิญญา นนท์นาท อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • สะพานหัน กับวิกลิเกหลวงสันท์

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ธ.ค. 2556 เมื่อไม่นานมานี้ได้สำเนาเอกสารเก่าจากหอสมุดแห่งชาติ กล่าวถึงเรื่องลิเกหลวงสันท์ที่สะพานหัน ทำให้ต้องรื้อเทปบันทึกเรื่องราวของสะพานหันและลิเกคณะนี้มาปัดฝุ่น เพราะแหล่ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าเป็นลิเกดัง ขนาดสาวแก่แม่หม้ายติดกันงอมแงมเลยทีเดียว       “...ทั้งสาวแก่แลแม่หม้าย เฝ้ามุ่งหมายใฝ่ฝันหา   ลูกผัวไม่นำพา ถึงเวลาดูลิเก     เฝ้าผัดหน้าทาขมิ้น ไปหาชิ้นไม่ห่างเห      พอได้ชมสมคะเน ชอบลิเกคุณหลวงสรรค์” เรื่องราวของลิเกคณะนี้ที่เคยสืบค้นได้ข้อมูลมาอย่างกะปริดกะปรอย จึงถึงคราวต้องนำมาปะติดปะต่อกับเรื่องราวของสะพานหันที่ตั้งวิก ให้ปรากฏในข้อเขียนชิ้นนี้แล้ว  สะพานหันในย่านสำเพ็ง ในหนังสือ เปิดกรุภาพเก่า  ของคุณเอนก นาวิกมูล ที่มีภาพปกรูปประตูเมืองบนถนนพาหุรัดนั้น คือประตูสะพานหัน ซึ่งชาวจีนเรียกว่า “ซำเพ้งเซียมึ้ง” เพราะเป็นประตูเมืองที่จะออกไปสู่ย่านสำเพ็ง--ตลาดการค้าและถิ่นฐานอาศัยสำคัญของคนจีนนอกกรุงรัตนโกสินทร์ ประตูดังกล่าวสร้างขึ้นมาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ โดยแรกเริ่มนั้นเป็นประตูช่องกุด พอถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ.  ๒๔๒๐ โปรดให้เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ปรับเปลี่ยนเป็นประตูทรงตัดเรียบ มีดาดฟ้าด้านบน แล้วมีงานสมโภชประตู แต่พอถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ ก็แปลงประตูสะพานหันเป็นประตูยอดดั่งภาพในหน้าปกหนังสือ กระทั่งวันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ในรัชกาลที่ ๖ ประตูยอดนี้ก็พังทลายลงมา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นมีบันทึกไว้เป็น "แหล่เครื่องเล่นกัณฑ์มหาพน" ในหนังสือ ประชุมแหล่เครื่องเล่นมหาชาติ  ว่า   “ที่ ๒๖ กันยายน เกิดโกลาหลอัศจรรย์ ที่ประตูยอดสะพานหัน พังทลายลั่นเสียงครืนคราน .................................... ...................................... สองทุ่มหย่อน ๒๐ มินิต เวลาเมื่ออิฐพังลงมา เลื่องลือลั่นพารา ต่างคนต่างพากันไปดู ทั้งไทยทั้งเจ๊กเด็กผู้ใหญ่ บ้างชวนกันไปเป็นหมู่ๆ เสียงโจษกันลั่นสนั่นหู ว่าจะไปดูประตูพัง.....” ประตูพังครั้งนั้นก็เพราะความเก่าชรา เป็นเหตุให้ต่อมาประตูเมืองต่าง ๆ ก็ถูกรื้อออกหมดในที่สุด คงเหลือประตูเมืองตรงถนนพระสุเมรุประตูเดียวที่รักษาไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้   อย่างไรก็ดีแม้ประตูนี้จะเป็นทางเข้าสู่สำเพ็ง แต่ไม่มีคนไทยเรียกว่า “ประตูสำเพ็ง” กลับเรียกประตูสะพานหัน เนื่องจากพอลอดผ่านประตูออกไปนอกพระนคร ก็เจอสะพานข้ามคลองโอ่งอ่างหรือคลองรอบกรุง เป็นสะพานไม้แผ่นเดียวทอดข้ามคลอง ปลายข้างหนึ่งตรึงแน่นกับที่ อีกปลายวางพาดกับฝั่งตรงข้ามโดยไม่ตอกตรึง สามารถจับหันเพื่อเปิดทางให้เรือผ่านและหันปิดสำหรับคนสัญจรข้ามไปได้ สะพานแบบนี้จึงถูกเรียกว่า สะพานหัน และกลายมาเป็นชื่อเรียกประตูเมืองไปด้วย  ตรงจุดบริเวณสะพานนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นเข้าสู่ย่านการค้าสำเพ็ง ผู้คนจึงหนาแน่น มีแผงขายของระเรื่อยไป โดยเฉพาะยามเมื่อเปลี่ยนจากสะพานหันมาเป็นสะพานเหล็กในรัชกาลที่ ๔ และเมื่อถึงรัชกาลที่ ๕ ก็ปรับเปลี่ยนเป็นสะพานโค้งค่อนข้างสูง ซึ่งขุนวิจิตรมาตราหรือกาญจนาคพันธุ์ได้เห็นเมื่อตอนเป็นเด็ก และได้เขียนบันทึกไว้ใน กรุงเทพฯ เมื่อ ๗๐ ปีก่อน  และบทความเรื่อง สามเพ็ง  ว่า ...พื้นสะพานตรงกลางเป็นไม้เรียบ สองข้างสะพานเป็นห้องแถวไม้ติดต่อกันตลอด ฟากหนึ่งราว ๗ หรือ ๘ ห้อง โดยสร้างยกพื้นขึ้นไปเป็นชั้นๆ หรือเป็นห้องๆ มาบรรจบตรงกลางสะพานที่โค้งสูงสุด หลังคาห้องทั้งหมดก็ลำดับเป็นชั้น ๆ ด้วย ห้องแต่ละห้องเป็นห้องเล็ก ๆ เป็นที่คนอยู่และขายของได้ ด้านหลังของห้องเป็นหน้าต่าง ระหว่างห้องทั้งสองข้างเป็นทางเดินสำหรับคนเดินข้าม กว้างราวสัก ๓ ศอก ห้องทั้งหมดมีคนเช่าอยู่และขายของเต็ม บริเวณที่ออกจากประตูสะพานหันไปนอกพระนครนี้ ในอดีตเรียกว่า ตำบลสามเพ็ง เป็นต้นไป และเมื่อลงจากสะพานหันเข้าไปสู่ย่านอาศัยและการค้าของชาวจีน มีถนนหรือสมัยก่อนต้องเรียกว่า ตรอกสามเพ็งหรือสำเพ็ง ตัดผ่าชุมชนยาวออกไปจนจรดวัดกาลหว่าร์ที่ตลาดน้อย ซึ่งปัจจุบันก็คือ แนวถนนวานิช ๑ และถนนวานิช ๒ โดยถนนวานิช ๑ ตั้งต้นจากถนนจักรเพชรไปบรรจบถนนทรงวาดและถนนทรงสวัสดิ์ ที่ข้างวัดสัมพันธวงศ์หรือวัดเกาะ ส่วนถนนวานิช ๒ แยกจากถนนทรงวาดบริเวณวัดปทุมคงคาไปจนถึงวัดกาลหว่าร์ที่ถนนโยธานั่นเอง และระหว่างช่วงประตูสะพานหันถึงถนนจักรวรรดิ์ ที่เรียกกันว่า ย่านหัวเม็ด คนจีนเรียก “ติ๊ดเกย” นั้น เป็นชุมชนสะพานหัน แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของย่านสำเพ็ง แต่สะพานหันในอดีตก็เป็นแหล่งค้าขายที่มีเอกลักษณ์ต่างจากในปัจจุบัน และเป็นถิ่นอาศัยของขุนน้ำขุนนางมากกว่าคนจีนดั่งเช่นปัจจุบัน ผลไม้ ดอกไม้ เครื่องหอม ไปจนถึงเครื่องเพชรเครื่องทอง คุณหญิงศรีศิริ กฤษณจันทร หรือนามสกุลเดิม คุ้มเกษ วัย ๘๐ กว่าปี ผู้เกิดในย่านสะพานหันและใช้ชีวิตวิ่งเล่นอยู่ในย่านนี้ ถ่ายทอดสภาพค้าขายที่ตนเห็นมาแต่ครั้งเยาว์ว่า แถบพื้นที่สะพานหันในเวลานั้นบ้านเรือนอาศัยถ้าไม่เป็นของบรรดาพระยา คุณพระ คุณหลวง ก็เป็นของพวกคหบดีคนไทยและเจ้าสัว ที่จดจำได้ก็มีพระยาภิรมย์ภักดี บ้านอยู่ต้นคลองโอ่งอ่าง บ้านพระยาพิชัยสงคราม บ้านพระยาสโมสรวิเศษฐการ บ้านพระกรณีศรีสำรวจ บ้านนายย้อย วิเศษกุล ที่น้องสาวไปดองกับพระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี บ้านหลวงสันทนาการกิจ ที่ตั้งวิกลิเกดังในย่านนี้ คนทั่วไปเรียกสั้นๆว่า วิกหลวงสันท์ นอกจากนั้นก็มีเจ้าสัวชาวจีน แขกขายผ้า และคนจีนที่มาขายยาฉุนในตรอกยาฉุนบ้าง อย่างไรก็ดีคุณหญิงศรีศิริเน้นว่า “สะพานหันเป็นย่านคนไทย” พร้อมกับฉายภาพการขายและจับจ่ายซื้อสินค้าในเวลานั้น “ก่อนขึ้นสะพานหัน สองข้างเป็นร้านขายผลไม้ต่างประเทศ แอปเปิ้ล สาลี่ องุ่น เครื่องกระป๋อง เครื่องแห้งของจีน วางเต็มสองฟาก พวกผลไม้ไทยตามฤดูกาลและทวาย อย่างลำไย ทุเรียน ผลไม้พื้นเมืองต่าง ๆ มีหมด คัดมาสวย ๆ ดี ๆ เหมือนอย่างในตลาด อตก. ปัจจุบัน แม่ค้าจะใส่กระจาดมาตั้งเหมือนบางลำพูสมัยก่อน อย่างลำไยลูกโต ๆ ก็ใส่กระเช้า...เปิดชิมได้ พวกแม่ค้านั้นพูดจาอ่อนหวานกับลูกค้า เรียกท่านเจ้าคะ เจ้าขา บ่าวเก็บเอาไว้ให้นะคะ ของบ่าวอร่อยทั้งนั้น ซื้อเสร็จก็เอาของมาส่งให้ถึงรถสามล้อ รถเจ๊ก เพราะเจ้านายให้บ่าวมาซื้อกันทั้งนั้น” สอดคล้องกับที่ ศรี เกษมณี เขียนเล่าไว้ในหนังสือ เมื่อวานนี้  ว่า “แม่ไปซื้อผลไม้ เช่น องุ่น แอปเปิ้ล ที่สะพานหันซึ่งเป็นแหล่งรวมผลไม้ดี ๆ จากต่างประเทศ ของที่สะพานหันจัดว่าแพงชนิดจดไม่ลง คนซื้อต่อรองราคาแทบไม่ได้ ถ้าไม่ซื้อ คนขายก็จะเมินหน้าไม่ง้อให้เสียเวลา ลูกค้าที่มีเงินยังเดินเข้าออกสะพานหันให้พลุกพล่าน” พอขึ้นตัวสะพานหัน คุณหญิงอธิบายว่าพื้นทำด้วยไม้ มีลูกระนาดคั่นเป็นขั้นๆ ลงไป เพื่อกันไม่ให้ลื่น สองฟากตัวสะพานเป็นร้านขายของ “ทำเป็นห้อง ๆ ที่จำได้มีร้านแขกขายผ้า เป็นพวกผ้ามุ้ง ผ้าม่าน ผ้าลูกไม้ ผ้าสำลี ผ้าต่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้ขายผ้าอย่างดี เพราะของสวย ๆ นั้นจะขายกันที่พาหุรัด ส่วนร้านขายผ้าของผู้หญิง เป็นพวกผ้าลาย พวกนางงามจะมาซื้อ มานั่งเลือกผ้า เขาจะวางขายบนอัฒจันทร์เตี้ย ๆ ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ใด ๆ คนซื้อก็ขึ้นไปนั่งพับเพียบบนแท่น ดูของนั่นของนี่ ต่อรองราคากันบนนั้นเลย ไม่มีใครยืนซื้อ ลงจากสะพานมีร้านขายน้ำอบไทย ชื่องร้านเก็งนา แล้วก็ร้านแม่อ้น ขายดอกไม้ธูปเทียนเกี่ยวกับไหว้พระ พวกพุ่มเทียน กระแจะ หมากหอม แล้วก็พวกดอกไม้แห้ง ดอกไม้จัน สะพานหันมีอยู่หลายร้าน บ้างรอยมาลัยแห้ง พวกดอกมะลิที่ทำจากกระดาษ ดอกไม้เข้าพรรษา กระดาษย่นสี ๆ เครื่องบวช บ้างร้านก็ขายพระพุทธรูปอย่างเดียว ขายดอกไม้สดก็มี เลยออกไปทางหัวเม็ดมีร้านทอง ขายเครื่องเพชร อย่างแม่กิมลั้ง แม่กิมตี่ พวกนี้เป็นลูกครึ่งไทย-จีน ถ้าร้านทองที่เยาวราชคนจีนขาย สมัยก่อนใครจะแต่งงานต้องมาซื้อเพชรที่สะพานหัน ไว้ใจได้ไม่มีหลอกลวง นอกจากนี้ก็มีร้านขายยาของคนจีน เดี๋ยวนี้ก็เหมือนจะยังอยู่ แล้วก็มีซ่อง มีโรงยาฝิ่น สมัยก่อนสะพานหันคนไม่แออัดแน่นอย่างปัจจุบัน เดินซื้อของกันสบาย” ภาพบรรยากาศการค้าแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ เนื่องมาจนถึงหลังสงคราม (มหาเอเชียบูรพา) เช่นนี้ คงดำเนินต่อมากระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๕ จึงได้มีการรื้อสะพาน แล้วสร้างใหม่เป็นคอนกรีตดังที่เห็นอยู่ทุกวันนี้  นานาสินค้าในย่านสะพานหันก็มีการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นของอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร ขนม เสื้อผ้า เครื่องเย็บปักถักร้อย ไปจนถึงร้านขายกิฟท์ช้อป ที่ขยายตัวมาจากสำเพ็ง ร้านค้าดั้งเดิมแทบหายไปเกือบหมด มีการเปลี่ยนมือให้คนเช่า เหลือไว้แต่ป้ายชื่อร้านเก่าพอให้จับเค้ารางได้เท่านั้น วิกยี่เกหลวงสันท์ ริมคลองสะพานหัน นอกจากภาพจำเกี่ยวกับตลาดสะพานหันแล้ว ความประทับใจอีกสิ่งหนึ่งที่คลุกคลีอยู่ในย่านสะพานหันของคุณหญิงศรีศิริก็คือ ชีวิตในวิกยี่เกหลวงสันท์ โรงมหรสพของครอบครัวเครือญาติที่เกาะเกี่ยวดำเนินกิจการอยู่ในย่านสะพานหัน เป็นวิกลิเกดังโรงหนึ่งในยุคที่ลิเกทรงเครื่องกำลังเฟื่องในพระนคร ลิเกหรือยี่เกเป็นมหรสพที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า “มาจากเพลงสวดของแขก ส่วนการแสดงน่ะยี่เกน่ะไทยแท้...” โดย อ. สุรพล วิรุฬรักษ์ ผู้ค้นคว้าเรื่องลิเก อ้างถึงหนังสือ สาส์นสมเด็จ ระบุว่า กำเนิดมาจากการสวดอย่างอิสลามในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓ แล้วการสวดนี้ก็พัฒนาแตกแขนงเป็น “ลิเก” และ “ลำตัด” ต่อมา การแสดงลิเกในระยะแรกมี ๒ ชนิด คือ ลิเกบันตนและลิเกลูกบท แต่งตัวธรรมดา แต่สีสันสดใส มาถึงยุคพระยาเพชรปาณี (ตรี) เจ้าของวิกหน้าวัดราชนัดดา ได้คิดเครื่องแต่งกายใหม่อย่างหรูหรา สวมปันจุเหร็ดยอด ใส่เสื้อเยียรบับ นุ่งโจงผ้ายก สวมถุงเท้าขาว ประดับสังวาลนพรัตน์กำมะลอ เลียนแบบเครื่องแต่งกายขุนนาง ท้าวพญามหากษัตริย์ อันเรียกได้ว่าเป็นการแต่งองค์ทรงเครื่อง ชาวบ้านทั้งหลายจึงเรียกว่า “ลิเกทรงเครื่อง” ที่นอกจากจะปฏิวัติการแต่งกายแล้ว ยังเล่นแสดงเป็นเรื่องแบบละคร อีกทั้งมีการรำนิด ๆ หน่อย ๆ ดำเนินเรื่องเร็ว แทรกการเล่นตลกขบขัน เป็นที่ถูกอกถูกใจชาวบ้านร้านตลาด จนเกิดวิกยี่เกหลายแห่งในช่วงสมัยนั้น  หนึ่งในนั้นก็คือ วิกของหลวงสันทนาการกิจ (โหมด ภูมะธน) ข้าราชการในกระทรวงทหารเรือ ที่บ้านและวิกของท่านตั้งอยู่ริมคลองสะพานหัน ใกล้สะพานภาณุพันธุ์ โดยมีภรรยาของท่าน คือ อำแดงทับทิม เป็นโต้โผใหญ่ประจำโรงยี่เก ซึ่งคุณหญิงศรีศิริเรียก ย่าทับทิม ด้วยท่านเป็นธิดาของหลวงสุนทรโกษา (จาด คุ้มเกษ) ผู้เป็นทวดของคุณหญิง “บ้านหลวงสันท์อยู่ด้านในตลาด ติดกับพวกสิงหเสนี เป็นบ้านไม้ใหญ่แบบโบราณ ส่วนตัววิกอยู่ข้างหน้าบ้าน คุณย่าเป็นคนดูแล ตกเย็นญาติพี่น้องต้องมาทำโรงลิเกกันหมด มาทำฉาก ซ่อมประตู กวาดโรง เก็บเงินหน้าโรงวิก ทำกับข้าวกับปลาเลี้ยงคนแสดง แม่ดิฉันถูกมอบหมายให้เป็นคนเก็บเงินค่าเข้าชม ตัวดิฉันก็เลยวิ่งเล่นอยู่แถวนี้ พอตอนหลังวิกเลิก มีคนมาเช่าแล้วจึงรื้อทำโรงหนัง ปัจจุบันเป็นศูนย์การค้าสะพานหันไง  เท่าที่ทราบเดิมวิกเคยอยู่ที่ประตูสามยอด”  คุณหญิงศรีศิริรื้อฟื้นความทรงจำในวัยเด็ก ซึ่งหลายสิ่งเป็นสิ่งที่ฟังผู้ใหญ่เล่ามา โดยเฉพาะเรื่องวิกที่เคยอยู่ประตูสามยอดนั้น จากการสัมภาษณ์คุณถิน และคุณพงษ์สิทธิ์ ภูมะธน ซึ่งเป็นหลานของย่าทับทิมได้คำชี้แจงว่า วิกยี่เกหลวงสันท์อยู่สะพานหันมาแต่แรก วิกประตูสามยอดเป็นของหม่อมสุภาพ กฤดากร หม่อมในกรมพระนเรศวรวรฤทธิ์ (ต้นสกุลกฤดากร) ซึ่งเป็นยี่เกโรงใหญ่ มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสมัยรัชกาลที่ ๖ ด้วยมีการปรับปรุงการเล่นใกล้ละครรำมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบแผนในการรำ การที่คุณหญิงเข้าใจผิดว่าเคยอยู่ประตูสามยอดก็เนื่องจากย่าทับทิมรับกิจการยี่เกของหม่อมสุภาพมาดำเนินการต่อนั่นเอง และนี่อาจเป็นที่มาที่ห้ามไม่ให้ลิเกโรงนี้ร้องเพลงรานิเกลิงของนายดอกดิน เสือสง่า ด้วยเห็นว่าเป็นลิเกบ้านนอก ลิเกเร่ร่อน คุณถินยังบอกอีกว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ มีการสวนสนามทหารหน้าวิก บนถนนเยาวราช พวกลิเกจึงพากันออกมารำ เอาดอกไม้ไปยื่นให้เจ้าพระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา-ผู้เขียน) และที่จำได้ วิกหลวงสันท์กลางวันเป็นบ่อนปลากัด กลางคืนจึงเป็นวิกยี่เก ขณะที่คุณพงษ์สิทธิ์ว่า ก่อนเปิดวิกทุกครั้งต้องมีโหมโรง เล่นดนตรีตีระนาดเรียกคน เริ่มเล่นราวทุ่มสองทุ่ม จุดตะเกียงเจ้าพายุเล่น เล่นกันถึงเที่ยงคืนก็เลิก  สมัยนั้นคนสะพานหันจะมีคำพูดที่รู้จักกันทั่วย่านว่า “หน้าพ่อพัก” คือ หน้าสวยขึ้นเครื่องลิเก เพราะพ่อพัก เป็นพระเอกประจำวิกหลวงสันท์ คู่กับนางเอกชื่อนายเจือ เป็นชายแต่เล่นเป็นหญิง เนื่องจากสมัยนั้นการเล่นยังไม่ได้ใช้ชายจริงหญิงแท้ คนดูส่วนใหญ่จึงเป็นหญิง เป็นแม่ยกเยอะ และตัวแสดงที่สำคัญอีกตัว เป็นตัวโกงชื่อ ตารวน เวลาเดินเข้าตลาดสะพานหัน พวกแม่ค้าเห็นต้องถ่มน้ำลายรดพื้น เพราะไม่ชอบใจ ด้วยอินกับบทโกงของแก ถึงกับเล่าต่อ ๆ กันว่า เวลาแสดงตามท้องเรื่อง คนดูถึงกับขว้างกระป๋องน้ำหมากใส่แกขึ้นไปบนเวที แกก็มีปฏิภาณไว เอามือป้องปากบอกคนดูว่า “คุณน้าให้รางวัลผมอีกแล้ว” พ่อพักและนายเจือนี้ ถือเป็นศิลปินลิเกมีชื่อดังมากในยุคลิเกทรงเครื่อง ในหนังสือ ลิเก ของสุรพล วิรุฬรักษ์ ระบุว่าทั้งคู่เป็นผู้คิดทำหลอดไฟฟ้าดวงเล็กๆ มาประดับแซมเครื่องเพชรให้คนดูตื่นเต้นกับความวูบวาบของแสงสี และมาตอนหลังทั้งคู่ไปเล่นที่วิกเมรุปูน วัดสระเกษ  ลิเกหอมหวนเมื่อเข้ามาเล่นในกรุงเทพฯ ที่วิกตลาดทุเรียน บางลำพู ยังต้องแข่งขันกับนายพัก นายเจือ ทำให้หอมหวลหาทางเล่นใหม่ โดยมีการปรับเครื่องแต่งกาย ลดการรำลง และด้นกลอนเข้าสู้ จนกล่าวว่า ใครอยากดูลิเกรำก็ไปดูนายพักนายเจือ ใครอยากฟังกลอนเด็ด ๆ ก็มาดูลิเกหอมหวล  ความดังของตัวเอกวิกหลวงสันท์นี้แหละ เป็นเหตุให้วิกหลวงสันท์ต้องเลิกไป เพราะ “เจ๊ง” ด้วยค่าตัวพระเอกสูงถึงวันละ ๘ บาท และต้องง้อให้เล่นตลอดเวลา อีกทั้งโต้โผก็ชรามากแล้ว ตัวแสดงในโรงก็มีถึง ๓๐ กว่าชีวิต ดูแลไม่ไหว จึงขายคณะยี่เกให้กับแม่ของคุณพงษ์สิทธิ์ ชื่อ แม่ทองอยู่ ซึ่งท่านได้นำเครื่องละครและดนตรีปี่พาทย์ลงไปเล่นที่นครศรีธรรมราช โดยไม่มีวิกแน่นอน รับเล่นไปเรื่อยใช้ชื่อ วิกแม่ทองอยู่ แสดงอยู่ ๔-๕ ปีก็เลิกในที่สุด เรื่องราวของวิกหลวงสันท์จึงลาโรงอย่างสมบูรณ์   สุดารา  สุจฉายา เอกสารค้นคว้า กาญจนาคพันธุ์ (นามแฝง). “สามเพ็ง”, เมืองโบราณ  ปีที่ ๕  ฉบับที่  ๖ (ส.ค.-ก.ย. ๒๕๒๒).      สุรพล วิรุฬลักษณ์, ลิเก . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ห้องภาพสุวรรณ, ๒๕๒๒. สัมภาษณ์คุณหญิงศรีศิริ กฤษณจันทร วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๘. สัมภาษณ์คุณพงษ์สิทธิ์ ภูมะธน วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๙. บทสัมภาษณ์คุณถิน ภูมะธน โดย อ. ภูธร ภูมะธน. ขอขอบคุณ: คุณหญิงศรีศิริ กฤษณจันทร, คุณพงษ์สิทธิ์ ภูมะธน และ อ. ภูธร ภูมะธน ที่ติดต่อประสานงานเรื่องการสัมภาษณ์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • โรงเลื่อย ของป่า ภาพสะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้เมืองแกลง

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ธ.ค. 2561 สภาพภูมิวัฒนธรรมแกลง ปรับจากแผนที่บ้านสามย่าน กรมแผนที่ทหาร สำรวจเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๐ เมืองแกลงเป็นหนึ่งในเมืองทางภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทยที่มีสภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์เพราะพื้นที่ตอนบนมีสภาพเป็นเนินและภูเขาที่มีป่าเบญจพรรณทึบมีพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด เช่น ไม้ตะเคียน ไม้ยาง ไม้กระบากไม้แก่น ไม้ประดู่ ฯลฯ ส่วนบริเวณโดยรอบที่ตั้งของเมืองแกลงมีสภาพเป็นพื้นที่ราบทุ่งนาและป่าโปร่ง ทิศใต้ของเมืองแกลงเป็นพื้นที่ราบทุ่งนากับป่าชายเลนและพื้นที่ชายฝั่งทะเล โดยมีลำน้ำสำคัญในพื้นที่คือ  “ ลำน้ำประแส ”  ที่มีต้นน้ำในเขตพื้นที่ตอนในเป็นทั้งสายน้ำหล่อเลี้ยงทั้งป่าและผู้คนในพื้นที่เมืองแกลง  นับตั้งแต่ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์การค้าขายขยายตัวมากขึ้น ทำให้มีการเกณฑ์ตัดไม้ส่งส่วยนำมาใช้ต่อเป็นเรือสำเภาที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นส่วยไม้เนื้อแข็งจากทางภาคเหนือและภาคตะวันตก เช่น ไม้ฝาง ไม้สัก ขณะที่ภาคตะวันออกส่วยไม้ที่ส่งเข้ารัฐบาลคือ ไม้แดง อย่างไรก็ตามป่าไม้ภาคตะวันออก เริ่มปรากฏความสำคัญในสายตาราชสำนักสยาม เนื่องด้วยเป็นหนึ่งในแหล่งตัดไม้ทำเรือพระที่นั่งนับตั้งแต่ รัชกาลที่ ๓ รัฐได้ส่วยมาศเส้นจากเมืองจันทบุรียาว ๑ เส้นเศษ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นเรือพระที่นั่งกราบชื่อสุดสายตา และในช่วงเวลานี้การค้าขายของสยามมีความเจริญรุ่งเรืองมากจึงมีการตั้งการจัดเก็บภาษีขึ้นใหม่ หนึ่งในนั้นคือ ภาษีไม้แดง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ป่าไม้ภาคตะวันออกยังคงเป็นพื้นที่หาไม้ทำเรือพระที่นั่งเฉพาะในพื้นที่แกลงได้มาดเส้น ๔ ลำ สอดคล้องกับข้อความในบันทึกของ H.Warington Smyth เมื่อครั้งเดินทางตามชายฝั่งทะเลตะวันออกในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้กล่าวถึงพื้นที่เมืองแกลงไว้ว่าเป็นสถานที่นำไม้ตะเคียนไปสร้างเรือพระราชพิธี และยังระบุด้วยว่าสภาพป่าของเมืองแกลงมีลักษณะเป็นป่าทึบ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีได้เข้ามาสำรวจพื้นที่ป่าไม้ภาคตะวันออกและได้ก่อตั้งบริษัทศรีราชาทุนจำกัด ทำกิจการป่าไม้ในพื้นภาคตะวันออกในจังหวัดชลบุรีรวมมาถึงระยอง ซึ่งในขณะนั้นก็มีโรงเลื่อยของเอกชนรายอื่นเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน โรงเลื่อยจักรพงษ์เกษม โรงเลื่อยไม้ในเมืองแกลง สำหรับในอำเภอแกลงมีโรงเลื่อยไม้ที่สำคัญ คือ “โรงเลื่อยจักรพงษ์เกษม” ประวัติการก่อตั้งไม่แน่ชัดแต่จากการสัมภาษณ์คนในพื้นที่พบว่าโรงเลื่อยนี้น่าจะก่อตั้งก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ และปิดตัวลงไปเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ มีเจ้าของกิจการเป็นคนเชื้อสายจีน เรียกกันว่า  “ จิกเสี่ย ” เป็นคนจากทางบ้านปากน้ำประแส ตำแหน่ง “หลงจู๊” (ผู้จัดการ) ขณะที่แรงงานส่วนใหญ่จะมีทั้งที่เป็นคนเชื้อสายจีนทำงานในตำแหน่ง “นายม้า” คุมโต๊ะเลื่อยไม้หรือเป็น “เสมียน” จดบัญชีกับแรงงานซึ่งเป็นที่มาจากทางอีสานและคนในพื้นที่อำเภอแกลงบางส่วนตำแหน่งแบกหามเรียกว่า “หางม้า” ค่าแรงต่อวันไม่ถึง ๒๐ บาท ผู้ชายแบกไม้กระดานแผ่นใหญ่ๆ ขึ้นรถ ผู้หญิงหาบขี้เลื่อย แบกเศษไม้ เรียงไม้  ( สัมภาษณ์   เกียง   ภูเนตร   อายุ   ๘๖   ปี   และ   ปิยะ   กำแหง   อายุ   ๗๑   ปี ) โรงเลื่อยอยู่ติดริมน้ำประแสฝั่งตะวันออกของบ้านสามย่าน วิธีการลำเลียงไม้จากพื้นที่ตอนใน มีสองวิธีคือ ใช้เส้นทางลำน้ำประแสลำเลียงไม้ขนาดไม่ใหญ่นัก เช่น ไม้กระบก ไม้กระบาก ล่องตามน้ำลงมา คนทางข้างบนจะตัดเป็นขอนล่องมาตามคลอง ผ่านวัดประแสบน บ้านอู่ทองใช้ โดยคลองประแสเป็นหลัก  ( สัมภาษณ์   ศรีนวล   ไกรเพชรอายุ   ๗๖   ปี ) ปล่องไฟเดิมของโรงเลื่อยจักรพงษ์เกษม ลำน้ำประแส บริเวณตลาดสามย่าน อีกวิธีหนึ่งคือใช้รถลากซุงและแรงงานคน ชักลากซุงใส่รถขนไม้แล้วมาเทลงน้ำประแสหน้าโรงเลื่อยที่สามย่าน  จากนั้นจะมีคนลงไปมัดเชือกซุงแล้วชักลากกันขึ้นมาเลื่อยตามขนาดที่ต้องการ โดยมีนายม้าเป็นคนกำหนดว่าจะเลื่อยออกมาขนาดใด  เช่น หน้ากว้าง ๘ นิ้ว, ๑๒ นิ้ว, ๑๖ นิ้ว จากนั้นแรงงาน (หางม้า) จะยกไม้ขึ้นเลื้อยบนโต๊ะ เมื่อเลื่อยไม้แล้วจะมีแรงงานบางส่วนคนขี้เลื่อยออกไปทิ้งนอกโรงเลื่อย   แม้ว่าต่อมาโรงเลื่อยจะปิดตัวไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีนโยบายปิดป่าจากรัฐบาลส่วนกลางเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ แต่การเข้าไปบุกเบิกและถางป่าพื้นที่ตอนบนก่อให้เกิดการโยกย้ายจากพื้นที่ราบขึ้นไปตั้งหมู่บ้านในพื้นที่ตอนในทางทิศเหนือของเมืองแกลงมากขึ้นรวมทั้งการบุกเบิกเข้าไปจับจองพื้นที่ทำการเกษตรกรรมปลูกมัน และต่อมาคือ ยางพารา   วิถีหาของป่า คนเมืองแกลง ป่าไม้ทางทิศเหนือของเมืองแกลงเป็นแหล่งหาของป่าที่สำคัญ วิถีชีวิตของคนในพื้นที่เมืองแกลงส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาเป็นหลัก เมื่อเสร็จฤดูทำนาจะรวมกลุ่มพากันเทียมเกวียนเข้าป่าไปหาของป่านำออกมาขาย โดยเดินตามเส้นทางเกวียนลัดเลาะขึ้นไปทางทิศเหนือหรือเดินตามลำน้ำสายเล็ก ๆ เข้าไปยังป่าเบญจพรรณ ถึงเวลากลางคืนจะหยุดตามจุดที่เป็นชุมนุม บางแห่งอาจมีเพิงที่พักแบบชั่วคราวซึ่งคนรุ่นก่อนหรือกลุ่มอื่นได้ทำทิ้งไว้ และจุดกองไฟ นอนรวมกันป้องกันอันตรายจากสัตว์ป่าโดยเฉพาะเสือที่ออกหากินตอนกลางคืน การใช้เวลาอยู่ในป่าไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับทรัพยากรที่หาได้และปริมาณของป่าที่บรรทุกใส่เกวียน โดยทรัพยากรของป่าที่ต้องการได้แก่น้ำมันยาง ครั่ง ชัน หวาย กระวาน ลูกเร่ว รวมทั้งไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้กระบก ล่องน้ำลงมาขายคนที่ตลาดเพื่อสำหรับนำไปทำฟืนเตาถ่าน นำกลับไปใช้ในครัวเรือนหรือนำออกมาขายที่ตลาดสามย่าน  ลุงสงบ เจริญวงศ์ อายุ ๕๕ ปี เล่าว่า  “... สมัยก่อนใช้เส้นนี้เดินขี้โล้น้ำมันยาง   แบกน้ำมันยางมาขาย   เป็นป่าหม   แถวหนองพุหนองโพง  ( ชุมชนที่อยู่ทางทิศเหนือวัดโพธิ์ทอง )…”    ส่วนพระครูวิสุทธิ์รัตนาภรณ์ อายุ ๗๐ ปี เล่าว่า  “... ฉันไปอยู่ตั้งแต่เป็นป่ามีเสือ   เขาเรียกชุมนุมสูง   มีหนึ่งบ่อน้ำมันยาง   เลยวัดมงคลขึ้นไปหน่อยและก็ใต้วัดชุมนุมสูงลงมาหน่อยก็ตักน้ำมันยางเอามาขายกัน ...”    ขณะเดียวกันบางครัวเรือนที่อยู่บนพื้นที่ราบตอนล่างอาจให้ญาติของตนเข้าไปตั้งบ้านรวมกับชุมนุมในป่าแล้วเก็บผลผลิตส่งออกมาขาย หรือนำมาให้แก่ครอบครัวตนเอง เช่น สานหลัว ตัดหวาย คนตลาดสามย่านก็เอาใส่เรือไปขายสมุทรสาคร สมุทรสงคราม การเข้าไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ตอนในพบว่าหลายชุมนุม/สำนัก ไม่ได้ดำรงชีพด้วยการหาของป่าเพียงอย่างเดียวแต่บุกเบิกพื้นที่ราบขนาดเล็กไว้ปลูก “ข้าวไร่” ปีละครั้ง พอเลี้ยงตนเองได้ควบคู่ไปกับการปลูกมัน รวมทั้งคนพื้นที่ตอนในเองบางส่วนนำของป่าออกมาแลกเปลี่ยนข้าวสารหรือผลไม้กับคนในพื้นที่ราบทุ่งนาและคนในตลาดสามย่าน นอกจากนี้การเข้าป่ายังรวมไปถึงการตัดไม้มาสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยด้วยเช่นกัน ปัจจุบันพื้นที่ป่าเบญจพรรณทางทิศเหนือของเมืองแกลงนั้นแทบไม่หลงเหลือแล้ว เนื่องจากถูกแทนที่ด้วยพื้นที่การเกษตรทั้งพื้นที่ปลูกยางพาราและพื้นที่สวนผลไม้ ประกอบการการขยายตัวของพื้นที่อยู่อาศัยและการตัดถนนเข้าไปยังหมู่บ้านต่างๆ ในพื้นที่ตอนใน รวมถึงวิถีชีวิตการหาของป่าและการตัดไม้ป่าที่เลิกทำไปอย่างสิ้นเชิง คงเหลือแต่ร่องรอยของ “ชื่อชุมชน” (place name) ที่ยังบ่งบอกถึงการเคยเป็นแหล่งชุมชนพื้นที่ตอนใน เช่น วัดคลองป่าไม้ (ชุมนุมคลองป่าไม้ อำเภอแกลง), บ้านชุมนุมสูง (อำเภอแกลง), บ้านชุมนุมใน (อำเภอวังจันทร์), วัดแก่งหวาย (ชุมนุมแก่งหวาย อำเภอวังจันทร์) ฯลฯ ส่วนพื้นที่ที่ยังเป็นป่าหลงเหลืออยู่คือบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาชะเมา-เขาวง  พนมกร นวเสลา ขอบคุณ   พระครูวิสุทธิ์รัตนาภรณ์   อายุ   ๗๐   ปี , คุณเกียง   ภูเนตร   อายุ   ๘๖   ปี , คุณปิยะ   กำแหง   อายุ   ๗๑   ปี , คุณประจวบ   เที่ยงแท้   อายุ   ๘๒   ปี , คุณพิชัย   สมคิด   อายุ   ๕๖   ปี , คุณศรีนวล   ไกรเพชร   อายุ   ๗๖   ปี , คุณสงบ   เจริญวงศ์   อายุ   ๕๕ปี , คุณเอกชัย   เนตรมณี   อายุ   ๕๓   ปี อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

  • พระขพุงผีเทพยดา : "พระแม่ย่า" สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองสุโขทัย

    เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2561 เทวรูปพระแม่ย่า "ศาลพระแม่ย่า" ริมแม่น้ำยม ใกล้ศาลากลางจังหวัดในปัจจุบัน ในเมืองสุโขทัยธานีถือเเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดสุโขทัย เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานองค์เทวรูปพระแม่ย่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสุโขทัย ที่ชาวเมืองสุโขทัยเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างมากโดยมีผู้มากราบไหว้สักการะอยู่ไม่ขาด สถานที่พบรูปเคารพพระแม่ย่าอยู่ที่ถ้ำบริเวณบ้านโว้งบ่อของเทือกเขาหลวงในตำบลเชิงคีรี ถ้ำนี้มีลักษณะเป็นเพิงผาหรือ Shelter ไม่ใช่โพรงถ้ำภายในภูเขาหินปูแต่อย่างใด ด้านล่างคือโชกหรือลำธารน้ำพระแม่ย่า ปัจจุบันกลายเป็นวัดป่าถ้ำแม่ย่า (ธรรมยุต) ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา ถ้ำแห่งนี้เป็นที่อยู่ของพระนางเสืองหรือพระแม่ย่า พระมารดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมาบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ภายในถ้ำ บ้างก็สันนิษฐานว่ารูปเคารพนี้เป็นเทวรูปพระนารายณ์ ซึ่งพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ไม่อาจเป็นเทวรูปไปได้ รูปเคารพพระแม่ย่า สลักด้วยหินชนวน เป็นรูปสตรีผอมสูง ใบหน้ายาวคล้ายพระพักตร์พระพุทธรูปแบบสุโขทัย ผมมุ่นมวยสูง ๔ ชั้น ใส่ต่างหูยาว ใส่เฉพาะสังวาลย์ไม่สวมเสื้อและสวมผ้านุ่งแบบชายไหว ชายแครงเป็นเชิงชั้นทั้งสองข้างแบบศิลปะการนุ่งผ้าสตรีสมัยสุโขทัยไม่สวมเสื้อหรือสไบ เปลือย ส่วนบนทั้งหมดเห็นพระถันทั้งสองเต้า ใส่กำไลแขน กำไลข้อมือ และกำไลข้อเท้า สวมชฎาทรงสูง สวมรองพระบาทปลายงอน ความสูงรวมแท่ยประทับรวม ๕๒ นิ้ว หรือราว ๑๓๐ เซนติเมตร ชาวบ้านมีความเชื่อว่าเทวรูปพระแม่ย่าองค์นี้คือ "พระนางเสือง" พระมารดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ราวปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงสืบสวนเรื่องราวต่าง ๆ ของเมืองสุโขทัย พบรูปเคารพสตรีที่ชาวบ้านนับถือมากบริเวณเทือกเขาหลวง ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่า โซกพระแม่ย่า ห่างจากเมืองสุโขทัยเก่าทางทิศใต้ประมาณ ๗ กิโลเมตร และมีสมมติฐาน จากข้อความในจารึกหลักที่ ๑ ซึ่งกล่าวถึง “พระขพุงผี” ที่อยู่ทิศเบื้องบนหัวนอนเมืองสุโขทัย และเนื่องจากไม่พบรูปเคารพอื่นใด จึงทรงสันนิษฐานว่า “พระแม่ย่า” องค์นี้น่าจะเป็น “พระขพุงผี” ชาวบ้านในแถบนั้นเรียกรูปเคารพองค์นี้ว่า “พระแม่ย่า” ถ้ำที่พบก็เรียกว่า “ถ้ำพระแม่ย่า" แต่ข้อมูลที่โรม บุนนาค เขียนไว้กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถได้เสด็จไปสำรวจเมืองสุโขทัย เมื่อ พ.ซ. ๒๔๕๕ และทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือ “กำเนิดเมืองสุโขทัยและสวรรคโลก” ในทำนองเดียวกันว่ามีการค้นหาในบริเวณเทือกเขาหลวงตามข้อมูลในจารึกหลักที่ ๑ โดยเข้าใจว่าเบื้องหัวนอนนั้นเป็นทิศเหนือ แต่หากที่ถูกแล้วคือทางทิศใต้ และเสด็จไปพบรูปเคารพพระแม่ย่าที่ถ้ำพระแม่ย่านี้ด้วยพระองค์เอง และทรงดำริให้นำไปเก็บรักษาไว้ที่ศาลากลางจังหวัดสุโขทัยไม่เช่นนั้นอาจจะสูญหายได้ (ผู้จัดการออนไลน์, เผยแพร่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๙) "เมืองสุโขทัย" เป็นเมืองที่อิงภูเขา ตั้งอยู่ด้านหน้าของเขาหลวงที่มีเชิงเขาและที่ลาดลงสู่พื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงทางฝั่งตะวันตกของลำน้ำยม  โดยมีการรับน้ำจากป่าเขามาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค รวมถึงการทำการเกษตร  ระบบการชลประทานที่นำน้ำจากบนเขาเข้ามาใช้ในเมืองนี้จะเห็นเป็นร่องรอยของทำนบเป็นคันดินใหญ่ ที่ในจารึกเรียกว่า สรีดภงส์ และลำเหมืองนำน้ำผ่านกลุ่มวัดอรัญญิก ผ่านกำแพงเมือง เข้ามากักไว้ตามตระพังใหญ่ในเมืองและบริเวณโดยรอบ  ระบบการชลประทานที่นำน้ำจากบนเขา เข้ามาใช้ในเมืองนี้จะเห็นเป็นร่องรอยของทำนบเป็นคันดินใหญ่ ในจารึกเรียกว่า สรีดภงส์ และคันดินเล็กใหญ่อีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งที่เรียกกันว่า “ถนนพระร่วง” ที่เป็นแนวทำนบโบราณและเป็นคันดินที่ใช้เป็นทางคมนาคมเป็นช่วง ๆ ได้ด้วย ในด้านศาสนา สังคมสุโขทัยมีการนับถือทั้งศาสนาพุทธนิกายมหายานและเถรวาท ศาสนาพราหมณ์ฮินดู และการนับถือผี  เมื่อสุโขทัยรับพุทธศาสนาจากลังกาโดยกษัตริย์เป็นองค์ศาสนนูปถัมภกทำให้่พุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์รุ่งเรืองในสุโขทัยอย่างมากขนบประเพณีทางพุทธศาสนาที่สำคัญ อย่างเช่น การบวช การนับถือ พระบรมธาตุ การไหว้บูชาพระพุทธรูป และนอกจากการนับถือศาสนาแล้ว ก็ยังพบว่ามีการนับถือผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติ โดยเป็นความเชื่อดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่โบราณแล้ว จะเห็นได้ว่าข้อความในจารึกที่ทำให้รู้จักชาวสุโขทัยมากที่สุดคือเรื่องราวความเชื่อ โลกนี้และโลกหน้า ซึ่งเป็นความเชื่อขั้นพื้นฐานของคนในสมัยโบราณ นั่นก็คือเรื่อง "ผี"   ความเชื่อเกี่ยวกับผีของชาวสุโขทัยแบ่งออกเป็นสองประเภท  อย่างแรกคือ ผีบรรพบุรุษ หมายถึง วิญญาณของพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว หรือผีหัวหน้าหมู่บ้านที่เป็นบรรพบุรุษของหมู่บ้าน  อย่างที่สองคือ ผีประจำสถานที่ หมายถึงวิญญาณที่สถิต ณ ภูเขาใหญ่ ถ้ำ ป่าไม้ แม่น้ำลำธาร คอยปกปักรักษาพื้นที่เหล่านี้เอาไว้ โดยมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถดลบันดาลให้คุณและโทษแก่ผู้ที่กระทำผิดไม่ซื่อตรงในกิจการต่าง ๆ หรือกระทำผิดคำสาบาน  เช่น พระขพุงผีเทพดา ผีประจำเขาหลวงของเมืองสุโขทัย โดยมีบทบาทอย่างมากในระบบความเชื่อนี้ที่สืบต่อกันมา   จากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ เป็นหลักฐานกล่าวว่า   “ มีพระขพุงผีเทพดาในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ ไหว้ดีผีถูก เมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอั้นบ่คุ้ม บ่เกรง เมืองนี้หาย ”   จากข้อความข้างต้น แปลได้ว่าเขาหลวงเป็นที่สถิตของ "พระขพุงผี" มีอำนาจต่อความเป็นไปของบ้านเมือง ผู้ปกครองจำเป็นต้องบูชาผีให้ถูกเพื่อความสงบสุขของผู้คนและบ้านเมือง เพิงผาหรือถ้ำพระแม่ย่า ในตำบลนาเชิงคีรี อย่างไรก็ตาม ลักษณะรูปเคารพนี้ดูเป็นสตรีเพศอย่างเห็นได้ชัด เกินกว่าที่จะเป็นรูปลักษณ์ของพระนารายณ์ เป็นสตรีมีเครื่องประดับอย่างสตรีโบราณผู้สูงศักดิ์ ประทับยืนตรงแขนทั้งสองข้างแนบพระกาย นุ่งผ้าปล่อยชายไหว ชาวบ้านจึงเชื่อว่าเป็นพระนางเสืองและสาเหตุที่เรียกพระแม่ย่า อันหมายถึง สตรีที่มีฐานะสูงสุด เป็นทั้งพระมารดาและพระอัยยิกาแห่งเมืองสุโขทัย เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกปักรักษาเมือง ป่าเขา หรือทรัพยากรต่าง ๆ ด้านหน้าถ้ำนั้นมีธารน้ำไหลผ่านเรียกว่าโซกพระแม่ย่า หล่อเลี้ยงอาณาบริเวณชุมชนแถบนี้อีกเส้นทางน้ำหนึ่งที่ไหลผ่านเพื่อเข้าไปยังตัวเมืองเก่าสุโขทัยในอดีตตามที่กล่าวมาข้างต้น เพราะทางภูมิศาสตร์ส่วนนี้ ส่วนใหญ่เป็นป่าและที่เวิ้งเข้าไปในหุบเขาและซอกเขาจำนวนมาก มีร่องรอยของแนวคันดินที่ตัดเข้าไป มีทรัพยากรมากมาย ถ้ำพระแม่ย่าในบริเวณนี้จึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ระบบความเชื่อของท้องถิ่นเรื่อง ผี หรือ อำนาจสิ่งเหนือธรรมชาติ จึงถูกนำมาใช้เพื่อปกปักรักษาทรัพยากรที่มีให้ยังคงอยู่สืบมา คล้ายคลึงกันกับที่อื่น ๆ เช่น ในภาคอีสาน แต่ละท้องที่จะเรียกดอนปู่ตา ศาลปู่ตา ที่คอยปกปักรักษาพื้นที่นั้น ๆ ฯลฯ พระยารามราชภักดีเจ้าเมืองสุโขทัยในเวลานั้นจึงได้อัญเชิญองค์เทวรูปองค์นี้ มาเก็บรักษาไว้ที่ศาลากลางจังหวัด โดยมีชาวเมืองสุโขทัยช่วยกันแห่อย่างเนืองแน่น เกิดฝนตกหนักเป็นอัศจรรย์เพราะขณะนั้นเป็นฤดูแล้งไม่ใช่ฤดูฝน และเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เมื่อจังหวัดสุโขทัยถูกเปลี่ยนเป็นจังหวัดสวรรคโลก รูปเคารพพระแม่ย่าก็ถูกย้ายไปประดิษฐานในศาลากลางจังหวัดสวรรคโลกในระยะหนึ่ง จนเมื่อจังหวัดสวรรคโลกเปลี่ยนมาเป็นจังหวัดสุโขทัยตามเดิม รูปเคารพพระแม่ย่าจึงกลับมาอยู่ ณ ศาลากลางจังหวัดสุโขทัยอีกครั้ง ต่อมาชาวสุโขทัยอัญเชิญพระแม่ย่าออกมาแห่ในวันสงกรานต์ เพื่อร่วมกันสรงน้ำและขอพร ทุกครั้งที่แห่จะมีฝนตกลงมาเป็นที่อัศจรรย์ทุกครั้ง จนกลายเป็นประเพณีแห่พระแม่ย่าในวันสงกรานต์จะต้องมีฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้านาดี ไม่เกิดความแห้งแล้ง และในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ นายเชื่อม ศิริสนธิ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด เกรงว่า ถ้านำรูปเคารพพระแม่ย่ามาแห่บ่อย ๆ อาจทำให้ตกหล่นเสียหายได้ จึงสร้างศาลให้เป็นที่ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมฝั่งตะวันออกตรงหน้าศาลากลางจังหวัดสุโขทัย เรียกว่า “ศาลพระแม่ย่า” จึงได้ประดิษฐานอยู่ในที่แห่งนี้ตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา และได้สลักท่อนศิลาเป็นองค์จำลองขึ้นมาใหม่แทน เพื่อสำหรับออกแห่ให้ประชาชนสรงน้ำในวันมหาสงกรานต์ โดยทางเทศบาลเมืองสุโขทัยเป็นเจ้าพิธีขบวนแห่เรื่อยมา ปัจจุบัน ศาลพระแม่ย่า ที่มีเทวรูปจำลอง 2 องค์ ตั้งอยู่ด้านหน้าตรงบันไดทางเข้าประตูศาล กิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของ พระแม่ย่าสุโขทัย นั้นเลื่องลือไปทั่ว ด้วยความเชื่อที่ว่าจะช่วยขจัดปัดเป่าความเดือดร้อน ขอพร ขอโชคลาภ เป็นสถานที่ชาวเมืองสุโขทัย  หรือผู้คนจากที่อื่นต่างมาแวะเวียนกราบไหว้ พากันปิดแผ่นทองคำเปลวทั่วองค์ทำให้มองไม่เห็นองค์จนใบหน้าอาจมองคล้ายรูปใบหน้าสตรีสูงอายุ สมกับชื่อพระแม่ย่าจนกลายเป็นอุปทานให้เกิดขึ้นแก่ผู้ที่พบเห็น รูปเคารพ "พระแม่ย่า" จากศาลในเพิงผาหรือถ้ำปากประตูสู่ป่าเขาในบริเวณโชกพระแม่ย่า ที่เป็นรูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ เป็นเทพสตรีผู้พิทักษ์และกำกับอำนาจเหนือธรมชาติเพื่อดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติของป่าที่เป็นทรัพย์ส่วนรวมและต้นน้ำลำธารที่หล่อเลี้ยงชาวบ้านเมืองสุโขทัยส่วนหนึ่ง ถือว่าเป็นรูปแบบที่สืบเนื่องเรื่อยมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ก็เป็นได้ จนกลายมาเป็นเทพรักษาเมืองที่ดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลเพื่อความอุดมสมบูรณ์แห่งแผ่นดินของชาวจังหวัดสุโขทัย และคนทั่วไปในทุกวันนี้ พชรพงษ์ พุฒซ้อน อ่านเพิ่มเติมได้ที่:

เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page